หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา เฉินเม่าก็มีท่าทีเป็นมิตรกับฮวาอิงหลงและเสี่ยวม่านมากขึ้น เมื่อใดที่ฮวาอิงหลงได้มีโอกาสพูดคุยกับเฉินเม่า นางก็มักจะพูดประจบเอาใจโดยมีเสี่ยวม่านคอยเป็นลูกคู่ให้อยู่เสมอ ส่งผลให้ในภายหลังฮวาอิงหลงและเสี่ยวม่านก็ได้รับงานที่น้อยและเบาลงกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด
วันหนึ่งเฉินเม่าแวะมานั่งพูดคุยกับทั้งสองในช่วงบ่าย แสงแดดอ่อน ๆ สาดส่องผ่านหน้าต่างไม้ของห้องพักขนาดเล็ก ฮวาอิงหลงเห็นเป็นโอกาสที่เหมาะสมจึงแอบถามเรื่องข้อมูลเกี่ยวกับฟางซินเย่เป้าหมายสำคัญของนาง
เฉินเม่าเป็นคนปากมากอยู่แล้ว นางจึงรู้สึกคันปากขึ้นมาในทันทีที่ได้ยินคำถามของฮวาอิงหลง นางจึงเริ่มเล่าเรื่องราวของฟางซินเย่อย่างออกรสออกชาติ
"ท่านแม่ทัพใหญ่หรือ" เฉินเม่ามองซ้ายมองขวาอย่างกลัวว่าใครจะมาได้ยิน เมื่อนางเห็นว่าปลอดคน เฉินเม่าจึงเริ่มเล่าในทันที "ท่านแม่ทัพเป็นคนที่มีความเข้มงวดและเด็ดขาดมากแต่ก็มีความเมตตาต่อคนในจวนไม่น้อยทีเดียว ที่สำคัญท่านแม่ทัพยังไม่มีฮูหยินเสียด้วย สาวใช้ในจวนต่างจ้องมองท่านแม่ทัพตาเป็นมัน ทุกคนต่างหวังได้มีโอกาสปรนนิบัตินายท่านกันเสียถ้วนหน้า แต่ว่าข้าก็ไม่เคยเห็นนายท่านเลือกผู้ใดขึ้นไปรับใช้เป็นการส่วนตัวสักคน ช่างน่าเสียดายยิ่งนัก"
ฮวาอิงหลงฟังอย่างตั้งใจ นางจับทุกคำพูดของเฉินเม่าและใส่ใจในรายละเอียดทุกอย่าง นางจึงเปรยออกมาเบา ๆ ด้วยเสียงที่แฝงไปด้วยความฝันหวาน "แล้วพี่เฉินเม่าคิดว่า ข้าพอจะมีโอกาสได้รับใช้ท่านแม่ทัพสักครั้งหรือไม่"
เฉินเม่ามองฮวาอิงหลงอย่างจับพิรุธ ฮวาอิงหลงรีบยิ้มน้อยอย่างเอียงอาย "ข้าก็เพียงพูดส่งเดชไปเช่นนั้นเอง แต่ว่า...หากพวกเราคนใดคนหนึ่งเกิดได้รับวาสนาจากท่านแม่ทัพ พี่เฉินเม่าไม่คิดหรือเจ้าคะ ว่าพวกเราคงมีความเป็นอยู่ที่สบายขึ้นกว่านี้อีกเป็นกอง"
คำพูดของฮวาอิงหลงทำให้เฉินเม่าเริ่มคล้อยตาม นางคิดในใจว่าสิ่งที่ฮวาอิงหลงพูดมีความเป็นจริงอยู่หลายส่วนทีเดียว หากเปรียบเทียบรูปลักษณ์ของพวกนางทั้งสาม ฮวาอิงหลงย่อมมีโอกาสมากกว่าเพื่อนเป็นแน่
เฉินเม่าหันมามองหน้าฮวาอิงหลงอย่างจริงจัง "หากข้าช่วยเหลือเจ้า เจ้าคงไม่ลืมบุญคุณข้าหรอกนะ"
ฮวาอิงหลงรีบจับแขนของเฉินเม่าไว้แน่น "หากมีวาสนาพวกเราทั้งสามที่เสมือนดั่งพี่น้องย่อมไม่ทิ้งกันเป็นแน่ จริงหรือไม่เสี่ยวม่าน"
เสี่ยวม่านพยักหน้าตามนายหญิงของตน แต่นางกลับจ้องมองหน้าฮวาอิงหลงอย่างมีคำถามมากมาย แต่เพราะเฉินเม่ายังคงอยู่ตรงนี้ทำให้นางได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจเพียงเท่านั้น
เฉินเม่ายิ้มให้ฮวาอิงหลง "ข้ามองคนไม่ผิดนัก เอาเป็นว่าถ้าข้ามีโอกาส ข้าจะสนับสนุนเจ้าก็แล้วกัน"
ฮวาอิงหลงยิ้มรับพร้อมความคิดมากมายในหัว นางคิดถึงแผนการในอนาคตและเป้าหมายต่อไปก็คือฟางซินเย่ หากเจ้าได้เจอนักแสดงตัวแม่เช่นข้า ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะไม่ตกหลุมพรางคนอย่างข้าไปได้อย่างแน่นอน
วันหนึ่งขณะที่ฮวาอิงหลงกำลังช่วยเสี่ยวม่านตากผ้ากองพะเนินอยู่นั้น เฉินเม่าก็วิ่งหน้าตื่นมาหานางด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น
“อิงหลง ข้ามีข่าวดีมาบอก ท่านแม่ทัพ...ท่านแม่ทัพมีคำสั่งให้เจ้าไปปรนนิบัติคืนนี้” เฉินเม่ากระหืดกระหอบพูดด้วยความเร่งรีบ
ฮวาอิงหลงเบิกตากว้างด้วยความดีใจ โอกาสของนางมาถึงแล้ว นางยกยิ้มด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ ผิดกับเสี่ยวม่านที่มองหน้าฮวาอิงหลงด้วยความกลัดกลุ้ม
“พี่เฉินเม่า พี่พูดจริงหรือ ท่านแม่ทัพจะให้คุณหนูเอ่อ....คุณหนู” เสี่ยวม่านหันไปย้ำกับเฉินเม่า ก่อนจะส่งสายตากังวลไปยังฮวาอิงหลง
“แน่นอนสิ เรื่องเช่นนี้ข้าจะมาพูดเล่นได้อย่างไร อิงหลงข้าว่าเจ้ารีบไปเตรียมตัวเสียเถอะ ขืนชักช้ามีหวังแทนที่จะได้รับความโปรดปรานจะกลายเป็นต้องโทษเข้าให้เสีย” เฉินเม่ารีบคะยั้นคะยอฮวาอิงหลงอย่างตื่นเต้น
สักพักยังไม่ทันที่พวกนางทั้งสามจะพูดจบ เจ้าหมัวมัวก็เดินอาด ๆ เข้ามายังฮวาอิงหลง “ฮวาอิงหลง ท่านแม่ทัพมีคำสั่งให้เจ้าปรนนิบัติคืนนี้ เจ้ารีบตามข้ามา”
สาวใช้อีกสองคนเดินเข้ามาประกบฮวาอิงหลงเพื่อนำทางไปตระเตรียมร่างกายของนางให้พร้อม
เสี่ยวม่านรั้งแขนของฮวาอิงหลงเอาไว้ด้วยความกังวล ฮวาอิงหลงได้แต่ยิ้มอ่อนพร้อมตบมือเข้าที่หลังมือของนางอย่างให้คลายกังวล
ฮวาอิงหลงเดินเชิดหน้าตามเจ้าหมัวมัวอย่างไม่มีท่าทีหวั่นเกรงสิ่งใด แม้นางจะไม่เคยมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับผู้ใดมาก่อนทั้งในชาติที่แล้วและชาตินี้ แต่ฮวาอิงหลงก็เป็นสาวยุคสองพัน ตอนที่นางแสดงหนัง พวกฉากอย่างว่าล้วนแล้วแต่ผ่านมือนางมาแล้วทั้งสิ้น อีกทั้งร่างกายนี้เดิมทีก็มิใช่ของนางเสียเมื่อไหร่ หากจะใช้ร่างกายนี้ให้เป็นประโยชน์กับนับว่าเป็นผลดีกับอนาคตของพวกนางไม่ใช่น้อย
ฮวาอิงหลงถูกพามายังห้องอาบน้ำ ถังไม้ขนาดใหญ่ที่บรรจุน้ำอุ่นพร้อมกลีบดอกไม้โปรยอยู่ทั่วบริเวณส่งกลิ่นหอมละมุนจนนางเผลอสูดดมเข้าไปอย่างชื่นใจ นานเท่าไหร่แล้วนะที่นางไม่ได้นอนแช่น้ำอุ่นผสมอโรม่าหอมฉุยเช่นนี้ ฮวาอิงหลงยกยิ้มขึ้นมาเมื่อนึกถึงเรื่องราวหนหลัง ทำให้นางยิ่งมีพลังใจในการบรรลุเป้าหมายดังกล่าวให้สำเร็จให้จงได้
ฮวาอิงหลงถูกขัดสีฉวีวรรณจนร่างกายขาวผ่อง กลิ่นดอกไม้ถูกชโลมไปทั่วร่างจนทำให้เกิดกลิ่นกายที่หอมรัญจวนไม่ต่างจากการฉีดน้ำหอมในยุคสมัยของนางเลยทีเดียว
หลังจากนั้นฮวาอิงหลงก็ถูกจับสวมเสื้อผ้าเนื้อบางเบาจนแทบปิดสิ่งใดไม่มิด ผ้าคาดอกสีชมพูอ่อนที่แนบเข้ากับหน้าอกอวบพร้อมเสื้อทับสีขาวตัวบางยิ่งเสริมให้เห็นส่วนโค้งส่วนเว้าอันน่าหลงใหล เสื้อคลุมผืนบางถูกคลุมทับอีกชั้นหนึ่ง หากแต่ก็ไม่อาจปกปิดสายตาให้เห็นเรือนร่างอันยั่วยวนใจไปได้
เจ้าหมัวมัวมองผลงานตนเองอย่างภาคภูมิใจ นี่นับเป็นครั้งแรกที่นายท่านมีคำสั่งให้สาวใช้ในเรือนขึ้นไปปรนนิบัติข้างกาย ทำให้บ่าวรับใช้ทั้งหลายถึงกับตกตะลึง บ้างก็มองฮวาอิงหลงด้วยความอิจฉา บ้างก็มองด้วยความยินดีในวาสนาของนาง
ฮวาอิงหลงถูกพาตัวมายังเรือนของฟางซินเย่ นางรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก หัวใจเต้นรัวราวกับกลองศึกก็ไม่ปาน ฮวาอิงหลงสูดลมหายใจเข้าลึก พลางปลอบโยนตนเองว่าเป็นแค่ละครฉากหนึ่งเท่านั้น แค่เพียงนางแสดงได้สมจริงทุกอย่างก็จะผ่านพ้นไปได้ด้วยดี
บทที่ 72 เริ่มต้นวันใหม่ค่ำคืนอันเงียบสงบ แสงจันทร์ส่องผ่านหน้าต่างที่เปิดออกเล็กน้อย ลมพัดเบาๆ พาเอากลิ่นหอมของดอกเหมยที่บานสะพรั่งอยู่รอบจวนลอยมาแตะจมูก ภายในห้องนอนใหญ่ท่ามกลางแสงสลัวนั้น ฟางซินเย่นอนมองหน้าฮวาอิงหลงนอนคุดคู้อยู่บนเตียง นางดูน่าหลงใหลยิ่งขึ้นเมื่อแสงจันทร์ตกกระทบบนใบหน้าที่ผุดผาดฮวาอิงหลงยิ้มยั่วยวนเมื่อเห็นสายตาของฟางซินเย่ที่มองมาด้วยความปรารถนาอันเร่าร้อนที่ไม่อาจซ่อนเร้น“อิงเอ๋อร์...” ฟางซินเย่ยื่นมือขึ้นลูบไล้ไปตามลำแขนขาวก่อนจะไล่ลงมาตามลำตัวจนกระทั่งถึงหน้าท้องที่เริ่มนูนขึ้นมา “พ่อเจ้าต้องการแม่เจ้าเหลือเกิน เจ้าอนุญาตหรือไม่” ฟางซินเย่เพ้อออกมาด้วยเสียงกระเส่า เขาพูดไปพลางปรายตามองฮวาอิงหลงด้วยสายตากรุ้มกริ่มฮวาอิงหลงยิ้มเขินออกมาอย่างรู้ทัน นางโน้มตัวขึ้นเกยบนร่างหนาของฟางซินเย่ในทันที สองมือของฟางซินเย่ช้อนร่างบางขึ้นคร่อมตัวเขาอย่างระมัดระวังด้วยเกรงจะกระทบถึงบุตรในท้องฟางซินเย่หยัดกายขึ้นเล็กน้อยพร้อมสองมือที่ยังคงลูบไล้ไปตามหน้าอกอิ่มนูนของฮวาอิงหลงอย่างหลงใหล ลมหายใจเริ่มติดขัดขึ้นมาพร้อมกับปากที่เป่าลมร้อนออกอย่างต้องการสะกดกลั้นอารมณ์เอาไว้ฮว
บทที่ 71 อำลาเมืองหลวงเสียงกลองและแตรสัญญาณดังกึกก้องไปทั่วบริเวณลานวังหลวง ขันทียกราชโองการขึ้นประกาศ “ฮ่องเต้มีราชโองการ ด้วยบุญบารมีของราชวงศ์โจวทำให้เชื้อพระวงศ์กลับคืนสู่ราชวงศ์ ข้าขอแต่งตั้งฟางซินเย่เป็นองค์ชายโจวซินเย่ แต่งตั้งฮวาอิงหลงเป็นพระชายาอ๋อง และแต่งตั้งเฉินเม่าเป็นองค์หญิงโจวเหยาหยาง จบราชโองการ” ฟางซินเย่โน้มรับราชโองการด้วยใบหน้าเรียบสงบ เผยให้เห็นความสง่าผ่าเผยอยู่ในที ในขณะที่ฮวาอิงหลงและเฉินเม่ากลับแสดงสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งเกร็งด้วยความตื่นเต้นกังวลกับการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันเช่นนี้ จากสาวใช้ในจวนแม่ทัพคนหนึ่งได้เป็นองค์หญิง ส่วนอีกคนได้เป็นพระชายาอ๋องช่างเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ยิ่งนักหลังเสร็จสิ้นการประกาศแต่งตั้งเฉินเม่าก็ได้ย้ายไปอยู่ที่จวนโจวหนานเอ๋อร์ ผู้เป็นมารดาของนาง ทว่าสำหรับฟางซินเย่นั้นกลับเลือกที่จะขอพำนักที่จวนแม่ทัพตามเดิมโจวหนานเอ๋อร์แม้จะรู้สึกไม่ค่อยพอใจมากนัก แต่ก็ไม่ต้องการหักหาญน้ำใจของบุตรชาย นางจึงเพียงกำชับฮวาอิงหลงให้หมั่นไปเยี่ยมเยียนตนที่จวนให้บ่อยครั้งในช่วงบ่ายวันหนึ่ง ฟางซินเย่และฮวาอิงหลงเดินทางไปยังจวนฉางกงจู่ โจวหนานเอ๋อร์และเฉ
บทที่ 70 ลูกของข้าราชโองการถูกประกาศปล่อยตัวฟางซินเย่ในวันต่อมาโดยทันที ในที่สุดฟางซินเย่ก็ถูกปล่อยตัวหลังจากถูกคุมขังมาเป็นเวลาหลายวันเมื่อฟางซินเย่ได้รับอิสรภาพ เขาก้าวออกจากคุกด้วยความมุ่งมั่นและดวงตาที่เต็มไปด้วยความคิดถึงฮวาอิงหลง หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความถวิลหานาง ดั่งว่านี่คือการเดินทางที่ยาวนานที่สุดของชีวิตเขา“อิงเอ๋อร์...ข้าไม่ยอมสูญเสียเจ้าไปเป็นอันขาด” ฟางซินเย่กล่าวกับตนเองขณะที่ก้าวขึ้นม้าด้วยความกระตือรือร้น ก่อนจะพุ่งตรงไปยังจวนอ๋องเมื่อฟางซินเย่ถึงจวนอ๋อง เขาปรี่ตรงเข้าไปหาโจวอี้เสวียนในทันที สองมือกุมคอเสื้อของโจวอี้เสวียนอย่างไม่นึกหวั่นเกรงสิ่งใดอีกต่อไป ดวงตาแดงก่ำด้วยโทสะที่มี พร้อมกล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงกัดฟันกรอด “อิงเอ๋อร์...อยู่ที่ใด”โจวอี้เสวียนหันมามองเขาด้วยดวงตาเย็นชา ใบหน้าของชายหนุ่มที่พรากหัวใจของหญิงสาวคนรักของตนไปทำให้เขานึกครึ้มอย่างจะกลั่นแกล้งฟางซินเย่อีกสักหน่อย โจวอี้เสวียนยิ้มเยาะขึ้นมา “ท่านแม่ทัพ...เหตุใดข้าต้องตอบคำถามเจ้าด้วยเล่า”คำพูดยียวนทำเอาฟางซินเย่ถึงกับบันดาลโทสะ เขาง้างมือขึ้นเตรียมจะชกหน้าโจวอี้เสวียน แต่องครักษ์ข้างกายของโจวอ
บทที่ 69 ฝืนยอมรับในท้องพระโรงที่โอ่โถง บรรยากาศยังคงเต็มไปด้วยความตึงเครียดและกดดัน โจวจางเย่วประทับอยู่บนบัลลังก์ด้วยสีหน้าเข้มขรึมและดวงตาที่เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว โจวอี้เสวียนที่ยืนหน้าเครียดอยู่ด้านข้าง ทั้งสองกำลังถกเถียงกันอย่างดุดัน“อี้เสวียน...เจ้าช่างบังอาจนัก เจ้ากล้าทำเรื่องเช่นนี้เพียงเพื่อสตรีนางเดียวอย่างนั้นหรือ” โจวจางเย่วชี้นิ้วไปยังโจวอี้เสวียนด้วยความเกรี้ยวกราดโจวอี้เสวียนยืนนิ่งเงียบแต่ดวงตาเต็มไปด้วยความดื้อรั้น “ข้าไม่มีทางเลือก ในเมื่อเสด็จพ่อมิทรงทำสิ่งใด เช่นนั้นข้าก็จำเป็นต้องหาทางของข้าเอง”“เจ้านี่ช่างโง่เขลายิ่งนัก” โจวจางเย่วแค่นเสียงออกมาด้วยความขัดเคืองใจ “ความรักของเจ้าทำให้เจ้าลืมเลือนความเป็นบุตรหลานแห่งราชวงศ์แล้วหรือ เจ้าลืมแล้วหรือว่าเจ้ามีสถานะเช่นใด เจ้าลืมแล้วหรือว่าบัลลังก์แห่งนี้วันหน้าต้องเป็นของเจ้า เจ้ากลับผิดแผนชั่วเพื่อแย่งชิงภรรยาผู้อื่น เช่นนั้นต่อไปจะมีผู้ใดในแคว้นเคารพและนับถือเจ้า จะมีผู้ใดยอมรับใช้ถวายหัวให้กับเจ้า แม่ทัพฟางเป็นเสาหลักของแคว้น หากเจ้ากำจัดเขาทิ้ง เจ้าคิดหรือว่าบัลลังก์แห่งนี้จะมั่นคงอยู่ได้”โจวอี้เสวียนกัด
บทที่ 68 พบพานภายในห้องขังที่แสนอับชื้นและเหน็บหนาว เสียงกุญแจที่บานประตูคุกหลวงสะท้อนเสียงดังไปทั่ว ฟางซินเย่ที่นั่งพิงผนังหินเย็นเฉียบตาแดงก่ำมองดูหนังสือหย่าที่เพิ่งได้รับ มือของเขาสั่นเทาอย่างไม่อาจควบคุมได้ ริมฝีปากแห้งผากเผยอเบาๆ ออกมาราวกับจะกล่าวคำใด แต่ทุกคำกลายเป็นเพียงเสียงหายใจที่ตัดรอน “อิงเอ๋อร์...” ฟางซินเย่พร่ำเอ่ยชื่อของฮวาอิงหลงออกมาด้วยดวงตาสั่นไหวที่คงความขมขื่นไว้ในห้วงแห่งความโศกเศร้า“อิงเอ๋อร์...เหตุใดต้องทำเช่นนี้เพื่อข้า” ฟางซินเย่คร่ำครวญออกมา ใบหน้าเปลี่ยนสีแดงก่ำราวกับเปลวเพลิงร้อนรุ่ม “เจ้ายอมแต่งงานกับโจวอี้เสวียนเพียงเพื่อรักษาชีวิตข้า...ข้าคือผู้ชายที่ไร้ค่าเพียงนี้เชียวหรือ...” เขาหัวเราะออกมาด้วยเสียงที่ขาดหายราวกับจะกลั้นไม่ให้เสียงสะอื้นเล็ดลอดออกมา ความรันทดอดสูใจทำให้เขาถึงกับกุมหมัดขึ้นทุบผนังหิน เลือดไหลซึมออกมาหยดลงเป็นทางยาว ความเจ็บปวดของร่างกายกลับไม่อาจเทียบความเจ็บปวดภายในใจที่มีได้ในขณะที่บรรยากาศคุกขังอัดแน่นไปด้วยความเจ็บปวดและสิ้นหวัง ภายในเฉินเม่าและเสี่ยวม่านกลับไม่อาจทนอยู่เฉยได้อีกต่อไป ความทุกข์ร้อนของพี่น้องร่วมสาบานเช่นฮวาอิง
บทที่ 67 แผนร้ายภายในโถงใหญ่ในจวนอ๋อง โจวอี้เสวียนที่หน้าตาเคร่งเครียดยืนอยู่อย่างหัวเสีย ความหงุดหงิดก่อตัวภายในใจที่นึกไว้ใจคนที่ไม่ได้เรื่องเช่นเฉินเฉียวเหยา หากนางไม่ไร้ความสามารถเช่นนี้โอกาสที่เขาจะกำจัดเสี้ยนหนามหัวใจอย่างฟางซินเย่ย่อมเห็นเป็นรูปร่างมากขึ้น ข้าวของถูกปาแตกกระจายด้วยโทสะที่คุกรุ่นอยู่ภายใน เขาก้าวเดินวนไปมาอย่างต้องการใช้ความคิดสักครู่หนึ่งโจวอี้เสวียนตะโกนเรียกองครักษ์คนสนิทเข้ามา “พวกเจ้าจงไปทำตามที่ข้าสั่งให้เรียบร้อยเดี๋ยวนี้” โจวอี้เสวียนออกคำสั่งด้วยเสียงเข้มขรึม ดวงตาคมเข้มเปี่ยมด้วยความมุ่งมั่นที่ไม่รู้จักพ่ายแพ้องครักษ์ค้อมศีรษะรับคำสั่งทันที “ขอรับท่านอ๋อง”โจวอี้เสวียนเหม่อมองออกไปภายนอกห้องด้วยความคิดอันแยบยล หากแผนการแรกผิดพลาด เขาย่อมต้องมีแผนที่สองเตรียมรับมือไว้เป็นแน่ผ่านไปเพียงไม่ถึงเดือน กองกำลังทหารของโจวอี้เสวียนก็เข้าปิดล้อมจวนแม่ทัพอย่างรวดเร็ว ฟางซินเย่เดินอย่างอาจหาญออกมาเผชิญหน้าเหล่าทหารของโจวอี้เสวียน โดยมีเหล่าทหารกองทัพของฟางซินเย่ยืนประจัญบานเตรียมพร้อมสำหรับการโจมตี“แม่ทัพฟางซินเย่ ข้าน้อยได้รับคำสั่งให้ตรวจค้นจวนของท่าน โปรดใ