บทที่ 32 รัก
ทั้งคู่แยกย้ายกันทำงาน แม้งานจะเยอะ แต่บรรยากาศรอบ ๆ ตัวของทั้งคู่กลับมีแต่ความผ่อนคลาย แดดส่องมายังโต๊ะทำงานทำให้ณิชชารู้ว่าเป็นเวลาบ่ายคล้อยแล้ว ร่างเล็กลุกขึ้นไปปิดม่านบังแดดสีเขียวลายต้นไม้เย็นตา ก่อนจะกลับมานั่งทำงานต่อ แล้วก็นึกได้ว่า ตัวเองทำงานจนลืมเวลารับประทานอาหารไปแล้ว คนด้านในก็เช่นกัน ป่านนี้แขกที่เข้ามาหาเมื่อช่วงสายยังไม่ออกมาจากห้องเลย ณิชชาคิดได้แบบนั้นก็สั่งแซนวิช
ง่าย ๆ มาจากร้านอาหารที่ล็อบบี้โรงแรมขึ้นมาส่งเย็นย่ำทีเดียวกว่าที่แขกคนเดิมจะเดินออกมาจากห้องทำงานของ ชลาสินธุ์ ณิชชายิ้มให้ อีกคนยิ้มตอบ เป็นรอยยิ้มที่สองของวันนี้ที่พวกเขามอบให้แก่กัน ร่างเล็กค่อนข้างแปลกใจ คนที่ไม่ค่อยพูด ไม่มีการเอ่ยคำทักทายแต่กลับพูดคุยกับชลาสินธุ์ได้ตั้งครึ่งค่อนวัน
“ณิช สั่งอาหารสองสามอย่างมาให้หน่อยสิ หิว”
และเมื่ออาหารไทยง่าย ๆ ขึ้นมาเสิร์ฟถึงที่ คนหิวก็ไม่ลืมที่จะมีคำสั่งให้อีกคนเข้าไปนั่งด้วยกันในห้อง โดยไม่สนใจจะถามสักคำว่า เลขาของเขาได้รับประทานอาหารแล้วหรือยัง
ณิชชาวางมือลงบนโต๊ะข้างจานข้าวของตัวเอง ทั้งที่กินไปได้ไม่ถึงครึ่ง คนข้าง ๆ มองกิริยานั้นนิด ๆ ก่อนจะจัดการข้าวตรงหน้าของตัวเองจนหมด
“ทำไมฉันรู้สึกเหมือนเห็นคนเกเรไม่ยอมกินข้าวให้หมดอยู่แถวนี้” ชลาสินธุ์เอ่ยขึ้นหลังจากวางแก้วน้ำของตัวเองลง พร้อมกับจับหมับเข้าที่มือบางแล้วแกล้งฟัดจูบลงไปแรงๆ
“คุณตาฝาดน่ะสิ ฉันเห็นแต่เจ้านายหื่น หวังจะทำมิดีมิร้ายกับเลขาตัวเองอยู่ทั้งวัน” คนตัวเล็กว่า
ชลาสินธุ์หัวเราะลั่น ยิ่งอยู่ด้วยกันนาน ปากของณิชชาก็ยิ่งร้ายขึ้น
...ปากแบบนี้มันน่าจูบซะจริงๆ...
“ว่าแต่ทำไมไม่กินข้าว เดี๋ยวก็ไม่มีแรงมารองรับความหื่นของฉันหรอก”
“ปฏิเสธซะบ้างก็ได้นะคุณชลาสินธุ์”
“ไม่ละ แต่เธอควรดีใจนะ เพราะฉันก็หื่นกับเธอคนเดียว”
“ดีใจ อืม ดีใจมาก” ณิชชาแกล้งลากเสียงยาว ค้อนคนตัวใหญ่ขวับ ๆ เลยโดนกดจูบปากแรง ๆ ไปสองที ข้อหามันเขี้ยว
“แล้วตกลงจะกินข้าวไหม”
“ฉันเพิ่งกินแซนวิชไปน่ะ”
“งั้นก็กลับบ้าน”
ณิชชาค่อนข้างแปลกใจที่ชลาสินธุ์ยอมเขาง่าย ๆ แบบนี้ คิดว่าจะต้องอธิบายอะไรกันยืดยาวเสียอีก
ระหว่างรอให้ณิชชาเก็บของที่โต๊ะตัวเอง ชลาสินธุ์ก็มองภาพคนตัวเล็กอย่างไม่เข้าใจตัวเองว่า หลังจากผ่านเรื่องเลวร้ายกันมาและยอมรับที่จะเปิดใจให้กับณิชชามากขึ้น เขายิ่งรู้สึกว่ารอบ ๆ ตัวเขามันมีแต่ความสุข ตอนนี้เขาเสพติดความสุขที่ชื่อณิชชาเหลือเกินแล้ว ไม่ใช่แค่เพียงเสพติดความสุขเฉย ๆ แต่ยังโหยหิวร่างบาง ๆ นั่นตลอดเวลาอีกด้วย จริง ๆ แล้วมันไม่แปลกเท่าไรนัก เพราะก่อนหน้าที่จะรู้จักณิชชา เขาก็ซื้อกินออกจะบ่อย คุณภาเลขาคนเก่าที่เป็นผู้หญิงที่ไม่ชอบเรื่องนี้เท่าไร ยังลงมือซื้อให้เอง เพราะกลัวว่า เจ้านายจะได้ของที่ไม่สะอาดถูกสุขอนามัย แต่เมื่อเขาได้ลองกับณิชชา ก็กลับติดใจอย่างหนัก ยิ่งตอนนี้ยิ่งขาดไม่ได้ ถ้าผูกณิชชาติดหลังไปด้วยทุกที่ได้คงทำไปแล้ว
“เรียบร้อยแล้ว ไปกันเถอะ”
อันที่จริงณิชชาไม่ค่อยชอบอากาศกรุงเทพฯ เท่าไรเพราะทำอย่างไรก็มีแต่มลภาวะอยู่แบบนั้น แก้ไขลำบาก แต่สำหรับคอนโดสูงลิบ วิวแม่น้ำเจ้าพระยาแห่งนี้ ณิชชากลับสูดอากาศบริสุทธิ์ของที่นี่ได้ไม่รู้จักเบื่อ ยังแอบเสียดายที่ก่อนหน้านี้มาตั้งหลายรอบ แต่ไม่เคยได้หยุดพิจารณาเหมือนช่วงเวลานี้เลย ระเบียงแบบนี้กับเก้าอี้เอนตัว มันน่าชื่นใจจริง ๆ ชายหนุ่มร่างเล็กสลัดเรื่องราวทั้งหมดที่เจอมาในวันนี้จนสิ้น จากนั้นก็หลับตานิ่ง ๆ ดื่มด่ำบรรยากาศดี ๆ ระหว่างรอคอยให้เจ้าของคอนโดอาบน้ำเสร็จ แต่พอเริ่มเผลอไผลจะหลับขึ้นมาจริง ๆ กลับได้กลิ่นสบู่ที่มาพร้อมกับเสียงฝีเท้าเบาแผ่ว ณิชชาขี้เกียจจะลืมตาขึ้นมาดู จะเป็นใครไปได้ล่ะ?
...นี่ฉันปล่อยตัวปล่อยใจให้คุณมากไปหรือเปล่า...ณิชชาคิดทั้งที่อาการง่วงมันจู่โจมมากแล้ว
“ทำไมมานอนตรงนี้ล่ะ” เสียงเข้มดังแผ่วอยู่ข้างหู ก่อนที่ร่างของ ณิชชาจะถูกอุ้มขึ้นมาแนบอก และด้วยสัญชาตญาณบางอย่างร่างบางก็ขยับตัวซุกแผงอกใหญ่นั่นทันที
ดวงตากระต่ายค่อย ๆ ลืมขึ้นก็เมื่อแผ่นหลังสัมผัสกับเตียงนุ่มพอดี โดยมีอีกคนล้มตัวนอนข้าง ๆ
“คุณอาบน้ำเสร็จแล้วเหรอ”
“อืม” เสียงเข้มตอบ พลางดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมให้ถึงเอว แต่เจ้าของเอวห้ามไว้
“ฉันยังไม่ได้อาบน้ำเลย เตียงคุณเปื้อนหมด”
“ไม่ต้องห่วงหรอก ถ้าเตียงนี้มันเปื้อน เธอก็จัดการเรียกแม่บ้านมาเอาไปซักสิ เตียงเธอเหมือนกันนี่”
ณิชชาช้อนสายตามองร่างหนาที่นอนเอามือเท้าหัวตัวเองอยู่ข้าง ๆ อาการสะลืมสะลือของตัวเองหายไปหมดแล้ว
“คุณว่าอะไรนะ” ร่างบางกะพริบตาปริบ ๆ
ชลาสินธุ์กอดรัดร่างบางเอาไว้ ปล่อยไอความอบอุ่นแผ่ซ่าน กดจูบเบา ๆ ที่เปลือกตา
“ถ้าของทุกอย่างที่นี่เป็นของเธอ รวมทั้งตัวฉันด้วย เธอจะรับ
หรือเปล่า” เสียงเขาเป็นทางการ ดูเหมือนเป็นการเจรจาทางธุรกิจอะไร สักอย่าง แต่บางอย่างในแววตาเข้มนั้นบอกว่า คนแข็งกระด้างคนนี้กำลังพูดเรื่องที่อ่อนโยนมากที่สุดในชีวิตกับคนอื่นที่ไม่ใช่น้องของตัวเองณิชชาเคยได้เห็นมาบ้างก่อนหน้านี้ แต่คำถามเมื่อครู่ดูเหมือนจะทำให้ร่างบางมึนไปเลย
ชลาสินธุ์ไม่เคยขอความรักใคร เพราะในชีวิตมีแต่น้อง ๆ ที่ตัวเขาทุ่มเททุกอย่างให้จนลืมว่า ตัวเองก็ต้องมีเรื่องส่วนตัวบ้างเหมือนกัน ที่สำคัญเขาคิดเสมอว่า ธารากานต์คือคนที่จะได้ฟังคำถามนี้ ดังนั้นกับคนอื่นแล้ว เขาไม่เคยวางแผนไว้ก่อนเลยว่า การขอความรักมันต้องทำกัน
แบบไหน และไม่คิดเลยว่า มันจะให้ความรู้สึกเขินอายขนาดนี้ ซึ่งร่างเล็กรู้ทันเขาซะแล้ว และรอยยิ้มร้ายที่มุมปากก็ผุดขึ้นทันที“คุณแค่หน้าเหมือนพี่อัคจริง ๆ นะ นิสัยนี่ไม่ใช่เลย พี่อัคอ่อนโยนกว่ามากจริง ๆ ใจดี น่ารัก น่า...”
“อย่าปากดี นี่ฉันใจดีกับเธอมากแล้วนะ” เสียงเข้มขู่จนณิชชาเริ่มไม่แน่ใจว่า นี่คือการขอความรักใช่ไหมนะ หรือเธอแค่คิดเข้าข้างตัวเอง
“ที่ถามแบบนี้ เพราะคุณชอบฉันใช่ไหม” ลองหยั่งเชิงอีกสักหน่อย
“ชอบป้าข้างบ้านละมั้ง” เสียงประชดประชันดังขึ้น ยกตัวเองขึ้นมาทับอยู่บนร่างบางจนกระดิกไม่ได้ นึกเคืองคนด้านล่างนิด ๆ
...จะตอบรับมาให้มันจบ ๆ ไปได้มั้ย เขินจะตายอยู่แล้ว!...
“ตอบมาสักที”
“คุณก็ตอบฉันมาก่อนสิว่าชอบฉันแล้วใช่ไหม” เสียงกระซิบเบาพูดขึ้นพร้อมรอยยิ้มเยาะ ๆ
“หึ เธออย่าคิดว่าจะชนะฉันนะณิช เพราะเธอน่ะชอบฉันตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นแล้ว ฉันรู้นะ เพราะฉันหน้าเหมือนพี่อัคของเธอไงล่ะ”
“คุณรู้ผิดแล้ว โอ๊ย!” เสียงเล็กร้องลั่นเมื่อคำพูดนั้นไม่ค่อยถูกใจร่างใหญ่เท่าไร ทำให้เขากระชากอ้อมกอดของตัวเองให้แน่นเขา ความเจ็บร้าวจึงเกิดขึ้นกับคนในอ้อมกอดนั่นเอง
“เธอชอบฉันมาตั้งนานแล้วใช่ไหม” เขาพูดพร้อมกับคลายอ้อมแขนของตัวเองนิดหน่อย
“ใครจะไปชอบคุณลง เท่าที่จำได้ คุณเอาแต่ทำร้ายฉันนะ”
“ก่อนหน้านั้นเธอก็ชอบเหอะ ยอมรับมา ชอบใช่ไหมบอกมาเดี๋ยวนี้” ชายหนุ่มทำท่าจะปล้ำคนด้านล่างเอาดื้อ ๆ จนณิชชาหลับตาปี๋ ด้วยความตกใจ “ตอนอื่นไม่สำคัญ แต่ตอนนี้เราชอบกันแล้วใช่หรือเปล่า”
เสียงกระซิบนุ่มนวลที่ข้างหูนั้นทำให้ ณิชชาลืมตามองเจ้าของคำถามอีกครั้ง ตาสบตาบ่งบอกทุกความรู้สึก ตอบทุกคำถามของชลาสินธุ์ได้เป็นอย่างดี ร่างเล็กพยักหน้าเบา ๆ แบบเบลอ ๆ
ชลาสินธุ์จึงให้รางวัลสำหรับคำตอบที่ถูกใจ ด้วยรสสัมผัสนุ่มนวลที่ริมฝีปาก
ทำรักกันมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ครั้งนี้คงจะเป็นครั้งแรกที่ณิชชารู้สึกเขินอาย
ร่างหนาบรรจงจูบอยู่ที่ริมฝีปากบางอยู่อย่างนั้น ก่อนจะค่อย ๆปลดเปลื้องเสื้อผ้าของณิชชาออกทีละชิ้น ๆ ปากก็ยังคงส่งลิ้นหนาไปทำหน้าที่ของมันอย่างต่อเนื่อง มันเป็นการจูบที่ยาวนานและรุกรานการหายใจของณิชชาได้อย่างดี ร่างบางหอบแฮกเมื่อเขายอมปล่อยปากออก ก่อนจะหันไปซุกที่ซอกคอ ใบหู แล้วมาวนเวียนอยู่ที่อกอวบ แล้วขึ้นไปวนเวียนที่ริมใบหูอีกรอบแล้วกระซิบแผ่วเบา
“เธอจะดูแลความรักของฉันอย่างดีใช่ไหม”
ณิชชารู้สึกสับสน พวกเขาเริ่มกันไม่ดีนัก อันที่จริง เรียกว่าไม่ดีเลย น่าจะถูกกว่า เลขากับหน้าที่พิเศษ? ตำแหน่งไม่จีรังนี้ ใครก็มาแทนได้ใช่ไหม ความรักที่เริ่มต้นว่า เขาเหมือนอัครชัย ส่วนตัวเองเหมือนธารากานต์
...มันจะเป็นไปได้จริงหรือ...
“อื้อ” ร่างบางสะดุ้งโหยง ความคิดที่คุยกับตัวเองกระเจิดกระเจิง เมื่อมือหนาเล่นกับปุ่มปมที่เนินสวยตรงกลางกายของเธอ
“เธอไม่ตอบคำถาม”
“คุณไว้ใจให้ฉันดูแลความรักของคุณเหรอ อื้อ...” ถามไปก็สะดุ้งไป เพราะร่างหนาจงใจกดให้หนักมือขึ้นไปอีก
“ไว้ใจสิ ไม่ไว้ใจแล้วจะมอบมันให้เธอหรือไง?”
“อื้อ ใจเย็นก่อนสิ คุยกันก่อน” เสียงเล็กท้วง เมื่อมือหนาไม่ยอมหยุดวนเวียนกับปุ่มปมบนเนินสวยของตัวเองสักที แถมยังทำท่าจะเข้าไปสำรวจข้างในด้วย
“ไม่อยากคุยแล้ว ของแบบนี้มันต้องพิสูจน์ด้วยการกระทำ ว่ามั้ย”
“ไม่ฟังคำตอบแล้วเหรอ”
“ก็เธอไม่ตอบสักที แต่ถ้าตอบฉันก็พร้อมจะฟังนะ”
“อืม ฉันจะดูแลความรักของคุณอย่างดี” ณิชชาตอบก่อนจะรับจูบของชลาสินธุ์อย่างเต็มใจ แล้วรอยจูบนั้นก็ร้อนแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนหญิงสาว แทบจะรับมือไม่อยู่
ชลาสินธุ์ผู้กระหายในรักแท้กำลังตื่นเต้น และดีใจอย่างลิงโลดที่ได้ความรักเป็นของตัวเองสักที เขาจะโอบกอด จะจูบ จะรักให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
รักที่อาจจะเรียกได้ว่า ความรักอย่างคนรักที่แท้จริง ครั้งแรกของเขา
“คุณจะนุ่มนวลกับฉันบ้างใช่ไหม” ณิชชาถามเมื่อริมฝีปากหลุดจากการครอบครอง
“ตลอดไป ณิช ตลอดไป” เสียงนุ่มตอบก่อนจะค่อย ๆ ประคองร่างบางขึ้นกอดแล้วพรมจูบไปทั่วร่างอีกหน ก่อนจะหยุดตวัดเลียหยอกเย้าอยู่ที่ยอดอก เรียกเสียงครางสะท้านจากคนข้างล่างได้ ร่างบางบิดเกร็ง
มากขึ้น เมื่ออีกฝ่ายสัมผัสจุดอ่อนไหวมากขึ้นเรื่อย ๆ เช่นกันร่างสูงเคลื่อนตัวไปด้านล่าง ก่อนจะตวัดลิ้นทักทายที่ปุ่มปมหฤหรรษ์ของณิชชา ลิ้นเริ่มรัวความเร็วจนเจ้าของมันที่นอนแผ่ ลมหายใจกระตุก เสียงครางดังสลับกับเสียงหอบ มือจิกผ้าปูที่นอนจนเอ็นหลังมือปูดโปน ร่างหนาเห็นอย่างนั้นก็เล่นให้หนักขึ้นไปอีก
“อ๊ะ ... อื้ม” ณิชชาเม้มปากแน่น สิ่งที่ชลาสินธุ์ทำตอนนี้เหมือนจุดไฟใส่ร่างของเขา ทั้งร้อนเร่า ร้อนแรง ร้อนรุ่ม ร่างหนายิ่งเพิ่มความเร็วที่ลิ้นของตัวเองมากขึ้น หน้าท้องแบนราบบิดเกลียวแน่นจากการกระทำนั้น เพราะเหมือนมีบางอย่างกำลังจะพุ่งทะยานจากร่าง
“อื้อ...มา...อ๊า...มาแล้ว” เมื่อร่างเล็กพูดจบทุกอย่างก็เหมือนจะจบด้วย ชลาสินธุ์หยุดปากของตัวเองทันที ทำให้ความอึดอัดมันแผ่ซ่านเต็มร่างของณิชชา “อื้อ...ฉันไม่ไหว อย่าแกล้ง” เสียงเล็กอ้อนวอน
“บอกฉันมาก่อนว่ารักฉัน”
“ฉัน อื้อ ฉะ...ฉัน...” ณิชชาตัวบิดเร่า เมื่อร่างหนาค่อยขยี้ยอดปุ่มรักนั่นเล่นอย่างจงใจจะแกล้ง สำหรับชลาสินธุ์แล้ว แกล้งใครจะสนุกเท่าแกล้งณิชชาล่ะ จริงมั้ย
...ไอ้บ้า จะเสร็จก็ไม่ทำให้เสร็จ อื๊อ...
“พูดสิ”
“ฉะ...อ๊ะ...ฉันรัก..คุณ”
ชลาสินธุ์ก็ทำตามสัญญา เขาขยี้ปุ่มปมรักนั้นด้วยความช่ำชองไม่น้ำรักของณิชชาก็รินไหลออกมาจนหมดก่อนที่จะดึงสะโพกสวยให้ขึ้นมาอยู่บนตักของเขา เสียงหัวเราะอย่างพึงพอใจเข้าไปหูของณิชชาแว่ว ๆ ก่อนจะสัมผัสได้ว่ามือหนานั้นเค้นคลึงที่สะโพกขาวหนัก ๆ ปากก็จูบสลับซ้ายขวาโน้มตัวไปจูบที่ปากของณิชชาด้วย
“ฉันก็รักเธอนะ” พูดจบชลาสินธุ์ก็ดันตัวเองเข้าไปในช่องทางนุ่มก่อนจะค่อยขยับสะโพกช้า ๆ แล้วเพิ่มความถี่มากขึ้นเรื่อย ๆ มือก็ลูบไล้ไปทั่วร่างเล็กอย่างนุ่มนวลและทะนุถนอม เสียงกรีดร้องที่ณิชชาเก็บไว้ไม่หมดทำให้ชลาสินธุ์ลดความเร็วในการกระแทกกระทั้นลง
“เจ็บเหรอ” ชลาสินธุ์ถาม อีกคนไม่ได้ตอบแต่สีหน้าที่แสดงออกก็ค่อนข้างทำให้คนถามเป็นห่วงไม่น้อย “ยกสะโพกมากขึ้นอีกนิดนะ” เขาบอกพลางเอื้อมคว้าเอาหมอนมารองสะโพกให้อีกฝ่าย “ถ้ายังเจ็บอีก ก็อ้าขาเพิ่มขึ้นด้วย” ณิชชาทำตามอย่างว่าง่าย ทำให้ร่างหนารู้ว่าคนใต้ร่างคงจะเจ็บจริง เมื่อเริ่มใหม่จึงเบาไม้เบามือลงบ้าง แต่เพียงไม่นานอารมณ์
ต่าง ๆ มันก็ทำให้ความเร็วและแรงเพิ่มขึ้นมาระดับสูงอีก แต่คราวนี้ร่างกายของณิชชาเปลี่ยนความรู้สึกเจ็บปวดให้เป็นสุขสม จึงไม่มีปัญหาเลย หาก ชลาสินธุ์จะโยกสะโพกแรง ๆ อย่างเอาแต่ใจ“อ๊า...” เสียงแห่งความสุขสมของทั้งคู่ดังขึ้นพร้อม ๆ กัน น้ำรักที่ถูกส่งเข้าไปในตัวของร่างบางทะลักล้นออกมาอยู่เต็มขา
ชลาสินธุ์คว้าเอาผ้าขนหนูมาเช็ดออกจนเกลี้ยงแล้วก็ซ้อนหลังกอดร่างเล็กไว้
“ฉันว่าฉันรักเธอจริง ๆ แล้วละ”
“ฉันก็ด้วย”
ตอนอวสานชลาสินธุ์ให้คนขับรถมารับที่บ้านของพัฒนศักดิ์ในวันรุ่งขึ้น พวกเขากลับมาถึงกรุงเทพฯ ในช่วงบ่าย ๆ แต่น้อง ๆ ทั้งสองคนปฏิเสธที่จะให้เขากลับมาทำงานในทันที ทำให้ประธานบริษัทพร้อมเลขากลายเป็นคนว่างงานในวันนี้ณิชชาหัวเราะเมื่อเห็นว่าชลาสินธุ์ดูจะเป็นห่วงเธอมากเกินจริงไปสักหน่อย ห้ามทำอะไรที่ต้องใช้กำลัง จะไปไหนก็ได้แต่ต้องอยู่ในระยะสายตาที่เขามองเห็น อยากได้อะไรหรืออยากกินอะไรต้องบอก เพราะเขาจะทำให้เอง เรียกว่าณิชชามีหน้าที่อย่างเดียว คือนั่งเฉยๆ“พอแล้วค่ะ คุณมานั่งเถอะ” ณิชชาบอก เมื่อชลาสินธุ์ถามเป็นครั้งที่ร้อยว่าอยากได้อะไรอีกหรือเปล่า หญิงสาวจึงเรียกให้มานั่งดูหนังในห้องนั่งเล่นด้วยกันชายหนุ่มตัดสินใจนั่งลงข้าง ๆ คนรัก และเหมือนเคย นับตั้งแต่กลับ มาจากไร่เจริญตา ไม่มีสักครั้งที่หากได้นั่งคู่กันชลาสินธุ์จะไม่โอบรอบตัวร่างเล็กให้อยู่ในอ้อมกอดตลอดเวลา“ไม่เจ็บแล้วแน่นะ ดูสิ ยังเป็นรอยช้ำอยู่เลย” ชลาสินธุ์บอกพลางใช้นิ้วโป้งลูบไล้เบา ๆ ไปที่รอยช้ำที่แขน ซึ่งยังเป็นรอยเด่นชัด น่าจะเกิดจากการต่อสู้กับลูกน้องของภัสสรา“เจ็บนิดหน่อย แต่ไม่เป็นไรแล้วจริง ๆ ไม่ต้องห่วงหรอก ห่วงขาคุณดีกว
บทที่ 50 จุดจบที่เลวร้ายภัสสราเดินตรงเข้ามายังชลาสินธุ์ ทำให้ชายหนุ่มต้องถอยหลังเพื่อเว้นระยะ กลุ่มชายฉกรรจ์ผิวเข้มเดินเข้ามาในห้องหลายคน ณิชชาเห็นคนที่โยนเขาเข้าไปในรถตู้รวมอยู่ในนั้นด้วย“ปล่อยฉันลงเถอะ ฉันเดินไหวแล้ว” ณิชชากระซิบบอก ชลาสินธุ์ยอมทำตาม แต่ก็ยังโอบไหล่บางไว้ ไม่ให้ห่างตัว ร่างเล็กซบใบหน้าตัวเองลงกับลำแขนใหญ่ แม้ว่าจะกลัวจนแทบบ้า แต่กลับรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยเมื่ออยู่ใกล้เขา“ทุกอย่างจะต้องผ่านไปด้วยดี เธอเชื่อมั่นในตัวฉันนะ” ชลาสินธุ์กระซิบบอกอย่างอ่อนโยนณิชชาพยักหน้ารับ เธอจะเชื่อมั่นในตัวคน ๆ นี้ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตามกลุ่มชายฉกรรจ์ตีวงล้อมจนทั่วห้องโดยมีทั้งสามคนอยู่ตรงกลาง“รู้อะไรไหม คุณสินธุ์ คุณทำให้ฉันสูญเสียอะไรไปตั้งหลายอย่าง ลงทุนไปตั้งมากมาย แต่คุณกลับทำลายมันทิ้งในเวลาแค่วันเดียว” ภัสสราเอ่ยขึ้น คำพูดเนิบช้ากว่าปกติ เรียวปากเหยียดยิ้มแต่แววตากลับเข่นอาฆาต“คุณไม่เห็นต้องโกรธผมขนาดนี้เลยคุณสรา”“หึ ไม่ต้องโกรธเหรอ ถ้าคราวนั้น พวกแกไม่ทำตัวเป็นคนดี แล้วปล่อยให้ฉันดำเนินธุรกิจของฉันไป ฉันก็ไม่ต้องเป็นแบบนี้หรอก แกก็ได้ค่าเช่า ฉันก็ได้กำไร แกทำแบบนั้นทำ
บทที่ 49 ลักพาตัว“คืนนี้เธอจะนอนที่นี่ใช่มั้ย”“ฉันไม่ได้เตรียมเสื้อผ้ามาเลย”“ก็ใส่ตัวเดิมสิ ไม่เปื้อนหรอก เพราะคืนนี้เธอไม่ต้องใส่นี่” อีกคนยังดื้อรั้นไม่ฟังคำอธิบายแถมยังทำท่าจะหื่นใส่อีก“คิดจะทำอะไรน่ะ ที่นี่โรงพยาบาลนะ แล้วคุณก็ป่วยอยู่ ทำไหวหรือไง?”“จะได้พิสูจน์ด้วยตัวเองมั้ย”“ไม่ ฉันไม่ยอมหรอก คุณน่ะ เอะอะก็จะทำมิดีมิร้ายฉันตลอด”“ขี้บ่นจัง” ชลาสินธุ์แกล้งทำท่าเกาหัว “งั้นฉันสัญญาว่าจะไม่ทำอะไร แต่เธอนอนให้ฉันกอดนะ คิดถึงจะแย่ คิดถึงจะตายอยู่แล้วคนใจร้าย”“ว่าฉันใจร้าย คุณก็ใจร้ายเหมือนกันนั่นแหละ”“นะ”“เอ่อ...ถ้าคุณไม่ทำอะไรจริง ๆ ฉันนอนด้วยก็ได้”“ไม่ทำหรอก ถ้าเธอไม่เผลอน่ะ”“อะไรนะ!” และอย่างไม่ต้องรอคำตอบ ณิชชาก็ฟาดมือไปที่แขนคนป่วยเสียงดังลั่นห้อง ก่อนจะแจกค้อนไปให้อีกหลายทีชลาสินธุ์ลูบแขนตัวเองแล้วหัวเราะไปด้วย“ฉันยอมให้หน่อย ก็ทำร้ายฉันเลยนะ” เสียงอ่อนบอกก่อนจะโอบคนรักให้แน่น ๆ อีกหน “งั้นตกลง นายนอนที่นี่นะ นอนเฉย ๆ ให้ฉันมองหน้า จะได้หายคิดถึง”“หึ” หญิงสาวค้อนคนป่วยขวับ เธอเองก็อยากกอด อยากมองหน้า อยากยิ้มให้ผู้ชายคนนี้ เพื่อให้แน่ใจว่า ความรักระหว่างตัวเองกับ
บทที่ 48 ฝันที่ (ไม่) อาจเป็นจริงแม้จะเป็นเวลาพลบค่ำแล้วทำให้อาจจะได้พบคนที่เขาคิดถึงแค่ไม่กี่นาทีแต่ณิชชา ก็ตัดสินใจออกจากบ้านทันทีที่อัครชัยปล่อยมือเขา ความโหยหาที่ลอยวนอยู่ในใจมันฉุดกระชากให้เขามาที่นี่ โรงพยาบาลใหญ่ใจกลางกรุง ชลาสินธุ์ถูกย้ายมาที่นี่ทันทีที่ร่างกายสามารถทนต่อการเดินทางได้หญิงสาวเดินหาห้องนั้นจนพบ ในมือถือดอกไม้ช่อเล็ก ๆ ที่ตั้งใจทำเองด้วยหัวใจ มือบางที่กำลังจะเคาะห้องมีอันต้องชะงักค้างไว้“คุณณิชคะ คุยกันหน่อยดีมั้ย” ชลาธารที่เพิ่งมาถึงเช่นกัน มองมาที่ณิชชา ไม่มีสายตาของมิตรภาพแม้แต่น้อยชลาสินธุ์นอนลืมตาโพรงอยู่บนเตียงคนป่วย แม้อาการทางกายจะค่อย ๆ หายจนเกือบเป็นปกติ เพราะรถที่ชนก็แค่เฉี่ยวขาทำให้เจ็บที่หัวเข่าซ้ายเท่านั้น แย่หน่อยตรงที่ตอนกระโดดหลบ หัวของเขามันไปชนต้นไม้ข้างทางทำให้ทั้งน้อง ๆ และคุณหมอค่อนข้างเป็นห่วง แต่อาการทางใจของชายหนุ่มก็ทำให้ตอนนี้เขาแทบไม่ต่างจากผักเหี่ยว ๆ ที่รอวันเฉาลงไปอีกชลาธารรับหน้าที่ดูแลพี่ชายของเธอที่โรงพยาบาล ขณะที่คนอื่นดูแลเรื่องงาน ยิ่งเห็นพี่เป็นแบบนี้ ก็ยิ่งโกรธณิชชามากขึ้นเรื่อย ๆ เห็นว่าเป็นคนนิ่ม ๆ ไม่คิดว่าจะมีอิ
บทที่ 47 อัครชัยคือคนที่เลือกแล้วชลาธารทำอย่างที่ตนเองได้ลั่นวาจาไว้ทันทีที่วันทำงานวันแรกมาถึง“คุณณิชคะ คุยกับธารในห้องก่อนค่ะ” มาถึงยังไม่ทันได้นั่ง ก็เอ่ยปากให้ณิชชาเดินตามตัวเองเข้าไปในห้องแล้ว ณิชชาเดาไม่ถูกว่าเจ้านายคนเล็กคนนี้จะพูดเรื่องอะไร เรื่องงานหรือว่าอย่างอื่น เพราะแทบจะไม่เคยทำงานด้วยกันเลย ยิ่งหญิงสาวไปเรียนต่อได้เป็นปีแล้ว ยิ่งห่างกันไป เดาใจไม่ถูก“คุณธาร มีอะไรให้ณิชทำเหรอคะ” ณิชชาพูดก่อนจะนั่งลงตามมือที่ผายออก หญิงสาวไม่ได้ชวนเธอนั่งที่โต๊ะทำงาน ซึ่งตอนนี้คนที่ยึดโต๊ะตัวนั้นเป็นของตัวเองยังไม่มา แต่พวกเธอนั่งคุยกันที่โซฟารับแขกซึ่งอยู่ในห้องทำงานของชลาสินธุ์ด้วยนั่นเอง“คุณณิชจะว่าอะไรมั้ยคะ ถ้าธารจะถามเรื่องพี่สินธุ์” ยิงคำถามทันทีพร้อมกอดอกฟังคำตอบ แต่ดูเหมือนคนที่ต้องตอบจะยังหาเสียงของตัวเองไม่เจอ“คือ...เอ่อ...”“ไปเยี่ยมสักวัน หรือดอกไม้สักช่อ ไม่คิดจะส่งไปหน่อยเหรอคะ” ชลาธารพูดแทรกขึ้นอย่างหงุดหงิด อยากจะเล่าสภาพของพี่ชายให้คนตรงหน้าฟังว่าเลวร้ายแค่ไหน แต่ก็กลัวว่าสิ่งที่ได้กลับมาจะเป็นอย่างอื่นนอกจากความเห็นอกเห็นใจ ถ้าณิชชารู้สึกยินดีกับสภาพของพี่ชายตนเอ
บทที่ 46 รถชนณิชชาฟังแล้วอึ้งไป เพราะน้ำเสียงนั้นแม้จะสุภาพแต่ก็เฉียบขาด พี่น้องบ้านนี้บุคลิกไม่เหมือนกันสักคน สาคเรศคนนี้หากฟังจากน้ำเสียง ลักษณะนิสัยคงเป็นแบบ อยู่ตรงกลางระหว่าง ชลาสินธุ์และธารากานต์ คือไม่ได้ดูใจดีมากเหมือนธารากานต์ แต่ก็ไม่ได้ดุและขี้หงุดหงิดเหมือนพี่ชายคนโต“คือ...คุณสินธุ์คงไม่สะดวกให้ดิฉันไปทำงานแล้วล่ะค่ะ”“พี่สินธุ์ไม่อยู่ที่นี่มาสองสัปดาห์แล้วครับ ตั้งแต่คุณไป” เสียงถอนหายใจปล่อยมาตามสาย “คุณทำให้พี่สินธุ์อยู่ที่นี่ไม่ได้ แล้วคุณก็จะไม่อยู่ดูแลที่นี่อีก นี่คุณกะจะให้พวกเราล่มจมเลยเหรอครับ”“คุณเรศคะ...ดิฉันเปล่า...คือ...ดิฉันไม่ได้มีเจตนาจะทำร้ายพวกคุณเลยนะ เพียงแต่ไม่คิดว่าคุณสินธุ์เขา...”“เขาจะอยู่ไม่ได้เมื่อไม่มีคุณ?” สาคเรศขัดอีกแล้ว แล้วก็ถูกที่ถูกเวลาเสมอ เพราะมันเป็นสิ่งที่อยู่ในใจณิชชาด้วย คนฟังน้ำตาแทบจะไหลลงมาอีกครั้ง เสียงถอนหายใจของปลายสายทำให้ณิชชาทำอะไรไม่ถูก “ผมทราบว่าคุณไปคุยกับที่อื่นมาแล้ว แต่ก่อนจะไป คุณน่าจะมาเคลียร์งานที่นี่สักหน่อย พรุ่งนี้เข้ามานะครับ ผมรออยู่”สาคเรศวางหูไปนานแล้ว แต่ณิชชายังอยู่ที่ระเบียงไม่ไปไหน ความคิดสับสนว