Masukช่วงเวลาเดียวกันทว่าวิถีการดำเนินชีวิตของผู้คนแตกต่าง ในเมืองแห่งสีสันสี่ทุ่มบรรดานักท่องราตรียังเพิ่งหาที่เที่ยว หากก็ไม่ทำให้หนุ่มที่มาจากเกาะอย่างเพชรตื่นตาตื่นใจ แสงสีเป็นสิ่งที่เขาคุ้นเคยมาตั้งแต่สมัยเรียนต่างประเทศ แม้จะเข้มงวดในการทำงาน แต่การใช้ชีวิตส่วนตัวของ
ชายหนุ่มก็ไม่ได้แห้งแล้ง เขามีกลุ่มเพื่อนสังสรรค์กันเป็นระยะ แม้กลับมาอยู่เมืองไทยก็นัดพบปะเพื่อนๆ ตามโอกาสที่ขึ้นมาติดต่อเกี่ยวกับธุรกิจเสมอ
เช่นวันนี้ชายหนุ่มก็มานั่งอยู่ในเลาจน์โรงแรมดัง เพื่อคุยข้อตกลงเป็นหุ้นส่วนเปิดรีสอร์ตแบบผสมผสานเลาจน์บนเกาะ แม้จะไม่อยากให้เกาะของตนเองมีสถานบันเทิงที่ให้บริการล่อแหลม ทว่าก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งในการดึงดูดนักท่องเที่ยว เพชรจึงมีข้อตกลงและเงื่อนไขเป็นพิเศษซึ่งต่างก็พอใจกันทั้งสองฝ่าย ด้วยอีกฝ่ายเป็นเพื่อนสนิทของเพื่อนเขา ต่อจากเรื่องงานก็เป็นการดื่มกินปกติโดยมีสาวๆ ดูแลตามประสาหนุ่มๆ
“แบบนี้ฉันคงได้ไปเที่ยวเกาะนายบ่อยๆ แน่ เพราะพวกเรายังไม่เคยไปเลยสักครั้ง”
พิษณุเพื่อนสนิทของเขาพูดหลังจากชนแก้วกับเขา เพชรเพียงแค่ยิ้มรับน้อยๆ เพราะเพื่อนแต่ละคนรักแสงสีกันทั้งนั้น จึงยังไม่มีใครไปเที่ยวเกาะของเขา
ชายหนุ่มกับเพื่อนอยู่ในห้องอย่างมีความเป็นส่วนตัว แต่มีด้านหนึ่งเป็นกระจกใสสามารถมองลงไปด้านล่างได้ ทำให้กลุ่มพวกเขาดึงความสนใจจากสาวๆ ด้านล่างให้เหลือบมองชะเง้อชายตาบ่อยครั้ง เพราะมีทายาทเจ้าของโรงแรมแห่งนี้อยู่ แถมคนอื่นในกลุ่มยังหล่อเหลาจนสาวสังคมหลายคนพยายามสร้างความโดดเด่นให้กระแทกตาพวกเขาทั้งนั้น
เพชรไม่ได้สนใจมองสาวๆ เขาเพียงกวาดสายตามองด้านล่างบ้างบางครั้ง และยิ้มรับสาวอวบอิ่มที่คอยเติมแอลกอฮอล์ใส่แก้วมาให้ ด้วยไม่คิดจะไปต่อกับใครในคืนนี้เพราะเขาจำเป็นต้องบินกลับใต้ช่วงเช้าตรู่
“เฮ้ย...นั่นมันนางงามคนสวยที่เพิ่งเป็นข่าวดังเมื่อสองอาทิตย์ก่อนนี่หว่า”
พิษณุเป็นคนเอ่ยขึ้น เพราะหมอนี่จ้องหาสาวๆ สักคนมาพักใหญ่แล้ว ใบหน้าที่เข้มกว่าเพชรแม้จะอยู่ในกรุงเทพฯ พยักพเยิดให้หนุ่มคนอื่นๆ มองตามไปทางด้านล่าง
คำบอกเล่านั้นนอกจากจะเรียกสายตาหนุ่มๆ แล้ว ยังทำให้สาวอวบอิ่มในชุดวับแวมสามคนภายในห้องเหลือบตามองกันเอง ก่อนจะพยายามเก็บสีหน้าขุ่นใจที่แทนที่พวกตนจะเป็นจุดสนใจกลับมีคนมาแย่งซีน
“คนไหนวะ”
วิศาลเพื่อนอีกคนของเพชรซึ่งเป็นเพื่อนเจ้าของสถานที่ถามขึ้น
“ก็คนชุดสีน้ำตาล ที่ผมยาวมากๆ แล้วรวบไว้ตรงท้ายทอยนั่นไง นั่งอยู่ถัดจากเคาน์เตอร์กับผู้ชายแก่คนหนึ่ง สาวประเภทสองคนหนึ่งน่ะ”
ได้คำอธิบายละเอียดยิบแต่ละคนจึงหาได้ไม่ยาก รวมทั้งเพชรเองก็เช่นกัน ชายหนุ่มเพียงเหลือบตามองแบบไม่ใส่ใจนัก หากเรียวหน้าสวยเฉี่ยวทำให้เขาสะดุดใจอยู่ไม่น้อยแถมยังรู้สึกคุ้นตาอีกด้วย
“อ๋อ รองนางงามที่เป็นดาราแล้วเป็นข่าวว่าเข้าโรงแรมกับเจ้าของบริษัทสื่อใหญ่ใช่ไหม ตัวจริงสวยจริงๆ ว่ะ นี่ขนาดมองไกลๆ นะเนี่ย”
วิศาลสาธยายราวกับตามข่าวเมาท์ดารา
“ฉันไปงานประกวดปีที่แล้วนะ ยังเสียดายอยู่เลยตอนนั้นว่าเธอน่าจะได้ตำแหน่ง”
เจ้าของสถานที่เปรยขณะขยับตัวลุกขึ้นไปยืนอิงสะโพกกับกระจกเพื่อมองอย่างจริงจัง
“เคยเจอบางงานก็เห็นมีผู้จัดการตามติดตลอด”
“เสียดายที่ไม่ได้มีโอกาสเข้าไปทำความรู้จักสินะ”
วิศาลถามด้วยรู้นิสัยกันดี
“ถูก ฮ่าๆ ๆ ๆ”
พูดจบหนุ่มๆ ก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน ยกเว้นเพชรที่เพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าทำไมเขาคุ้นหน้าเธอ ไม่ใช่เพราะสนใจวงการนางงาม แต่เพราะบ้านทั้งคู่รู้จักกันดีต่างหาก
แม้ทั้งคู่จะไม่ได้คุ้นเคยหรือเจอหน้ากันบ่อย แถมเขายังอยู่ต่างประเทศหลายปี แต่การที่เธอได้ตำแหน่งรองนางงามปีที่แล้วก็ทำให้เขาพอจะจดจำได้ว่าหญิงสาวเป็นใคร แล้ววันนี้เขาก็เพิ่งเจอกับพี่ชายของเธอที่มาเซ็นสัญญาซัพพลายเออร์กับบริษัทของที่บ้านซึ่งพราวพี่สาวเขาดูแลอยู่
“ว่าแต่วันนี้มาอยู่กับคนรุ่นพ่อแบบนี้ สงสัยจะเรื่องจริงว่ะ ดูตาแก่นั่นก็กะลิ้มกะเหลี่ยอยู่”
พิษณุบอกเพราะเขาสังเกตเห็นมานานแล้ว จนนึกหน้าสวยๆ นั่นออกว่าเคยเห็นที่ไหนแล้วจึงบอกเพื่อน
ขณะฟังเพื่อนๆ เอ่ยถึงอดีตนางงามหน้าสวยด้วยความสนุกสนาน เพชรก็เหลือบมองใบหน้าที่ก้มนิดๆ นั้นอย่างพินิจ ทว่าไม่ได้สนใจในแบบเดียวกันกับเพื่อน ชายหนุ่มแค่คิดว่าคนเราเห็นหน้าตาสวยดูนิ่งๆ แต่กลับมีเบื้องหลังที่เน่าเฟะเหลือทน
เรื่องนี้รู้ถึงพี่ชายของเธอหรือเปล่านะ แถมยังพ่อแม่ของเขาอีก พวกท่านค่อนข้างเอ็นดูบ้านนี้ไม่น้อย ในเมื่อเป็นข่าวออกมาพวกท่านรู้สึกอย่างไรและเชื่อหรือไม่ แต่จะอย่างไรเขาก็คงไม่พูดเรื่องที่เห็นกับใคร อย่างไรเสียเขากับเธอก็ไม่ได้ถือว่ารู้จักมักจี่กัน อีกอย่างเขาไม่มีนิสัยพูดถึงผู้หญิงในทางไม่ดี
คิดในใจแล้วเพชรก็เลิกสนใจด้านล่าง หันมาดื่มเครื่องดื่มที่สาวเปรี้ยวข้างตัวผสมให้พร้อมเบียดอกอิ่มกับต้นแขนเขาบ่อยครั้ง ถึงจะรู้
ความนัยที่อีกฝ่ายส่งสัญญาณ แต่ชายหนุ่มก็เพียงยิ้มเล็กน้อย แววตาคมเข้มชวนหลงใหลเรียบเฉยไม่แสดงอาการกระหายแต่อย่างใด
=====
การสัมภาษณ์งานค่อนข้างอึดอัดสำหรับศศิเพราะสายตาแสดงออกชัดเจนของผู้จัดการฝ่ายประชาสัมพันธ์และบริการ แถมยังใช้เวลาไม่นานอีกฝ่ายก็เริ่มออกนอกเรื่อง“เอ้อ นี่ก็เกือบจะบ่ายสองแล้ว ผมหิวมากเลย ความจริงกำลังจะออกไปกินกลางวันพอดี”“เอ่อ ขอโทษค่ะ”“ไม่ใช่ครับ ไม่ใช่ ผมไม่ได้จะบอกว่าเป็นเพราะคุณเลยนะครับ จริงๆ แล้วผมตั้งใจจะถามว่า คุณหิวหรือเปล่า เห็นคุณนภาบอกว่ามารอสักพักแล้ว”“คือว่า...”“ต้องขอโทษจริงๆ ก็อย่างที่บอกตอนแรกล่ะครับ ผมไม่รู้ว่าฝ่ายบุคคลจะส่งตัวคุณมาให้สัมภาษณ์”ชายหนุ่มรีบย้ำขึ้นมาด้วยสีหน้ารู้สึกผิด โดยที่ศศิยังไม่ทันได้อธิบายจนจบประโยคด้วยซ้ำ“แต่ก็นั่นแหละนะ คำสั่งท่านรองทั้งคน”เมื่อพูดมาถึงตรงนี้แล้วก็หยุดมองหน้าเธอ แววตาราวสงสัยชั่วแวบก่อนจะเลือนหายไป ตาคมกลับมาแพรวพราวเช่นเดิม“ว่าไงครับ”“คะ?”ศศิพยายามจะไล่ตามคำพูดของอีกฝ่ายที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังไม่ทันอยู่ดี“ก็เรื่องข้าวกลางวันไงครับ คุณน่าจะหิวแล้วเหมือนกัน งั้นผมว่าเราไป...”“เอ่อ พอดีว่าคุณนภากับคุณอารยาพาดิฉันไปทานช่วงพักกลางวันแล้วน่ะค่ะ”“อ้าว...งั้นเหรอครับ”ใบหน้าชายหนุ่มดูอึ้งไปชั่วขณะ แต่
‘คุณจารุพงษ์เพิ่งเข้ามาตอนบ่ายค่ะ แล้วก็กำลังจะออกไปทานข้าวเพราะยังไม่ได้ทาน อารยาไม่กล้าขัดน่ะค่ะ นภาเองก็หาทางถ่วงเวลา พาน้องที่มารอสัมภาษณ์ไปทานข้าวก่อน เพราะฝ่ายบุคคลส่งมารอตั้งแต่สิบเอ็ดโมง บ่ายแล้วก็ยังไม่ได้สัมภาษณ์สักที นภาจนใจจริงๆ ค่ะ’รถคันโตแบบขับเคลื่อนสี่ล้อของเพชรหยุดลงหน้ารีสอร์ตในตำแหน่งของตัวเองอย่างแรง รู้ว่ากำลังถูกจารุพงษ์เล่นแง่ ด้วยความที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาตั้งแต่กลับมาช่วยผู้เป็นป้าบริหารงานเต็มตัว เพราะเหมือนไปดับฝันจารุพงษ์เข้า อีกฝ่ายจึงมักจะคอยขัดเขาทุกเรื่อง ครั้งนี้ก็คงอีกเช่นกันความจริงเพชรไม่คิดจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับงานของจารุพงษ์ แต่ด้วยญาติสาวขอร้องมา เขาเองก็ขอกับทางผู้เป็นป้าไปแล้วว่าวาสิฐีฝากฝังเพื่อนมา ป้าเขาก็อนุญาตอย่างไม่มีปัญหาร่างสูงก้าวอย่างรวดเร็วผ่านตึกหลักไปจนถึงอาคารของผู้บริหาร แล้วก็พุ่งผ่านประตูโดยมีนภามายืนรอรับหน้าอยู่“คุณพงษ์ออกไปหรือยังครับ”“ยังค่ะ นภาหาเอกสารด่วนให้อารยาเอาเข้าไปให้เซ็นก่อนน่ะค่ะ”ชายหนุ่มพยักหน้าเล็กน้อย แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไรมากกว่านั้น ประตูห้องก็เปิดออก เพชรหันหน้าไปมองก็เห็นร่างสูงที่เตี้ยกว่าตนเองป
“รอสักครู่นะคะ”อีกฝ่ายบอกแล้วหันไปกดโทรศัพท์ภายใน ไม่นานก็หันกลับมาแจ้งกับเธอ“เดี๋ยวเชิญนั่งรอที่โซฟาด้านหน้านะคะ”“ขอบคุณค่ะ”ศศิยิ้มให้ซึ่งก็ได้รอยยิ้มตอบกลับ ตอนนี้เธอถอดแว่นและหมวกไปแล้วอีกฝ่ายก็ดูไม่ได้เอะใจอะไร แน่นอนว่าเธอแต่งหน้าอ่อนๆ ที่สำคัญตอนนี้เธอตัดผมเหลือสั้นแต่ปลายคางเท่านั้น แถมยังรวบเอาไว้ด้านหลังเพราะรำคาญลมที่ตีจากการนั่งเรือร่างระหงหมุนตัวไปทางโซฟาด้านหนึ่งพร้อมกระเป๋าเดินทางลากใบย่อม เพราะไม่ได้เอาอะไรมามากนักนอกจากเสื้อผ้า ด้วยยังไม่แน่ใจว่าจะได้อยู่ที่นี่แน่นอนหรือไม่นั่งรอเพียงไม่นานก็มีคนเดินเข้ามาหาพร้อมพนักงานต้อนรับคนเดิมที่บอกจะรับฝากกระเป๋าเธอเอาไว้ให้ ศศิจึงหยิบเพียงเอกสารกับกระเป๋าใบเล็กติดตัว แต่ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าตนเองแต่งตัวเหมือนนักท่องเที่ยวทั่วไปด้วยเสื้อเชิ้ตผ้าพลิ้วสบายกับกางเกงยีนพอดีตัวพับขาขึ้นสูงห้าส่วนและรองเท้าแตะ“เอ่อ ขอโทษนะคะ ชุดดูไม่ค่อยเรียบร้อย ฉันขอเปลี่ยนเสื้อผ้ายังพอจะทันไหมคะ”ด้วยเกรงว่าจะทำให้เสียเวลาเธอจึงถามดูก่อน คิดว่าหากไม่ทันจริงๆ ก็จะเอ่ยขอโทษกับผู้ที่สัมภาษณ์เองพนักงานต้อนรับกับคนที่มารับเธอซึ่งอยู่ในชุดฟอร์มคนละแ
ท่ามกลางแอร์เย็นฉ่ำกับเสียงหอบหายใจเบาๆ ของร่างสวยจากเบาะหลัง เพชรเหลือบตาคมมองอีกฝ่ายเห็นหญิงสาวเองก็มองเขาผ่านกระจกอยู่เช่นกัน ดวงตาคู่เรียวสวยมีแววหวาดระแวงจนต้องนึกเซ็งในใจ เป็นเขาต่างหากที่ต้องไม่ไว้ใจผู้หญิงอย่างเธอ“จะให้ผมส่งที่ไหน”เขาถามเสียงเรียบ ให้รู้ว่าตนไม่ได้แยแสหรือสนใจเธอจนต้องมานั่งกลัวอย่างที่เป็นอยู่“ที่ไหนก็ได้ค่ะ”เสียงหวานที่ดูออกว่าพยายามไม่ให้สั่นตอบกลับมา สายตาคู่สวยละจากกระจกหลังมาลอบสังเกตท่าทางเขา นั่นยิ่งทำให้เพชรชักหมดความอดทน เขาอุตส่าห์หวังดีช่วยเหลือแต่เธอกลับทำท่าอย่างกับเขาเป็นคนร้ายโรคจิต ทั้งคำตอบขอไปทีนั้นก็ส่งผลกับระดับความขุ่นเคืองในใจเพชรให้เพิ่มสูงขึ้นไปอีก“งั้นผมส่งคุณป้ายรถเมล์หน้า หรือไม่พาไปคอนโดผมก็ได้สิ”ใบหน้าสวยที่เขาเหลือบมองในกระจกหลังดูเหวอดวงตาฉายแววตระหนกจนเขาหลุดยิ้มที่มุมปาก หากมันก็ดูเหมือนยิ้มหยันเสียมากกว่า“จอดข้างหน้านี่แหละค่ะ”เสียงหวานโพล่งขึ้นทันควัน อาการเกร็งระแวดระวังเพิ่มขึ้นเท่าตัวคิ้วเข้มขมวดฉับ พวกเขาห่างจากโรงแรมมาไกลแล้ว สองข้างทางค่อนข้างเปลี่ยว ไม่มีสถานบันเทิงอื่นหรือร้านอาหารยามดึกแม้แต่ร้านเดียวเพราะเ
เสียงที่ได้ยินแว่วมาจากมุมหนึ่งของลานจอดรถมืดๆ ไม่สามารถทำให้ขายาวลดระดับความเร็วลงหรือเรียกความสนใจจากเจ้าของร่างสูงใหญ่เช่นเพชรได้ เขารีบเพราะอยากนอนสักสองสามชั่วโมงก่อนตื่นไปขึ้นเครื่อง“นี่มันหมายความว่ายังไงคะพี่นิดหน่อย เนี่ยนะคะ งานที่พี่บอกว่าจะแนะนำให้ศศิ”“พี่ก็พามาฝากเนื้อฝากตัวกับเสี่ยดิลกแล้วไง งานพรีเซนเตอร์ตอนนี้โดนแคนเซิลหมด เสี่ยเขากว้างขวางในช่อง เดี๋ยวพอมีละครให้เล่นงานก็เข้ามาเอง ใครเขาก็ทำแบบนี้กันทั้งนั้นแหละ แค่เอาใจเสี่ยเขาหน่อย”คิ้วเข้มเหนือดวงตาคมขมวดนิดๆ เพราะเสียงนั้นยังแว่วมาในระยะที่ได้ยิน แต่เพชรไม่อยากยุ่งเรื่องคนอื่น แถมยังนึกรำคาญใจด้วยซ้ำที่บังเอิญมาได้ยินเข้าหลังจากแยกย้ายกันเพื่อนเขาต่างไปต่อกับสาวๆ บางคนก็มองเพชรตาละห้อย เขาเป็นคนเดียวที่ยังไม่เปิดโอกาสให้พวกหล่อนได้มีค่ำคืนด้วยเลยสักครั้ง แม้ในช่วงสามสองเดือนที่ผ่านมาชายหนุ่มมาที่นี่บ่อยเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับการลุงทุน“ที่ว่าเอาใจ พี่นิดหน่อยหมายถึงอะไร”“อย่ามาทำอินโนเซนส์หน่อยเลยค่า เชื่อพี่สิ คนนอนคุยกันมันง่ายกว่านั่งคุยตั้งเยอะ”เสียงห้าวที่บีบดัดดูไม่ค่อยสบอารมณ์แต่ก็พยายามกล่อมอีกฝ่าย“ครั
ช่วงเวลาเดียวกันทว่าวิถีการดำเนินชีวิตของผู้คนแตกต่าง ในเมืองแห่งสีสันสี่ทุ่มบรรดานักท่องราตรียังเพิ่งหาที่เที่ยว หากก็ไม่ทำให้หนุ่มที่มาจากเกาะอย่างเพชรตื่นตาตื่นใจ แสงสีเป็นสิ่งที่เขาคุ้นเคยมาตั้งแต่สมัยเรียนต่างประเทศ แม้จะเข้มงวดในการทำงาน แต่การใช้ชีวิตส่วนตัวของชายหนุ่มก็ไม่ได้แห้งแล้ง เขามีกลุ่มเพื่อนสังสรรค์กันเป็นระยะ แม้กลับมาอยู่เมืองไทยก็นัดพบปะเพื่อนๆ ตามโอกาสที่ขึ้นมาติดต่อเกี่ยวกับธุรกิจเสมอเช่นวันนี้ชายหนุ่มก็มานั่งอยู่ในเลาจน์โรงแรมดัง เพื่อคุยข้อตกลงเป็นหุ้นส่วนเปิดรีสอร์ตแบบผสมผสานเลาจน์บนเกาะ แม้จะไม่อยากให้เกาะของตนเองมีสถานบันเทิงที่ให้บริการล่อแหลม ทว่าก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งในการดึงดูดนักท่องเที่ยว เพชรจึงมีข้อตกลงและเงื่อนไขเป็นพิเศษซึ่งต่างก็พอใจกันทั้งสองฝ่าย ด้วยอีกฝ่ายเป็นเพื่อนสนิทของเพื่อนเขา ต่อจากเรื่องงานก็เป็นการดื่มกินปกติโดยมีสาวๆ ดูแลตามประสาหนุ่มๆ“แบบนี้ฉันคงได้ไปเที่ยวเกาะนายบ่อยๆ แน่ เพราะพวกเรายังไม่เคยไปเลยสักครั้ง”พิษณุเพื่อนสนิทของเขาพูดหลังจากชนแก้วกับเขา เพชรเพียงแค่ยิ้มรับน้อยๆ เพราะเพื่อนแต่ละคนรักแสงสีกันทั้งนั้น จึงยังไม่มี







