บทที่ 31 คนของความรัก
เชฟสลัดจานใหญ่มาอยู่ตรงหน้าณิชชาพร้อมกับสเต็กปลาชิ้นโต ร่างเล็กจัดการมันอย่างเอร็ดอร่อย โดยมีเจ้านายนั่งยิ้มอยู่ข้าง ๆ จนต้องเหลือบตาขึ้นมองแล้วก็พบว่าเขามองตัวเองอยู่ก่อนแล้ว
“ยิ้มอะไร”
“ยิ้มที่เห็นเธอกินเยอะ ปกติกินเหมือนดม” มือหนายกขึ้นมาลูบผมนิ่ม
ณิชชารู้สึกว่า ตัวเองกำลังได้รับความเอ็นดู การดูแลแบบนี้ใช่ไหม ที่ทำให้น้อง ๆ ของเขาติดพี่ชายกันอย่างกับอะไรดี
วงดนตรีสดเพลงตะวันตกคลาสสิกเริ่มเล่นเพลงสบาย ๆ ชลาสินธุ์สั่งเบียร์มาจิบ...พอหมดแก้วเขาก็ชวนกลับ
สองร่างเดินเคียงกันออกจากร้านอาหาร บรรยากาศทางเดินมาลานจอดรถของที่นี่ที่ไม่ต่างจากอุโมงค์ต้นไม้ สองข้างทางเป็นไผ่หลิวต้นเล็กยืนโค้งคำนับทั้งคู่ตลอดทาง
“อยากอาบน้ำก่อนหรือเปล่า” ร่างใหญ่ถามเมื่อเข้ามายังห้อง นอนในคอนโดตัวเองอีกครั้ง
“อยากค่ะ หัวฉันมีแต่กลิ่นสเต็ก” ร่างเล็กบ่นพึมพำ เธอหายเข้าไปในห้องน้ำไม่นานก็ออกมาพร้อมกับชุดนอนใหม่ และผมหมาดที่สระแล้วเรียบร้อย
ชลาสินธุ์คว้าผ้าเช็ดตัวผืนเล็กมาเช็ดผมให้เธอจนเกือบแห้ง ก่อนจะพาตัวเองเข้าห้องน้ำ และเมื่อกลับออกมาอีกทีณิชชาก็เกือบจะหลับแล้ว
ร่างหนามานอนเคียงข้างซุกศีรษะตัวเองไว้ที่ซอกคอหอม แขนก็โอบร่างบางเอาไว้
“เธอลืมเรื่องเขาไปได้หรือเปล่า”
“เรื่องคุณชินเหรอ” ร่างเล็กถาม ลืมตาโพรง ตอนนี้แทบไม่เหลือความง่วงอยู่แล้ว
“ใช่ รวมถึงพี่อัคของเธอด้วย”
“แล้วพี่อัคเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้ล่ะ”
“เกี่ยวสิ เธอมีแต่ฉันคนเดียวได้หรือเปล่า” เสียงเรียบเอ่ยถาม
ณิชชาหันมามองหน้าคนที่นอนอยู่ข้าง ๆ แต่ก็พบว่าแววตาของ
ชลาสินธุ์ปิดสนิท จึงไม่มีโอกาสได้รู้ว่าอีกคนรู้สึกอย่างไร“ถึงฉันจะคิดถึงพี่อัคแค่ไหน พี่อัคก็คงไม่กลับมาแล้วละ คุณชินก็ด้วย คุณชินสัญญาแล้วว่าจะไม่มายุ่งกับฉันอีก ที่ฉันพูดถึงคุณชินเพราะแค่รู้สึกว่า เรื่องราวของพวกคุณมันเหมือนมีอะไรที่ยังเป็นช่องว่างอยู่”
“พี่อัคของเธอ เลิกคิดถึงก็ได้ แต่คนหลังเนี่ย ช่วยเลิกพูดถึงไปเลยก็ดีนะ”
...คนบ้า หลับตายังอุตส่าห์ส่งเสียงเหวี่ยงได้อีก...
“คุณมันไม่มีเหตุผล”
ได้ฟังแบบนั้นคนใจร้อนก็เผยตัวตนอีกครั้ง เขาเหวี่ยงตัวเองขึ้นคร่อมร่างบางเอาไว้ในชั่ววินาทีเดียว
“ใช่ ฉันไม่มีเหตุผล และไม่ต้องการให้เธอถามเหตุผลอะไรด้วย แค่ทำตามคำสั่งเท่านั้น...เข้าใจไหม”
“ไม่พูดถึงก็ได้ แต่ถ้าคุณไม่บอกอะไรเลยแบบนี้ ฉันก็อดคิดถึงเขาไม่ได้นะ” ร่างเล็กอธิบายเสียงเรียบ ตอนนี้เธอไม่ได้กลัวว่าชลาสินธุ์จะเหวี่ยงวีนอะไรอีกแล้วแต่ก็ไม่ได้อยากมีเรื่องให้ต้องเจ็บเนื้อเจ็บตัวอีก
ชลาสินธุ์จ้อง ณิชชาสีหน้าไม่สบอารมณ์นัก
“อยากเจ็บตัวมากนักรึไง ฉันใจดีด้วยก็เลยลืมหรือไงว่า ถ้าขัดใจฉันแล้วจะเป็นยังไง”
“แต่ถ้าคุณบอก บางทีฉันอาจจะไม่คิดถึงเขาอีกเลยก็ได้นะ”
ณิชชาต่อรอง ไม่รู้ว่าตัวเองกล้าต่อรองกับคนเหนือร่างนี้ตั้งแต่เมื่อไร แต่สิ่งที่ณิชชาได้รับกลับเป็นแค่เสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ กับแววตาจ้องเธอนิ่งก่อนจะบดจูบวนเวียนอยู่อย่างนั้น ไม่เบานัก แต่ก็ไม่ได้รุนแรงจนรับไม่ไหวร่างหนาขบดึงริมฝีปากล่างของอีกคนก่อนจะปล่อยแล้วมองตาคนช่างถามอีกหน
“ฉันแค่อยากช่วยคุณ” ร่างเล็กพูด รู้สึกว่าปากตัวเองบวมเจ่อ รู้แล้วว่า สิ่งที่อยู่ในใจของชลาสินธุ์ไม่ได้ทำให้เขาโกรธ แต่มันทำให้เขาเสียใจ และรู้สึกแย่
“ฉันไม่ต้องการความช่วยเหลือตรงนี้ แค่ให้มันออกไปจากชีวิตแล้วไม่ต้องกลับมาอีก นั่นก็ดีมากแล้ว”
“ฉันไม่อยากให้คุณเครียดน่ะ ฉันแค่รู้สึกว่า เขาไม่ใช่คนนิสัยไม่ดี”
“ยังไม่หยุด? นี่จะเอาให้ได้ใช่ไหม?” อีกคนถอนหายใจ
“ฉันเป็นห่วงคุณนะ ในโลกนี้คนรอบ ๆ ตัวเราจะมีกี่คนกัน ฉันไม่อยากให้คุณเสียโอกาส กันคนดี ๆ ออกไป”
ชลาสินธุ์ฟังแล้วรู้สึกตื้นตันในอก ร่างบาง ๆ นี่เป็นห่วงเขาเหรอ ทั้งที่เขาทำอะไรแย่ ๆ เอาไว้ตั้งมากมาย ปากหนาเริ่มแทะเล็มที่ปลายคางเรียวและซอกคอหวานอีกครั้ง
“ขอบใจนะ แต่เราเลิกพูดเรื่องนี้กันเถอะ แล้วให้ฉันได้รักเธอ
อีกครั้งดีกว่า”“อื๊อ เดี๋ยวก่อนสิ” ร่างเล็กว่า ก่อนจะพยายามพลิกร่างตัวเองให้ลุกออกจากการเกาะกุมของชลาสินธุ์ แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผลเลย
ชลาสินธุ์ไม่ห้ามเสียงตระหนกนั้น แต่กลับขโมยจูบไปจนทั่วใบหน้าเล็ก ก่อนจะไปจูบเน้น ๆ ย้ำ ๆ ตรงที่นี่หนึ่ง
...หัวใจ...
ณิชชาก็รับมันไว้ด้วยหัวใจของตัวเองทั้งดวงเช่นกัน
“ฉันก็ไม่อยากให้เธอคิดมาก เรื่องของพี่ชินปล่อยให้เป็นเรื่องของฉันนะ” ชลาสินธุ์พูด หลังจากอ้อยอิ่งอยู่ที่อกอวบจนพอใจ แล้วส่งสายตาบางอย่างที่ณิชชาไม่กล้าเดาความหมาย
“เรื่องของเธอก็เหมือนกัน ทุกเรื่องที่เป็นเรื่องของเธอ ให้เป็นเรื่องของฉันคนเดียวได้หรือเปล่า”
ค่ำคืนที่เคยอยู่กับชลาสินธุ์นั้นดูเหมือนจะสั้นลงไปมากในทุก ๆ เช้าเลขาตัวน้อย ๆ จะถามตัวเองเสมอว่า ต่อเวลาความสุขอย่างนี้อีกสักนิด ได้หรือเปล่า
เช้านี้ก็เช่นกัน หญิงสาวตื่นขึ้นมาในอ้อมกอดของคนที่ทั้งเคยถูกเกลียด และทั้งเคยเกลียด แต่บัดนี้กลับไม่อยากออกจากอ้อมแขนแข็งแรงนี้เลย ใบหน้าที่ครึ้มไปด้วยร่องรอยของหนวดเคราสาก ยิ่งดูก็ยิ่งมีเสน่ห์
มุมปากที่อมยิ้มน้อย ๆ นั่นอีกยิ่งดูยิ่งมีความสุข“จะจ้องให้สึกเลยไหม” คนที่หลับตาเปิดปากกระเซ้า เมื่ออีกคนมองหน้าตนเองแล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
“อะไรกัน แค่มองก็จะสึกแล้วเหรอ สินค้านี้ไม่มีคุณภาพเอาซะเลย” ณิชชาเหน็บกลับ
“ให้พิสูจน์คุณภาพตอนนี้เลยมั้ยล่ะ” ว่าจบก็ขึ้นคร่อมร่างบางทันที ณิชชาหน้าแดงหยิกเข้าไปที่ต้นแขนแรงๆ
“คุณแกล้งฉันอีกแล้วนะ” ชลาสินธุ์หัวเราะเมื่อเห็นท่าทางกระเง้า กระงอดของคนใต้ร่าง
“แล้วให้แกล้งไหมล่ะ”
“ไม่ เช้าแล้ว แล้วฉันก็เหนื่อยแล้วด้วย”
“ปฏิเสธตลอดเลย” คนตัวใหญ่ว่า พร้อมจี้เอวจนร่างบางหัวเราะคิก เมื่อเห็นว่าณิชชาหายใจหอบแล้วก็กอดเข้าไว้ในอ้อมกอดหลวม ๆ
“ไม่ให้แกล้งก็ยอมซะดีๆ”
“แต่ถ้ายอมตอนนี้ฉันไม่ไหวแล้วจริงๆ ไว้ยอมตอนหลังได้ไหม”
ชลาสินธุ์หัวเราะหึ เขาไม่ตอบแค่อุ้มร่างบางเข้าไปในห้องน้ำ ทำความสะอาดร่างกายให้อย่างพิถีพิถันแล้วออกไปทำงานโดยทุก ๆ กิจกรรมที่ทำนั้น...ไม่ลืมที่จะจับมือนิ่มไว้ในอุ้งมือตัวเองอย่างทะนุถนอม
‘พี่อัคคะ ณิชมีความสุขมากจริง ๆ ค่ะ ตอนนี้เขาไม่ต่างจากพี่อัคเลย ทั้งใจดี ทั้งดูแลณิชสารพัด ณิชอยากให้พี่อัคมาเห็น พี่อัคยังห่วงณิชอยู่หรือเปล่า ถ้าเห็นตอนนี้ก็น่าจะเลิกเป็นห่วงได้แล้ว พี่อัคคะ เราห่างกันหลายปีแล้วนะ พี่อัคยังคิดถึง ยังห่วง ยังรักณิชสักนิดหรือเปล่า’
“คิดอะไรอยู่” มือหนาวางแปะที่หัวไหล่เล็กพร้อมกับตั้งคำถาม
ณิชชาเพิ่งคิดได้ว่าออกมาอยู่ที่ระเบียงของบริษัทบนชั้นที่ตัวเองทำงานนานเกินไปแล้ว
“คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยน่ะ คุณสูบบุหรี่อีกแล้วนะ” น้ำเสียงเล็กตำหนิ เปลี่ยนเรื่องไม่เปิดโอกาสให้คนตัวโตได้ซักถามมากนัก เพราะกลัวตัวเองจะหลุดว่ากำลังคิดถึงอัครชัยอยู่อีกแล้ว อีกคนมองมือตัวเองช้า ๆ ก่อนจะพ่นควันขาว ๆ ออกมาจนหมดแล้วขยี้บุหรี่ในมือทิ้งทั้งที่ยังเหลือกว่าครึ่ง
“พอใจหรือยังครับ คุณเลขา”
“พอใจแล้วค่ะ คุณเจ้านาย” เสียงเล็กตอบกลับพร้อมหัวเราะคิก พยายามไม่คิดถึงคนที่อยู่ห่างไกลออกไป แล้วจดจ่อกับคนที่ยิ้มกว้างตรงหน้านี่ “แล้วนี่ออกมาทำไม จะให้ฉันทำอะไรหรือเปล่า”
“เปล่าหรอก ออกมาข้างนอกแล้วไม่เห็นน่ะ เลยออกมาดู แล้ว
ตกลงมาทำอะไรตรงนี้ แดดร้อนแล้วนะ ทำหน้าเหมือนคิดอะไรเยอะแยะ”“ไม่ได้คิดอะไรเลย แค่ออกมาเอาอากาศข้างนอกบ้าง ข้างในนั้นอยู่นาน ๆ ก็หนาว”
“งั้นต่อไป ถ้าหนาวก็เข้าไปในห้องฉันนะ ฉันจะได้กอดให้หายหนาว” พูดจบชายหนุ่มก็จับเอาร่างเล็กข้างตัวให้มาอยู่ในอ้อมกอด
“เดี๋ยวสิ ตอนนี้ฉันไม่ได้หนาวสักหน่อย”
“อืม ไม่หนาวก็ไม่หนาว” พูดแบบนั้นแต่กลับกระชับกอดให้แน่นมากขึ้นไปอีก
“ไม่หนาวก็ปล่อยสิ”
“อยากกอดน่ะ” คำบอกตรง ๆ ทำเอาณิชชาถึงกับอึ้งไป “อยากทำอย่างอื่นด้วย” เสียงกระซิบข้างหูนิ่มก่อนจะขบเม้มใบหูเล็กเบา ๆ
ใช่สิ ก่อนหน้านี้ก็ถูกทำมิดีมิร้ายที่ห้องทำงานของเขาอยู่บ่อยๆ
...แต่นี่มันระเบียงนะ เลือกสถานที่บ้างเถอะ!!!...
“หื่นนะ คุณน่ะ”
“แล้วที่ผ่านมา ฉันดูเป็นคนไม่มักมากในกามเลยหรือไง” ยอมรับเอาง่าย ๆ ด้วยสายตายียวน
“คุณนี่มัน...จริง ๆ เลย” เสียงเล็กไม่รู้จะหาคำไหนมาพูดดีกับความหื่นไม่รู้จักทั้งเวลาและสถานที่แบบนี้
“หื่นเพราะหลงเธอไง แบบนี้หื่นได้หรือเปล่าล่ะ” พูดจบยังไม่ทันได้ฟังคำตอบ ปากหนาก็ประทับแน่นที่เรียวปากบางอย่างอ่อนหวาน ทว่าเรียกร้อง จนร่างบางในอ้อมกอดอ่อนระทวยอีกหน
รอยจูบยั่วเย้านั้น แทบจะทำให้ณิชชาหลับสนิท เรี่ยวแรงมันหายไปหมดอีกแล้วแต่เสียงฝีเท้าเบา ๆ ด้านในกลับปลุกให้ณิชชาตื่นขึ้น
“อื้อ พอแล้ว วันนี้คุณมีแขก ฉันแจ้งคุณไปแล้วเมื่อเช้า”
“ตีมันให้ตายซะดีมั้ย ไอ้แขกคนนี้ ขัดจังหวะซะจริง” เสียงบ่นพึมพำเอ่ยขึ้นก่อนจะปล่อยคนในอ้อมแขนให้เป็นอิสระ “แต่คราวหน้า เรามาทำกันตรงนี้ก็ดีนะ เปิดโล่งดี”
“คุณมันบ้า” ชลาสินธุ์หัวเราะหึ ยกมือบางขึ้นมาประทับจูบลงไปเบา ๆ พลางจ้องตาคนตัวเล็กหมายจะบอกความในใจทั้งหมด
ณิชชาสบสายตาเฉี่ยวนั้นเพียงครู่เดียวก็ต้องหลบด้วยความ
เขินอาย“เรากลับไปข้างในกันเถอะค่ะ”
“อืม” ชลาสินธุ์กดหอมแก้มฟอดใหญ่ก่อนจะยอมปล่อยคนตัวเล็ก แต่ก็ไม่วายจับมือเอาไว้อีก “คิดเอาไว้ด้วยนะว่าคืนนี้จะไปตรงไหนดี”
“คุณ! ฉันไม่ทำอะไรที่ไหนทั้งนั้นแหละ ฉันจะนอน” ดวงตาคนตัวโตกว่า หรี่ลงนิด แต่ว่าเป็นประกายระริก แทนคำตอบทั้งหมด คำตอบที่ว่า ณิชชาคงจะขัดใจเขาไม่ได้เหมือนทุก ๆ คืน
ตอนอวสานชลาสินธุ์ให้คนขับรถมารับที่บ้านของพัฒนศักดิ์ในวันรุ่งขึ้น พวกเขากลับมาถึงกรุงเทพฯ ในช่วงบ่าย ๆ แต่น้อง ๆ ทั้งสองคนปฏิเสธที่จะให้เขากลับมาทำงานในทันที ทำให้ประธานบริษัทพร้อมเลขากลายเป็นคนว่างงานในวันนี้ณิชชาหัวเราะเมื่อเห็นว่าชลาสินธุ์ดูจะเป็นห่วงเธอมากเกินจริงไปสักหน่อย ห้ามทำอะไรที่ต้องใช้กำลัง จะไปไหนก็ได้แต่ต้องอยู่ในระยะสายตาที่เขามองเห็น อยากได้อะไรหรืออยากกินอะไรต้องบอก เพราะเขาจะทำให้เอง เรียกว่าณิชชามีหน้าที่อย่างเดียว คือนั่งเฉยๆ“พอแล้วค่ะ คุณมานั่งเถอะ” ณิชชาบอก เมื่อชลาสินธุ์ถามเป็นครั้งที่ร้อยว่าอยากได้อะไรอีกหรือเปล่า หญิงสาวจึงเรียกให้มานั่งดูหนังในห้องนั่งเล่นด้วยกันชายหนุ่มตัดสินใจนั่งลงข้าง ๆ คนรัก และเหมือนเคย นับตั้งแต่กลับ มาจากไร่เจริญตา ไม่มีสักครั้งที่หากได้นั่งคู่กันชลาสินธุ์จะไม่โอบรอบตัวร่างเล็กให้อยู่ในอ้อมกอดตลอดเวลา“ไม่เจ็บแล้วแน่นะ ดูสิ ยังเป็นรอยช้ำอยู่เลย” ชลาสินธุ์บอกพลางใช้นิ้วโป้งลูบไล้เบา ๆ ไปที่รอยช้ำที่แขน ซึ่งยังเป็นรอยเด่นชัด น่าจะเกิดจากการต่อสู้กับลูกน้องของภัสสรา“เจ็บนิดหน่อย แต่ไม่เป็นไรแล้วจริง ๆ ไม่ต้องห่วงหรอก ห่วงขาคุณดีกว
บทที่ 50 จุดจบที่เลวร้ายภัสสราเดินตรงเข้ามายังชลาสินธุ์ ทำให้ชายหนุ่มต้องถอยหลังเพื่อเว้นระยะ กลุ่มชายฉกรรจ์ผิวเข้มเดินเข้ามาในห้องหลายคน ณิชชาเห็นคนที่โยนเขาเข้าไปในรถตู้รวมอยู่ในนั้นด้วย“ปล่อยฉันลงเถอะ ฉันเดินไหวแล้ว” ณิชชากระซิบบอก ชลาสินธุ์ยอมทำตาม แต่ก็ยังโอบไหล่บางไว้ ไม่ให้ห่างตัว ร่างเล็กซบใบหน้าตัวเองลงกับลำแขนใหญ่ แม้ว่าจะกลัวจนแทบบ้า แต่กลับรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยเมื่ออยู่ใกล้เขา“ทุกอย่างจะต้องผ่านไปด้วยดี เธอเชื่อมั่นในตัวฉันนะ” ชลาสินธุ์กระซิบบอกอย่างอ่อนโยนณิชชาพยักหน้ารับ เธอจะเชื่อมั่นในตัวคน ๆ นี้ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตามกลุ่มชายฉกรรจ์ตีวงล้อมจนทั่วห้องโดยมีทั้งสามคนอยู่ตรงกลาง“รู้อะไรไหม คุณสินธุ์ คุณทำให้ฉันสูญเสียอะไรไปตั้งหลายอย่าง ลงทุนไปตั้งมากมาย แต่คุณกลับทำลายมันทิ้งในเวลาแค่วันเดียว” ภัสสราเอ่ยขึ้น คำพูดเนิบช้ากว่าปกติ เรียวปากเหยียดยิ้มแต่แววตากลับเข่นอาฆาต“คุณไม่เห็นต้องโกรธผมขนาดนี้เลยคุณสรา”“หึ ไม่ต้องโกรธเหรอ ถ้าคราวนั้น พวกแกไม่ทำตัวเป็นคนดี แล้วปล่อยให้ฉันดำเนินธุรกิจของฉันไป ฉันก็ไม่ต้องเป็นแบบนี้หรอก แกก็ได้ค่าเช่า ฉันก็ได้กำไร แกทำแบบนั้นทำ
บทที่ 49 ลักพาตัว“คืนนี้เธอจะนอนที่นี่ใช่มั้ย”“ฉันไม่ได้เตรียมเสื้อผ้ามาเลย”“ก็ใส่ตัวเดิมสิ ไม่เปื้อนหรอก เพราะคืนนี้เธอไม่ต้องใส่นี่” อีกคนยังดื้อรั้นไม่ฟังคำอธิบายแถมยังทำท่าจะหื่นใส่อีก“คิดจะทำอะไรน่ะ ที่นี่โรงพยาบาลนะ แล้วคุณก็ป่วยอยู่ ทำไหวหรือไง?”“จะได้พิสูจน์ด้วยตัวเองมั้ย”“ไม่ ฉันไม่ยอมหรอก คุณน่ะ เอะอะก็จะทำมิดีมิร้ายฉันตลอด”“ขี้บ่นจัง” ชลาสินธุ์แกล้งทำท่าเกาหัว “งั้นฉันสัญญาว่าจะไม่ทำอะไร แต่เธอนอนให้ฉันกอดนะ คิดถึงจะแย่ คิดถึงจะตายอยู่แล้วคนใจร้าย”“ว่าฉันใจร้าย คุณก็ใจร้ายเหมือนกันนั่นแหละ”“นะ”“เอ่อ...ถ้าคุณไม่ทำอะไรจริง ๆ ฉันนอนด้วยก็ได้”“ไม่ทำหรอก ถ้าเธอไม่เผลอน่ะ”“อะไรนะ!” และอย่างไม่ต้องรอคำตอบ ณิชชาก็ฟาดมือไปที่แขนคนป่วยเสียงดังลั่นห้อง ก่อนจะแจกค้อนไปให้อีกหลายทีชลาสินธุ์ลูบแขนตัวเองแล้วหัวเราะไปด้วย“ฉันยอมให้หน่อย ก็ทำร้ายฉันเลยนะ” เสียงอ่อนบอกก่อนจะโอบคนรักให้แน่น ๆ อีกหน “งั้นตกลง นายนอนที่นี่นะ นอนเฉย ๆ ให้ฉันมองหน้า จะได้หายคิดถึง”“หึ” หญิงสาวค้อนคนป่วยขวับ เธอเองก็อยากกอด อยากมองหน้า อยากยิ้มให้ผู้ชายคนนี้ เพื่อให้แน่ใจว่า ความรักระหว่างตัวเองกับ
บทที่ 48 ฝันที่ (ไม่) อาจเป็นจริงแม้จะเป็นเวลาพลบค่ำแล้วทำให้อาจจะได้พบคนที่เขาคิดถึงแค่ไม่กี่นาทีแต่ณิชชา ก็ตัดสินใจออกจากบ้านทันทีที่อัครชัยปล่อยมือเขา ความโหยหาที่ลอยวนอยู่ในใจมันฉุดกระชากให้เขามาที่นี่ โรงพยาบาลใหญ่ใจกลางกรุง ชลาสินธุ์ถูกย้ายมาที่นี่ทันทีที่ร่างกายสามารถทนต่อการเดินทางได้หญิงสาวเดินหาห้องนั้นจนพบ ในมือถือดอกไม้ช่อเล็ก ๆ ที่ตั้งใจทำเองด้วยหัวใจ มือบางที่กำลังจะเคาะห้องมีอันต้องชะงักค้างไว้“คุณณิชคะ คุยกันหน่อยดีมั้ย” ชลาธารที่เพิ่งมาถึงเช่นกัน มองมาที่ณิชชา ไม่มีสายตาของมิตรภาพแม้แต่น้อยชลาสินธุ์นอนลืมตาโพรงอยู่บนเตียงคนป่วย แม้อาการทางกายจะค่อย ๆ หายจนเกือบเป็นปกติ เพราะรถที่ชนก็แค่เฉี่ยวขาทำให้เจ็บที่หัวเข่าซ้ายเท่านั้น แย่หน่อยตรงที่ตอนกระโดดหลบ หัวของเขามันไปชนต้นไม้ข้างทางทำให้ทั้งน้อง ๆ และคุณหมอค่อนข้างเป็นห่วง แต่อาการทางใจของชายหนุ่มก็ทำให้ตอนนี้เขาแทบไม่ต่างจากผักเหี่ยว ๆ ที่รอวันเฉาลงไปอีกชลาธารรับหน้าที่ดูแลพี่ชายของเธอที่โรงพยาบาล ขณะที่คนอื่นดูแลเรื่องงาน ยิ่งเห็นพี่เป็นแบบนี้ ก็ยิ่งโกรธณิชชามากขึ้นเรื่อย ๆ เห็นว่าเป็นคนนิ่ม ๆ ไม่คิดว่าจะมีอิ
บทที่ 47 อัครชัยคือคนที่เลือกแล้วชลาธารทำอย่างที่ตนเองได้ลั่นวาจาไว้ทันทีที่วันทำงานวันแรกมาถึง“คุณณิชคะ คุยกับธารในห้องก่อนค่ะ” มาถึงยังไม่ทันได้นั่ง ก็เอ่ยปากให้ณิชชาเดินตามตัวเองเข้าไปในห้องแล้ว ณิชชาเดาไม่ถูกว่าเจ้านายคนเล็กคนนี้จะพูดเรื่องอะไร เรื่องงานหรือว่าอย่างอื่น เพราะแทบจะไม่เคยทำงานด้วยกันเลย ยิ่งหญิงสาวไปเรียนต่อได้เป็นปีแล้ว ยิ่งห่างกันไป เดาใจไม่ถูก“คุณธาร มีอะไรให้ณิชทำเหรอคะ” ณิชชาพูดก่อนจะนั่งลงตามมือที่ผายออก หญิงสาวไม่ได้ชวนเธอนั่งที่โต๊ะทำงาน ซึ่งตอนนี้คนที่ยึดโต๊ะตัวนั้นเป็นของตัวเองยังไม่มา แต่พวกเธอนั่งคุยกันที่โซฟารับแขกซึ่งอยู่ในห้องทำงานของชลาสินธุ์ด้วยนั่นเอง“คุณณิชจะว่าอะไรมั้ยคะ ถ้าธารจะถามเรื่องพี่สินธุ์” ยิงคำถามทันทีพร้อมกอดอกฟังคำตอบ แต่ดูเหมือนคนที่ต้องตอบจะยังหาเสียงของตัวเองไม่เจอ“คือ...เอ่อ...”“ไปเยี่ยมสักวัน หรือดอกไม้สักช่อ ไม่คิดจะส่งไปหน่อยเหรอคะ” ชลาธารพูดแทรกขึ้นอย่างหงุดหงิด อยากจะเล่าสภาพของพี่ชายให้คนตรงหน้าฟังว่าเลวร้ายแค่ไหน แต่ก็กลัวว่าสิ่งที่ได้กลับมาจะเป็นอย่างอื่นนอกจากความเห็นอกเห็นใจ ถ้าณิชชารู้สึกยินดีกับสภาพของพี่ชายตนเอ
บทที่ 46 รถชนณิชชาฟังแล้วอึ้งไป เพราะน้ำเสียงนั้นแม้จะสุภาพแต่ก็เฉียบขาด พี่น้องบ้านนี้บุคลิกไม่เหมือนกันสักคน สาคเรศคนนี้หากฟังจากน้ำเสียง ลักษณะนิสัยคงเป็นแบบ อยู่ตรงกลางระหว่าง ชลาสินธุ์และธารากานต์ คือไม่ได้ดูใจดีมากเหมือนธารากานต์ แต่ก็ไม่ได้ดุและขี้หงุดหงิดเหมือนพี่ชายคนโต“คือ...คุณสินธุ์คงไม่สะดวกให้ดิฉันไปทำงานแล้วล่ะค่ะ”“พี่สินธุ์ไม่อยู่ที่นี่มาสองสัปดาห์แล้วครับ ตั้งแต่คุณไป” เสียงถอนหายใจปล่อยมาตามสาย “คุณทำให้พี่สินธุ์อยู่ที่นี่ไม่ได้ แล้วคุณก็จะไม่อยู่ดูแลที่นี่อีก นี่คุณกะจะให้พวกเราล่มจมเลยเหรอครับ”“คุณเรศคะ...ดิฉันเปล่า...คือ...ดิฉันไม่ได้มีเจตนาจะทำร้ายพวกคุณเลยนะ เพียงแต่ไม่คิดว่าคุณสินธุ์เขา...”“เขาจะอยู่ไม่ได้เมื่อไม่มีคุณ?” สาคเรศขัดอีกแล้ว แล้วก็ถูกที่ถูกเวลาเสมอ เพราะมันเป็นสิ่งที่อยู่ในใจณิชชาด้วย คนฟังน้ำตาแทบจะไหลลงมาอีกครั้ง เสียงถอนหายใจของปลายสายทำให้ณิชชาทำอะไรไม่ถูก “ผมทราบว่าคุณไปคุยกับที่อื่นมาแล้ว แต่ก่อนจะไป คุณน่าจะมาเคลียร์งานที่นี่สักหน่อย พรุ่งนี้เข้ามานะครับ ผมรออยู่”สาคเรศวางหูไปนานแล้ว แต่ณิชชายังอยู่ที่ระเบียงไม่ไปไหน ความคิดสับสนว