เข้าสู่ระบบ....เช้าวันรุ่งขึ้น แสงแดดแรกเพิ่งสาดผ่านกลุ่มควันเตาถ่าน ร้านตีเหล็กของเลี่ยหยางยังคงมีเสียงค้อนกระทบเหล็กดังกังวาน ตึง! ตึง! ตึง! ทว่าเสียงนั้นกลับถูกกลบด้วยเสียงเกราะเหล็กกึกก้องย่ำพื้นดินเป็นจังหวะ พริบตาเดียว หน้าร้านก็ถูกทหารติดอาวุธครบมือหลายสิบคนล้อมแน่น
เลี่ยหยางสะดุ้งเฮือก หัวใจเต้นแรงจนแทบทะลุอก แต่ใบหน้าเขาพยายามนิ่งเฉย ไม่ให้เห็นความคิดข้างในใจ
"ตามข้ามา!"
เลี่ยหยางทำสัญญาณมือบอกลูกน้องของเขาเองที่ปลอมตัวเป็นชาวบ้านว่าห้ามเคลื่อนไหว
เสียงโซ่เหล็กกระทบกัน กรุ๊งกริ๊ง… ดังสะท้อนออกมา มีเจ้าหน้าที่ 2 นายก้าวเข้ามาจับแขนเลี่ยหยางบิดไพล่หลัง แล้วใช้โซ่ล่ามรัดแน่นจนเส้นเอ็นปูดโปน เลี่ยหยางยังคงนิ่ง สายตาคมเย็นไม่ไหวติง
ทหารกดบ่าของเขา บังคับให้ก้าวเดินต่อหน้าผู้คนในตลาด ผู้คนแตกตื่นแห่กันมามุงดู บางคนซุบซิบด้วยความหวาดกลัว บางคนเพียงยืนนิ่งไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง ภาพช่างตีเหล็กที่เคยส่งเสียงหัวเราะยียวนกลับถูกลากไปดั่งนักโทษโฉด มันเหมือนฟ้าผ่าลงกลางเมือง
พวกเจ้าหน้าที่พาเขาฝ่าฝูงชน ก้าวเข้าสู่ถนนใหญ่ที่มุ่งตรงไปยังว่าการอำเภอ เสียงกลองยามดัง ตึง…ตึง…ตึง คล้ายประกาศให้ทั้งเมืองรู้ว่าวันนี้มีคนถูกจับฐานก่อเหตุใหญ่
เลี่ยหยางถูกลากเข้าห้องสอบสวนของว่าการอำเภอ ความเย็นของหินอัดใต้ฝ่าเท้าและกลิ่นน้ำมันหมึกโบราณฉุนเข้าจมูก ทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกบีบอัดอยู่กลางกำแพงเหล็ก
ทันทีที่เขาเงยหน้าขึ้น สายตาก็หยุดชะงัก ตาเฒ่านั่น....ผู้อาวุโสตระกูลไป๋จากเมืองหลวงที่เพิ่งปรากฏตัวเมื่อวานนั่งอยู่เคียงข้างนายอำเภอ
ใบหน้าเหี่ยว ๆ แก่ ๆ นั่นยังคงแฝงรอยแค้นของเมื่อวานไว้เต็มเปี่ยม เลี่ยหยางเพียงถอนหายใจเบา ๆ และร้องอ๋อออกมาอย่างไม่ตั้งใจ ราวกับสะท้อนความคุ้นเคย
นายอำเภอเริ่มตั้งข้อหาใส่ร้ายเลี่ยหยางหลากหลายเรื่อง ตั้งแต่ยุ่งเกี่ยวกับเหตุอื้อฉาวในตลาด ไปจนถึงกล่าวหาว่าเขาเป็นภัยต่อความสงบของเมือง เสียงคำกล่าวร้านพวกนั้นฟังเหมือนค้อนทุบลงบนกระดูก เลี่ยหยางจึงหัวเราะออกมา และหัวเราะเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ ราวกับคนบ้าที่ไร้ซึ่งความหวาดกลัว
ทำให้ผู้อาวุโสตระกูลไป๋ขมวดคิ้ว “เจ้าคนนี้…ช่างบังอาจนัก...ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงจริง ๆ”
นายอำเภอหันหน้าไปรับทราบ แล้วหันมาสั่งให้เจ้าหน้าที่ตบปากเลี่ยหยางทันที ครั้งที่ 1 ครั้งที่ 2…เลือดแดงสดกระเด็นลงพื้น เหมือนน้ำหมึกบนกระดาษเก่า แต่เลี่ยหยางกลับยิ้มเยาะ เขาถุยน้ำลายเลือดนั้นลงพื้นและยิ้มเยาะด้วยท่าทีไม่เกรงกลัว
เสียงนายอำเภอหัยมามองผู้อาวุโสตระกูลไป๋ที่ทำหน้าไม่พอใจ เขาจึงหันมาสั่ง
“โปยมัน… 40 ไม้!”
เลี่ยหยางถูกไม้กระทบหลังเขาเป็นจังหวะ เสียง ตึง! ตึง! ตึง! ดังสนั่นจนชาวบ้านทุกคนที่มายืนดูหลับตาไม่กล้ามอง แต่เลี่ยหยางกลับนอนตัวตรง ไม่ร้องสักแอะ และยิ้ม ซอกฟันมีแต่เลือด ดวงตาคมสั่นระริกแน่วแน่
เลือดแดงสดผสมกับฝุ่นลาน กลายเป็นภาพสัญลักษณ์ของความท้าทายต่ออำนาจ
นายอำเภอสั่งด้วยเสียงกังวาน “นำมันแขวนที่ลานกลางเมือง…7 วัน! ให้ทุกคนได้จดจำว่าการไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง จะจบเช่นไร!”
เจ้าหน้าที่ 2 นายช่วยกันยกเลี่ยหยางลากไปที่ลานกลางเมืองและยกขึ้นผูกไว้กับเสากลางลาน ใช้โซ่รัดร่างเขาแน่น แขวนกลางแจ้ง ผู้คนด้านล่างที่ยืนดูต่างช็อก สักพักก็เริ่มแห่กันมาดู บ้างซุบซิบ บ้างตื่นกลัว บ้างยืนก้มหน้า
นายอำเภอและผู้อาวุโสตระกูลไป๋ยืนยิ้มเยาะคู่กันอย่างสะใจ
....ทันใดนั้น ท้องฟ้าเมฆคล้อยราว เลี่ยหยางมองบนฟ้า และเงาร่างหนึ่งพุ่งลงมาอย่างรวดเร็วจากด้านบน เบื้อหลังเป็นดวงอาทิตย์ ช่างแสบตา ราวกับเขาลงมาจากสรวงสวรรค์
....ไป๋เยว่หลิง!...
ฝูงชนกรีดร้องด้วยความดีใจโดยเฉพาะสาวๆ ทหารที่ยืนอยู่รีบยกดาบและหอกขึ้นเตรียมจับกุม แต่สายตาของนายอำเภอสั่งห้าม ทุกคนจึงเก็บอาวุธอย่างไม่เต็มใจ
ดวงตาไป๋เยว่หลิงจับจ้องโซ่ใหญ่ที่รัดเลี่ยหยางไว้ มือที่ถือกระบี่ของเขานั้นฟาดฟันลงไปที่โซ่ ประกายแสงไฟเหล็กกระทบเหล็กสะท้อนเต็มกลางลาน
แต่...โซ่ใหญ่เกินกว่าที่กระบี่บาง ๆ จะตัดขาดได้ ทุกครั้งที่กระบี่ปะทะ เสียงโลหะดังก้องเหมือนฟ้าผ่ากลางเมือง
“คุณชาย…ไม่เป็นไร ข้าซึ้งน้ำใจท่านแล้ว พอได้แล้ว....”
แต่ไป๋เยว่หลิงไม่สนใจคำพูดเลี่ยหยาง ใบหน้าทั้งดุทั้งเย็น มือที่จับกระบี่ยังคงฟันโซ่ต่อไป จนในที่สุดกระบี่ก็ทนไม่ไหวแตกหักเป็น 2 ท่อน เสียงกระบี่หักสะท้อนไปทั่วลาน
เขาไม่หยุด ยังคงฟันต่อไปด้วยกระบี่หัก มือเริ่มชุ่มไปด้วยเลือด แต่สายตาไม่วอกแว่ก
ฝูงชนเงียบกริบ ทุกคนจับจ้องด้วยความตื่นตะลึง
เลี่ยหยางมองไป๋เยว่หลิง น้ำตาคลอเล็กน้อยแต่ปากยังยิ้ม
“คุณชาย…พอเถอะ”
ทันใดนั้นก็มีมีดอีโต้หั่นหมูลอยขึ้นมาที่ลานตรงที่เยว่หลิงยืน
“เจ้าหนู…ใช้นี่!”
เป็นป้าร้านขายหมูที่เลี่ยหยางมักแซวพุงอ้วนๆของเธอทุกวัน
ไป๋เยว่หลิงจับอีโต้ขึ้นมาและฟันลงไปแรง ๆ หลายครั้งที่โซ่นั้นจนมันเริ่มบิ่น
เสียงโลหะดัง กรุ๊ง…กร๊ง… ออกเป็นจังหวะ ทุกการฟัน ทุกแรงสะท้อนความมุ่งมั่นและความดื้อรั้นของเขา
ในที่สุดอีโต้ก็หมดสภาพ บิ่นจนใช้งานไม่ได้
"เจ้าหนูใช้ขวานนี่!!"
ลุงผ่าฟืนที่เลี่ยหยางมักตีก้นเขาตอนเขากำลังโก่งโค้งผ่าฟืน ชายร่างใหญ่เดินถือขวานขึ้นไปที่ลานด้วยท่าทางทรนง
เยว่หลิงรับขวานนั้น แต่ขวานนั้นหนักมาก ร่างผอมบางของเขาแกว่งยกมันแทบไม่ไหว
ทันใดนั้นขอทานเด็กคนหนึ่งก็วิ่งขึ้นไป เด็กน้อยใช้มือเล็ก ๆ จับมือเยว่หลิง "หนูช่วยพี่ค่ะ"
เขาคือคนที่เลี่ยหยางชี้ช่องให้ขโมซาลาเปาตอนเจ้าของร้านร้านทุกวันๆ (จริง ๆ เลี่ยหยางแอบเอาเงินจ่ายค่าซาลาเปาให้ทุกครั้ง)
ทีนี้ทั้งลุง ป้า ผู้ชาย ผู้หญิง ต่างขึ้นไปช่วยเยว่หลิงเต็มไปหมด ทั้งช่วยกันจับมือเยว่หลิงยกขวาน ทั้งวิ่งไปเอาเสียม จอบ มีดทำครัวตัวเองขึ้นไป
แม้แต่พวกนางโลมก็ถอดปิ่นปักผมมาช่วยกระเทาะ ...ทุกคนช่วยกันทำลายโซ่ จนในที่สุดมันก็ขาด เยว่หลิงเข้าไปประคองเลี่ยวหยาง ชาวบ้านต่างโห่ร้องดีใจ
นายอำเภอไม่กล้าทำอะไรเพราะมีมวลชนจำนวนมากได้แต่ทำปากเจ่อ ๆ ผู้อาวุโสตระกุลไป๋มองนายอำเภอด้วยสายตาเหยียดหยาม
"ชิ!" แล้วเขาก็เดินหนีไป นายอำเภอก็รีบเดินตาม ทหารทั้งหมดก็ตามหลังจากไป
.....คืนนั้นผู้อาวุโสไป๋นั่งรถม้าโดยมีองครักษ์คุ้มกัน 10 คนประกบ เพื่อเดินทางกลับเมืองหลวง
เมื่อออกจากเมืองมาได้สักพัก ถึงบริเวณป่าที่ทางเปลี่ยว ก็มีชายชุดขาวคนหนึ่งยืนถือดาบขวางทางรถม้าอยู่
รถม้าของผู้อาวุโสไป๋หยุดกึกทันที เสียงล้อไม้กระทบหินดังก้องป่า ชายชุดขาวยืนเด่น มือขวาจับดาบยาว
องครักษ์ทั้งหมดชักดาบเตรียมต่อสู้ และเมื่อเมฆเคลื่อนตัวออกแสงจันทร์ก็ส่องมาที่ใบหน้าชาวชุดขาว
"ไป๋เยว่หลิง??"
ผู้อาวุโสไป๋รีบออกมาจากรถเพื่อดู เขาคือเจ้าเด็กเยว่หลิงไม่ผิดแน่ แต่...แววตาเย็นชานั่น ...ไอสังหารนั่น ด้วยประสบการณ์ เขาตัดสินใจทันที
"ฆ่ามัน!"
องครักษ์ทั้งหมดกรูกันเข้าไปรุมไป๋เยว่หลิง มือถือดาบทุกคน แต่ไป่เยว่หลิงยังคงยืนนิ่ง แผ่นดินใต้เท้าสั่นสะเทือนราวคลื่นสายฟ้า ดวงตาเขาจับจ้องทุกการเคลื่อนไหวของศัตรูทั้ง 10
ดาบที่ 1.... ไป๋เยว่หลิงเหินขึ้นด้วยวิชาตัวเบา ฟาดดาบอย่างรวดเร็วราวลมพายุ เสียง ฟิ้ววว… ดังตัดขาดแม้แต่ลม เขาสับองครักษ์คนแรกขาดครึ่ง ร่างแบะลงกับพื้นโดยไม่ทันตั้งตัว
ดาบที่ 2 .....ไป๋เยว่หลิงหมุนตัว ดาบฟาดเฉียงตัด 2 องครักษ์ที่พุ่งเข้ามา ร่างพวกเขาหมุนไปตามแรงเหวี่ยง กระเด็นกระแทกต้นไม้ โดนกิ่งไม้เสียบตาคาที่ทั้งคู่
ดาบที่ 3, 4, 5 .....เขาฟันต่อเนื่อง แต่ละองครักษ์ที่เข้ามา ไม่ทันได้ยกดาบฟันสกัด ดาบของไป๋เยว่หลิงเฉือนร่างพวกเขาขาดราวกับหั่นเต้าหู้ 3 คนถูกแทงตัดขั้วหัวใจ อีกคนโดนฟันคอขาดกระเด็น เยว่หลิงสะบัดหยดเลือดออกจากดาบ โดยไม่กระพริบตาเลยสักนิด
3 องครักษ์ที่เหลือหันหน้ามองกันแล้วเข้าพร้อมกัน เยว่หลิงใช้ท่าเพลงดาบวงพระจันทร์ที่เขาได้แสดงไปเมื่อวาน แต่ครั้งนี้มันแตกต่าง มันไม่ใช่แค่สวยงาม แต่มันรวดเร็วและรุนแรงมาก แรงขนาดได้ยินเสียงลมถูกตัดขาด ร่างของทั้ง 3 คนขาดครึ่ง เลือดพุ่งสยดสยอง
แค่ 6 กระบวนท่า เขาปลิดชีพองครักษ์ฝีมือดีตาย 10 ศพ กลางป่าคืนนี้ มีนักดาบอัจฉริยะยืนอยู่ ฝีมือของเขานั้นเข้าขั้นปรมาจารย์ไปตั้งนานแล้ว ราวกับเทพสงครามลงมาจากสวรรค์ด้วยตัวเอง
เขาแค่ปิดบังความสามารถไว้ต่อหน้าคนอื่นเท่านั้น (ขนาดปิดบังทุกคนยังบอกว่าเขาคืออัจฉริยะ)
....ผู้อาวุโสไป๋ยืนนิ่งบนรถม้าและฉี่ราด ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตะลึงและหวาดกลัวสุดขีด
“น…นี่ไม่ใช่ลูกหลานสกุลไป๋…มันปีศาจในร่างมนุษย์!”
ไป๋เยว่หลิงค่อย ๆ ลากปลายดาบอาบเลือดนั้นเดินเข้ามาจนถึงรถม้า เขายืนตรง ลมหายใจเรียบสงบ ดาบยังชุ่มเลือด
อากาศในป่าแม้จะเย็นยะเยือก แต่...สายตานั่นเขาเย็นชายิ่งกว่า ราวกับไม่มีความรู้สึกของมนุษย์หลงเหลืออยู่แล้ว
"ห....หลานข้า....ไม่สิ!....ท่านเซียน ...ได้โปรด ละเว้นข้า"
"เห็นแก่ที่ข้าเคยเลี้ยงดูบิดาของท่านในวัยเยาว์ ได้โปรดไว้ชีวิตข้า" ผู้อาวุโสหมอบกราบคำนับเยว่หลิงอย่างน่าสมเพช
เยว่หลิน ใช้มือเข้าไปช่วยประคองท่านผู้อาวุโสให้เงยหน้าขึ้น ผู้อาวุโสยิ้มดีใจ
"อ๊ากกก!"
ปลายดาบเฉือนหูผู้อาวุโสทีละข้างจนหมด
"นี่คือสิ่งตอบแทนที่ท่าน......หยามบิดาข้า..."
"อ...อย่า....ข้าขอร้อง....ได้โปรด"
เยว่หลินบีบปากดึงลิ้นเขาออกมาแล้วเฉือนลิ้นทิ้ง จนผู้อาวุโสเลือดเต็มปาก
"นี่ที่ท่าน......หยามมารดาข้า..."
ไม่พอเยว่หลินเฉือนจมูกออกอีกด้วย
ผู้อาวุโสทรมานมาก ทั้งดิ้นอย่างเจ็บปวด ทั้งร้องแต่เสียงที่ออกมานั้นไม่ใช่ภาษามนุษย์เพราะเขาไม่มีลิ้น!!
"ท่านดมกลิ่นตัวเขานานเกินไป… ข้าจึงทำให้จมูกนี้ไม่มีโอกาสดมอะไรได้อีกตลอดชีวิต"
"ของรักของข้า...(หมายถึงเลี่ยหยาง)"
เยว่หลิงควักห่อสมุนไพรบางอย่างออกมาจากกระเป๋าที่เอว แล้วจับมันกรอกใส่ปากผู้อาวุโสจนหมด
"แต่ข้าจะไม่ฆ่าท่าน"
"ท่านจะกลายเป็นเพียงศพที่มีชีวิต ยานี่จะทำให้ท่านเป็นอัมพาตขยับได้แค่ลูกตาไปจนสิ้นอายุขัย"
ผู้อาวุโสไป๋เบิกตากว้าง น้ำตาไหลพราก ก่อนจะหมดสติไปเพราะเยว่หลินเขาเข็มแทงจุดที่ทำให้สลบ
ไป๋เยว่หลิน นำเข็มที่เหลือและยาออกมา เข็มส่วนหนึ่งฝังที่
1. บนมือ ระหว่างนิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้
2. ใต้เข่า
3. บริเวณข้างปีกจมูกหรือใกล้โหนกแก้ม
เพื่อชะลอและห้ามเลือด โดยทุกการฝังเข็มเขาถ่ายพลังปราณของตัวเองลงไปด้วยเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
ส่วนเข็มอีกเล่มที่เหลือเขานำสุราราดลงบนเข็ม แล้วใช้ไหมแทนด้ายเย็บแผลที่หู ปาก และจมูกให้อย่างปราณีต พร้อมทายารักษาชั้นเลิศให้อีกด้วย ก่อนจะนำผ้าขาวสะอาดมาปิดแผลให้ แล้วอุ้มผู้อาวุโสกลับขึ้นไปนอนบนรถ พลางตบม้าให้วิ่งไปตามทางข้างหน้า
ดาบที่ไป๋เยว่หลินถือถูกนำไปโยนทิ้งที่หน้าผาสูงชัน เขาเผาชุดที่เปื้อนเลือด แล้วเปลี่ยนชุดขาวอีกชุดที่เตรียมไว้บนอานม้า
ซึ่งเขาผูกม้าไว้ต้นไม้ในมุมหนึ่งของป่า แล้วก็ขึ้นขี่ควบม้ารีบกลับมาที่บ้านสกุลไป๋
เลี่ยหยางนอนหลับอยู่ที่นั่น หลังของเขามีแผลจากการถูกโบยจนเนื้อหลุดลอกไปแต่รับการทายารักษาแล้ว เขาหลับสนิทด้วยควันยาผ่อนคลาย
เยว่หลิงค่อยๆ เดินอย่างเงียบ ๆ มาอยู่ข้างๆ เลี่ยหยาง ภายใต้แสงตะเกียงเล็กๆ นั้น เขานั่งเฝ้าโดยมองหน้าเลี่ยหยางอยู่ทั้งคืน......
.....มหานครกว่างโจว ประตูทะเลใต้ของแผ่นดิน แม่ไม่ใช่เมืองชายแดน แต่คือประตูการค้า ที่เปิดสู่โลกภายนอกมาตั้งแต่โบราณตั้งอยู่ริมแม่น้ำจูเจียงที่กว้างใหญ่ ราวกับรู้ดีว่ามันแบกความมั่งคั่งของแผ่นดินทั้งภาคใต้ไว้ตัวเมืองล้อมด้วยกำแพงหินหนา คูน้ำรอบเมืองเชื่อมต่อกับแม่น้ำโดยตรง ถนนหลักปูด้วยหินสีคล้ำจากการเหยียบย่ำหลายร้อยปีซอยย่อยคดเคี้ยวแคบ ลึก และอับชื้น เหมาะแก่การค้า…และการหายตัวไปของคนเรือนอาคารส่วนใหญ่เป็นไม้ หลังคากระเบื้องโค้งต่ำ ออกแบบให้รับลมทะเลและระบายความชื้นกว่างโจวคือเมืองที่พ่อค้าจากเปอร์เซีย อาหรับ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เดินปะปนกับพ่อค้าจีนภาษาในตลาดไม่เคยเป็นภาษาเดียว เงินตรา ข่าวลือ และคนแปลกหน้า ไหลเวียนเร็วกว่าแม่น้ำกลางวันเป็นเมืองดูมีชีวิต เสียงเจรจาซื้อขาย กลิ่นชา เครื่องเทศ ผ้าไหม และเกลือทะเลส่วนกลางคืน เมืองเปลี่ยนหน้า โรงน้ำชาแปรเป็นที่พบปะ ท่าเรือกลายเป็นจุดลักลอบ และกฎหมายอ่อนแรงลงตามแสงตะเกียง"ที่ใดเงินไหลแรง ที่นั่นคุณธรรมต้องว่ายน้ำเก่ง"กว่างโจวไม่ใช่เมืองที่คนเท่าเทียม พ่อค้ารวยกว่าขุนนางบางตำแหน่งขุนนางพึ่งพาพ่อค้า ยุทธภพแทรกซึมอยู่ตามท่าเรือ
....คืนนี้หิมะตกลงมาไม่ขาดสาย ราวกับสวรรค์ตั้งใจจะลบเลือนร่องรอยทุกสิ่ง ป่าใหญ่เงียบงันจนได้ยินเพียงเสียงลมพัดผ่านกิ่งสนแห้ง และเสียงหิมะที่ร่วงลงจากหลังคากระท่อมไม้ทีละก้อน กระท่อมที่หญิงชรานั่งบนรถเข็นหลังนี้ทั้งเก่า ทรุดโทรม แต่ยังดีที่โครงสร้างไม้นั้นแข็งแรงดีไป่เยว่หลิงถอดเสื้อนอนบนนอนบนเตียงไม้ใจเขาเหมือนหัวใจของใครบางคนที่แม้จะแตกสลาย เตาไฟอุ่นๆไม่ได้ทำให้ความหนาวเย็นในใจอบอุ่นขึ้นเลย มือของเขาจิกเข้าไปที่ผิวเนื้อตนเองจนมีรอยเลือด เปลวไฟส่องสะท้อนดวงตาที่ไร้ประกาย ราวกับแสงทั้งหมดในชีวิตเขา ถูกฝังกลบไปพร้อมกับร่างของผู้ใหญ่ที่จากไปอย่างไม่เป็นธรรมความตายอาจไม่ได้น่ากลัว เท่ากับการจากไปโดยไม่ทันได้บอกลา โดยทิ้งสิ่งต่างๆมากมายทิ้งไว้ให้ผู้ที่ยังมีชีวิตเลี่ยหยางยืนมองดูเยว่หลิงอยู่ข้างๆ แววตาเต็มไปด้วยความเป็นห่วง แผ่นหลังนั้น ร่างผอมบางนั้น ปกติเจ้าก้เย็นชาไม่เปิดใจรับผู้ใดอยุ่แล้ว แต่บัดนี้เจ้าดูแข็งทื่อราวกับรูปสลักจากน้ำแข็งเสียแล้วเลี่ยหยางรู้ดี คำพูดในยามนี้ไร้ความหมาย การปลอบโยนที่ดีที่สุด คือ.....เขาวางฟืนเพิ่มลงในเตาไฟ เสียงไม้แตกดังขึ้นเล็กน้อย ไฟลุกโชนขึ้นอีกครั้
....ณ หลังเขาแห่งหนึ่ง ที่นี่เคยปกคลุมทุ่งนาที่เขียวขจีด้วยต้นกล้าอ่อน เสียงไก่ขันและสุนัขเห่าเป็นจังหวะ เด็กๆ วิ่งเล่นไล่จับกันบนทางดิน เสียงควายไถนาสลับกับเสียงนกเกาะคันนา ที่นี่เคยมีหมู่บ้านอยู่อาศัยกลมกลืนกับธรรมชาติเวลาจะผ่านมาถึงราวๆ 170 - 180 ปีแล้วปัจจุบันกลายเป็นเมืองเล็กๆเมืองหนึ่ง เวลาที่ยาวนานเกินกว่าจะเป็นที่จดจำได้ของมนุษย์ปกติ ข่าวลือเรื่องที่มีคนตายทั้งหมู่บ้านค่อยๆสูญหายไปกับกาลเวลา จึงมีผู้คนใหม่ค่อยๆมาตั้งรกรากอาศัยจนเติบโตกลายเป็นเมืองเล็กๆอย่างไรก็ดีหลุมศพของหลันหลินนั้นยังอยู่ แม้จะเก่าโทรมไปมากแต่ก็ยังอยู่ราวกับรอวันที่พี่หลินเซียนของเธอจะกลับมาหาอีกครั้งในมือหลินเซียนมีเมล็ดดอกไม้,ขนมเคลือบน้ำตาล และหนังสือนิทานเล่มหนึ่ง เขาโรยเมล็ดดอกไม้นั้นรอบหลุมศพ แล้วให้เสี่ยวหมิงช่วยเร่งให้ดอกไม้เหล่านั้นเติบโตจนบานดอกสวยงามรอบหลุมศพ หลังจากนั้นเขาจึงวางขนมเคลือบน้ำตาลลง และคลี่อ่านหนังสือนิทานหน้าหลุมศพหลันหลินอยู่นาน มีสายลมพัดเย็นอยู่ตลอดเวลา ราวกับมีเด็กน้อยหลันหลินมานอนหนุนตักพี่หลินเซียนอนฟังนิทานดั่งแต่ก่อนเก่าเมื่ออ่านนิทานจบแล้วหลินเซียนใช้หินก้อนหนึ่งมาสลัก
.....ปรมาจารย์ยุทธภพ ในร่างชายชราชุดยาวสีขาวประดับลวดลายสวยงาม ลูบเคราจ้องมองไป๋เยว่หลิงด้วยแววตาเยือกเย็น ส่วนเลี่ยหยางนั้นก็ลุกขึ้นมาเคียงข้างเยว่หลิง ในมือถือดาบ แต่เยว่หลิงยังไม่ชักกระบี่ออกมาแต่อย่างใด"คนอย่างท่านทำไมถึงทรยศได้!" เจ้าสำนักหนึ่งที่ถูกจับในตาข่ายตะโกนเสียงดังปรมาจารย์ไม่สนใจ เขาพูดกับเยว่หลิงแทน"ถ้าเจ้ายอมสวามิภักดิ์ต่อองค์ชาย ข้าจะทูลเสนอแต่งตั้งให้เจ้าได้เป็นราชครูในอนาคต"องค์ชายทุ่งหญ้าหันหน้ามาทำท่าจะแย้ง แต่ท่านปรมาจารย์ห้ามไว้ เขาจึงไม่พูด แต่แววตามีความไม่พอใจเล็กน้อย"คนผู้นี้ หากได้เป็นพรรคพวก หลังจากข้าสิ้นลมไปแล้ว ย่อมคุ้มครองพระองค์และราชบัลลังค์ไม่ให้สั่นคลอนได้แน่นอน""ข้าก็จะได้จากไปโดยไม่มีห่วง"ผู้เฒ่าคิดการณ์ไกลกว่าองค์ชายเด็กน้อยยิ่งนัก แววตาที่เขามององค์ชายทุ่งหญ้าแสดงถึงความสัมพันธ์เกินกว่าธรรมดาปรมาจารย์อ้าแขนเชิญชวนไป๋เยว่หลิง"มาด้วยกันเถอะ ยังไงราชวงศ์นี้ก็ทำเลวกับพ่อและเจ้าไว้มาก ไม่ควรค่าแก่การปกป้องพวกมัน"เลี่ยหยางมองตาเยว่หลิง บัดนี้แววตาเขาเยือกเย็นกว่าเดิมยิ่งนัก เหมือนเขากำลังครุ่นคิดอะไรอยู่ลมพัด ใบไม้ร่วงปลิว บรรยากาศระหว่า
.....หลังจากนั้นก็มีจอมยุทธคู่อื่นๆขึ้นไปประลองฝีมือกันบนลานต่อสู้อีกหลายคู่ ส่วนไป๋เยว่หลิงก้กลับมาที่ร้านน้ำชาร้านเดิมนั่งจืบชาพักเหนื่อยอย่างใจเย็น ส่วนเลี่ยหยางก็กินขนมอย่างเอร็ดอร่อยชมการต่อสู้อยู่ข้างๆ มีจอมยุทธหญิงหลายคนเข้ามาคุยคุณชายไป๋ เลี่ยหยางเอามือจับเยว่หลิงไว้ไม่ปล่อย แม้จะมองไปางลานประลอง แต่เขาก็แอบชำเลืองมองมาเป็นระยะๆทุกครั้งที่มีคนเข้ามาพูดคุยกับเยว่หลิง ซึ่งเยว่หลิงก็รู้ จึงไม่ค่อยพูด นั่นทำให้บทสนทนาไม่ยาว จอมยุทธเหล่านั้นก็ลาจากไปแล้วก็มีชายชราชุดยาวสีขาวประดับลวดลายสวยงาม สายตาเยือกเย็นและสง่างามมาหยุดตรงหน้าเยว่หลิงและเลี่ยหยาง เขาคือปรมาจารย์ผู้เป็นประธานงานประลองนี้นี่เอง เลี่ยหยางรีบวางขนมและลุกขึ้นโค้งคำนับ แต่เยว่หลิงยังคงนั่งจิบชาอยู่เช่นเดิม เลี่ยหยางพยายามสะกิดแต่เยว่หลิงก็ทำไม่สนใจ"ไม่เป็นไร ชายแก่เช่นข้าแค่มาทักเด็กหนุ่มรุ่นใหม่ที่มีพรสวรรค์เท่านั้นเอง" เขามองเยว่หลิงด้วยแววตาเป็นมิตร"กี่คน?" เยว่หลิงมองที่ปรมาจารย์ และเอ่ยปากถาม ปรมาจารย์ทำหน้ายิ้มและงงกับคำถาม"เมื่อกี้ท่านฆ่าไปกี่คน?" "ข้าได้กลิ่นเลือดจากท่าน"ใบหน้าชายชราเปลี่ยนจากรอยยิ้มเป็
.....เยว่หลิงชี้กระบี่ลง มือขวาจับกระบี่แน่น เขาตั้งใจใช้เพลงกระบี่จันทราอีกครั้ง"ไม่นะหลิงหลิง เจ้าไม่ไหวแล้ว" เลี่ยหยางตะโกนขึ้นไปบนลานประลอง แต่หยว่หลิงยังทำหน้าเย็นชา เขาเอียงศรีษะใช้หูฟังตำแหน่งคู่ต่อสู้แทนดวงตาชายร่างอ้วนแสยะยิ้ม เขาตั้งกระบวนท่า สุดลมหายใจเข้า เสื้อผ้าเขาพริ้วลมได้อย่างประหลาด"แย่แล้ว ฝ่ามือยมฑูต! เจ้าหนูรีบยอมแพ้ลงจากเวที!" เจ้าสำนักชื่อดังคนหนึ่งตะโกน แต่เยว่หลิงไม่สนใจ ท่าทางเขาสงบยิ่งนัก เลี่ยหยางมองด้วยสายตาที่เป็นห่วงมาก แต่ที่เขาไม่ขึ้นไปช่วย เพราะเชื่อมั่นในตัวเยว่หลิงไม่รอช้าชายร่างอ้วนพุ่งฝ่ามือเข้ามาหาตรงๆ พลังนั้นรุนแรงและเร็วมากจนอากาศเสียดสีเป็นเสียงออกมา"อ๊าก!" มือชายร่างอ้วนขาดกระเด็นทุกคนมองมาที่คุณชายชุดขาว เขายังไม่ได้ขยับกระบี่เลยนี่นา กระบี่ยังชี้ลงด้านล่างเช่นเดิม เขาทำได้ยังไง??แต่...ปรมาจารย์ลูบเคราและยิ้มอย่างมีนัยยะ เขารู้ว่าไป๋เยว่หลิงใช้อะไรตัดข้อมือชายอ้วนชายสูงสง่ารู้สึกเสียหน้า เขาสั่งให้ชายร่างกำยำอีกคนขึ้นไป คนนี้ถือดาบใหญ่ เป็นดาบที่ไม่เหมือนดาบในภาคกลางทั่วไป ดาบหยาบกร้าน แต่ดูใหญ่แข็งแรง เหมือนเป็นท่อนเหล็กทื่อๆมากกว


![เกิดใหม่เป็นตัวร้ายในซีรีส์วายเรื่องหนึ่ง [Mpreg]](https://acfs1.goodnovel.com/dist/src/assets/images/book/43949cad-default_cover.png)




