"พี่ธีรัช... ได้โปรดเถอะค่ะ หยุดทำร้ายครอบครัวมินเถอะ..."
"หยุด?" ธีรัชทวนคำนั้นด้วยเสียงเยาะเย้ยในลำคอ "เธอคิดว่าพี่จะหยุดง่ายๆ งั้นเหรอ มินตรา? พี่ชายของเธอทำลายชีวิตของพิมพ์นารา คนที่พี่รักมากที่สุด แล้วเธอกล้าขอให้พี่หยุดงั้นเหรอ?"
"มินขอโทษค่ะ... มินตราขอโทษแทนพี่มินทร์ แต่... แต่แม่ของมินไม่เกี่ยวเลยนะคะ แม่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย ได้โปรดเถอะ พี่ธีรัช..." เธอกระซิบอ้อนวอน ทั้งเสียงและหัวใจที่กำลังสั่นสะท้านอย่างรุนแรง
"พี่จะหยุดก็ต่อเมื่อเธอรับผิดชอบแทนมัน!" ธีรัชประกาศกร้าว ราวกับพิพากษาโทษประหารชีวิตให้เธอ
มินตรารู้ดี... รู้ดีกว่าใครว่าธีรัชเกลียดเธอ
แต่เขาไม่เคยรู้เลย... ไม่เคยแม้แต่จะสังเกต ว่าเธอเคยรู้สึกอย่างไรกับเขา
เธอไม่เคยอยากเป็นศัตรูของเขา ไม่เคยอยากถูกมองด้วยสายตาเย็นชาดูแคลนเช่นนี้
แต่ในท้ายที่สุด... เธอกลับต้องเป็นผู้รับโทษแทน ทั้งที่ไม่เคยทำผิดแม้แต่น้อย
หากความรักที่เธอมีให้เขา... กลับต้องถูกตอบแทนด้วยความเกลียดชังถึงเพียงนี้
แล้วเธอควรจะรู้สึกอย่างไร?
"ถ้าเธอไม่อยากเห็นแม่เธอทรุดหนักไปกว่านี้..." เสียงของธีรัชเยียบเย็น "ถ้าเธออยากให้ร้านของแม่เธอกลับมาเปิดได้... ก็มาเป็นของพี่ซะ"
ดวงตาของมินตราเบิกกว้างในความตกตะลึง
"พี่ธีรัช... หมายความว่ายังไง?"
"เธอได้ยินชัดเจนดีแล้ว มินตรา" เขากระซิบด้วยน้ำเสียงที่เย็นเฉียบยิ่งกว่าความตาย "มาเป็นทาสของพี่ มาอยู่ภายใต้คำสั่งของพี่ ชดใช้บาปแทนไอ้มินทร์ แล้วพี่จะหยุดทุกอย่าง"
จากนั้น เขาก็ตัดสายโทรศัพท์ไปอย่างไร้เยื่อใย
เสียงตัดสายดัง ตื๊ด... เงียบกริบราวกับคำพิพากษาที่ไม่มีทางหลีกเลี่ยง
น้ำตาของมินตราหยดแหมะลงบนหน้าจอโทรศัพท์ที่ดับสนิท ช้าๆ และหนักหน่วง
นี่หรือ... คือสิ่งที่เขาต้องการจริงๆ?
หญิงสาวเหลือบมองไปทางห้องของแม่ เสียงไอแห้งๆ ดังลอดออกมาอย่างอ่อนแรงและน่าสงสาร
แม่... ผู้หญิงที่เธอรักที่สุดในชีวิต
แม่... ที่กำลังจะถูกพรากทุกอย่างไปต่อหน้าต่อตา
มินตราหันไปมองรูปถ่ายครอบครัวที่ตั้งอยู่ข้างเตียง รูปที่เคยมีพ่อ แม่ และพี่ชายของเธอยิ้มแย้มอย่างมีความสุข
แต่ตอนนี้... ทุกอย่างแตกสลายจนไม่เหลืออะไรอีกแล้ว
มือที่สั่นระริกยกโทรศัพท์ขึ้นมาอีกครั้ง
เธอหลับตาลงแน่น สูดลมหายใจลึกๆ รวบรวมเศษเสี้ยวของศักดิ์ศรีที่เหลืออยู่ ก่อนจะกดโทรหาหมายเลขนั้นอีกครั้ง
เสียงสัญญาณดังขึ้นเพียงสองครั้ง ก่อนที่ปลายสายจะรับอย่างรวดเร็ว
"ตัดสินใจได้รึยัง?" เสียงของธีรัชดังขึ้นเรียบเย็น ไม่แฝงความเห็นใจแม้แต่นิด
มินตรากัดริมฝีปากแน่น ความเจ็บปวดท่วมท้นจนแทบเอ่ยปากไม่ได้
ทุกอย่างในชีวิตของเธอ... พังทลายลงหมดแล้ว
มีเพียงสิ่งเดียวที่เธอสามารถทำได้ตอนนี้
เสียงของเธอเบาหวิว... แทบไร้เรี่ยวแรง แต่หนักแน่นด้วยความสิ้นหวัง
"มิน... ยอมแล้วค่ะ"
ปลายสายเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนที่เสียงหัวเราะต่ำๆ ของธีรัชจะดังขึ้น แผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยชัยชนะที่เย็นเยียบ
"ดีมาก..." เขาพูดอย่างพึงพอใจ "เตรียมตัวให้พร้อม พี่จะส่งคนไปรับเธอ... พรุ่งนี้"
รถยนต์หรูสีดำแล่นลึกเข้าไปในรั้วคฤหาสน์โอ่อ่าหลังใหญ่ ที่ประดับประดาไปด้วยสวนหย่อมอย่างประณีตงดงาม
แต่มินตราไม่ได้เห็นความสวยงามเหล่านั้นเลย สำหรับเธอ... ที่แห่งนี้ไม่ต่างอะไรจากคุกทองคำ ที่สร้างขึ้นเพื่อจองจำและทำลายเธอ
เมื่อรถจอดสนิท เสียงประตูรถถูกเปิดออกอย่างกระชากกระชั้นโดยบอดี้การ์ดในชุดดำ
ใบหน้าของเขาไร้รอยยิ้มแม้แต่น้อย
"ลงมา" เสียงของบอดี้การ์ดคนหนึ่ง สั่งห้วนๆ ราวกับสั่งหมาตัวหนึ่ง
มินตรากัดริมฝีปาก สูดลมหายใจลึก ก่อนจะก้าวลงจากรถด้วยความระมัดระวัง
สายตาของเหล่าคนรับใช้ที่ยืนเรียงรายอยู่ริมทางเดินจับจ้องมาที่เธอทันที ทุกคู่ตาเต็มไปด้วยแววดูแคลน เหยียดหยาม ราวกับเธอเป็นสิ่งสกปรกที่ไม่ควรเหยียบย่างเข้ามาในบ้านหลังนี้
ไม่มีแม้แต่คำทักทาย ไม่มีแม้แต่รอยยิ้ม
แน่นอน... เพราะสำหรับคนในบ้านหลังนี้ พิมพ์นาราคือดั่งเจ้าหญิง
ส่วนเธอ... คืออาชญากรในคราบน้องสาวของผู้ทำลาย
เช้าวันนี้ เมืองเล็กๆ ยังสงบนิ่งเหมือนทุกวันแสงแดดอ่อนสาดลอดผ่านหน้าต่างบ้าน เสียงนกร้องเบาๆ คล้ายจะกล่อมโลกให้สงบ แต่ภายในหัวใจของมินตรากลับไม่มีสิ่งใดสงบเลยวันนี้...ธีรัชจะกลับกรุงเทพฯ มันควรเป็นเรื่องดีใช่ไหม?ผู้ชายที่เคยทำให้เธอเสียใจ กำลังจะจากไปจากชีวิตเธออีกครั้งเขาจะกลับไปสู่อีกโลกหนึ่ง โลกของอำนาจ เงินตรา และผู้คนที่อยู่สูงเกินเอื้อมโลกที่ไม่มีที่สำหรับเธอ หรือธีโอแต่ทำไม... หัวใจของเธอกลับปวดหนึบเหมือนถูกบีบคั้นอย่างหนัก?ธีรัชยืนอยู่หน้าบ้าน รอเธอรถคันหรูของเขาจอดนิ่งอยู่ริมทาง แสงสะท้อนจากฝากระโปรงราวกับมันเองก็ลังเล เขามองเธอสายตานั้นไม่ใช่สายตาของคนที่กำลังจะเดินจากไป แต่มันคือสายตาของคนที่ยังรอคอยโอกาสครั้งที่สองจากเธออยู่“พี่กำลังจะไปแล้วนะ”เสียงของธีรัชแผ่วเบา แต่อัดแน่นไปด้วยความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย“แต่ก่อนจะไป พี่มีเรื่องอยากบอกมินอีกครั้ง”“ไม่ต้องพูดหรอกค่ะ”“แต่พี่อยากพูด”ธีรัชมองไปที่ดวงตาของมินตราอย่างแน่วแน่ เหมือนจะใช้ดวงตาพูดแทนหัวใจ“พี่ขอโทษ”คำเพียงคำเดียว แต่ทำให้หัวใจของมินตราสั่นไหวอีกครั้ง“พี่ขอโทษสำหรับทุกอย่างที่พี่เคยทำ พี่ทำให้มินเสียใจ พ
เสียงหัวเราะของเด็กชายดังก้องไปทั่วถนนหน้าบ้าน แววตาเปล่งประกายของธีโอบ่งบอกถึงความสุขล้นหัวใจ เขาวิ่งไปรอบสนามหญ้าด้วยท่าทางทะเล้น กางแขนสองข้างออกเหมือนเครื่องบินเล็ก ๆ พร้อมส่งเสียง “วู้ววว” อย่างร่าเริง“ลูก! อย่าวิ่งเร็วนะ เดี๋ยวล้ม!”มินตราตะโกนขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเล็กน้อย ส่วนธีรัชที่ยืนเคียงข้าง ทำเพียงหัวเราะเบา ๆ แล้วหันไปแกล้งแหย่เธออย่างอารมณ์ดี “เด็กผู้ชายก็ต้องซนแบบนี้แหละ ไม่ต้องห่วงนักหรอก”มินตราเหลือบมองเขา ริมฝีปากเม้มแน่นในความไม่เห็นด้วย ก่อนที่เธอจะทันได้เอ่ยสิ่งใดออกมา ทุกอย่างก็พลิกผันในพริบตาเสียงหัวเราะของธีโอยังไม่ทันจางหาย ร่างเล็กกลับวิ่งพรวดออกจากสนามหญ้า ล้ำเข้าไปยังถนนหน้าบ้านโดยไม่รู้ตัวแล้วในเสี้ยววินาทีนั้น...เสียงเครื่องยนต์คำรามแว่วมา รถยนต์สีดำพุ่งออกจากหัวมุมถนนด้วยความเร็ว“ธีโอ!!”เสียงของมินตราแหลมสูง สะท้านออกมาจากความตกใจและความกลัวสุดขั้วหัวใจเธอรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบหยุดหมุน ขาแข็งทื่อ ไม่อาจขยับได้แม้แต่นิ้วเดียว ส่วนธีรัชที่ได้สติกลับพุ่งตัวออกไปทันทีโดยไม่ลังเลแม้เสี้ยววินาทีร่างสูงของเขาโอบลูกชายเข้ามากอดแน่น แล้วหมุนตัวล้มกลิ้งออก
เช้าวันใหม่เริ่มต้น แต่หัวใจของมินตรายังหนักอึ้งไม่ต่างจากคืนที่ผ่านมาเธอเดินไปที่ประตูบ้านอย่างลังเล เพราะรู้ดีว่าใครกำลังยืนรออยู่ข้างนอก และเมื่อเธอเปิดประตูออก สิ่งแรกที่เห็นคือชายร่างสูงในเสื้อยืดกับกางเกงยีนส์ธรรมดาธีรัชเขายืนอยู่ตรงนั้น เหมือนเมื่อวาน เหมือนวันก่อน และอีกหลายวันก่อนหน้านั้นในมือของเขาเต็มไปด้วยถุงของเล่นหลากสี มินตราขมวดคิ้ว ความรู้สึกในใจเธอสับสนปนเปกันไปหมด“อะไร?”น้ำเสียงเธอเย็นชา ใจจริงแล้วเธอไม่ต้องการให้เขาเข้ามายุ่งเกี่ยวกับชีวิตของลูกแม้แต่นิดเดียว“ของเล่นให้ลูกเรา”ไม่รอคำตอบ ธีรัชเดินผ่านเธอเข้าไปในบ้านสายตาเขาหยุดลงที่เด็กชายตัวเล็ก ๆ ซึ่งกำลังมองเขาด้วยดวงตาใสซื่อธีโอ...ลูกชายของเขาและมินตราเด็กชายลังเลเล็กน้อย ก่อนจะค่อย ๆ เดินเข้าหาเขา“อันนี้ของธีโอเหรอครับ?”ธีรัชย่อตัวลงให้ระดับสายตาเท่ากัน แล้วยื่นของเล่นให้“ใช่ ของธีโอทั้งหมดเลย”ธีโอมองหน้าเขานิ่ง ๆ เหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างแล้วจู่ ๆ ก็ยิ้มกว้างออกมา ก่อนจะคว้าของเล่นมากอดไว้แน่นธีรัชรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างเติมเต็มในหัวใจเขาไม่ได้คิดจะใช้ของเล่นซื้อใจลูก ไม่ได้อยากแสดงตัวว่า
"พี่ธีรัช!?"เสียงของมินตราดังก้องท่ามกลางความเงียบสงบ ร่างของหญิงสาวยืนนิ่ง ดวงตาเบิกกว้าง หัวใจเต้นแรงราวกับจะหลุดออกมาจากอกห้าปีเต็มที่เธอหายไปจากชีวิตเขา ห้าปีที่เธอพยายามลืม ทุกอย่าง และวันนี้ โชคชะตาก็พาเธอกลับมายืนอยู่ตรงหน้าเขาอีกครั้งธีรัชยืนนิ่ง ร่างสูงสง่าภายใต้แสงแดดอ่อน ดวงตาคมจ้องมองเธอและเด็กชายที่ยืนอยู่ข้างกายอย่างไม่ละสายตา ใบหน้าเขาแข็งทื่อ แต่ในแววตานั้นกลับสั่นไหวไม่ใช่แค่ตกใจ แต่ลึกไปกว่านั้น มันมีทั้งความสับสน คำถาม ความเจ็บปวด และ...ความโหยหา"กลับไปกับพี่" เขาพูดขึ้น เสียงของเขาไม่ได้เข้มแข็งเหมือนเคย มันเต็มไปด้วยความเว้าวอนมินตรากระชับมือที่จับลูกแน่นขึ้น เธอส่ายหน้าทันที“ฉันไม่กลับ”ธีรัชขมวดคิ้ว “ทำไม?”“เพราะมินไม่มีเหตุผลอะไรจะต้องกลับไป!”“มิน...”เขามองเด็กชายตัวเล็กที่ยืนอยู่ข้างเธอ ธีโอหันมามองแม่แล้วซุกตัวแน่น ใบหน้าเล็กๆ ซบลงที่ท้องของเธอ มินตราก้มลงลูบศีรษะลูกเบาๆ“อย่าทำแบบนี้เลยค่ะ พี่ธีรัช มินใช้เวลาห้าปีเต็มๆ เพื่อสร้างชีวิตใหม่ที่ไม่มีพี่ พี่ไม่รู้หรอกว่าทุกวันมันยากแค่ไหน มินไม่มีใครเลย มีแค่ธีโอ...”เสียงของเธอสั่น แต่ก็ไม่ยอมให้หยดน้ำ
เมืองเล็กริมทะเลชื่อ “บ้านหินทราย” กำลังกลายเป็นเป้าหมายของการลงทุนครั้งใหม่ โครงการอสังหาริมทรัพย์ระดับไฮเอนด์จากบริษัทใหญ่ในเมืองหลวงกำลังจะปักหมุดที่นื่เนื่องจากกำลังได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวสายธรรมชาติและเป็นเมืองเป้าหมายของโปรเจกต์ล่าสุดจากบริษัทสื่อยักษ์ใหญ่ “Akarin Media Group” และซีอีโอคือเขา “ธีรัช”หลังจากที่บริษัทสื่อดิจิทัลของเขาขยายโปรเจกต์ใหม่ร่วมกับกรมการท่องเที่ยว เมืองเล็กๆ แห่งนี้จึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นของแคมเปญ ‘เสน่ห์เมืองริมฝั่งฟ้า’ ที่เขาเป็นหัวเรือใหญ่ในการวางคอนเซปต์ทั้งหมดเขาเป็นบอสใหญ่ เป็นคนเลือกทุกอย่างด้วยตัวเอง แต่มีสิ่งเดียวที่เขาไม่ได้เลือก... คือความรู้สึกในอก ที่เริ่มเปลี่ยนไปตั้งแต่เขาก้าวเท้าเข้าสู่เมืองนี้ ความรู้สึกแปลกๆ เหมือนมีลางสังหรณ์ว่าสิ่งที่เขาฝังกลบไว้นานเกือบห้าปีกำลังจะเวียนกลับมาอีกครั้งหนึ่งเขาเดินริมถนนเลียบชายฝั่ง สวมเสื้อเชิ้ตพับแขน กับกางเกงแสล็คสีเข้ม ดูไม่เป็นทางการเท่าไรนักสำหรับบอสใหญ่ของบริษัทที่มีเครือข่ายสื่อครอบคลุมทั้งรายการโทรทัศน์ออนไลน์ แมกกาซีนท่องเที่ยว และช่องสารคดีระดับประเทศ"ที่นี่มีศักยภาพดี…เหมาะแก่การถ่
เมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งที่ไม่มีใครรู้จัก ไม่มีใครจำเธอได้มินตราใช้ชีวิตอยู่ที่นี่เงียบๆ มาเกือบห้าปีแล้วมันไม่ใช่ที่ที่เธอเคยฝันว่าจะมาอยู่ ไม่ได้อบอุ่นเหมือนบ้านที่เคยรู้จัก แต่ที่นี่… ไม่มีใครถามว่าเธอเป็นใคร ไม่มีใครพูดถึงชื่อเขาให้ได้ยิน ไม่มีคนของเขามากวยใจ และนั่นก็มากพอแล้วทุกวันของมินตราเริ่มต้นในร้านเบเกอรี่เล็กๆ ข้างสถานีรถไฟ เธอทำขนม ชงกาแฟ ล้างถาด เตรียมของขายในตอนเช้า และปิดร้านตอนบ่าย แม้เงินที่ได้มาจะไม่มาก แต่เธอไม่เคยบ่นเพราะอย่างน้อย เธอไม่ต้องก้มหน้าให้ใครมาด่าว่าหรือรังแกอีกมินตราไม่ได้มีบ้านสวยงามเช่นอดีต ไม่มีเสื้อผ้าแพงๆใส่ ไม่มีโต๊ะอาหารยาวเหยียดหรือโคมไฟระย้า เธอมีแค่ห้องเช่าเล็กๆ ที่พอวางเตียงหนึ่งตัว โต๊ะตัวเล็ก และตู้เสื้อผ้าเก่าๆ หนึ่งใบ แต่ทุกอย่างในนั้นกลับสะอาด เรียบร้อย และยังดูปลอดภัยสิ่งเดียวที่มีค่าที่สุดในชีวิตของเธอในตอนนี้คือเสียงเล็กๆ ที่ดังขึ้นในยามเช้าหรือหลังเลิกงาน“แม่ครับ~”มินตราหันกลับไป เด็กชายตัวเล็กกำลังวิ่งเข้ามาหาเด็กวัยสี่ขวบผิวขาวจัด ผมยุ่งเล็กน้อยจากการนอนกลางวัน ดวงตากลมโต เหมือนใครบางคนในอดีต ที่เธอไม่อยากพูดถึงอีก“ครับ ธ