“นี่พี่ชินยังไม่ไปทำงานอีกเหรอคะ” หมอรัชนกทักชินวุฒิพร้อมยกนาฬิกาขึ้นดู...เจ็ดโมงครึ่งแล้ว ถ้าไม่ไปตอนนี้ด้วยสภาพการจราจรในกรุงเทพฯ...ไม่ทันงานแน่ ๆ
“หมอนกมาพอดีเลย พี่ก็รออยู่ อยากรู้ว่าคุณณิชเป็นยังไงบ้าง ต้องนอนโรงพยาบาลอีกกี่วัน”
“ถ้าอย่างนั้นรบกวนญาติออกห่างสักนิดนะคะ ขอหมอตรจก่อนแล้วถึงจะให้คำตอบได้ค่ะ” หมอร่างผอมเพรียวแกล้งดันชินวุฒิให้ออกห่างจากเตียง ก่อนที่จะดึงผ้าม่านปิดจนรอบเตียงผู้ป่วย
เสียงพูดคุยเบา ๆ ของผู้ป่วยกับหมอทำให้ชินวุฒิอดไม่ได้ที่จะเงี่ยหูฟัง คอยลุ้นอยู่ว่าหมอจะพูดว่าอะไรบ้าง เขาอยากให้ณิชชาหายเป็นปกติในเร็ววัน
เวลาผ่านไปไม่นาน ผ้าม่านก็เปิดออก ชินวุฒิก็รัวคำถามใส่หมอทันที
“ดีขึ้นแล้วค่ะ แต่ไม่ได้หมายถึงดีพอที่จะกลับบ้านนะคะ คงอีกหลายวันเลยละค่ะ” หมอบอกยิ้ม ๆ แต่ใบหน้าของทั้งคนไข้และคนที่อุปโลกน์ตัวเองว่าเป็นญาติต่างก็สลดลงไปทั้งคู่เมื่อได้ยินประโยคนี้ “หมออยากให้ดูอาการอีกสักหน่อย ไม่อยากให้มีอาการแทรกซ้อนอะไรขึ้นมาจนแก้ไม่ทัน อยู่ใกล้หมอไว้ก่อนดีกว่านะคะ”
ชลาสินธุ์อยู่ในคอนโดของณิชชา เขาค้นโต๊ะของณิชชาจนทั่ว ก่อนจะพบการ์ดใบหนึ่งนอนอยู่ด้านในสุดของลิ้นชักโดยมีกล่องอุปกรณ์เครื่องเขียนทับไว้อีกที คงจะเป็นคีย์การ์ดสำรองเผื่อว่าตัวเองลืมเอาการ์ดมา
จะอะไรก็ช่างเถอะ ตอนนี้เขาอยู่ที่นี่แล้ว
ห้องของณิชชาไม่ได้กว้างใหญ่ แต่ภายในห้องนั้นแทบไม่มีอะไรเลย นอกจากตู้เสื้อผ้า เตียง โต๊ะเครื่องแป้งที่คงจะติดมากับคอนโดตอนขาย และโต๊ะอ่านหนังสือเพิ่มขึ้นมาหนึ่งอย่างเท่านั้น จึงทำให้ไม่ได้อึดอัดอะไรมากนัก
คิดถึง...
เป็นห่วง...
ป่านนี้ไม่รู้จะเป็นอย่างไรบ้าง ทำไมยังไม่กลับมาอีก
เสียงคร่ำครวญใต้ร่างของเขาเมื่อวันก่อน ทำให้รู้สึกผิดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ที่เคยพูดว่าหญิงสาวหวังอะไรในตัวเขา ตอนนี้ชัดเจนแล้วว่า เขาตกหลุมพรางเธอเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ภาพความเจ็บปวดที่ร่างเล็กได้รับจากการกระทำของเขามันติดตา
‘อ๊า...ฉันเจ็บ...ฉะ...ขอ อึก ขอโทษ’
‘ได้โปรด อ๊ะ...หยุด...หยุดเถอะ’
‘คุณ อึก คุณสินธุ์ ฉัน ขะ...ขอโทษ โอ๊ย!’
เสียงคร่ำครวญและขอร้องให้หยุดยังติดอยู่ที่หู ชัดเจนอยู่ในใจ นับตั้งแต่เริ่มต้นใช้ณิชชาเป็นเครื่องระบายอารมณ์ นี่คือครั้งที่รุนแรงที่สุด เขาตั้งใจทำให้เป็นอย่างนั้น ตั้งใจให้มันเป็นการลงโทษและเอาคืนที่สาสม โดยลืมไปว่าร่างกายบาง ๆ นั้นมีขีดจำกัด วันนั้นณิชชาสลบคามือเขาไปหลายรอบทีเดียว
“ฉันขอโทษ”
หลายวันต่อมา ณิชชากลับมาถึงบ้านในช่วงค่ำ ความจริงเธอจะกลับเร็วกว่านี้ก็ได้ แต่เจ้าของไข้ไม่ยอม บอกว่าจะต้องเป็นคนมาส่งเธอด้วยตัวเอง ทำให้ต้องรอชินวุฒิเสร็จงานก่อน แล้วจึงมาจัดการเรื่องค่ารักษาที่ไม่ว่ายังไง เขาก็ขอเป็นคนดูแลณิชชาทั้งหมด
“เข้ามาข้างในก่อนค่ะ” ณิชชาบอกกับชินวุฒิหลังเปิดประตูคอนโดตัวเอง แล้วอีกฝ่ายไม่ยอมก้าวเข้ามาด้านใน
“ไม่ดีกว่าครับ ผมอยากให้คุณณิชพักผ่อนเยอะๆ ผมเข้าไปเดี๋ยวคุณณิชก็ต้องมาคุยดูแลผมอีก”
ณิชชาหัวเราะเบา ๆ “ก็คุณชินเป็นแขกนี่คะ”
“ผมเป็นห่วงคุณณิชนะครับ พักผ่อนเยอะๆ หายดีเมื่อไร เราจะได้ทำงานด้วยกันสักที”
‘เป็นห่วง’ คำนี้เธอไม่ได้ยินมานานแค่ไหนแล้วนะ ล่าสุด อัครชัยพูดใช่ไหม ไม่ใช่...เขาพิมพ์มันผ่านแอปพลิเคชันมาต่างหาก แล้วหลังจากนั้นก็ไม่มีใครพูดคำนี้กับเธออีก
“นี่ยานะครับ กินให้ครบตามหมอสั่งนะ ไม่งั้นโดนหมอนกดุเอาผมไม่รู้ด้วย ขานั้นได้ชื่อว่าดุยิ่งกว่างูอีกนะครับ” ชินวุฒิยื่นถุงยาให้เธอ
ขณะที่ณิชชาก็อดขำไปกับคำพูดเขาไม่ได้
“คุณชินต่างหากล่ะคะ ที่จะโดนคุณหมอนกดุ ณิชแทบไม่รู้เลยว่าระหว่างหมอนกกับคุณชินใครกันแน่ที่เป็นหมอ” เพราะเขาดูแลเธอดีมาก ซ้ำยังเจ้ากี้เจ้าการเอากับหมอที่เป็นญาติผู้น้องให้มาดูแลเธอให้มาก ๆ ด้วย
“ก็ผมอยากให้คุณณิชหายไว ๆ นี่ครับ”
“ขอบคุณสำหรับทุก ๆ อย่างนะคะ ถ้าคราวนี้ไม่ได้คุณชิน ณิชอาจจะตายไปแล้วก็ได้”
“อย่าพูดอย่างนั้นสิครับ เราไม่พูดเรื่องเป็นเรื่องตายกันหรอก สัญญากับผมนะครับว่า ต่อไปนี้ชีวิตคุณณิชจะมีแต่เรื่องดี ๆ อืม...”
“คะ?”
“แต่ก็คงมีแต่เรื่องดี ๆ นั่นแหละ เพราะต่อไปผมจะดูแลคุณณิช ด้วยตัวของผมเอง”
ณิชชายิ้มกว้าง แม้นัยน์ตาจะยังหลงเหลือความเจ็บปวดและเศร้าโศก แต่มันดีขึ้นมากเมื่อไม่รู้สีกว่า ตัวเองมีแต่ความโดดเดี่ยวเป็นเพื่อน
“ผมไปดีกว่าครับ คุณณิชจะได้พักผ่อน ถ้ามีเรื่องฉุกเฉินโทร.หาผมได้ตลอดเลยนะครับ อย่าเกรงใจ ดึกดื่นแค่ไหนก็ได้”
“ขับรถดี ๆ นะคะ”
สองคนล่ำลากันเสร็จโดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า มีใครบางคนนั่งกำหมัดแน่นอยู่ในความมืดข้างเตียงนอนนั้นเอง
“ไปไหนมา”
“คุณสินธุ์!” หญิงสาวสะดุ้งตัวโยน เสียงของเธอสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ ภาพวันที่ถูกทำร้ายอย่างหนักมันปรากฏชัดอยู่ในหัวอีกครั้ง เธอน้ำตาไหลพราก แข้งขาสั่น ไร้แรงกำลังเอาดื้อ ๆ
“หึ ตกใจอะไร เจอหน้าผัวแค่นี้” ชลาสินธุ์ถาม แต่สายตาที่
แข็งกร้าวกลับอ่อนแสงลงเมื่อมองเห็นถุงยาในมือเธอ“แก...”
“แล้วจะไม่เข้ามาหรือไง”
ณิชชาก็ยังคงไม่กระดุกกระดิกเหมือนเดิม ตอนนี้ชลาสินธุ์ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่า เธอยังมีสติพอที่จะพูดคุยกับเขาได้หรือเปล่า เขาจึงค่อย ๆ เดินเข้าไปหา และรีบวิ่งไปจับตัวเธอเข้าไว้ เมื่อเห็นว่าเธอกำลังจะหนี
“ปล่อยนะ! ปล่อย!” หญิงสาวดิ้น อาการของเธอนั้นทำให้อีกฝ่ายรู้ว่า หญิงสาวกำลังจะสติหลุด
“ชู่...ฉันไม่ทำร้ายเธอ ฉันมาดี” เขากอดเธอไว้แน่น แล้วกระซิบเบาๆ ที่ข้างหู “ฉันมาดี ฉันมาดูแลเธอ” เขาบอก มือที่กอดค่อยๆ ลูบแผ่นหลังบางนั้นช้า ๆ
น้ำตาแห่งความตื่นตระหนกของณิชชาก็ไหลออกมาอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว หญิงสาวตัวสั่นอย่างควบคุมไม่อยู่ เธอกลัวจับขั้วหัวใจ รู้ตัวดีว่าไม่สามารถทนความโหดร้ายแบบวันนั้นได้อีก
เสียงพ่นลมหายใจหนัก ๆ ดังขึ้น
“กินข้าวหรือยัง” เขาถามแบบเปลี่ยนเรื่องไปเลย หญิงสาวจะได้ไม่ต้องกลัวเรื่องนี้อีก “หืม?”
“กะ...กินแล้ว”
ก่อนกลับบ้านชินวุฒิพาเธอแวะร้านอาหารมาแล้ว
“อืม” ชลาสินธุ์พยักหน้ารับรู้ สายตามองไปยังถุง ๆ หนึ่งบนหลังตู้เย็น ภายในบรรจุกล่องข้าวเอาไว้สองกล่อง ระบุชื่อร้านที่มีชื่อเสียงอย่างมากแห่งหนึ่ง “งั้นก็ไปอาบน้ำ จะได้มานอนพัก”
หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมามองเขาอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ
“มะ..มาทำไม” ณิชชาอยากจะดื้อดึงเหมือนก่อน แต่สภาพร่างกายไม่ได้เอื้ออำนวยเลย
“ทำไม? มีปัญหาเหรอ”
“เปล่า แต่ว่าฉัน...”
“ไปอาบน้ำแล้วมานอนเถอะ ไม่ต้องพูดมาก” เขาว่าก่อนจะพาเธอเข้ามาในห้อง
ณิชชาสะดุ้งโหยงเมื่อประตูห้องน้ำถูกเคาะจนดังโครม ๆ ถี่
“ณิช ณิชชา! เปิดประตู!”
หญิงสาวกลัวจนตัวสั่น ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดว่า ในห้องน้ำคือสถานที่ปลอดภัย เธอจะไม่ยอมเปิดประตูเด็ดขาด แต่แล้วก็ต้องแปลกใจเมื่อได้ยินอีกคนพูด
“เป็นอะไรหรือเปล่า? ทำไมอาบน้ำนานขนาดนี้?”
หญิงสาวมองนาฬิกา เพิ่งผ่านไปแค่สิบห้านาทีเท่านั้น
“ณิช!!!”
“ค่ะ ๆ ๆ เสร็จแล้วค่ะ” หญิงสาวรีบอาบน้ำเร็วขึ้นอีกนิด ก่อนจะออกมาจากห้องน้ำ ด้วยเสื้อคลุ้มอาบน้ำตัวใหญ่ และผ้าขนหนูที่คลุมอยู่ที่ผม
“...”
“คุณจะใช้ห้องน้ำเหรอ”
“ทำไมหัวเปียกขนาดนี้”
ตะโกนถามออกไป แล้วก็ใจเสียเมื่อคนฟังสะดุ้งจนลมหายใจสะดุดชลาสินธุ์หยิบเอาผ้าขนหนูที่คลุมผมอยู่เช็ดจนผมหญิงสาวหมาดแล้วพามานั่งที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง
หญิงสาวมองมองคนตัวใหญ่ผ่านกระจกอย่างไม่อยากเชื่อว่าจะเป็นคนคนเดียวกับที่เคยทำร้ายเธอเมื่อหลายวันก่อน
ชลาสินธุ์เพิ่งจะรู้ตอนนี้เองว่า ตัวเองคิดผิด ผมของณิชชาที่เพิ่งผ่านการสระมาหมาด ๆ นี้หอมมาก หอมจนอดไม่ได้ที่จะก้มลงไปสูดดม จนเจ้าของเส้นผมนุ่มตกใจอีกรอบ
“เสร็จแล้ว นอนสักที” พูดจบก็คว้าข้อมือเล็ก ทำเอาเจ้าของข้อมือมีปฏิกิริยาต่อต้านขึ้นมาทันที
“ฉะ...ฉัน...”
“ถ้าไม่มานอนดี ๆ ฉันจะปล้ำให้ลุกจากเตียงไม่ได้อีก แล้วคราวนี้อย่าคิดว่าใครจะมาช่วยได้”
ได้ผล ร่างเล็กก้าวตามมาที่เตียงทันที ชลาสินธุ์จับให้คนป่วยนอนกับเตียงแล้วห่มผ้าให้จนถึงคอ
หญิงสาวเล็กหันหลังให้เขาทันทีที่ห่มผ้าเสร็จ
ชลาสินธุ์แกล้งกอดร่างบางจากทางด้านหลังแน่นๆ
“คุ...คุณบอกว่า...ถ้าฉันนอนดี ๆ คุณจะไม่ทำอะไรนะ”
“แล้วฉันทำอะไรหรือยัง” เสียงกระซิบถาม แต่ปากของเขาก็ค่อยๆ จูบที่ลาดไหล่ ลำคอ ต่อไปเรื่อยๆ
“คุณพูดแล้วนะ”
“เอาเถอะ นอนซะ จะได้หายเร็ว ๆ”
ชลาสินธุ์พูดคล้ายจะปลอบโยน เมื่อได้ยินเสียงสั่นเครือที่เกิดจากการร้องไห้เพราะความหวาดกลัว
เขาเลวจริง ๆ ความรู้สึกนี้คงกัดกินเขาไปอีกนาน เขาลูบไหล่บางอยู่อย่างนั้นจนหญิงสาวเข้าสู่ห้วงนิทรา
ณิชชางัวเงียตื่นขึ้นมาเพราะกลิ่นอาหารบางอย่างหอมกรุ่นก่อกวนจมูก พอลืมตาขึ้นมาก็เห็นว่าชลาสินธุ์กำลังง่วนอยู่กับกะทะไฟฟ้าในโซนครัวเล็กๆ ของเธอซึ่งอันที่จริง เธอแทบไมได้ทำอะไรกับมันเลย เขาอยู่ในกางกางบ๊อกเซอร์ตัวเดียว อวดลอนกล้ามทั้งตัว จนหญิงสาวต้องหลับตาลงอีกครั้ง เพราะรู้สึกว่าใบหน้าของตัวเองร้อนผ่าวขึ้นมา
“ตื่นแล้วก็ลุกสิ”
ณิชชาสะดุ้งลืมตาขึ้นมา เมื่อได้ยินเสียงของอีกคนที่มาอยู่ข้างเตียงตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้
นี่รู้เหรอว่า แกล้งหลับ?
“ลุกขึ้นมาอาบน้ำ จะได้กินข้าว กินยา แล้วเดี๋ยวค่อยมานอนพักต่อ” ชลาสินธุ์ว่า เงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะหันกลับมาย้ำ “แล้วอย่าอาบน้ำนานแบบเมื่อคืนอีก ไข้มันจะกลับ”
ณิชชาออกจากห้องน้ำมา เพื่อที่จะพบว่า โต๊ะอ่านหนังสือของตัวเองถูกยึด โดยคนร่างใหญ่ไปแล้ว เขาเปิดแท็บเล็ตขึ้นทำงานเงียบ ๆเหมือนไม่ได้สนใจอะไร แต่ทันทีที่ณิชชาจัดการกับตัวเองที่หน้ากระจกเสร็จเรียบร้อย เขาก็ลุกขึ้นไปตักข้ามต้มที่เครื่องแน่นที่สุดเท่าที่เคยมีมาบนโลกมาตั้งไว้ที่โต๊ะกินข้าวตัวเล็กๆ ก่อนที่จะจูงมือณิชชาให้ไปนั่งตรงนั้นด้วย
“งั้นกินข้าวเลยจะได้กินยา”
“คุณ จะทำงานที่นี่เหรอ ไม่ไปที่ออฟฟิศล่ะ”
“มีปัญหาอะไร” เขาหันกลับมาถามเสียงดุ “จะเคลียร์ปัญหาก่อน หรือจะกินข้าวก่อน”
“เปล่า ก็แค่...”
“กินข้าว กินยา แล้วนอน ถ้าไม่ทำตามนี้ก็ไม่ต้องนอนอีกเลยทั้งวัน”
“เอ่อ...คือ...”
“หืม?”
“เปล่าค่ะ”
ในที่สุดหญิงสวก็จับช้อนขึ้นมาตักอาหารใส่ปากได้สักที เธอค่อยๆ กินไป พอจะวางช้อนก็มีคนที่ทำท่าไม่ได้สนใจเธอนัก หันมามองด้วยสีหน้ากดดันให้เธอกินต่อ ห้ามหยุด
เฮ้อ...จะบอกคนที่ชอบบังคับให้เธอกินข้าวยังไงดีนะว่า เธอไม่ได้ตั้งใจจะกินน้อย แต่กระเพาะเธอมันรับได้แค่นี้จริงๆ
แต่ก็นั่นแหละ ไม่เถียง ไม่ตอบโต้อะไรจะดีกว่า เวลานี้เธอไม่พร้อมจะเป็นคู่ต่อสู้ของเขา
ตอนอวสานชลาสินธุ์ให้คนขับรถมารับที่บ้านของพัฒนศักดิ์ในวันรุ่งขึ้น พวกเขากลับมาถึงกรุงเทพฯ ในช่วงบ่าย ๆ แต่น้อง ๆ ทั้งสองคนปฏิเสธที่จะให้เขากลับมาทำงานในทันที ทำให้ประธานบริษัทพร้อมเลขากลายเป็นคนว่างงานในวันนี้ณิชชาหัวเราะเมื่อเห็นว่าชลาสินธุ์ดูจะเป็นห่วงเธอมากเกินจริงไปสักหน่อย ห้ามทำอะไรที่ต้องใช้กำลัง จะไปไหนก็ได้แต่ต้องอยู่ในระยะสายตาที่เขามองเห็น อยากได้อะไรหรืออยากกินอะไรต้องบอก เพราะเขาจะทำให้เอง เรียกว่าณิชชามีหน้าที่อย่างเดียว คือนั่งเฉยๆ“พอแล้วค่ะ คุณมานั่งเถอะ” ณิชชาบอก เมื่อชลาสินธุ์ถามเป็นครั้งที่ร้อยว่าอยากได้อะไรอีกหรือเปล่า หญิงสาวจึงเรียกให้มานั่งดูหนังในห้องนั่งเล่นด้วยกันชายหนุ่มตัดสินใจนั่งลงข้าง ๆ คนรัก และเหมือนเคย นับตั้งแต่กลับ มาจากไร่เจริญตา ไม่มีสักครั้งที่หากได้นั่งคู่กันชลาสินธุ์จะไม่โอบรอบตัวร่างเล็กให้อยู่ในอ้อมกอดตลอดเวลา“ไม่เจ็บแล้วแน่นะ ดูสิ ยังเป็นรอยช้ำอยู่เลย” ชลาสินธุ์บอกพลางใช้นิ้วโป้งลูบไล้เบา ๆ ไปที่รอยช้ำที่แขน ซึ่งยังเป็นรอยเด่นชัด น่าจะเกิดจากการต่อสู้กับลูกน้องของภัสสรา“เจ็บนิดหน่อย แต่ไม่เป็นไรแล้วจริง ๆ ไม่ต้องห่วงหรอก ห่วงขาคุณดีกว
บทที่ 50 จุดจบที่เลวร้ายภัสสราเดินตรงเข้ามายังชลาสินธุ์ ทำให้ชายหนุ่มต้องถอยหลังเพื่อเว้นระยะ กลุ่มชายฉกรรจ์ผิวเข้มเดินเข้ามาในห้องหลายคน ณิชชาเห็นคนที่โยนเขาเข้าไปในรถตู้รวมอยู่ในนั้นด้วย“ปล่อยฉันลงเถอะ ฉันเดินไหวแล้ว” ณิชชากระซิบบอก ชลาสินธุ์ยอมทำตาม แต่ก็ยังโอบไหล่บางไว้ ไม่ให้ห่างตัว ร่างเล็กซบใบหน้าตัวเองลงกับลำแขนใหญ่ แม้ว่าจะกลัวจนแทบบ้า แต่กลับรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยเมื่ออยู่ใกล้เขา“ทุกอย่างจะต้องผ่านไปด้วยดี เธอเชื่อมั่นในตัวฉันนะ” ชลาสินธุ์กระซิบบอกอย่างอ่อนโยนณิชชาพยักหน้ารับ เธอจะเชื่อมั่นในตัวคน ๆ นี้ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตามกลุ่มชายฉกรรจ์ตีวงล้อมจนทั่วห้องโดยมีทั้งสามคนอยู่ตรงกลาง“รู้อะไรไหม คุณสินธุ์ คุณทำให้ฉันสูญเสียอะไรไปตั้งหลายอย่าง ลงทุนไปตั้งมากมาย แต่คุณกลับทำลายมันทิ้งในเวลาแค่วันเดียว” ภัสสราเอ่ยขึ้น คำพูดเนิบช้ากว่าปกติ เรียวปากเหยียดยิ้มแต่แววตากลับเข่นอาฆาต“คุณไม่เห็นต้องโกรธผมขนาดนี้เลยคุณสรา”“หึ ไม่ต้องโกรธเหรอ ถ้าคราวนั้น พวกแกไม่ทำตัวเป็นคนดี แล้วปล่อยให้ฉันดำเนินธุรกิจของฉันไป ฉันก็ไม่ต้องเป็นแบบนี้หรอก แกก็ได้ค่าเช่า ฉันก็ได้กำไร แกทำแบบนั้นทำ
บทที่ 49 ลักพาตัว“คืนนี้เธอจะนอนที่นี่ใช่มั้ย”“ฉันไม่ได้เตรียมเสื้อผ้ามาเลย”“ก็ใส่ตัวเดิมสิ ไม่เปื้อนหรอก เพราะคืนนี้เธอไม่ต้องใส่นี่” อีกคนยังดื้อรั้นไม่ฟังคำอธิบายแถมยังทำท่าจะหื่นใส่อีก“คิดจะทำอะไรน่ะ ที่นี่โรงพยาบาลนะ แล้วคุณก็ป่วยอยู่ ทำไหวหรือไง?”“จะได้พิสูจน์ด้วยตัวเองมั้ย”“ไม่ ฉันไม่ยอมหรอก คุณน่ะ เอะอะก็จะทำมิดีมิร้ายฉันตลอด”“ขี้บ่นจัง” ชลาสินธุ์แกล้งทำท่าเกาหัว “งั้นฉันสัญญาว่าจะไม่ทำอะไร แต่เธอนอนให้ฉันกอดนะ คิดถึงจะแย่ คิดถึงจะตายอยู่แล้วคนใจร้าย”“ว่าฉันใจร้าย คุณก็ใจร้ายเหมือนกันนั่นแหละ”“นะ”“เอ่อ...ถ้าคุณไม่ทำอะไรจริง ๆ ฉันนอนด้วยก็ได้”“ไม่ทำหรอก ถ้าเธอไม่เผลอน่ะ”“อะไรนะ!” และอย่างไม่ต้องรอคำตอบ ณิชชาก็ฟาดมือไปที่แขนคนป่วยเสียงดังลั่นห้อง ก่อนจะแจกค้อนไปให้อีกหลายทีชลาสินธุ์ลูบแขนตัวเองแล้วหัวเราะไปด้วย“ฉันยอมให้หน่อย ก็ทำร้ายฉันเลยนะ” เสียงอ่อนบอกก่อนจะโอบคนรักให้แน่น ๆ อีกหน “งั้นตกลง นายนอนที่นี่นะ นอนเฉย ๆ ให้ฉันมองหน้า จะได้หายคิดถึง”“หึ” หญิงสาวค้อนคนป่วยขวับ เธอเองก็อยากกอด อยากมองหน้า อยากยิ้มให้ผู้ชายคนนี้ เพื่อให้แน่ใจว่า ความรักระหว่างตัวเองกับ
บทที่ 48 ฝันที่ (ไม่) อาจเป็นจริงแม้จะเป็นเวลาพลบค่ำแล้วทำให้อาจจะได้พบคนที่เขาคิดถึงแค่ไม่กี่นาทีแต่ณิชชา ก็ตัดสินใจออกจากบ้านทันทีที่อัครชัยปล่อยมือเขา ความโหยหาที่ลอยวนอยู่ในใจมันฉุดกระชากให้เขามาที่นี่ โรงพยาบาลใหญ่ใจกลางกรุง ชลาสินธุ์ถูกย้ายมาที่นี่ทันทีที่ร่างกายสามารถทนต่อการเดินทางได้หญิงสาวเดินหาห้องนั้นจนพบ ในมือถือดอกไม้ช่อเล็ก ๆ ที่ตั้งใจทำเองด้วยหัวใจ มือบางที่กำลังจะเคาะห้องมีอันต้องชะงักค้างไว้“คุณณิชคะ คุยกันหน่อยดีมั้ย” ชลาธารที่เพิ่งมาถึงเช่นกัน มองมาที่ณิชชา ไม่มีสายตาของมิตรภาพแม้แต่น้อยชลาสินธุ์นอนลืมตาโพรงอยู่บนเตียงคนป่วย แม้อาการทางกายจะค่อย ๆ หายจนเกือบเป็นปกติ เพราะรถที่ชนก็แค่เฉี่ยวขาทำให้เจ็บที่หัวเข่าซ้ายเท่านั้น แย่หน่อยตรงที่ตอนกระโดดหลบ หัวของเขามันไปชนต้นไม้ข้างทางทำให้ทั้งน้อง ๆ และคุณหมอค่อนข้างเป็นห่วง แต่อาการทางใจของชายหนุ่มก็ทำให้ตอนนี้เขาแทบไม่ต่างจากผักเหี่ยว ๆ ที่รอวันเฉาลงไปอีกชลาธารรับหน้าที่ดูแลพี่ชายของเธอที่โรงพยาบาล ขณะที่คนอื่นดูแลเรื่องงาน ยิ่งเห็นพี่เป็นแบบนี้ ก็ยิ่งโกรธณิชชามากขึ้นเรื่อย ๆ เห็นว่าเป็นคนนิ่ม ๆ ไม่คิดว่าจะมีอิ
บทที่ 47 อัครชัยคือคนที่เลือกแล้วชลาธารทำอย่างที่ตนเองได้ลั่นวาจาไว้ทันทีที่วันทำงานวันแรกมาถึง“คุณณิชคะ คุยกับธารในห้องก่อนค่ะ” มาถึงยังไม่ทันได้นั่ง ก็เอ่ยปากให้ณิชชาเดินตามตัวเองเข้าไปในห้องแล้ว ณิชชาเดาไม่ถูกว่าเจ้านายคนเล็กคนนี้จะพูดเรื่องอะไร เรื่องงานหรือว่าอย่างอื่น เพราะแทบจะไม่เคยทำงานด้วยกันเลย ยิ่งหญิงสาวไปเรียนต่อได้เป็นปีแล้ว ยิ่งห่างกันไป เดาใจไม่ถูก“คุณธาร มีอะไรให้ณิชทำเหรอคะ” ณิชชาพูดก่อนจะนั่งลงตามมือที่ผายออก หญิงสาวไม่ได้ชวนเธอนั่งที่โต๊ะทำงาน ซึ่งตอนนี้คนที่ยึดโต๊ะตัวนั้นเป็นของตัวเองยังไม่มา แต่พวกเธอนั่งคุยกันที่โซฟารับแขกซึ่งอยู่ในห้องทำงานของชลาสินธุ์ด้วยนั่นเอง“คุณณิชจะว่าอะไรมั้ยคะ ถ้าธารจะถามเรื่องพี่สินธุ์” ยิงคำถามทันทีพร้อมกอดอกฟังคำตอบ แต่ดูเหมือนคนที่ต้องตอบจะยังหาเสียงของตัวเองไม่เจอ“คือ...เอ่อ...”“ไปเยี่ยมสักวัน หรือดอกไม้สักช่อ ไม่คิดจะส่งไปหน่อยเหรอคะ” ชลาธารพูดแทรกขึ้นอย่างหงุดหงิด อยากจะเล่าสภาพของพี่ชายให้คนตรงหน้าฟังว่าเลวร้ายแค่ไหน แต่ก็กลัวว่าสิ่งที่ได้กลับมาจะเป็นอย่างอื่นนอกจากความเห็นอกเห็นใจ ถ้าณิชชารู้สึกยินดีกับสภาพของพี่ชายตนเอ
บทที่ 46 รถชนณิชชาฟังแล้วอึ้งไป เพราะน้ำเสียงนั้นแม้จะสุภาพแต่ก็เฉียบขาด พี่น้องบ้านนี้บุคลิกไม่เหมือนกันสักคน สาคเรศคนนี้หากฟังจากน้ำเสียง ลักษณะนิสัยคงเป็นแบบ อยู่ตรงกลางระหว่าง ชลาสินธุ์และธารากานต์ คือไม่ได้ดูใจดีมากเหมือนธารากานต์ แต่ก็ไม่ได้ดุและขี้หงุดหงิดเหมือนพี่ชายคนโต“คือ...คุณสินธุ์คงไม่สะดวกให้ดิฉันไปทำงานแล้วล่ะค่ะ”“พี่สินธุ์ไม่อยู่ที่นี่มาสองสัปดาห์แล้วครับ ตั้งแต่คุณไป” เสียงถอนหายใจปล่อยมาตามสาย “คุณทำให้พี่สินธุ์อยู่ที่นี่ไม่ได้ แล้วคุณก็จะไม่อยู่ดูแลที่นี่อีก นี่คุณกะจะให้พวกเราล่มจมเลยเหรอครับ”“คุณเรศคะ...ดิฉันเปล่า...คือ...ดิฉันไม่ได้มีเจตนาจะทำร้ายพวกคุณเลยนะ เพียงแต่ไม่คิดว่าคุณสินธุ์เขา...”“เขาจะอยู่ไม่ได้เมื่อไม่มีคุณ?” สาคเรศขัดอีกแล้ว แล้วก็ถูกที่ถูกเวลาเสมอ เพราะมันเป็นสิ่งที่อยู่ในใจณิชชาด้วย คนฟังน้ำตาแทบจะไหลลงมาอีกครั้ง เสียงถอนหายใจของปลายสายทำให้ณิชชาทำอะไรไม่ถูก “ผมทราบว่าคุณไปคุยกับที่อื่นมาแล้ว แต่ก่อนจะไป คุณน่าจะมาเคลียร์งานที่นี่สักหน่อย พรุ่งนี้เข้ามานะครับ ผมรออยู่”สาคเรศวางหูไปนานแล้ว แต่ณิชชายังอยู่ที่ระเบียงไม่ไปไหน ความคิดสับสนว