"พี่ธีรัช... ได้โปรดเถอะค่ะ หยุดทำร้ายครอบครัวมินเถอะ..."
"หยุด?" ธีรัชทวนคำนั้นด้วยเสียงเยาะเย้ยในลำคอ "เธอคิดว่าพี่จะหยุดง่ายๆ งั้นเหรอ มินตรา? พี่ชายของเธอทำลายชีวิตของพิมพ์นารา คนที่พี่รักมากที่สุด แล้วเธอกล้าขอให้พี่หยุดงั้นเหรอ?"
"มินขอโทษค่ะ... มินตราขอโทษแทนพี่มินทร์ แต่... แต่แม่ของมินไม่เกี่ยวเลยนะคะ แม่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย ได้โปรดเถอะ พี่ธีรัช..." เธอกระซิบอ้อนวอน ทั้งเสียงและหัวใจที่กำลังสั่นสะท้านอย่างรุนแรง
"พี่จะหยุดก็ต่อเมื่อเธอรับผิดชอบแทนมัน!" ธีรัชประกาศกร้าว ราวกับพิพากษาโทษประหารชีวิตให้เธอ
มินตรารู้ดี... รู้ดีกว่าใครว่าธีรัชเกลียดเธอ
แต่เขาไม่เคยรู้เลย... ไม่เคยแม้แต่จะสังเกต ว่าเธอเคยรู้สึกอย่างไรกับเขา
เธอไม่เคยอยากเป็นศัตรูของเขา ไม่เคยอยากถูกมองด้วยสายตาเย็นชาดูแคลนเช่นนี้
แต่ในท้ายที่สุด... เธอกลับต้องเป็นผู้รับโทษแทน ทั้งที่ไม่เคยทำผิดแม้แต่น้อย
หากความรักที่เธอมีให้เขา... กลับต้องถูกตอบแทนด้วยความเกลียดชังถึงเพียงนี้
แล้วเธอควรจะรู้สึกอย่างไร?
"ถ้าเธอไม่อยากเห็นแม่เธอทรุดหนักไปกว่านี้..." เสียงของธีรัชเยียบเย็น "ถ้าเธออยากให้ร้านของแม่เธอกลับมาเปิดได้... ก็มาเป็นของพี่ซะ"
ดวงตาของมินตราเบิกกว้างในความตกตะลึง
"พี่ธีรัช... หมายความว่ายังไง?"
"เธอได้ยินชัดเจนดีแล้ว มินตรา" เขากระซิบด้วยน้ำเสียงที่เย็นเฉียบยิ่งกว่าความตาย "มาเป็นทาสของพี่ มาอยู่ภายใต้คำสั่งของพี่ ชดใช้บาปแทนไอ้มินทร์ แล้วพี่จะหยุดทุกอย่าง"
จากนั้น เขาก็ตัดสายโทรศัพท์ไปอย่างไร้เยื่อใย
เสียงตัดสายดัง ตื๊ด... เงียบกริบราวกับคำพิพากษาที่ไม่มีทางหลีกเลี่ยง
น้ำตาของมินตราหยดแหมะลงบนหน้าจอโทรศัพท์ที่ดับสนิท ช้าๆ และหนักหน่วง
นี่หรือ... คือสิ่งที่เขาต้องการจริงๆ?
หญิงสาวเหลือบมองไปทางห้องของแม่ เสียงไอแห้งๆ ดังลอดออกมาอย่างอ่อนแรงและน่าสงสาร
แม่... ผู้หญิงที่เธอรักที่สุดในชีวิต
แม่... ที่กำลังจะถูกพรากทุกอย่างไปต่อหน้าต่อตา
มินตราหันไปมองรูปถ่ายครอบครัวที่ตั้งอยู่ข้างเตียง รูปที่เคยมีพ่อ แม่ และพี่ชายของเธอยิ้มแย้มอย่างมีความสุข
แต่ตอนนี้... ทุกอย่างแตกสลายจนไม่เหลืออะไรอีกแล้ว
มือที่สั่นระริกยกโทรศัพท์ขึ้นมาอีกครั้ง
เธอหลับตาลงแน่น สูดลมหายใจลึกๆ รวบรวมเศษเสี้ยวของศักดิ์ศรีที่เหลืออยู่ ก่อนจะกดโทรหาหมายเลขนั้นอีกครั้ง
เสียงสัญญาณดังขึ้นเพียงสองครั้ง ก่อนที่ปลายสายจะรับอย่างรวดเร็ว
"ตัดสินใจได้รึยัง?" เสียงของธีรัชดังขึ้นเรียบเย็น ไม่แฝงความเห็นใจแม้แต่นิด
มินตรากัดริมฝีปากแน่น ความเจ็บปวดท่วมท้นจนแทบเอ่ยปากไม่ได้
ทุกอย่างในชีวิตของเธอ... พังทลายลงหมดแล้ว
มีเพียงสิ่งเดียวที่เธอสามารถทำได้ตอนนี้
เสียงของเธอเบาหวิว... แทบไร้เรี่ยวแรง แต่หนักแน่นด้วยความสิ้นหวัง
"มิน... ยอมแล้วค่ะ"
ปลายสายเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนที่เสียงหัวเราะต่ำๆ ของธีรัชจะดังขึ้น แผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยชัยชนะที่เย็นเยียบ
"ดีมาก..." เขาพูดอย่างพึงพอใจ "เตรียมตัวให้พร้อม พี่จะส่งคนไปรับเธอ... พรุ่งนี้"
รถยนต์หรูสีดำแล่นลึกเข้าไปในรั้วคฤหาสน์โอ่อ่าหลังใหญ่ ที่ประดับประดาไปด้วยสวนหย่อมอย่างประณีตงดงาม
แต่มินตราไม่ได้เห็นความสวยงามเหล่านั้นเลย สำหรับเธอ... ที่แห่งนี้ไม่ต่างอะไรจากคุกทองคำ ที่สร้างขึ้นเพื่อจองจำและทำลายเธอ
เมื่อรถจอดสนิท เสียงประตูรถถูกเปิดออกอย่างกระชากกระชั้นโดยบอดี้การ์ดในชุดดำ
ใบหน้าของเขาไร้รอยยิ้มแม้แต่น้อย
"ลงมา" เสียงของบอดี้การ์ดคนหนึ่ง สั่งห้วนๆ ราวกับสั่งหมาตัวหนึ่ง
มินตรากัดริมฝีปาก สูดลมหายใจลึก ก่อนจะก้าวลงจากรถด้วยความระมัดระวัง
สายตาของเหล่าคนรับใช้ที่ยืนเรียงรายอยู่ริมทางเดินจับจ้องมาที่เธอทันที ทุกคู่ตาเต็มไปด้วยแววดูแคลน เหยียดหยาม ราวกับเธอเป็นสิ่งสกปรกที่ไม่ควรเหยียบย่างเข้ามาในบ้านหลังนี้
ไม่มีแม้แต่คำทักทาย ไม่มีแม้แต่รอยยิ้ม
แน่นอน... เพราะสำหรับคนในบ้านหลังนี้ พิมพ์นาราคือดั่งเจ้าหญิง
ส่วนเธอ... คืออาชญากรในคราบน้องสาวของผู้ทำลาย
มินตราฝืนกลืนน้ำลายลงคอ พยายามข่มก้อนสะอื้นที่พุ่งขึ้นมาจุกแน่นในอก ก่อนจะก้าวเดินตามบอดี้การ์ดเข้าไปในตัวบ้านพื้นหินอ่อนเย็นเฉียบสะท้อนเงาของเธอรางๆ แสงไฟระยิบระยับบนเพดานที่เคยงดงาม บัดนี้กลับเหมือนแสงจ้าจากห้องสอบสวนที่พร้อมจะแฉทุกบาดแผลของเธอให้โลกเห็นเมื่อก้าวเข้าสู่ห้องโถงใหญ่ เสียงฝีเท้าหนักๆ ดังขึ้นจากชั้นบนธีรัช...ชายหนุ่มในชุดสูทสีดำก้าวลงบันไดอย่างสง่างาม ราวกับเจ้าชายในเทพนิยายแต่แววตาของเขา... กลับเย็นเยียบแข็งกร้าวจนทำลายภาพฝันทุกอย่างจนไม่เหลือซากมือข้างหนึ่งล้วงกระเป๋ากางเกง ท่าทางสงบนิ่งแต่แฝงด้วยอำนาจที่กดทับให้ทุกสิ่งรอบตัวสั่นสะท้าน"เธอมาถึงเร็วกว่าที่คิด" เขาพูดเสียงเรียบ มุมปากกระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้มเหยียดเยาะมินตราเม้มริมฝีปากแน่น เธอไม่ตอบโต้ ไม่แม้แต่จะสบตาเขาทำได้เพียงยืนนิ่ง ปล่อยให้สายตาคมกริบคู่นั้นกวาดประเมินเธอราวกับมองเศษขยะ"คิดว่าการยอมมาที่นี่แล้ว... ทุกอย่างจะจบเหรอ?" น้ำเสียงของเขาเย็นชาเจือรังเกียจ "พี่ยังไม่ลืมหรอกนะ ว่าพี่ชายเธอมันทำอะไรไว้"มินตราหลุบตาต่ำลง หัวใจบอบช้ำแทบขาดเป็นเสี่ยงๆไม่ว่าเธอจะพูดอะไรออกไป... มันก็ไม่มีวันเปลี่ยนความ
เป็นช่วงปิดเทอมฤดูร้อน เธอและพิมพ์นารา เพื่อนสนิทที่สนิทที่สุดในชีวิต ได้รับเชิญให้เข้าร่วมค่ายอาสาสมัครในหมู่บ้านห่างไกลทางภาคเหนือหน้าที่ของพวกเธอคือช่วยกันสร้างโรงเรียนเล็กๆ ให้กับเด็กๆ ในพื้นที่ห่างไกล และที่นั่นเอง... คือครั้งแรกที่เธอได้พบกับเขาธีรัช ชายหนุ่มวัยสิบเก้าปีในตอนนั้น รูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้าคมสันอย่างชายหนุ่มในวัยเริ่มต้นความงามสมบูรณ์เต็มที่ เสน่ห์บางอย่างในตัวเขาดึงดูดสายตาทุกคนให้จับจ้องอย่างไม่อาจละได้ เขามาพร้อมกลุ่มเพื่อนจากโรงเรียนเอกชนชื่อดัง คนกลุ่มนั้นดูแตกต่างจากเธอและพิมพ์นาราอย่างสิ้นเชิงเขาอยู่คนละโลกกับเธอ...แต่ในวันนั้น โลกสองใบบังเอิญมาบรรจบกัน"ดูเขาสิ หล่อมากเลย..."พิมพ์นารากระซิบกระซาบข้างหูเธอด้วยดวงตาเป็นประกายมินตราเพียงยิ้มและหัวเราะเบาๆ แสร้งทำเป็นไม่ใส่ใจ ทั้งที่ในใจ... มีประกายบางอย่างอุ่นวาบขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้เธอเองก็แอบชมชอบเขา... เหมือนกับสาวๆ ในค่ายคนอื่นๆจนกระทั่งวันหนึ่ง... วันที่ฝนตกกระหน่ำไม่ลืมหูลืมตา ดินบนเขาอ่อนตัวลง และเกิดเหตุดินสไลด์อย่างไม่คาดคิดเสียงตะโกนโหวกเหวกดังไปทั่วบริเวณ ทุกคนแตกตื่น รีบหนีเอาตัวรอดอย่างโกล
"อย่าลืม... ตำแหน่งของเธอที่นี่คืออะไร มินตรา"เขากระซิบเย็นๆ ราวกับลมหายใจของปีศาจ"เธออยู่ที่นี่ได้เพราะพี่ 'อนุญาต' ให้มาอยู่ในฐานะทาสไถ่บาปของครอบครัวสกปรกของเธอเท่านั้น""แค่เห็นหน้าเธอ..." ธีรัชกัดฟันแน่น"พี่ก็แทบอยากอาเจียน"หญิงสาวกำมือแน่นจนเล็บจิกลงไปในเนื้อฝ่ามือเธอรู้... รู้ดีว่าเขาเกลียดเธอแต่เธอไม่คิดเลย... ว่าเขาจะเหยียบย่ำเธอจนแทบไม่เหลือเศษเสี้ยวศักดิ์ศรีเช่นนี้"เธอรู้ไหม... ทุกครั้งที่ฉันเห็นหน้าเธอ ฉันนึกถึงอะไร?"มินตราส่ายหน้าเบาๆ ร่างกายสั่นไหว"พี่เห็นพิมพ์... นอนนิ่งอยู่บนเตียงไอซียู" ธีรัชพูดเสียงพร่า"เห็นเธอหมดสติ มีแต่สายระโยงระยางเต็มตัว..."ความเจ็บปวดสั่นสะเทือนในเสียงของเขา... แต่ในดวงตาคมกริบยังคงเต็มไปด้วยเปลวเพลิงแห่งความเกลียดชัง"และเธอรู้ไหม... มันทำให้พี่เกลียดเธอมากแค่ไหน?"น้ำตาที่เธอพยายามกลั้นไว้ ไหลรินลงข้างแก้มอย่างไร้เสียง"ทุกครั้งที่มองหน้าเธอ..."ธีรัชกดเสียงต่ำ ดวงตาแดงก่ำ"พี่อยากให้เธอเจ็บ เหมือนที่พิมพ์นาราเจ็บ"โลกทั้งใบของมินตราเหมือนถล่มลงมาใส่เธอในวินาทีนั้น"ถ้าเลือกได้..." เสียงของเขาแผ่วต่ำ"พี่อยากให้คนที่นอนอยู่บนเตียง
เสียงฝีเท้าหนักๆ ดังขึ้นจากทางเดินข้างห้องครัว กลิ่นน้ำหอมราคาแพงลอยมาตามสายลมบางเบา เธอเงยตาขึ้นเล็กน้อย ก็เห็นเงาร่างสูงใหญ่อยู่ตรงนั้นธีรัชในชุดสูทสีเข้มเนี้ยบกริบ ดูสมบูรณ์แบบและสง่างามเกินเอื้อม มือข้างหนึ่งของเขาล้วงกระเป๋าอย่างสบายๆ ขณะที่อีกข้างถือแก้วไวน์แกว่งเบาๆ ราวกับไม่มีอะไรเร่งรีบในโลกใบนี้เขามองเธอด้วยสายตาเรียบเฉย... เรียบเสียจนอ่านไม่ออกว่าข้างในนั้นมีความรู้สึกแบบไหนซ่อนอยู่"ทำอะไร?""ฉัน... ล้างจานค่ะ" เธอตอบเสียงเบา ก้มหน้าลงจนแทบจมลงไปในอ่างล้างจาน"ดี..." ธีรัชเอ่ยเสียงเนิบช้า "เหมาะกับเธอดี"ใช่...นี่คือสิ่งที่เขาต้องการ กดเธอให้ตกต่ำ ลากเธอลงสู่ความต่ำต้อยที่สุดที่เขาจะทำได้ธีรัชยกแก้วไวน์ขึ้นจิบอย่างเชื่องช้า ก่อนจะก้าวเข้ามาใกล้จนเงาของเขาทาบทับตัวเธอจากนั้นเขาโน้มตัวลง กระซิบข้างหูเธอด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบ ราวกับมีดปลายแหลม"อย่าคิด...ว่าจะมีสิทธิ์ได้รับความเคารพจากใครในบ้านหลังนี้""สำหรับฉัน..." ธีรัชเว้นจังหวะ ก่อนจะกดเสียงต่ำเฉียบอีกระลอก"เธอไม่มีค่ามากไปกว่าคนใช้คนหนึ่ง หรืออาจจะน้อยกว่านั้นด้วยซ้ำ"จากนั้นเขาก็หมุนตัวเดินจากไปอย่างไม่หันกลับมามอ
เพราะในความทรงจำของเขา...ธีรัชไม่เคยจำหน้าเด็กผู้หญิงคนนั้นได้ชัดเจนเลยเขาจำได้เพียงแค่ความรู้สึกของมือเล็กๆ ที่ยื่นมาคว้าเขาไว้ในวินาทีที่เขากำลังจมดิ่งสู่ความตาย และโบสีฟ้าที่ปลายเปียผมของเธอเพราะพิมพ์นาราไม่เคยปฏิเสธว่าเธอคือคนที่ช่วยเขาในวันนั้นดังนั้นสำหรับเขา พิมพ์นาราจึงกลายเป็น รักแรก เป็นคนที่เขาคิดว่าตนเป็นหนี้ชีวิต เป็นเงาที่ผูกพันอยู่ในใจ โดยไม่เคยมีข้อกังขาใดๆธีรัชนั่งนิ่งอยู่ในห้องทำงานสลัวๆ แสงสีส้มนวลจากโคมไฟสะท้อนบนใบหน้าคมคายที่ดูเคร่งขรึม มือใหญ่ถือแก้วไวน์เอาไว้ แต่เนื้อไวน์สีเข้มในแก้วกลับนิ่งสนิทราวกับสะท้อนสภาพจิตใจของเขาในตอนนี้จิตใจที่ล่องลอยไปไกล... ไกลกว่าที่เขาอยากจะยอมรับช่วงนี้...เขาฝันถึงเหตุการณ์นั้นบ่อยขึ้น วันที่เขาจมน้ำ วันที่ชีวิตของเขาแขวนอยู่บนเส้นด้ายฝันถึงมือเล็กๆ ที่ยื่นมาจากท่ามกลางกระแสน้ำเย็นเฉียบ ดวงตากลมโตที่เปี่ยมด้วยความกล้าหาญฝันถึงโบสีฟ้า... ที่ปลายเปียผมและสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกแปลกใจที่สุด คือใบหน้าของเด็กผู้หญิงในฝัน...มันเริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆและเธอ...ไม่ใช่พิมพ์นาราแต่กลับเป็น “มินตราWธีรัชกำแก้วไวน์แน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นในห้องนอนที่เงียบงัน กลับดังชัดเจนผิดปกติในยามนี้ จนทำให้มินตราสะดุ้งสุดตัวเธอมองหน้าจอแสดงหมายเลขแปลกตาด้วยความลังเล ความรู้สึกไม่สบายใจบางอย่างก่อตัวขึ้นในอก ก่อนที่เธอจะตัดสินใจกดรับสาย"คุณเป็นญาติของคุณมินทร์ใช่ไหมคะ?" เสียงสุภาพแต่เร่งรีบดังมาจากปลายสาย"ค่ะ... ฉันเป็นน้องสาวของเขา" มินตราตอบเสียงแผ่ว แม้ในใจจะเริ่มหวั่นไหวอย่างรุนแรง"ดิฉันโทรมาจากโรงพยาบาลค่ะ ตอนนี้มีเรื่องด่วนที่จำเป็นต้องแจ้งให้คุณทราบโดยด่วน""เรื่องด่วน?" เธอทวนคำอย่างไม่เข้าใจ มือที่จับโทรศัพท์เริ่มกำแน่นจนข้อนิ้วซีดเผือด ความกังวลแล่นเข้าสู่หัวใจเร็วยิ่งกว่าสายฟ้า"มีอุบัติเหตุรถชน ผู้บาดเจ็บอาการสาหัส และเราได้รับข้อมูลว่าคุณมินทร์อาจเป็นผู้ขับขี่รถคันที่ก่อเหตุ..."ปลายสายหยุดไปชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยประโยคถัดมาด้วยเสียงเคร่งขรึมยิ่งกว่าเดิม"ตอนนี้ผู้บาดเจ็บยังไม่รู้สึกตัว และอยู่ในห้องฉุกเฉินค่ะ"โลกทั้งใบของมินตราเหมือนหยุดหมุนในพริบตาเดียวเสียงลมหายใจของตัวเองยังฟังดูแผ่วเบาเกินกว่าจะเป็นจริง หูอื้อราวกับอยู่ในสุญญากาศ"ผู้บาดเจ็บเป็นใครเหรอคะ?" เธอถามเสียงสั่น ในใจภาวนาให้ไม่ใช่ชื
เสียงพูดของเธอเหมือนฟ้าผ่ากลางใจผู้เป็นแม่ทันที ใบหน้าของแม่เธอซีดเผือดในเสี้ยววินาที น้ำตาไหลพรากลงมาอย่างไม่อาจห้าม มือที่จับแขนมินตราไว้สั่นระริกอย่างน่าสงสาร "ไม่จริง... มินตรา... ลูกพูดอะไรของลูก..." เสียงสะอื้นหลุดออกมาจากลำคอที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดเกินจะกล่าว มินตราโผเข้าไปกอดแม่แน่น ก้อนสะอื้นจุกแน่นอยู่กลางอก ความสิ้นหวัง ความเจ็บปวด และความผิดบาป ถาโถมเข้ามาไม่หยุด ชั้นหกของโรงพยาบาลเอกชนชื่อดังแห่งหนึ่ง บรรยากาศเงียบสงัดจนได้ยินเพียงเสียงเครื่องช่วยหายใจที่ส่งเสียงสม่ำเสมอ ราวกับนับถอยหลังชีวิตของคนบนเตียงคนไข้ มินตรานั่งนิ่งอยู่ข้างเตียง...นั่งนิ่งราวกับรูปปั้น ดวงตาแดงก่ำจับจ้องไปยังร่างไร้สติของพิมพ์นารา หญิงสาวที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นดั่งเงาคู่ขนาน แต่ในท้ายที่สุด กลับกลายเป็นผู้ทำลายโลกของเธอจนไม่เหลือชิ้นดี ความหลังที่เต็มไปด้วยบาดแผลฝังลึกไหลย้อนเข้ามาอีกครั้ง ความเจ็บปวดเก่าๆ ที่ไม่มีวันเลือนหาย ถึงอย่างนั้น... แม้จะเคยถูกหักหลังอย่างไร้ความปรานี มินตราก็ทำได้เพียงนั่งเฝ้ามองเงียบๆ ไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเอื้อนเอ่ยถึงความเจ็บปวดของตัวเอง ตอนนี้ พิมพ์นารานอนแน่นิ่งอย
เสียงโทรศัพท์สั่นครืดอยู่บนโต๊ะไม้สักตัวใหญ่ในห้องประชุมสุดหรูของโรงแรมระดับห้าดาวใจกลางมหานครเซี่ยงไฮ้ เสียงที่ควรเป็นเพียงสิ่งรบกวนเล็กน้อยในระหว่างการเจรจาธุรกิจ กลับดังชัดเจนราวระฆังเตือนภัยในหูของธีรัชชายหนุ่มเหลือบตาลงมองหน้าจอแวบหนึ่ง เลขาของเขา "อัญชลี" กำลังโทรเข้ามาแปลก... เธอไม่เคยโทรเข้ามาในเวลาที่เขาอยู่ระหว่างประชุม ยกเว้นจะมีเรื่องคอขาดบาดตายเท่านั้นธีรัชขมวดคิ้วแน่น กดปิดสายก่อนจะหันกลับไปสนใจกับงานตรงหน้า“คุณธีรัช ตกลงตามนี้ได้ไหมครับ?” เจ้าของบริษัทชาวจีนเอ่ยถามด้วยภาษาอังกฤษสุภาพ มือผายไปทางสไลด์ข้อมูลโครงการพันล้านที่ยังเปิดค้างอยู่บนหน้าจอธีรัชสูดลมหายใจลึก พยายามตั้งสติกลับมา แต่นิ้วมือกลับเคาะโต๊ะเบาๆ อย่างไม่รู้ตัว... โทรศัพท์ยังคงสั่นไม่หยุด ครืด... ครืด... ครืด...‘ใครกันแน่... โทรมารัวขนาดนี้...’ เขาขบกรามแน่น ความรำคาญเริ่มก่อตัวในอกสุดท้าย เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะกดรับสายด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบ"ว่าไง?"ปลายสายไม่ใช่เสียงรายงานธุรกิจอย่างที่เขาคิดกลับเป็นเสียงของอัญชลีที่เต็มไปด้วยความตื่นตระหนกจนเกือบกลายเป็นกรีดร้อง"คุณธีรัช! เกิดเรื่อ
เพราะในความทรงจำของเขา...ธีรัชไม่เคยจำหน้าเด็กผู้หญิงคนนั้นได้ชัดเจนเลยเขาจำได้เพียงแค่ความรู้สึกของมือเล็กๆ ที่ยื่นมาคว้าเขาไว้ในวินาทีที่เขากำลังจมดิ่งสู่ความตาย และโบสีฟ้าที่ปลายเปียผมของเธอเพราะพิมพ์นาราไม่เคยปฏิเสธว่าเธอคือคนที่ช่วยเขาในวันนั้นดังนั้นสำหรับเขา พิมพ์นาราจึงกลายเป็น รักแรก เป็นคนที่เขาคิดว่าตนเป็นหนี้ชีวิต เป็นเงาที่ผูกพันอยู่ในใจ โดยไม่เคยมีข้อกังขาใดๆธีรัชนั่งนิ่งอยู่ในห้องทำงานสลัวๆ แสงสีส้มนวลจากโคมไฟสะท้อนบนใบหน้าคมคายที่ดูเคร่งขรึม มือใหญ่ถือแก้วไวน์เอาไว้ แต่เนื้อไวน์สีเข้มในแก้วกลับนิ่งสนิทราวกับสะท้อนสภาพจิตใจของเขาในตอนนี้จิตใจที่ล่องลอยไปไกล... ไกลกว่าที่เขาอยากจะยอมรับช่วงนี้...เขาฝันถึงเหตุการณ์นั้นบ่อยขึ้น วันที่เขาจมน้ำ วันที่ชีวิตของเขาแขวนอยู่บนเส้นด้ายฝันถึงมือเล็กๆ ที่ยื่นมาจากท่ามกลางกระแสน้ำเย็นเฉียบ ดวงตากลมโตที่เปี่ยมด้วยความกล้าหาญฝันถึงโบสีฟ้า... ที่ปลายเปียผมและสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกแปลกใจที่สุด คือใบหน้าของเด็กผู้หญิงในฝัน...มันเริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆและเธอ...ไม่ใช่พิมพ์นาราแต่กลับเป็น “มินตราWธีรัชกำแก้วไวน์แน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว
เสียงฝีเท้าหนักๆ ดังขึ้นจากทางเดินข้างห้องครัว กลิ่นน้ำหอมราคาแพงลอยมาตามสายลมบางเบา เธอเงยตาขึ้นเล็กน้อย ก็เห็นเงาร่างสูงใหญ่อยู่ตรงนั้นธีรัชในชุดสูทสีเข้มเนี้ยบกริบ ดูสมบูรณ์แบบและสง่างามเกินเอื้อม มือข้างหนึ่งของเขาล้วงกระเป๋าอย่างสบายๆ ขณะที่อีกข้างถือแก้วไวน์แกว่งเบาๆ ราวกับไม่มีอะไรเร่งรีบในโลกใบนี้เขามองเธอด้วยสายตาเรียบเฉย... เรียบเสียจนอ่านไม่ออกว่าข้างในนั้นมีความรู้สึกแบบไหนซ่อนอยู่"ทำอะไร?""ฉัน... ล้างจานค่ะ" เธอตอบเสียงเบา ก้มหน้าลงจนแทบจมลงไปในอ่างล้างจาน"ดี..." ธีรัชเอ่ยเสียงเนิบช้า "เหมาะกับเธอดี"ใช่...นี่คือสิ่งที่เขาต้องการ กดเธอให้ตกต่ำ ลากเธอลงสู่ความต่ำต้อยที่สุดที่เขาจะทำได้ธีรัชยกแก้วไวน์ขึ้นจิบอย่างเชื่องช้า ก่อนจะก้าวเข้ามาใกล้จนเงาของเขาทาบทับตัวเธอจากนั้นเขาโน้มตัวลง กระซิบข้างหูเธอด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบ ราวกับมีดปลายแหลม"อย่าคิด...ว่าจะมีสิทธิ์ได้รับความเคารพจากใครในบ้านหลังนี้""สำหรับฉัน..." ธีรัชเว้นจังหวะ ก่อนจะกดเสียงต่ำเฉียบอีกระลอก"เธอไม่มีค่ามากไปกว่าคนใช้คนหนึ่ง หรืออาจจะน้อยกว่านั้นด้วยซ้ำ"จากนั้นเขาก็หมุนตัวเดินจากไปอย่างไม่หันกลับมามอ
"อย่าลืม... ตำแหน่งของเธอที่นี่คืออะไร มินตรา"เขากระซิบเย็นๆ ราวกับลมหายใจของปีศาจ"เธออยู่ที่นี่ได้เพราะพี่ 'อนุญาต' ให้มาอยู่ในฐานะทาสไถ่บาปของครอบครัวสกปรกของเธอเท่านั้น""แค่เห็นหน้าเธอ..." ธีรัชกัดฟันแน่น"พี่ก็แทบอยากอาเจียน"หญิงสาวกำมือแน่นจนเล็บจิกลงไปในเนื้อฝ่ามือเธอรู้... รู้ดีว่าเขาเกลียดเธอแต่เธอไม่คิดเลย... ว่าเขาจะเหยียบย่ำเธอจนแทบไม่เหลือเศษเสี้ยวศักดิ์ศรีเช่นนี้"เธอรู้ไหม... ทุกครั้งที่ฉันเห็นหน้าเธอ ฉันนึกถึงอะไร?"มินตราส่ายหน้าเบาๆ ร่างกายสั่นไหว"พี่เห็นพิมพ์... นอนนิ่งอยู่บนเตียงไอซียู" ธีรัชพูดเสียงพร่า"เห็นเธอหมดสติ มีแต่สายระโยงระยางเต็มตัว..."ความเจ็บปวดสั่นสะเทือนในเสียงของเขา... แต่ในดวงตาคมกริบยังคงเต็มไปด้วยเปลวเพลิงแห่งความเกลียดชัง"และเธอรู้ไหม... มันทำให้พี่เกลียดเธอมากแค่ไหน?"น้ำตาที่เธอพยายามกลั้นไว้ ไหลรินลงข้างแก้มอย่างไร้เสียง"ทุกครั้งที่มองหน้าเธอ..."ธีรัชกดเสียงต่ำ ดวงตาแดงก่ำ"พี่อยากให้เธอเจ็บ เหมือนที่พิมพ์นาราเจ็บ"โลกทั้งใบของมินตราเหมือนถล่มลงมาใส่เธอในวินาทีนั้น"ถ้าเลือกได้..." เสียงของเขาแผ่วต่ำ"พี่อยากให้คนที่นอนอยู่บนเตียง
เป็นช่วงปิดเทอมฤดูร้อน เธอและพิมพ์นารา เพื่อนสนิทที่สนิทที่สุดในชีวิต ได้รับเชิญให้เข้าร่วมค่ายอาสาสมัครในหมู่บ้านห่างไกลทางภาคเหนือหน้าที่ของพวกเธอคือช่วยกันสร้างโรงเรียนเล็กๆ ให้กับเด็กๆ ในพื้นที่ห่างไกล และที่นั่นเอง... คือครั้งแรกที่เธอได้พบกับเขาธีรัช ชายหนุ่มวัยสิบเก้าปีในตอนนั้น รูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้าคมสันอย่างชายหนุ่มในวัยเริ่มต้นความงามสมบูรณ์เต็มที่ เสน่ห์บางอย่างในตัวเขาดึงดูดสายตาทุกคนให้จับจ้องอย่างไม่อาจละได้ เขามาพร้อมกลุ่มเพื่อนจากโรงเรียนเอกชนชื่อดัง คนกลุ่มนั้นดูแตกต่างจากเธอและพิมพ์นาราอย่างสิ้นเชิงเขาอยู่คนละโลกกับเธอ...แต่ในวันนั้น โลกสองใบบังเอิญมาบรรจบกัน"ดูเขาสิ หล่อมากเลย..."พิมพ์นารากระซิบกระซาบข้างหูเธอด้วยดวงตาเป็นประกายมินตราเพียงยิ้มและหัวเราะเบาๆ แสร้งทำเป็นไม่ใส่ใจ ทั้งที่ในใจ... มีประกายบางอย่างอุ่นวาบขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้เธอเองก็แอบชมชอบเขา... เหมือนกับสาวๆ ในค่ายคนอื่นๆจนกระทั่งวันหนึ่ง... วันที่ฝนตกกระหน่ำไม่ลืมหูลืมตา ดินบนเขาอ่อนตัวลง และเกิดเหตุดินสไลด์อย่างไม่คาดคิดเสียงตะโกนโหวกเหวกดังไปทั่วบริเวณ ทุกคนแตกตื่น รีบหนีเอาตัวรอดอย่างโกล
มินตราฝืนกลืนน้ำลายลงคอ พยายามข่มก้อนสะอื้นที่พุ่งขึ้นมาจุกแน่นในอก ก่อนจะก้าวเดินตามบอดี้การ์ดเข้าไปในตัวบ้านพื้นหินอ่อนเย็นเฉียบสะท้อนเงาของเธอรางๆ แสงไฟระยิบระยับบนเพดานที่เคยงดงาม บัดนี้กลับเหมือนแสงจ้าจากห้องสอบสวนที่พร้อมจะแฉทุกบาดแผลของเธอให้โลกเห็นเมื่อก้าวเข้าสู่ห้องโถงใหญ่ เสียงฝีเท้าหนักๆ ดังขึ้นจากชั้นบนธีรัช...ชายหนุ่มในชุดสูทสีดำก้าวลงบันไดอย่างสง่างาม ราวกับเจ้าชายในเทพนิยายแต่แววตาของเขา... กลับเย็นเยียบแข็งกร้าวจนทำลายภาพฝันทุกอย่างจนไม่เหลือซากมือข้างหนึ่งล้วงกระเป๋ากางเกง ท่าทางสงบนิ่งแต่แฝงด้วยอำนาจที่กดทับให้ทุกสิ่งรอบตัวสั่นสะท้าน"เธอมาถึงเร็วกว่าที่คิด" เขาพูดเสียงเรียบ มุมปากกระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้มเหยียดเยาะมินตราเม้มริมฝีปากแน่น เธอไม่ตอบโต้ ไม่แม้แต่จะสบตาเขาทำได้เพียงยืนนิ่ง ปล่อยให้สายตาคมกริบคู่นั้นกวาดประเมินเธอราวกับมองเศษขยะ"คิดว่าการยอมมาที่นี่แล้ว... ทุกอย่างจะจบเหรอ?" น้ำเสียงของเขาเย็นชาเจือรังเกียจ "พี่ยังไม่ลืมหรอกนะ ว่าพี่ชายเธอมันทำอะไรไว้"มินตราหลุบตาต่ำลง หัวใจบอบช้ำแทบขาดเป็นเสี่ยงๆไม่ว่าเธอจะพูดอะไรออกไป... มันก็ไม่มีวันเปลี่ยนความ
"พี่ธีรัช... ได้โปรดเถอะค่ะ หยุดทำร้ายครอบครัวมินเถอะ...""หยุด?" ธีรัชทวนคำนั้นด้วยเสียงเยาะเย้ยในลำคอ "เธอคิดว่าพี่จะหยุดง่ายๆ งั้นเหรอ มินตรา? พี่ชายของเธอทำลายชีวิตของพิมพ์นารา คนที่พี่รักมากที่สุด แล้วเธอกล้าขอให้พี่หยุดงั้นเหรอ?""มินขอโทษค่ะ... มินตราขอโทษแทนพี่มินทร์ แต่... แต่แม่ของมินไม่เกี่ยวเลยนะคะ แม่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย ได้โปรดเถอะ พี่ธีรัช..." เธอกระซิบอ้อนวอน ทั้งเสียงและหัวใจที่กำลังสั่นสะท้านอย่างรุนแรง"พี่จะหยุดก็ต่อเมื่อเธอรับผิดชอบแทนมัน!" ธีรัชประกาศกร้าว ราวกับพิพากษาโทษประหารชีวิตให้เธอมินตรารู้ดี... รู้ดีกว่าใครว่าธีรัชเกลียดเธอแต่เขาไม่เคยรู้เลย... ไม่เคยแม้แต่จะสังเกต ว่าเธอเคยรู้สึกอย่างไรกับเขาเธอไม่เคยอยากเป็นศัตรูของเขา ไม่เคยอยากถูกมองด้วยสายตาเย็นชาดูแคลนเช่นนี้แต่ในท้ายที่สุด... เธอกลับต้องเป็นผู้รับโทษแทน ทั้งที่ไม่เคยทำผิดแม้แต่น้อยหากความรักที่เธอมีให้เขา... กลับต้องถูกตอบแทนด้วยความเกลียดชังถึงเพียงนี้แล้วเธอควรจะรู้สึกอย่างไร?"ถ้าเธอไม่อยากเห็นแม่เธอทรุดหนักไปกว่านี้..." เสียงของธีรัชเยียบเย็น "ถ้าเธออยากให้ร้านของแม่เธอกลับมาเปิดได้... ก
หลังจากวันที่ธีรัชตวาดใส่เธอที่โรงพยาบาล ไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมงต่อมา ชีวิตของมินตราก็พังทลายลงอย่างไร้ความปรานีข่าวพาดหัวตัวใหญ่โหมกระพือไปทั่วหน้าสื่อออนไลน์และหน้าหนังสือพิมพ์"ทายาทร้านขนมชื่อดัง ขับรถชนแล้วหนี!"แม้ชื่อของพี่มินทร์จะถูกเซ็นเซอร์ไว้บางส่วน แต่ตระกูล "ม." ที่สื่อพูดถึงนั้น... ไม่มีใครไม่รู้ว่าเป็นครอบครัวของเธอเสียงโทรศัพท์บ้านดังขึ้นไม่ขาดสายตั้งแต่เช้า เสียงกริ่งที่แต่เดิมเคยหมายถึงข่าวดี ตอนนี้กลับกลายเป็นสัญญาณแห่งหายนะที่ทำให้หัวใจทุกคนในบ้านสั่นระริกคนโทรมาไม่ใช่แค่เพื่อนหรือคนรู้จัก แต่รวมถึงนักข่าวที่คอยคุ้ยหาข่าวฉาว ผู้หวังดีที่เต็มไปด้วยคำพูดเสียดสี และคนแปลกหน้าที่ส่งข้อความข่มขู่มาทางโซเชียลมีเดียอย่างไม่หยุดหย่อนธุรกิจเบเกอรี่เล็กๆ ของแม่ ร้านขนมที่เคยอบอวลด้วยกลิ่นหอมหวานและเสียงหัวเราะของลูกค้า ตอนนี้กลับเงียบงันจนน่าหวาดหวั่นลูกค้าหายไปเหมือนถูกกวาดล้างอย่างไรอย่างนั้น โต๊ะทุกตัวกลับว่างเปล่า พนักงานที่เคยทำงานกันอย่างคล่องแคล่วก็พากันก้มหน้าหลบสายตา บรรยากาศเงียบเย็นจนหนาวสะท้านแม่ของเธอยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น... จนกระทั่งมีชายชุดดำสองคน เดิน
เสียงตวาดดังลั่นจนหญิงสาวสะดุ้งสุดตัว เธอเงยหน้าขึ้นช้าๆ ดวงตากลมโตแดงก่ำด้วยหยาดน้ำตา ใบหน้าซีดขาวราวกระดาษ"พี่...พี่ธีรัช..." เธอเรียกชื่อเขาด้วยเสียงสั่นเครือ"เธอยังมีหน้ามานั่งร้องไห้อีกเหรอ?! พี่ชายของเธอเพิ่งชนคนจนปางตาย แล้วมันไปไหน?! หรือว่าเธอเป็นคนช่วยให้มันหนีออกนอกประเทศ?!""ไม่นะ! มินไม่ได้ทำแบบนั้น!" มินตราสะอื้นทั้งที่พยายามกลั้นเสียงไว้สุดกำลัง"โกหก!!"ธีรัชกระชากแขนเล็กๆ ของมินตราเต็มแรงอย่างไร้ความปรานี ร่างบางเซถลาไปข้างหน้าจนเกือบล้ม มือของเธอสั่นระริกขณะที่พยายามแกะมือแข็งกร้าวของเขาออกจากตัว"มินไม่รู้จริงๆ... ว่าพี่มินทร์จะหนี มินพยายามติดต่อหลายครั้งแล้ว ขอร้องเขาแล้ว... ขอร้องจริงๆ!" เสียงของหญิงสาวสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว ความเสียใจ และความสิ้นหวังที่ทับถมกันจนแทบระเบิดแต่สำหรับธีรัช ไม่มีคำไหนในประโยคเหล่านั้นสามารถสั่นคลอนความเกลียดชังในอกของเขาได้เขาไม่เชื่อ!ไม่แม้แต่นิดเดียว!"โกหก เธอเป็นน้องมัน! เธอจะไม่รู้อะไรเลยได้ยังไง?!""สาบานได้! มินสาบานได้ว่ามินไม่รู้!"มินตราอ้อนวอน น้ำตาไหลพรากลงมาตามใบหน้าซีดเซียว ขณะที่พยายามดิ้นหนี แต่ยิ่งขืนตัว แขน
เสียงโทรศัพท์สั่นครืดอยู่บนโต๊ะไม้สักตัวใหญ่ในห้องประชุมสุดหรูของโรงแรมระดับห้าดาวใจกลางมหานครเซี่ยงไฮ้ เสียงที่ควรเป็นเพียงสิ่งรบกวนเล็กน้อยในระหว่างการเจรจาธุรกิจ กลับดังชัดเจนราวระฆังเตือนภัยในหูของธีรัชชายหนุ่มเหลือบตาลงมองหน้าจอแวบหนึ่ง เลขาของเขา "อัญชลี" กำลังโทรเข้ามาแปลก... เธอไม่เคยโทรเข้ามาในเวลาที่เขาอยู่ระหว่างประชุม ยกเว้นจะมีเรื่องคอขาดบาดตายเท่านั้นธีรัชขมวดคิ้วแน่น กดปิดสายก่อนจะหันกลับไปสนใจกับงานตรงหน้า“คุณธีรัช ตกลงตามนี้ได้ไหมครับ?” เจ้าของบริษัทชาวจีนเอ่ยถามด้วยภาษาอังกฤษสุภาพ มือผายไปทางสไลด์ข้อมูลโครงการพันล้านที่ยังเปิดค้างอยู่บนหน้าจอธีรัชสูดลมหายใจลึก พยายามตั้งสติกลับมา แต่นิ้วมือกลับเคาะโต๊ะเบาๆ อย่างไม่รู้ตัว... โทรศัพท์ยังคงสั่นไม่หยุด ครืด... ครืด... ครืด...‘ใครกันแน่... โทรมารัวขนาดนี้...’ เขาขบกรามแน่น ความรำคาญเริ่มก่อตัวในอกสุดท้าย เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะกดรับสายด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบ"ว่าไง?"ปลายสายไม่ใช่เสียงรายงานธุรกิจอย่างที่เขาคิดกลับเป็นเสียงของอัญชลีที่เต็มไปด้วยความตื่นตระหนกจนเกือบกลายเป็นกรีดร้อง"คุณธีรัช! เกิดเรื่อ