“ วาว อันนี้อร่อยน้า ลองชิมดูหน่อยสิ ” ภวิชตักอาหารใส่จานน้องสาวของเขาอย่างเอาใจ ภัสสรเงียบยิ่งกว่าเก่าหลังจากที่รับรู้การจากไปของบิดาและมารดาโลกของเธอยิ่งแคบขึ้นกว่าเดิม
“ เพล้ง ว้าย! ” ภัสสรที่กำลังจะหยิบแก้วน้ำแต่มือดันพลาดไปปัดทำให้แก้วน้ำหกตามแรงที่เธอปัดโดนแล้วตกแตก เสียงตกใจเล็กน้อยของมินตรา เธอหยิบผ้าขึ้นเช็ดกระโปรงให้ภัสสรอย่างรวดเร็ว
“ ไม่ต้อง ” ภัสสรปัดมือออก เธอไม่รู้หรอกว่าใครเป็นคนเช็ดให้เธอ แต่ถ้าให้ทายบ้านหลังนี้ก็มีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นแหละ
“ ยัยวาว ” ภวิชไม่พอใจกิริยาของน้องตัวเองแต่มินตรากลับส่ายหน้าเบา ๆ ห้ามเขาไว้ เขาจึงได้แต่ถอนหายใจ
“ แล้วจะยืนนิ่งกันทำไม ไปหาผ้ามาเช็ดสิ เดี๋ยวน้องฉันก็ลื่นกันพอดี เก็บเศษแก้วให้หมดด้วย ” คนโมโหร้ายหันไปเอ็ดบรรดาสาวใช้ทั้งหลายทั้งปวงที่ยืนเลิกลั่กทำอะไรไม่ถูก ภวัตต์ได้แต่ตักอาหารเข้าปากมองน้องทั้งสองคนอย่างคิดไม่ตก ก่อนที่เสียงนุ่ม ๆ จะเอ่ยขึ้น
“ วาว พี่ว่าวาวลองหางานอดิเรกทำดูไหมจะได้ไม่เบื่อ ”
“ หึ งานอดิเรก งานอะไรคะ? ทำไปทำไมคะ? ในเมื่อมองมันไม่เห็นอยู่ดี ” ภัสสรหัวเราะฝืน ๆ ในลำคอสมเพศกับตัวเอง งานอะไรก็ไม่ส่งผลกับความสุขเธอนักหรอกโลกเธอมีเพียงสีเดียวอยู่ดีในเวลานี้ คำพูดของภัสสรทำให้ภวิชกับ ภวัตต์จุกแน่นที่หน้าอกไม่น้อย เขาไม่ได้อยากให้น้องย้ำความรู้สึกที่สูญเสียไปของตัวเอง
“ มองไม่เห็นก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้นี่คะ ยกตัวอย่างก็เช่น ถักผ้าพันคอ นิตติ้ง เอิ่ม หรือจะ.....” รฏาที่กำลังหาทางช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นแต่ดูเหมือนมันจะไม่ดีขึ้นแถมยังแย่ลงยิ่งกว่าเดิมเสียงแทรกที่หยุดคำพูดของรฏาจนทำให้เธอรู้สึกชาทั้งหน้าแต่เธอก็ไม่ว่าอะไร
“ ถ้าอยากทำมากนักพี่รฏาก็ทำเองสิ ไม่ต้องมาจัดแจงชีวิตของวาวหรอก หรือเห็นวาวพิการจนดูแลตัวเองไม่ได้! ”
“ หยุดนะวาว เกินไปแล้ว รฏาก็แค่ออกความเห็น ทุกคนห่วงเรานะทำไมถึงพูดแบบนี้ ”
“ พี่วิชกับพี่วัตต์ก็ไม่ต่างกันหรอก หลงเมียทั้งคู่ แตะนิดแตะหน่อยไม่ได้ งั้นก็ไม่ต้องมายุ่งกับคนพิการทางสายตาแบบวาวหรอก ”
“ ครืด ” ภัสสรกึ่งประชดประชันลุกขึ้นจากเก้าอี้จนเก้าอี้ล่นถอยหลัง เธอรู้ว่าเธอพิการทางสายตา ไม่ต้องมีใครมาย้ำ ความปรารถณาดีที่ทุกคนหยิบยื่นให้มันเหมือนความสมเพศที่ให้เธอเพียงเพราะสงสาร ซึ่งเธอไม่ต้องการถึงแม้รู้ว่าพี่ชายทั้งสองจะรักก็ตาม แต่ทำไมล่ะ ทำไมทุกคนไม่ทำกับเธอแบบปกติ เหมือนเดิมน่ะไม่ต้องประคบประหงมทำเหมือนเธอดูแลตัวเองไม่ได้ เธอไม่ได้ต้องการแบบนี้สักหน่อย
ภัสสรค่อย ๆ ใช้มือควาน ๆ ออกจากโต๊ะทานอาหารที่แสนน่าเบื่อ ที่เดียวที่เธอสามารถมีความสุขในโลกของเธอได้ซึ่งก็คือ ห้องนอนของเธอเอง
“ แกร๊ก ” เสียงลงกลอนประตูพร้อมกับหันหลังพิงประตูเช่นเดิมทุกครั้งที่ทะเลาะกับพี่ชายทั้งสอง ความอ่อนล้าและอ่อนแอจะเผยออกมาทันทีที่อยู่ตามลำพัง ยังดีที่ตอนนี้เธอเริ่มปรับสภาพยอมรับความมืดมิดอย่างไม่เต็มใจนี้ได้แล้วบ้าง อุปกรณ์ที่ช่วยสำรวจในการเดินทางมีเพียงไม้ที่ทำขึ้นเป็นพิเศษเท่านั้น ภัสสรค่อย ๆ ใช้ไม้นำทางเพื่อไปยังโต๊ะเขียนหนังสือที่เธอจัดใหม่ให้อยู่ปลายเตียง ไฟในห้องเปิดไว้เป็นประจำทุกค่ำคืนแม้เธอจะตาบอดก็ตามแต่เธอก็ไม่ชอบความมืดมิดเลยสักนิด
ภัสสร หยิบสมุดไดอารี่ เล่มสีม่วงหน้าปกอาร์ต เล่มหนา ภายในห้องเปิดด้วยไฟโทนส้มสว่างจ้า แม้ดวงตาจะมองไม่เห็นก็ตาม มือบางลูบสมุดเล่มคุ้นเคยช้า ๆ ด้วยมือสั่นเทา ไหล่บางสั่นไหว น้ำตาไหลลงอาบแก้ม สมุดบันทึกของความทรงจำ ความรู้สึกที่เธอเคยส่งผ่านตัวอักษร
เธอคิดถึง!
“ ฮั่นแน่! คิดถึงผมอยู่รึเปล่านั่งเหม่อขนาดนี้ ”
“ ฟึ่บ ” ภัสสรได้ยินเสียงกระซิบที่ข้างหู สัญชาติญาณแม้ตาจะมองไม่เห็นทำให้เธอหันไปมองต่างจากอีกหนึ่งวิญญาณที่ได้ใกล้ชิดใบหน้าของเธอ เขามองใบหน้าขาวเนียนของเธอ ดวงตากลมโตของเธอมันชวนให้เขาหลง ทีปกรมองหน้าหญิงสาวอย่างลืมตัว จมูกโด่งรั้นของเขาที่ชนปลายจมูกของเธอด้วยความไม่ตั้งใจ เขายืนอยู่หลังเก้าอี้ที่เธอนั่งแต่โน้มใบหน้าลงมาก้มพูดข้าง ๆ หูของเธอ รอยยิ้มหวาน ๆ ส่งไปให้หญิงสาวแม้เธอจะไม่รู้ตัวก็ตามแต่ทีปกรคงจะลืมไปว่า เขาเป็นคนเดียวที่เธอมองเห็น
“ จะมองหน้าฉันอีกนานไหม ” หญิงสาวสบสายตาแกร่งกล้าอย่างไม่หวั่นต่างจากอีกคนที่รู้สึกประหม่า
“ ขอโทษที ผมลืมไปว่าคุณมองเห็นผม แต่คุณคงจะลืมไปว่า คุณเองก็จ้องผมเหมือนกัน ”
“ ก็นายจ้องหน้าฉันก่อนนี่ ”
“ ผมยอมรับว่าใช่ ผมจ้องหน้าคุณ ” เขายืดตัวขึ้น ยักไหล่เล็กน้อยอย่างกวน ๆ
“ ไม่มีมารยาทจริง ๆ เข้ามาในห้องคนอื่นได้ยังไง ”
“ หล่ออะดิ้ มองขนาดนี้ ” เขาไม่ตอบแถมยังยักคิ้วให้หญิงสาวที่กำลังสำรวจใบหน้าของเขา โลกมืดมิดของเธอทำไมถึงเห็นผู้ชายคนนี้ชัดนักนะและเป็นแค่เขาคนเดียวที่เธอเห็นด้วยนี่สิ
“ คนหลงตัวเอง ”
“ ฮ่า ๆ ผมยอมรับ ก็แล้วถ้าอย่างนั้นทำไมต้องทำหน้าเคลิ้มเวลาเห็นผมด้วยล่ะ ” ทีปกรยิ้มชอบใจ ในชีวิตเขาไม่เคยต่อปากต่อคำแล้วแกล้งผู้หญิงแบบนี้สักทีแต่แปลกที่รู้สึกถูกชะตากับหญิงสาวตรงหน้าอย่างประหลาด
“ เข้าห้องคนอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาตยังมาว่าเจ้าของห้องเขาอีกมีจิตสำนึกบ้างนะ ”
“ โอเค ๆ ว่าแต่สมุดเล่มนี้มีความลับอยู่หรอ อยากรู้จัง ” ทีปกรเปลี่ยนเรื่องหันไปให้ความสนใจกับสมุดเล่มหนาที่อยู่บนโต๊ะ มือแกร่งยื่นไปสัมผัสด้วยความถือวิสาสะ
“ เพียะ! ”
“ โอ๊ย! คนสวยใจร้าย มือหนักจริงเลย ตีผมทำไม ”
“ ยังจะมีหน้ามาถามอีกนิสัยไม่ดีจริง ๆ มีมารยาทบ้างสิตาบ้านี่ ”
“ ฮ่า ๆ ”
“ แอร๊ย ” ภัสสรร้องด้วยความตกใจเมื่อคนตรงหน้านอกจากหัวเราะใส่เธอแล้วยังยื่นมือมาหยิกแก้มของเธออีก
“ มาหยิกแก้มฉันทำไม ปล่อยสิ ปล่อยนะ ” เธอดึงมือเขาออก แต่เขากลับเอามืออีกข้างมาดึงแก้มเธอไว้จากหนึ่งกลายเป็นสองข้าง เขายิ้มตาหยีให้หญิงสาวที่มองเขาตาขุ่นอย่างไม่เกรงกลัว
“ ขี้โวยวายแบบนี้ มิน่าล่ะถึงไม่มีแฟน แต่ก็ดีแล้วล่ะที่ไม่มี ”
“ นั่นปากใช่ม้ะห๊ะ นายไม่รู้อะไรเงียบไปเลย ”
“ ดีก็แล้วกันน่า ยิ้มเยอะ ๆ นะวาว เวลาคุณยิ้มมันน่ารักกว่าตอนคุณทำหน้าบูดบึ้งซะอีก ”
“ ฉันรู้หรอกน่าว่าฉันน่ารัก ”
“ ฮ่า ๆ ” เสียงหัวเราะในเวลากลางวันของทีปกรทำให้ภัสสรไม่อ้างว้างแต่หากในเวลากลางคืนความเงียบเหงากลับเข้ามาคลืบคลานดวงใจดวงน้อย ๆ
“ ฮึก ๆ ๆ ฮือ ๆ ๆ ” เสียงสะอื้นร้องไห้เบา ๆ ในห้องนอนตัวเองทุกคืน มือน้อยลูบไดอารี่สีม่วง ใครบางคนผุดเข้ามาในหัวให้คิดถึง ในยามราตรีแบบนี้ความอ้างว้างก็เข้ามาทดแทนทำให้หัวใจดวงน้อยแทบร้าว
“ อัก ” กำปั้นน้อย ๆ กุมเข้าที่หน้าอกด้านซ้ายด้วยความรู้สึกเจ็บ มือค่อย ๆ ควานหากระป๋องยาที่วางอยู่หัวเตียง อาการสะอื้นค่อย ๆ ลดลง เธอนั่งพิงกับหัวเตียงอย่างอ่อนแรง หวังจะให้เป็นเขาที่มาคอยดูแลห่วงใย แต่เธอจะมีสิทธิ์เรียกร้องอะไรในเมื่อเขาไม่ได้ต้องการเธอสักนิด อีกครั้งที่ย้ำความรู้สึกให้ตัวเองว่าควรอยู่แบบไหน
อีกฟากฝั่งหนึ่งของผู้ชายอีกคนเขานั่งถอนหายใจมองหน้าจอคอมอย่างนี้ทุกวันตั้งแต่มาเรียนต่อ
“ เฮ้อ ”
“ เฮ้มิก ยูโอเครึเปล่าถอนใจบ่อยจัง ”
“ อืม ผมสบายดีอันนา ”
“ โกหกไม่เนียนเลยนะมิก ” สาวผมบลอนด์ทองที่สนิทกับเขาที่สุดตั้งแต่มาอยู่ที่นี่
“ ยูมีเรื่องไม่สบายใจเหรอ? ”
“ ก็นิดหน่อย ไม่มีอะไรหรอก ”
“ ไม่นิดหน่อยหรอกมั้ง เห็นมองหน้าจอคอมแบบนี้ทุกวัน เล่าให้ไอ ฟังได้นะ ” หญิงสาวข้างกายที่มอบไมตรีให้เขาตั้งแต่มาเรียนต่อ เพราะรณภพไม่ค่อยสนิทกับใครนัก เขาเอาแต่เรียนและกลับห้องรวมทั้งหาทำงานพิเศษด้วย ไม่น่าเชื่อใช่ไหมล่ะว่าผู้ชายเสเพลคนหนึ่งที่ทำงานกลางคืน ขับรถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ ๆ คู่กายไปทำงาน ไม่เรียนหนังสือ ในเวลานี้เขากำลังเรียนแพทย์และเอาแต่อ่านหนังสือ ทำงานเป็นว่าเล่น
“ อันนา ผมอยากรู้ว่าวิจัยที่ศาสตราจารย์ให้เราทำ เราเลือกสถานที่แล้วติดต่อที่ที่เราอยากไปได้ไหม ”
“ ทำไมหรอ นายมีที่ที่อยากไปแล้วหรือไง ”
“ ตอนนี้ยังไม่แน่ใจว่าจะได้รึเปล่า แค่อยากรู้ว่าได้ไหมเท่านั้นเอง ”
“ ก็คิดว่าคงไม่น่าจะมีปัญหาอะไรมั้ง ไอไม่แน่ใจเหมือนกัน ยูลองไปคุยดูสิพรุ่งนี้ศาสตราจารย์น่าจะมานะ ” รณภพเอนหลังพิงเก้าอี้สายตาเขายังคงจับจ้องที่หน้าคอมพิวเตอร์เมาส์ถูกกดเลื่อนขึ้นลงไปมา หน้าจอคอมนั้นคือหน้าเพจโลกโซเชียลที่ทุกคนอาจจะคุ้นเคยและเจอกับมันทุกวัน ข้าง ๆ โต๊ะมีหนังสือเกี่ยวกับยาในการรักษาโรคขั้นพื้นฐาน การเรียนนักศึกษาแพทย์ปีสามที่ตอนนี้ต้องทำการสอบใบประกอบวิชาชีพทางการแพทย์ขั้นที่หนึ่ง
“ มิกยูรอใครทักแชทมาหรือเปล่า แฟนยูหรอ? ”
“ เปล่า ไม่ใช่แฟนผมหรอก ผมไม่ได้รอ...แค่รู้สึกแปลก ๆ ” เขาพูดพร้อมยังกดตรงช่องแชทที่มีจุดเขียว ๆ จำนวนของคนที่ออนไลน์แต่คนที่เขาหวังจะเห็นให้ออนไลน์กลับไม่มี อดไม่ได้ที่จะกดเข้าไปดูหน้าเฟชบุคคลนั้น แต่แล้วเขาก็พบว่าสเตตัสครั้งสุดท้ายที่ขึ้นบนหน้าจอด้วยประโยคที่ว่า
' นายคงไม่มีใจให้ฉันแล้วที่ผ่านมานายทำดีกับฉันเพื่ออะไร นายช่วยอย่าดีกับฉันได้ไหม...เจ็บเกินไปนายใจร้ายไปแล้วนะ '
“ เป็นอะไรรึเปล่านะ ” คำพูดลอย ๆ คนเดียวไม่ได้พ้นหูหญิงสาวอีกคนที่นั่งดูหนังอยู่บนโซฟาที่ถัดออกไปไม่ไกลนัก รณภพ อยู่ในห้องสมุดของมหาวิทยาลัยเขามักจะใช้ที่นี่ในการพักผ่อนสมองเสมอ