....เช้าวันรุ่งขึ้น แสงแดดแรกเพิ่งสาดผ่านกลุ่มควันเตาถ่าน ร้านตีเหล็กของเลี่ยหยางยังคงมีเสียงค้อนกระทบเหล็กดังกังวาน ตึง! ตึง! ตึง! ทว่าเสียงนั้นกลับถูกกลบด้วยเสียงเกราะเหล็กกึกก้องย่ำพื้นดินเป็นจังหวะ พริบตาเดียว หน้าร้านก็ถูกทหารติดอาวุธครบมือหลายสิบคนล้อมแน่น
เลี่ยหยางสะดุ้งเฮือก หัวใจเต้นแรงจนแทบทะลุอก แต่ใบหน้าเขาพยายามนิ่งเฉย ไม่ให้เห็นความคิดข้างในใจ
"ตามข้ามา!"
เลี่ยหยางทำสัญญาณมือบอกลูกน้องของเขาเองที่ปลอมตัวเป็นชาวบ้านว่าห้ามเคลื่อนไหว
เสียงโซ่เหล็กกระทบกัน กรุ๊งกริ๊ง… ดังสะท้อนออกมา มีเจ้าหน้าที่ 2 นายก้าวเข้ามาจับแขนเลี่ยหยางบิดไพล่หลัง แล้วใช้โซ่ล่ามรัดแน่นจนเส้นเอ็นปูดโปน เลี่ยหยางยังคงนิ่ง สายตาคมเย็นไม่ไหวติง
ทหารกดบ่าของเขา บังคับให้ก้าวเดินต่อหน้าผู้คนในตลาด ผู้คนแตกตื่นแห่กันมามุงดู บางคนซุบซิบด้วยความหวาดกลัว บางคนเพียงยืนนิ่งไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง ภาพช่างตีเหล็กที่เคยส่งเสียงหัวเราะยียวนกลับถูกลากไปดั่งนักโทษโฉด มันเหมือนฟ้าผ่าลงกลางเมือง
พวกเจ้าหน้าที่พาเขาฝ่าฝูงชน ก้าวเข้าสู่ถนนใหญ่ที่มุ่งตรงไปยังว่าการอำเภอ เสียงกลองยามดัง ตึง…ตึง…ตึง คล้ายประกาศให้ทั้งเมืองรู้ว่าวันนี้มีคนถูกจับฐานก่อเหตุใหญ่
เลี่ยหยางถูกลากเข้าห้องสอบสวนของว่าการอำเภอ ความเย็นของหินอัดใต้ฝ่าเท้าและกลิ่นน้ำมันหมึกโบราณฉุนเข้าจมูก ทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกบีบอัดอยู่กลางกำแพงเหล็ก
ทันทีที่เขาเงยหน้าขึ้น สายตาก็หยุดชะงัก ตาเฒ่านั่น....ผู้อาวุโสตระกูลไป๋จากเมืองหลวงที่เพิ่งปรากฏตัวเมื่อวานนั่งอยู่เคียงข้างนายอำเภอ
ใบหน้าเหี่ยว ๆ แก่ ๆ นั่นยังคงแฝงรอยแค้นของเมื่อวานไว้เต็มเปี่ยม เลี่ยหยางเพียงถอนหายใจเบา ๆ และร้องอ๋อออกมาอย่างไม่ตั้งใจ ราวกับสะท้อนความคุ้นเคย
นายอำเภอเริ่มตั้งข้อหาใส่ร้ายเลี่ยหยางหลากหลายเรื่อง ตั้งแต่ยุ่งเกี่ยวกับเหตุอื้อฉาวในตลาด ไปจนถึงกล่าวหาว่าเขาเป็นภัยต่อความสงบของเมือง เสียงคำกล่าวร้านพวกนั้นฟังเหมือนค้อนทุบลงบนกระดูก เลี่ยหยางจึงหัวเราะออกมา และหัวเราะเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ ราวกับคนบ้าที่ไร้ซึ่งความหวาดกลัว
ทำให้ผู้อาวุโสตระกูลไป๋ขมวดคิ้ว “เจ้าคนนี้…ช่างบังอาจนัก...ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงจริง ๆ”
นายอำเภอหันหน้าไปรับทราบ แล้วหันมาสั่งให้เจ้าหน้าที่ตบปากเลี่ยหยางทันที ครั้งที่ 1 ครั้งที่ 2…เลือดแดงสดกระเด็นลงพื้น เหมือนน้ำหมึกบนกระดาษเก่า แต่เลี่ยหยางกลับยิ้มเยาะ เขาถุยน้ำลายเลือดนั้นลงพื้นและยิ้มเยาะด้วยท่าทีไม่เกรงกลัว
เสียงนายอำเภอหัยมามองผู้อาวุโสตระกูลไป๋ที่ทำหน้าไม่พอใจ เขาจึงหันมาสั่ง
“โปยมัน… 40 ไม้!”
เลี่ยหยางถูกไม้กระทบหลังเขาเป็นจังหวะ เสียง ตึง! ตึง! ตึง! ดังสนั่นจนชาวบ้านทุกคนที่มายืนดูหลับตาไม่กล้ามอง แต่เลี่ยหยางกลับนอนตัวตรง ไม่ร้องสักแอะ และยิ้ม ซอกฟันมีแต่เลือด ดวงตาคมสั่นระริกแน่วแน่
เลือดแดงสดผสมกับฝุ่นลาน กลายเป็นภาพสัญลักษณ์ของความท้าทายต่ออำนาจ
นายอำเภอสั่งด้วยเสียงกังวาน “นำมันแขวนที่ลานกลางเมือง…7 วัน! ให้ทุกคนได้จดจำว่าการไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง จะจบเช่นไร!”
เจ้าหน้าที่ 2 นายช่วยกันยกเลี่ยหยางลากไปที่ลานกลางเมืองและยกขึ้นผูกไว้กับเสากลางลาน ใช้โซ่รัดร่างเขาแน่น แขวนกลางแจ้ง ผู้คนด้านล่างที่ยืนดูต่างช็อก สักพักก็เริ่มแห่กันมาดู บ้างซุบซิบ บ้างตื่นกลัว บ้างยืนก้มหน้า
นายอำเภอและผู้อาวุโสตระกูลไป๋ยืนยิ้มเยาะคู่กันอย่างสะใจ
....ทันใดนั้น ท้องฟ้าเมฆคล้อยราว เลี่ยหยางมองบนฟ้า และเงาร่างหนึ่งพุ่งลงมาอย่างรวดเร็วจากด้านบน เบื้อหลังเป็นดวงอาทิตย์ ช่างแสบตา ราวกับเขาลงมาจากสรวงสวรรค์
....ไป๋เยว่หลิง!...
ฝูงชนกรีดร้องด้วยความดีใจโดยเฉพาะสาวๆ ทหารที่ยืนอยู่รีบยกดาบและหอกขึ้นเตรียมจับกุม แต่สายตาของนายอำเภอสั่งห้าม ทุกคนจึงเก็บอาวุธอย่างไม่เต็มใจ
ดวงตาไป๋เยว่หลิงจับจ้องโซ่ใหญ่ที่รัดเลี่ยหยางไว้ มือที่ถือกระบี่ของเขานั้นฟาดฟันลงไปที่โซ่ ประกายแสงไฟเหล็กกระทบเหล็กสะท้อนเต็มกลางลาน
แต่...โซ่ใหญ่เกินกว่าที่กระบี่บาง ๆ จะตัดขาดได้ ทุกครั้งที่กระบี่ปะทะ เสียงโลหะดังก้องเหมือนฟ้าผ่ากลางเมือง
“คุณชาย…ไม่เป็นไร ข้าซึ้งน้ำใจท่านแล้ว พอได้แล้ว....”
แต่ไป๋เยว่หลิงไม่สนใจคำพูดเลี่ยหยาง ใบหน้าทั้งดุทั้งเย็น มือที่จับกระบี่ยังคงฟันโซ่ต่อไป จนในที่สุดกระบี่ก็ทนไม่ไหวแตกหักเป็น 2 ท่อน เสียงกระบี่หักสะท้อนไปทั่วลาน
เขาไม่หยุด ยังคงฟันต่อไปด้วยกระบี่หัก มือเริ่มชุ่มไปด้วยเลือด แต่สายตาไม่วอกแว่ก
ฝูงชนเงียบกริบ ทุกคนจับจ้องด้วยความตื่นตะลึง
เลี่ยหยางมองไป๋เยว่หลิง น้ำตาคลอเล็กน้อยแต่ปากยังยิ้ม
“คุณชาย…พอเถอะ”
ทันใดนั้นก็มีมีดอีโต้หั่นหมูลอยขึ้นมาที่ลานตรงที่เยว่หลิงยืน
“เจ้าหนู…ใช้นี่!”
เป็นป้าร้านขายหมูที่เลี่ยหยางมักแซวพุงอ้วนๆของเธอทุกวัน
ไป๋เยว่หลิงจับอีโต้ขึ้นมาและฟันลงไปแรง ๆ หลายครั้งที่โซ่นั้นจนมันเริ่มบิ่น
เสียงโลหะดัง กรุ๊ง…กร๊ง… ออกเป็นจังหวะ ทุกการฟัน ทุกแรงสะท้อนความมุ่งมั่นและความดื้อรั้นของเขา
ในที่สุดอีโต้ก็หมดสภาพ บิ่นจนใช้งานไม่ได้
"เจ้าหนูใช้ขวานนี่!!"
ลุงผ่าฟืนที่เลี่ยหยางมักตีก้นเขาตอนเขากำลังโก่งโค้งผ่าฟืน ชายร่างใหญ่เดินถือขวานขึ้นไปที่ลานด้วยท่าทางทรนง
เยว่หลิงรับขวานนั้น แต่ขวานนั้นหนักมาก ร่างผอมบางของเขาแกว่งยกมันแทบไม่ไหว
ทันใดนั้นขอทานเด็กคนหนึ่งก็วิ่งขึ้นไป เด็กน้อยใช้มือเล็ก ๆ จับมือเยว่หลิง "หนูช่วยพี่ค่ะ"
เขาคือคนที่เลี่ยหยางชี้ช่องให้ขโมซาลาเปาตอนเจ้าของร้านร้านทุกวันๆ (จริง ๆ เลี่ยหยางแอบเอาเงินจ่ายค่าซาลาเปาให้ทุกครั้ง)
ทีนี้ทั้งลุง ป้า ผู้ชาย ผู้หญิง ต่างขึ้นไปช่วยเยว่หลิงเต็มไปหมด ทั้งช่วยกันจับมือเยว่หลิงยกขวาน ทั้งวิ่งไปเอาเสียม จอบ มีดทำครัวตัวเองขึ้นไป
แม้แต่พวกนางโลมก็ถอดปิ่นปักผมมาช่วยกระเทาะ ...ทุกคนช่วยกันทำลายโซ่ จนในที่สุดมันก็ขาด เยว่หลิงเข้าไปประคองเลี่ยวหยาง ชาวบ้านต่างโห่ร้องดีใจ
นายอำเภอไม่กล้าทำอะไรเพราะมีมวลชนจำนวนมากได้แต่ทำปากเจ่อ ๆ ผู้อาวุโสตระกุลไป๋มองนายอำเภอด้วยสายตาเหยียดหยาม
"ชิ!" แล้วเขาก็เดินหนีไป นายอำเภอก็รีบเดินตาม ทหารทั้งหมดก็ตามหลังจากไป
.....คืนนั้นผู้อาวุโสไป๋นั่งรถม้าโดยมีองครักษ์คุ้มกัน 10 คนประกบ เพื่อเดินทางกลับเมืองหลวง
เมื่อออกจากเมืองมาได้สักพัก ถึงบริเวณป่าที่ทางเปลี่ยว ก็มีชายชุดขาวคนหนึ่งยืนถือดาบขวางทางรถม้าอยู่
รถม้าของผู้อาวุโสไป๋หยุดกึกทันที เสียงล้อไม้กระทบหินดังก้องป่า ชายชุดขาวยืนเด่น มือขวาจับดาบยาว
องครักษ์ทั้งหมดชักดาบเตรียมต่อสู้ และเมื่อเมฆเคลื่อนตัวออกแสงจันทร์ก็ส่องมาที่ใบหน้าชาวชุดขาว
"ไป๋เยว่หลิง??"
ผู้อาวุโสไป๋รีบออกมาจากรถเพื่อดู เขาคือเจ้าเด็กเยว่หลิงไม่ผิดแน่ แต่...แววตาเย็นชานั่น ...ไอสังหารนั่น ด้วยประสบการณ์ เขาตัดสินใจทันที
"ฆ่ามัน!"
องครักษ์ทั้งหมดกรูกันเข้าไปรุมไป๋เยว่หลิง มือถือดาบทุกคน แต่ไป่เยว่หลิงยังคงยืนนิ่ง แผ่นดินใต้เท้าสั่นสะเทือนราวคลื่นสายฟ้า ดวงตาเขาจับจ้องทุกการเคลื่อนไหวของศัตรูทั้ง 10
ดาบที่ 1.... ไป๋เยว่หลิงเหินขึ้นด้วยวิชาตัวเบา ฟาดดาบอย่างรวดเร็วราวลมพายุ เสียง ฟิ้ววว… ดังตัดขาดแม้แต่ลม เขาสับองครักษ์คนแรกขาดครึ่ง ร่างแบะลงกับพื้นโดยไม่ทันตั้งตัว
ดาบที่ 2 .....ไป๋เยว่หลิงหมุนตัว ดาบฟาดเฉียงตัด 2 องครักษ์ที่พุ่งเข้ามา ร่างพวกเขาหมุนไปตามแรงเหวี่ยง กระเด็นกระแทกต้นไม้ โดนกิ่งไม้เสียบตาคาที่ทั้งคู่
ดาบที่ 3, 4, 5 .....เขาฟันต่อเนื่อง แต่ละองครักษ์ที่เข้ามา ไม่ทันได้ยกดาบฟันสกัด ดาบของไป๋เยว่หลิงเฉือนร่างพวกเขาขาดราวกับหั่นเต้าหู้ 3 คนถูกแทงตัดขั้วหัวใจ อีกคนโดนฟันคอขาดกระเด็น เยว่หลิงสะบัดหยดเลือดออกจากดาบ โดยไม่กระพริบตาเลยสักนิด
3 องครักษ์ที่เหลือหันหน้ามองกันแล้วเข้าพร้อมกัน เยว่หลิงใช้ท่าเพลงดาบวงพระจันทร์ที่เขาได้แสดงไปเมื่อวาน แต่ครั้งนี้มันแตกต่าง มันไม่ใช่แค่สวยงาม แต่มันรวดเร็วและรุนแรงมาก แรงขนาดได้ยินเสียงลมถูกตัดขาด ร่างของทั้ง 3 คนขาดครึ่ง เลือดพุ่งสยดสยอง
แค่ 6 กระบวนท่า เขาปลิดชีพองครักษ์ฝีมือดีตาย 10 ศพ กลางป่าคืนนี้ มีนักดาบอัจฉริยะยืนอยู่ ฝีมือของเขานั้นเข้าขั้นปรมาจารย์ไปตั้งนานแล้ว ราวกับเทพสงครามลงมาจากสวรรค์ด้วยตัวเอง
เขาแค่ปิดบังความสามารถไว้ต่อหน้าคนอื่นเท่านั้น (ขนาดปิดบังทุกคนยังบอกว่าเขาคืออัจฉริยะ)
....ผู้อาวุโสไป๋ยืนนิ่งบนรถม้าและฉี่ราด ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตะลึงและหวาดกลัวสุดขีด
“น…นี่ไม่ใช่ลูกหลานสกุลไป๋…มันปีศาจในร่างมนุษย์!”
ไป๋เยว่หลิงค่อย ๆ ลากปลายดาบอาบเลือดนั้นเดินเข้ามาจนถึงรถม้า เขายืนตรง ลมหายใจเรียบสงบ ดาบยังชุ่มเลือด
อากาศในป่าแม้จะเย็นยะเยือก แต่...สายตานั่นเขาเย็นชายิ่งกว่า ราวกับไม่มีความรู้สึกของมนุษย์หลงเหลืออยู่แล้ว
"ห....หลานข้า....ไม่สิ!....ท่านเซียน ...ได้โปรด ละเว้นข้า"
"เห็นแก่ที่ข้าเคยเลี้ยงดูบิดาของท่านในวัยเยาว์ ได้โปรดไว้ชีวิตข้า" ผู้อาวุโสหมอบกราบคำนับเยว่หลิงอย่างน่าสมเพช
เยว่หลิน ใช้มือเข้าไปช่วยประคองท่านผู้อาวุโสให้เงยหน้าขึ้น ผู้อาวุโสยิ้มดีใจ
"อ๊ากกก!"
ปลายดาบเฉือนหูผู้อาวุโสทีละข้างจนหมด
"นี่คือสิ่งตอบแทนที่ท่าน......หยามบิดาข้า..."
"อ...อย่า....ข้าขอร้อง....ได้โปรด"
เยว่หลินบีบปากดึงลิ้นเขาออกมาแล้วเฉือนลิ้นทิ้ง จนผู้อาวุโสเลือดเต็มปาก
"นี่ที่ท่าน......หยามมารดาข้า..."
ไม่พอเยว่หลินเฉือนจมูกออกอีกด้วย
ผู้อาวุโสทรมานมาก ทั้งดิ้นอย่างเจ็บปวด ทั้งร้องแต่เสียงที่ออกมานั้นไม่ใช่ภาษามนุษย์เพราะเขาไม่มีลิ้น!!
"ท่านดมกลิ่นตัวเขานานเกินไป… ข้าจึงทำให้จมูกนี้ไม่มีโอกาสดมอะไรได้อีกตลอดชีวิต"
"ของรักของข้า...(หมายถึงเลี่ยหยาง)"
เยว่หลิงควักห่อสมุนไพรบางอย่างออกมาจากกระเป๋าที่เอว แล้วจับมันกรอกใส่ปากผู้อาวุโสจนหมด
"แต่ข้าจะไม่ฆ่าท่าน"
"ท่านจะกลายเป็นเพียงศพที่มีชีวิต ยานี่จะทำให้ท่านเป็นอัมพาตขยับได้แค่ลูกตาไปจนสิ้นอายุขัย"
ผู้อาวุโสไป๋เบิกตากว้าง น้ำตาไหลพราก ก่อนจะหมดสติไปเพราะเยว่หลินเขาเข็มแทงจุดที่ทำให้สลบ
ไป๋เยว่หลิน นำเข็มที่เหลือและยาออกมา เข็มส่วนหนึ่งฝังที่
1. บนมือ ระหว่างนิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้
2. ใต้เข่า
3. บริเวณข้างปีกจมูกหรือใกล้โหนกแก้ม
เพื่อชะลอและห้ามเลือด โดยทุกการฝังเข็มเขาถ่ายพลังปราณของตัวเองลงไปด้วยเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
ส่วนเข็มอีกเล่มที่เหลือเขานำสุราราดลงบนเข็ม แล้วใช้ไหมแทนด้ายเย็บแผลที่หู ปาก และจมูกให้อย่างปราณีต พร้อมทายารักษาชั้นเลิศให้อีกด้วย ก่อนจะนำผ้าขาวสะอาดมาปิดแผลให้ แล้วอุ้มผู้อาวุโสกลับขึ้นไปนอนบนรถ พลางตบม้าให้วิ่งไปตามทางข้างหน้า
ดาบที่ไป๋เยว่หลินถือถูกนำไปโยนทิ้งที่หน้าผาสูงชัน เขาเผาชุดที่เปื้อนเลือด แล้วเปลี่ยนชุดขาวอีกชุดที่เตรียมไว้บนอานม้า
ซึ่งเขาผูกม้าไว้ต้นไม้ในมุมหนึ่งของป่า แล้วก็ขึ้นขี่ควบม้ารีบกลับมาที่บ้านสกุลไป๋
เลี่ยหยางนอนหลับอยู่ที่นั่น หลังของเขามีแผลจากการถูกโบยจนเนื้อหลุดลอกไปแต่รับการทายารักษาแล้ว เขาหลับสนิทด้วยควันยาผ่อนคลาย
เยว่หลิงค่อยๆ เดินอย่างเงียบ ๆ มาอยู่ข้างๆ เลี่ยหยาง ภายใต้แสงตะเกียงเล็กๆ นั้น เขานั่งเฝ้าโดยมองหน้าเลี่ยหยางอยู่ทั้งคืน......
......เช้าวันรุ่งขึ้นทั้งคู่ก้าวย่างเดินออกจากประตูเมืองทางตะวันออก พอพ้นมาได้นิดเดียวเยว่หลิงก็หันหน้ามามองเลี่ยหยาง "กว่างโจวไปทางไหน?"เลี่ยหยางเกาหัวแกร่กๆ "ก็ต้องลงใต้ ถ้าจะเดินทางบนบกจากตรงนี้ก็ต้องไปลั่วหยางก่อน แล้วผ่านลงไปเรื่อยๆถึงเมืองฉางซา เลยไปอีกก็ถึงกว่างโจวละ""แต่...ถ้าเจ้าอยากไปทางน้ำเราอาจต้องอ้อมหน่อยไปทางตะวันออกเพื่อขึ้นเรือที่ท่าเรือหางโจวแล้วจึงลงใต้"เยว่หลิงมองหน้าอย่างเฉยชา เลี่ยหยางคิดในใจ "ให้ตรูตัดสินใจแทนอีกแล้วชิมิ""ถ้าเจ้าอยากกินซุปน้ำแกงและอาหารดอกโบตั๋น (ใช้ดอกไม้ในอาหาร) รวมถึงงานเลี้ยงรื่นเริงที่เสิร์ฟอาหารเยอะๆ 10-20 อย่าง ก็ลั่วหยาง""แต่...ถ้าเจ้าอยากกินปลามังกรน้ำใสตุ๋น, เนื้อหมูตงพอ และชาหลงจิ่ง และเจอพวกนักกลอนกวีเยอะๆ ก็ต้องหางโจว"เลี่ยอยางเอามือแตะที่ท้องบางๆของเยว่หลิง "ถามทาเถี่ย(สัตว์ในตำนานยุคโบราณ)ในท้องเจ้าดูว่ามันอยากกินอะไร?"เยว่หลิงมองหน้าอย่างเฉยชาเช่นเดิม เลี่ยหยางถอนหายใจแรง"งั้นก็ไปลั่วหยาง! เฮฮาดี ข้าเกลียดพวกกวีตุ๊งติ้ง" ว่าแล้วเลี่ยหยางก็เดินนำเลย โดยมีเยว่หลิงเดินตามหลังต้อยๆ.....เดินทางมาสักพักทั้งคู่ก็มาถึงที่ราบกว้า
...คืนนี้เรือนพักเงียบสงบ มีเพียงแสงจากตะเกียงน้ำมันส่องวูบวาบไหวบนโต๊ะไม้ แสงนั้นทอดลงบนหน้าอกแน่นๆของเลี่ยหยาง เขาร้อนมากจึงถอดเสื้อออก เปลือยเปล่าท่อนบน กล้ามเนื้อไหล่และเแผ่นอกตึงแน่นมองเห็นได้ชัดเจน มีเหงื่อบางๆไหลซึมตามผิวอก และกล้ามท้องซิกแพ็คแน่น ๆ ของเขาเยว่หลิงอดไม่ได้ที่จะแอบดูรูปร่างอันเซ็กซี่นั้น จนเลี่ยหยางสังเกตุเห็น"อากาศว่าร้อนแล้ว แต่สายนั้นของเจ้าร้อนยิ่งกว่าอีกนะ หลิงหลิง"เลี่ยหยางยิ้มแล้วเดินเข้ามาหาเยว่หลิง ใบหน้าเข้ามาใกล้จนลมหายใจประสานกัน ริมฝีปากแทบจะแตะต้องกัน เยว่หลิงถอยไปจนพิงขอบประตู"หลิงหลิงเจ้าก็ถอดบ้างสิ ร้อนซะขนาดนี้"เลี่ยหยางใช้มือขวาแกะเสื้อเยว่หลิงออก จนเสื้อแหวกออกทำให้เห็นหน้าอกแล้วซิกแพ็คลีนๆของเยว่หลิง ผิวที่ขาวเนี่ยนละเอียดนั่นพอต้องแสงตะเกียงแล้วมันช่างสว่างในที่มืดเสียจริง ราวกับปุยนุ่น เลี่ยหยางกลืนน้ำลายดังอึ่ก เขาอดใจไม่ได้ที่จะใชเปลายนิ้วสัมผัสผิวขาวออร่านั้น เขาใช้ปลายนิ้วสัมผัสค่อยๆไล่จากหน้าอกลงมาถึงใต้สะดือนิดหน่อย"ผิวเจ้านี่นุ่มดีจัง มีกลิ่นหอมนิดๆด้วย" เขาเผลอพูดออกไป เยว่หลิงเอามือจับหน้าอกแน่นๆของเลี่ยหยางคืน "อกเจ้าก็ชุ
.....เช้าวันนี้เลี่ยหยางชวนเยว่หลิงไปไหว้ศาลเจ้าเทพแห่งดาวดาวซึ่งอยู่ทางทิศเหนือของนครฉางอัน ศาลแห่งนี้สูงสง่า ประตูไม้ทาสีดำสนิท สลักลายกลุ่มดาวนับพัน เสมือนจักรวาลทั้งปวงถูกรวมไว้ในบานประตูเดียว ภายในศาลเจ้า เงียบสงัด มีเพียงกลิ่นธูปลอยคลุ้งขึ้นสู่ท้องฟ้า บนเพดานมีการวาดดาวฤกษ์เป็นจุดแสงทองคำ เมื่อจุดตะเกียงน้ำมันยามค่ำคืน จะระยิบระยับราวกับท้องฟ้าแท้จริงผู้คนเชื่อว่า หากมากราบไหว้จะได้รับการปกปักคุ้มครองจากเทพเจ้าแห่งดวงดาว ให้เดินทางปลอดภัย และชะตาชีวิตรุ่งเรืองทั้งสองประนมมือไหว้ แล้วเดินชมรอบ ๆ เลี่ยหยางชวยเยว่หลิงเขียนป้ายคำอธิษฐานแขวนไว้ในศาลเจ้า(ฉีหย่วนไผ๋)เหมือนคนอื่น ๆ ที่เขียนหอยแขวนไว้มากมายหลายพันชิ้น เยว่หลิงไม่ได้สนใจแต่ไม่อยากขัดเลี่ยอยางจึงนำแผ่นไม้หอมมาเขียนคำอธิษฐานโดยเลี่ยหยางไปเชื่อนักพรตในศาลเจ้าจ่ายเงินซื้อหยดหมึกผสมน้ำฟ้า(หมึกพิเศษผสมแร่เงิน) ซึ่งจะทำให้แสงจันทร์สะท้อนเป็นประกายเงิน คล้ายป้ายเรืองแสงยามราตรีได้ เสร็จแล้วทั้งคู่ก็นำไปแขวนไว้ที่เสาศิลาแกะสลักรูปดาว"เราใช้หมึกพิเศษ พอตกกลางคืนเมื่อแสงตะเกียงและแสงดาวตกกระทบ ป้ายพวกเราจะสะท้อนแสงวิบวับราวกับ
....คืนนั้นแสงจันทร์สาดส่องลงมาบน สวนดอกท้อของโรงแรม ดอกสีชมพูอ่อนร่วงโปรยปรายตามทางเดิน เสียงลมพัดผ่านกิ่งไม้ประสานกับเสียงน้ำในสระเล็กที่ถูกลมเย็นๆพัดจนเกิดเป็นระลอกคลื่นจาง ๆ สร้างบรรยากาศเงียบสงบและโรแมนติกเยว่หลิงและเลี่ยหยาง นั่งบนก้อนหินที่วางอยู่ใต้ต้นท้อ โต๊ะเล็กวางไหสุราเสียน กลิ่นหอมของข้าวหมักผสมสมุนไพรลอยอบอวลในอากาศเลี่ยหยางรินสุราลงจอก ดวงตาเปล่งประกายสะท้อนแสงจันทร์บนกลีบดอกท้อ เขายกจอกขึ้นจิบ รสเข้มขมแรกแต่กลับหวานนุ่มลึกในลำคอ ส่วนเยว่หลิงแก้มเดาเพราะเมาสุราเล็กน้อย เขาเป่าขลุ่ยเสียงช่างไฟเราะแก่ผู้ฟังยิ่งนัก จนเจ้าแมวขาวประจำโรงแรมเข้ามานอนที่ตักเลี่ยหยางนอนฟังเสียงดนตรี“สุรานี้ช่างหอมเยี่ยงกลิ่นบุปผาในยามราตรี” “แต่สุขที่แท้… มิใช่รสสุรา หากคือผู้ร่วมจอกตรงหน้า” เลี่ยหยางมองหน้าเยว่หลิงด้วยรอยยิ้ม เขาเองก็เมานิด ๆ สุภาษิตจีนว่าเหล้าดีหนึ่งจอก ดีกว่าทองพันชั่ง หากดื่มกับมิตรแท้ใต้เงาดอกท้อนั้นทั้งสองดื่มด่ำความสุขเรียบง่ายดั่งปุถุชนสามัญทั่วไปแล้วจู่ๆก็มีกู่เจิง(เครื่องดนตรีประเภทสายของจีน)ดังสมทบขึ้น เสียงขลุ่ยและกู่เจิงนั้นเข้ากันได้อย่างดี ฟังดูยิ่งไพเร
.....เมืองเริ่มกลับมาเป็นปกติ ร้านค้าหลาย ๆ ร้านกลับมาเปิดดังเดิม เลี่ยหยางและเยว่หลิงหลังกินโจ๊กร้อนในตลาดช่วงเช้าตรู่กันไปแล้ว คุณชายไป๋ยังอยากเดินหาของกินเพิ่มอีก ทำไมมันกินเยอะขนาดนี้ ตัวก็ผอม ๆ ลีน ๆ ท้องเจ้าหมอนี่ต้องมีทาเถี่ย(สัตว์ในตำนานยุคโบราณ)อยู่จริง ๆ นั่นแหละคุณชายไป๋หยุดที่ร้านขายฮู่ปิ่ง(พิซซ่าโบราณ) มันเป็นแป้งอบแบนโรยงาด้านบน เยว่หลิงนอกจากจะซื้อแล้วยังขอเข้าไปดูว่าเขาทำยังไงอีกด้วยพอออกมาเขาก็เดินไปซื้อเจียวจื่อ ซึ่งเป็นซาลาเปาห่อไส้ รสชาติที่กัดลงไปนั้นมีเครื่องเทศจากด่านแดน(เอเชียกลาง)อยู่ด้วย มันดูแปลกใหม่กว่าซาลาเปาที่อื่นจริง ๆ สมแล้วที่เป็นเมืองแห่งเส้นทางสายไหมสำคัญที่มีหลากหลายชาติพันธุ์อยู่ที่นี่ผลไม้ก็เช่นกัน ลูกอินทผาลัมแห้ง หรือแม้แต่อแปริคอตเชื่อมก็มี แต่ราคาแพงพอสมควร ซึ่งไม่เป็นปัญหากับคุณชายกระเป๋าหนักสกุลไป๋เลยแม้แต่น้อย เขากินทุกอย่างที่เขาอยากกิน ทั้งคู่เดินตลาดกันจนถึงเกือบเที่ยง "กลับที่พักกันเถอะหลิงหลิง เจ้าเดินกินมานานแล้วนะ ข้าเดินจนเมื่อยแล้ว"แล้วเลี่ยหยางก็แอบเห็นใครสักคนกำลังวิ่งหลบเข้าไปในมุมตึก เขาคือนักฆ่ากลุ่มเจ๊แพะตุ๋นนั่นเองเล
.....ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในงานเทศกาลโคมนั้นทำให้ทั้งเมืองฉางอันวุ่นวายกันไปเป็นสัปดาห์ ร้านค้าที่เคยคึกคักก็ไม่กล้าเปิด ทหารก็เดินตรวจตรากันหนาแน่น เลี่ยหยางนั่งเซ็ง ๆ อยู่ที่หน้าต่างในโรงแรมมองดูถนนด้านล่าง"เซ็ง เซ็ง เซ็งโว้ย!"แล้วเยว่หลิงก็เดินเข้ามาใกล้ เขาจับชายเสื้อเลี่ยหยางอยากมีเลศนัย"ข้า....อยากกินบะหมี่ซานซี..." เยว่หลิงกลืนน้ำลายยลงคอดังอึก เนื่องจากเขาเป็นคนผอมสูงอยู่แล้ว เห็นลูกกระเดือกชัดเจน เวลาเขากลืนน้ำลายยิ่งทำให้เห็นการเคลื่อนไหวที่คอนั้นชัดเจนเลี่ยหยางถอนหายใจ "เห้ออออ หลิงหลิง เจ้าก็ดูสิ ร้านอร่อยตรงโน้น ๆ ๆ ๆ มันปิดหมดเลยอ่ะ ข้าก็จนปัญญาจะพาเจ้าไปกิน รออีกหน่อยได้ป่าว?"เลี่ยหยางรีบเตือนเยวหลิงก่อนเลยว่า "แล้วเจ้าอย่าโดดขึ้นไปยอดหอคอยอีกนะ ทหารเต็มไปหมดแบบนี้ เดี๋ยวจะกลายเป็นไปกินข้าวในคุกเอาง่าย ๆ"เยว่หลิงทำปากเบ้ใส่ แววตาเคืองอย่างชัดเจน ทำเอาเลี่ยหยางยิ่งถอนหายใจใหญ่"ท่านลุงช่วงนี้ก็ต้องอยู่นิ่ง ๆ ไปก่อนยังไปติดต่อท่านไม่ได้..."เยว่หลิงทำสายตาน้อยใจ เลี่ยหยางมองดวงตาคู่นั้นพรางนึกในใจ นี่ข้าไม่ต่างจากมารดาเจ้าหลิงหลิงเลย ต้องเอาอกเอาใจดูแลทุกอย่าง ยังก