สองพี่น้องยืนนิ่งมองกล่องรูปร่างแปลกๆที่อยู่ข้างเตียงของจือลู่ แต่จือลู่ย่อมรู้ดีว่ากล่องที่นางเห็นคือกล่องเครื่องสำอางของนาง เพียงแต่ไม่เข้าใจว่าทำตามนางมาได้อย่างไร
สองพี่น้องนั่งลงที่ข้างกล่องใบใหญ่ จือลู่เปิดกล่องออกดูก็พบว่าของทั้งหมดของนางยังอยู่ภายในกล่องอย่างดี ของกินเล่นที่นางมักจะซื้อแล้วโยนไว้ภายในกล่องเครื่องสำอางก็ยังคงมีอยู่
หนิงเฉิงมองของต่างๆอย่างแปลกใจ เขาไม่เข้าใจว่าภายในกล่องที่เห็นคือสิ่งใด จือลู่ส่งแฮมเบอร์เกอร์ที่นางชอบซื้อระหว่างทางติดไว้ เพราะกินสะดวกส่งให้หนิงเฉิง เมื่อหยิบออกไปหนึ่งอย่าง ภายในกล่องก็ปรากฏของสิ่งเดิมขึ้นมาทดแทน
จือลู่หันไปสบตาของน้องชายอย่างตกใจ เพราะนางไม่คิดว่าจะเป็นเช่นที่เห็น ของกินไม่ได้มีเพียงแฮมเบอร์เกอร์เท่านั้น เพราะนางต้องวิ่งงานถึงสองงานในวันที่เกิดอุบัติเหตุจึงมีอาหารสำเร็จรูปอยู่หลายอย่าง ที่สามารถกินได้เลยหรือนำไปอุ่นก็กินได้ทันที
"กินก่อนเดี๋ยวค่อยคุย" จือลู่บอกน้องชายเมื่อเห็นสายตาของน้องชายมองมาที่นางเหมือนอยากจะถามสิ่งใด
จือสู่หยิบซอสออกมาเทราดไปที่แฮมเบอร์เกอร์และกินเป็นตัวอย่างให้น้องชายดู หนิงเฉิงบอกพี่สาวอย่างอึ้งๆ เพราะจือลู่กำลังอ้าปากกว้างกัดลงไปที่ของกินคำโต หนิงเฉิงจึงลองทำตาม
คำแรกที่เข้าปาก รสชาติของเนื้อที่ไม่ได้ลิ้มลองมานาน ความกรอบของผัก ที่มีความเผ็ดเปรี้ยวของซอสที่ใส่ลงไป เพียงไม่นานสองพี่น้องก็กินหมดลงอย่างรวดเร็ว
จือลู่ส่งน้ำเปล่าให้หนิงเฉิงหนึ่งขวดและเปิดฝาน้ำให้เขาด้วย ทุกการกระทำของจือลู่ทำให้หนิงเฉิงอดที่จะแปลกใจไม่ได้ เหมือนสิ่งที่พี่สาวเขาทำเป็นสิ่งที่นางทำเป็นประจำ
"พี่หญิงท่านจะเล่าให้ข้าฟังได้หรือยัง" หนิงเฉิงที่ดื่มน้ำลงได้ครึ่งขวด ก็จ้องมองขวดน้ำอย่างสงสัย จึงได้เอ่ยถามพี่สาวขึ้น
"เจ้าฟังแล้วอย่าตกใจเล่า" จือลู่เอ่ยเตือนน้องชายไว้ก่อน
จือลู่แต่งเรื่องแล้วเล่าให้หนิงเฉิงฟังว่า ช่วงที่นางโดนทุบตีนั้นวิญญาณของนางหลุดไปอีกมิติหนึ่ง นางได้ใช้ชีวิตร่ำเรียนจนอายุได้ยี่สิบหกหนาวและเกิดอุบัติเหตุขึ้น จือลู่บอกว่านางได้ทำอาชีพที่เรียกว่าช่างแต่งหน้า ที่หนิงเฉิงเห็นคือเครื่องมือที่นางใช้แต่งหน้าให้ลูกค้าที่มาจ้างงาน
"พี่หญิง" หนิงเฉิงจับมือพี่สาวแล้วร่ำไห้ออกมา จือลู่กล่าวขอโทษอยู่ภายในใจที่ต้องโกหกเขา
นางไม่อาจจะบอกความจริงได้ว่านางไม่ใช่พี่สาวของเขา นางเป็นเพียงวิญญาณที่มาอาศัยร่างของพี่สาวหนิงเฉิงและนางได้ตายไปแล้ว หากนางพูดออกไปเช่นนี้นางคงได้โดนเผาทั้งเป็น
"พี่ไม่เป็นอันใดแล้วเจ้าอย่าได้ร้องไห้อีกเลย" จือลู่ลูบหลังปลอบหนิงเฉิง
"วันนี้ขึ้นเขากันดีหรือไม่" นางเปลี่ยนไปเรื่องขึ้นเขาหาของป่าแทนเพื่อให้หนิงเฉิงลืมเรื่องที่นางวิญญาณหลุดออกจากร่าง
"ได้ท่านพี่ ท่านเก็บกล่องของท่านให้ดี อย่าให้ผู้ใดพบเห็นเข้า" หนิงเฉิงพูดกับจือลู่อย่างจริงจัง
"ได้ได้ ข้าจะเก็บประเดี๋ยวนี้" แต่ก่อนที่นางจะเก็บ นางนำของกินและน้ำออกมาอีกเพื่อนำไปเป็นเสบียงช่วงขึ้นเขา
หนิงเฉิงที่รอบคอบกว่าจือลู่ก็นำของออกจากถุงและใส่ลงไปในห่อผ้าแทน ถุงขยะและขวดน้ำ จือลู่ลองใส่กลับเข้าไปในกล่องปรากฏว่าของที่เป็นขยะจะหายไป และเปลี่ยนเป็นของชิ้นใหม่ขึ้นมาแทน นางจึงไม่ต้องกังวลเรื่องของกินอีก แต่จะให้กินเพียงของไม่กี่อย่าง คงไม่นานได้เบื่อแน่ และนางก็ไม่คิดจะหวังพึ่งเพียงของกินในกล่องเท่านั้น
สองพี่น้องแบกตะกร้าขึ้นหลังในตะกร้านอกจากของกินแล้วยังมีมีดพร้าและของที่ไว้ขุดหาผักป่าได้อีกด้วย ทั้งคู่มุ่งหน้าขึ้นเขา ก็พบเจอชาวบ้านที่ออกมาทำไร่และหาของป่าเช่นเดียวกับทั้งคู่
"ลู่เออร์หายดีแล้วหรือ" เมื่อเห็นว่านางจะขึ้นเขาพร้อมหนิงเฉิงทุกคนต่างก็สอบถามทั้งคู่อย่างเป็นห่วงแล้วยังกำชับให้หนิงเฉิงดูแลพี่สาวที่เพิ่งหายจากอาการบาดเจ็บให้ดีด้วย ทั้งคู่กล่าวขอบคุณไปตลอดทาง
เมื่อขึ้นมาถึงด้านบน จือลู่มองดูก็ไม่พบผักป่าหรือสิ่งใดให้นางเก็บได้ นางจึงชวนหนิงเฉิงแยกไปอีกทางที่ไม่มีชาวบ้านเดินเข้าไปมากนัก
"ท่านพี่ ฟากนั้นไม่มีใครไปกันนักขอรับ" หนิงเฉิงเอ่ยเตือนอย่างกังวลใจ เพราะพรานป่ามักจะบอกว่าด้านนั้นมีเสือ มีหมีป่า จึงไม่มีใครกล้าเข้าไป
"เข้าไปไม่ลึกนัก หากเดินไปทางที่ชาวบ้านคนอื่นเดินเจ้าก็ไม่พบของมีค่าหรือของที่กินได้แล้ว" จือลู่กล่าวแย้งและแยกตัวเดินนำไปอีกทาง
หนิงเฉิงที่ไม่อาจไม่เดินตามพี่สาวได้ก็รีบเร่งฝีเท้าตามจือลู่ไปอย่างรวดเร็ว ป่าอีกฟากเพราะไม่มีชาวบ้านเข้ามาหาของป่าจึงทำให้มีผักป่า ผลไม้ป่ามากว่าอีกด้าน หนิงเฉิงรีบเข้าไปเก็บอย่างดีใจ แต่จือลู่ดึงตัวเขาไว้เสียก่อน
"เดินเข้าไปอีกหน่อยเถิด หากไม่พบอะไรค่อยออกมาเก็บก็ยังได้" ถึงอย่างไรก็ไม่มีใครมาแย่งพวกนาง หนิงเฉิงที่เห็นของป่ามากมายก็ใจกล้าขึ้น เดินตามจือลู่เข้าไปในส่วนที่ลึกขึ้น
อากาศในภูเขาเริ่มเย็นมากกว่าด้านนอก ป่าที่รกทึบทำให้แสงแดดส่องเข้ามาไม่ถึง จือลู่ใช้ไม้ที่นางหาได้เขี่ยไปตามพื้นดิน หากพบสมุนไพรมีค่าของนำไปขายได้เงินมากกว่าผักป่าหรือผลไม้ป่า
แต่เหมือนโชคจะไม่เข้าข้างสองพี่น้อง เดินมาจนแทบจะหมดแรงแต่ก็ยังไม่พบสิ่งใดที่มีค่านอกจาก ไข่ไก่ป่าสี่ห้าฟองเท่านั้น ต่อให้เจอไก่ป่าทั้งคู่ก็ไม่อาจจับได้ จือลู่ถอนหายใจอย่างสิ้นความหวัง
ภายในคุกที่ว่าการเมืองเป่ยหาน ต้าอู๋และนางกงซื่อมิรู้ว่าพวกตนถูกจับมาได้อย่างไร ชินอ๋องที่ยืนมองทั้งคู่อยู่ภายนอก ก็เดินปรากฏตัวเขาไปด้านในต้าอู๋และกงซื่อเมื่อรู้ว่าผู้มาเยือนคนใหม่คือชินอ๋องสามีที่แท้จริงของจ้าวเหยียนก็รีบคุกเข่าโขกศีรษะอย่างร้อนตัวชินอ๋องพูดเรื่องที่ทั้งคู่ทุบตีจือลู่และหนิงเฉิงทั้งยังจะยกจือลู่ให้พ่อหม้ายจง ต้าอู๋กับนางกงซื่อเงยหน้ามองชินอ๋องอย่างแปลกใจ แม้นางกงซื่อจะเคยคิดเช่นที่ชินอ๋องพูด แต่นางก็ไม่ได้ทำและไม่เคยมีผู้ใดล่วงรู้มาก่อนชินอ๋องมิรอฟังคำแก้ตัวของต้าอู๋และนางกงซื่อ เขาสั่งให้ทหารโบยทั้งคู่คนละสามสิบไม้ก่อนจะเนรเทศไปใช้แรงงานที่เหมืองทางตอนใต้ของแคว้นขบวนเดินทางของชินอ๋องเสียเวลาอยู่ที่เมืองเป่ยหานเพียงห้าวันเท่านั้น นอกจากที่เขาจัดการเรื่องของต้าอู๋และนางกงซื่อแล้ว ยังให้จือลู่จัดการเรื่องร้านค้าของนาง และเติมสินค้าอย่างเต็มที่หลังจากออกเดินทางจากเมืองเป่ยหานมาได้ห้าวันก็ถึงเมืองเป่ยโจว จือลู่นางต้องไปอยู่ที่จวนของเว่ยหยาง แต่เพราะต้องปรับปรุงจวนเสียใหม่นางกับเว่ยหยางจึงอาศัยอยู่ในตำหนักเสียก่อนผ่านมาได้ครึ่งปีเรื่องมงคลของตำหนักอ๋องก็มีมาเยือน เ
วันต่อมา จือลู่ถูกปลุกตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง จ้าวเหยียนก็มาที่เรือนของนางเพื่อช่วยนางแต่งตัว วันงานจือลู่มิได้แต่งหน้าเอง แต่คนที่แต่งให้ก็เป็นมือหนึ่งในร้านอ้ายเสิ่นของนาง นับว่าฝีมือที่แต่งออกมาใกล้เคียงกับของจือลู่ยิ่งนักจ้าวเหยียนเป็นคนหวีผลให้จือลู่และสวมผ้าคลุมหน้าให้นาง จ้าวเหยียนหันไปปาดน้ำตา เพราะเป็นงานมงคลไม่อาจหลั่งน้ำตาออกมาได้"ลู่เออร์ ไม่ว่าเจ้าจะออกเรือนไปแล้ว อย่างไรก็เป็นลูกของข้าอยู่เสมอ" จือลู่เงยหน้ามองจ้าวเหยียนที่ดวงตาแดงก่ำจากการกลั้นน้ำตาไว้"ท่านแม่ ท่านก็คือมารดาของข้าเช่นกันเจ้าค่ะ" คำพูดของนางหากคนนอกฟังอาจจะดูแปลกๆ แต่สองคนแม่ลูกล้วนเข้าใจกันอย่างดี จือลู่กอดเอวของจ้าวเหยียนแน่น ก่อนจะปล่อยให้นางได้ออกไปจัดการเรื่องด้านหน้าตำหนักเสียงฆ้องดังมาแต่ไกล ขบวนเจ้าบ่าวที่มารับเจ้าสาวยาวเหยียดจะมองไม่เห็นท้ายขบวน สินเดิมของเจ้าสาวที่กองไว้เพื่อนำออกจากตำหนักก็มากมายเสียทำให้คนอิจฉาตาร้อนเว่ยหยางพาจือลู่คำนับชินอ๋องกับจ้าวเหยียนก่อนจะพานางออกไปจากตำหนัก หนิงเฉิงแบกพี่สาวไปส่งที่เกี้ยวแปดคนหามหลังงาม จ้าวเหยียนยืนมองส่งจือลู่ด้วยดวงตาที่เอ่อไปด้วยน้ำตา ชินอ๋องจึ
ชินอ๋องเมื่อเห็นจ้าวเหยียนปลอดภัยแล้ว นางเพียงหลับไปเพราะอ่อนเพลียจึงได้ออกมาดูบุตรทั้งสาม ก็เห็นว่าจือลู่และหนิงเฉิงเฝ้าน้องของพวกเขาอยู่"ท่านพ่อ ดูน้องของข้า เหตุใดถึงได้น่าเกลียดเช่นนี้ขอรับ" หนิงเฉิงใช้นิ้วจิ้มไปที่หน้าน้องสาวคนเล็กเบาๆ ด้วยความเอ็นดู ส่วนน้องชายทั้งสองล้วนแล้วแต่น่าเกลียดในสายตาของเขา"ตอนเจ้าเกิดเจ้าก็น่าเกลียดเช่นนี้" จือลู่หยอกเย้าน้องชายของตน นางก็กำลังเขี่ยแก้มของเด็กแฝดทั้งสามชินอ๋องมองลูกทั้งสามที่นอนหลับอยู่อย่างรักใคร่ ก่อนที่เขาจะอุ้มบุตรสาวคนเล็กขึ้นมา "ฉีซิงเยียน""ซิงเยียน น้องต้องงดงามกว่าพี่หญิงแน่นอนขอรับ" หนิงเฉิงพูดขึ้น จือลู่หันไปมองสองพ่อลูกที่เห่อน้องสาวคนเล็กของบ้านอย่างเอือมๆแฝดคนโตชื่อ หนิงเทียน คนรองชื่อหนิงหวง ทั้งคู่มีคำว่าหนิงเช่นเดียวกับพี่ชายของเขา"ท่านพี่ ลูกเล่าเจ้าคะ" กว่าจ้าวเหยียนจะตื่นก็เข้าสู่อีกวันแล้ว นางลืมตาก็ถามหาบุตรทั้งสามที่นางเพิ่งคลอด เพราะก่อนที่จะหมดสติไปนางรู้เพียงว่าเด็กทั้งสามล้วนแล้วแต่แข็งแรงดีชินอ๋องให้แม่นมพาบุตรทั้งสามเข้ามาให้จ้าวเหยียนได้ดู และบอกนางถึงชื่อที่เขาตั้งให้บุตรทั้งสาม"เจ้าพักผ่อนเสียให้
เว่ยหยางรีบกลับจวนพร้อมนำข่าวไปแจ้งให้บิดามารดาส่งแม่สื่อไปที่ตำหนักอ๋องข่าวเรื่องที่ตระกูลเว่ยส่งแม่สื่อล่วงรู้ไปถึงองค์ชายรอง ก่อนที่เขาจะออกจากวังไปจัดการกับเว่ยหยางก็โดนฮ่องเต้เรียกตัวเข้าพบ"เจ้ารอง เจ้ามั่นใจมากเพียงใดที่จะจัดการกับแม่ทัพเว่ย" ฮ่องเต้ยกชาขึ้นดื่มอย่างใจเย็น เหมือนเรื่องที่พระองค์ถามบุตรเป็นเพียงเรื่องดินฟ้าอากาศ"เสด็จพ่อ ท่านพระราชทานสมรสให้ลูกได้" เขาเอ่ยขึ้นอย่างเอาแต่ใจ"เจ้ากล้ามีเรื่องกับชินอ๋องใช่หรือไม่" ฮ่องเต้จ้องบุตรชายอย่างดุดัน"ลูก ลูก เสด็จพ่อเป็นถึงฮ่องเต้ ชินอ๋องจะมีอำนาจมากกว่าท่านได้อย่างไร""โง่เขลานัก" ฮ่องเต้ขว้างถ้วยน้ำชาลงพื้นอย่างมีโทสะ"หากน้องห้าต้องการบัลลังก์ เจ้าคิดหรือว่าเจิ้นจะได้นั่งเช่นทุกวันนี้" เพราะน้องชายของเขามิคิดจะขึ้นเป็นฮ่องเต้ และช่วยเหลือเขาจนได้นั่งบัลลังก์เช่นทุกวันนี้ เรื่องทุกเรื่องชินอ๋องไม่เคยยื่นมือเข้ามายุ่ง หากพระองค์เข้าไปจัดการเรื่องในตำหนักคงได้เกิดปัญหาแน่"หากเจ้ายังคิดว่าตนเองต่อกรได้ เจิ้นก็ไม่ห้าม ไม่ว่าเกิดอันใดขึ้นเจิ้นมิอาจช่วยเหลือเจ้าได้""เสด็จพ่อ" องค์ชายรองตกใจ เพราะไม่ว่าสิ่งใดเสด็จพ่อเสด็จแ
ฮองเฮาที่ต้องการผูกสัมพันธ์กับชินอ๋องจึงอยากได้จือลู่มาเป็นพระชายาให้กับองค์ชายรอง เพราะฮ่องเต้ย่อมถามความคิดเห็นของชินอ๋องเรื่องแต่งตั้งองค์รัชทายาทหากองค์ชายรองได้แต่งจือลู่ ชินอ๋องย่อมต้องเข้าข้างบุตรเขยของตนเพื่อให้บุตรสาวได้ขึ้นเป็นฮองเฮาในอนาคต เมื่อเห็นว่าชินอ๋องจะขอตัวกลับแล้ว ฮองเฮาจึงพูดเรื่องหมั้นหมายขึ้นมาอีกครั้ง"กระหม่อมยังมิคิดให้ลู่เออร์ออกเรือนพ่ะย่ะค่ะ" ชินอ๋องตัดบทด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา ก่อนจะพาจ้าวเหยียนและบุตรทั้งสองกลับตำหนัก"ท่านพี่ข้าคิดว่าฮองเฮาคงไม่ยอมหยุดเรื่องของลู่เออร์" จ้าวเหยียนเอ่ยด้วยความกังวล"มีข้าอยู่นางจะทำอันใดได้" ชินอ๋องกอดปลอบจ้าวเหยียน เขามองออกไปด้านนอกหน้าต่างรถม้าอย่างใช่ความคิดเว่ยหยางที่รู้เรื่องฮองเฮาต้องการทาบทามจือลู่ให้องค์ชายรองก็ร้อนใจจนมาที่ตำหนักอ๋องแต่เช้า"เปิ่นหวางไม่ได้เรียกเจ้ามิใช่หรือท่านแม่ทัพเว่ย" เขาปรายตามองบุรุษหน้าหนาที่ร้อนใจมาที่ตำหนักแต่เช้า"กระหม่อมมีเรื่องอยากทูลพระองค์พ่ะย่ะค่ะ" ชินอ๋องเดินนำเว่ยหยางไปที่ห้องตำรา เพราะเขารู้ดีว่าเว่ยหยางมาด้วยเรื่องอันใด"ว่ามา" ชินอ๋องนั่งลงแล้วเอ่ยถามโดยไม่ได้หันไปมองเว่ย
วิญญาณดวงใหม่เข้ามาแทนที่ ชินอ๋องจ้องมองภาพตรงหน้าอยากแปลกใจ เมื่อจือลู่ที่มาจากอีกภพลืมตาขึ้น สิ่งที่นางพึมพำออกมาชินอ๋องรู้ได้ทันทีว่านี่คือจือลู่ที่มาอีกภพหนึ่ง"ท่านพี่ ท่านพี่" เสียงเรียกของจ้าวเหยียนปลุกให้ชินอ๋องตื่นขึ้นมาจากฝันร้ายของเขา"เหยียนเหยียน" ชินอ๋องลูบไปที่ใบหน้าของนาง ก่อนจะดึงนางเข้ามาสวมกอดแล้วร้องไห้เงียบๆ"ท่านเป็นอันใดไปเจ้าคะ ฝันเรื่องอันใดถึงได้เป็นเช่นนี้" จ้าวเหยียนมองชินอ๋องอย่างไม่เข้าใจ เพราะเขาทั้งร้องไห้ทั้งตะโกนจึงทำให้นางตื่นขึ้นมาชินอ๋องเล่าเรื่องความฝันของเขาให้จ้าวเหยียนฟัง พอถึงตอนที่ต้องเสียน้องและจือลู่เสียงของเขาสั่นขึ้นด้วยความหวาดกลัว กลัวว่าจะเป็นเรื่องจริง"ท่านพี่หากข้าบอกว่าเรื่องทั้งหมดที่ท่านฝันคือเรื่องจริงท่านจะเชื่อหรือไม่" จ้าวเหยียนจับใบหน้าของชินอ๋องแล้วจ้องมองเขาอย่างจริงจังนางเล่าเรื่องที่นางเสียชีวิตลง และได้ไปอยู่ที่ภพใหม่ แม้ชินอ๋องจะรู้แล้ว แต่เรื่องที่นางรู้ว่าเรื่องทั้งหมดของพวกเขาเป็นเพียงแค่นิยายเรื่องหนึ่งเท่านั้นแต่สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากที่นางจบชีวิตลงเป็นเช่นที่เขาเห็นความรันทดของบุตรทั้งสองเป็นเรื่องจริง ที่ครั้