หลังจากวันที่ธีรัชตวาดใส่เธอที่โรงพยาบาล ไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมงต่อมา ชีวิตของมินตราก็พังทลายลงอย่างไร้ความปรานี
ข่าวพาดหัวตัวใหญ่โหมกระพือไปทั่วหน้าสื่อออนไลน์และหน้าหนังสือพิมพ์
"ทายาทร้านขนมชื่อดัง ขับรถชนแล้วหนี!"
แม้ชื่อของพี่มินทร์จะถูกเซ็นเซอร์ไว้บางส่วน แต่ตระกูล "ม." ที่สื่อพูดถึงนั้น... ไม่มีใครไม่รู้ว่าเป็นครอบครัวของเธอ
เสียงโทรศัพท์บ้านดังขึ้นไม่ขาดสายตั้งแต่เช้า เสียงกริ่งที่แต่เดิมเคยหมายถึงข่าวดี ตอนนี้กลับกลายเป็นสัญญาณแห่งหายนะที่ทำให้หัวใจทุกคนในบ้านสั่นระริก
คนโทรมาไม่ใช่แค่เพื่อนหรือคนรู้จัก แต่รวมถึงนักข่าวที่คอยคุ้ยหาข่าวฉาว ผู้หวังดีที่เต็มไปด้วยคำพูดเสียดสี และคนแปลกหน้าที่ส่งข้อความข่มขู่มาทางโซเชียลมีเดียอย่างไม่หยุดหย่อน
ธุรกิจเบเกอรี่เล็กๆ ของแม่ ร้านขนมที่เคยอบอวลด้วยกลิ่นหอมหวานและเสียงหัวเราะของลูกค้า ตอนนี้กลับเงียบงันจนน่าหวาดหวั่น
ลูกค้าหายไปเหมือนถูกกวาดล้างอย่างไรอย่างนั้น โต๊ะทุกตัวกลับว่างเปล่า พนักงานที่เคยทำงานกันอย่างคล่องแคล่วก็พากันก้มหน้าหลบสายตา บรรยากาศเงียบเย็นจนหนาวสะท้าน
แม่ของเธอยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น... จนกระทั่งมีชายชุดดำสองคน เดินเข้ามาในร้านพร้อมเอกสารหนาปึก
"ร้านของคุณกำลังอยู่ระหว่างการตรวจสอบทางกฎหมาย อาจต้องปิดตัวลงชั่วคราว" ชายคนนั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ไร้เยื่อใย
แม่ของมินตราหน้าซีดเผือด มือที่จับเคาน์เตอร์ไว้สั่นระริกจนแทบทรุดลงตรงนั้น
มินตรารีบกลับบ้านทันทีที่ได้ยินข่าว เธอวิ่งเข้าไปในร้านด้วยหัวใจที่แทบหลุดออกจากอก
"แม่!" เธอพุ่งเข้าไปหา กุมมือที่เย็นเฉียบของแม่ไว้แน่นจนมือของตัวเองสั่นไปด้วย
"เกิดอะไรขึ้นคะแม่?" เธอถามเสียงสั่นอย่างร้อนรน
แม่ของเธอสบตาเธอด้วยแววตาสับสนและสิ้นหวัง น้ำตาคลอหน่วย
"เขาบอกว่าร้านของเราต้องถูกตรวจสอบทางกฎหมาย..." น้ำเสียงของแม่สั่นเครือ "และอาจต้องปิดร้าน... มินตรา แม่ไม่เข้าใจเลยลูก... ทำไมทุกอย่างถึงเป็นแบบนี้?"
มินตราหันมองไปรอบตัว
ร้านขนมที่เคยเต็มไปด้วยชีวิตชีวา ตอนนี้กลับมีเพียงความเงียบงันและบรรยากาศอึมครึมที่บีบอัดหัวใจ
โต๊ะทุกตัวว่างเปล่า ไม่มีแม้แต่เสียงจานกระทบกัน ไม่มีเสียงหัวเราะของเด็กน้อย ไม่มีกลิ่นหอมหวานของขนมอบสดใหม่
เพียงเพราะความแค้นของใครบางคน...
ธีรัช... เขาทำอย่างที่พูดไว้จริงๆ เธอไม่ต้องเสียเวลาถามให้เปลืองน้ำลาย
เธอรู้ดีว่าใครอยู่เบื้องหลังหายนะทั้งหมดนี้...
มินตรารู้ดี... รู้มาตลอดว่าธีรัชทรงอิทธิพลแค่ไหน
ด้วยอำนาจจากธุรกิจสื่อที่ครอบครัวเขาครอบครอง เขาสามารถปั้นหรือทำลายใครก็ได้... เหมือนบีบเศษกระดาษในมือ
แต่เธอไม่เคยคิดเลยว่า...เขาจะลงมือรวดเร็ว และไร้ปรานีถึงเพียงนี้
เขาไม่ได้หยุดแค่สั่งตำรวจตามล่าพี่มินทร์ แต่เขากำลัง บดขยี้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่หล่อเลี้ยงชีวิตครอบครัวเธอ จนไม่เหลือแม้แต่ทางหายใจ
เขาไม่ให้ครอบครัวของเธอมีที่ยืน
ไม่ให้มีโอกาสตั้งตัว
ไม่ให้เหลืออะไรเลย...
นอกจาก "การยอมจำนน" เท่านั้น
มินตรานั่งกุมมือแม่ที่เย็นเฉียบไว้แน่น น้ำตาเอ่อขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ เมื่อเห็นว่าคนที่เคยเข้มแข็งที่สุดในชีวิตของเธอ... ตอนนี้สั่นระริกอย่างน่าสงสารราวกับคนกำลังจะล้มทั้งยืน
"แม่ไม่เป็นไรนะคะ..." เธอกระซิบเสียงสั่นพร่า "มินจะหาทางช่วยทุกคนเอง... สัญญาค่ะ"
แม้จะรู้ในใจดีว่าคำสัญญานั้น... ว่างเปล่าและไร้พลังเหลือเกิน
หลังจากนั้น มินตราก็เดินเข้าไปในห้องตัวเอง ทิ้งตัวลงบนเตียงอย่างหมดแรง ร่างกายของเธอสั่นสะท้าน ความกดดันมหาศาลกดทับลงมาเหมือนเธอกำลังจมน้ำตาย
เธอจ้องมองโทรศัพท์ในมืออยู่นาน...
ลังเล เจ็บปวด... และสิ้นหวัง
แต่สุดท้าย... หญิงสาวก็กดเบอร์ที่คุ้นเคยลงไป
"ธีรัช"
สัญญาณดังขึ้นเพียงไม่นาน ก่อนปลายสายจะกดรับด้วยน้ำเสียงเย็นชาไร้ความรู้สึก
"ว่าไง?"
เช้าวันนี้ เมืองเล็กๆ ยังสงบนิ่งเหมือนทุกวันแสงแดดอ่อนสาดลอดผ่านหน้าต่างบ้าน เสียงนกร้องเบาๆ คล้ายจะกล่อมโลกให้สงบ แต่ภายในหัวใจของมินตรากลับไม่มีสิ่งใดสงบเลยวันนี้...ธีรัชจะกลับกรุงเทพฯ มันควรเป็นเรื่องดีใช่ไหม?ผู้ชายที่เคยทำให้เธอเสียใจ กำลังจะจากไปจากชีวิตเธออีกครั้งเขาจะกลับไปสู่อีกโลกหนึ่ง โลกของอำนาจ เงินตรา และผู้คนที่อยู่สูงเกินเอื้อมโลกที่ไม่มีที่สำหรับเธอ หรือธีโอแต่ทำไม... หัวใจของเธอกลับปวดหนึบเหมือนถูกบีบคั้นอย่างหนัก?ธีรัชยืนอยู่หน้าบ้าน รอเธอรถคันหรูของเขาจอดนิ่งอยู่ริมทาง แสงสะท้อนจากฝากระโปรงราวกับมันเองก็ลังเล เขามองเธอสายตานั้นไม่ใช่สายตาของคนที่กำลังจะเดินจากไป แต่มันคือสายตาของคนที่ยังรอคอยโอกาสครั้งที่สองจากเธออยู่“พี่กำลังจะไปแล้วนะ”เสียงของธีรัชแผ่วเบา แต่อัดแน่นไปด้วยความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย“แต่ก่อนจะไป พี่มีเรื่องอยากบอกมินอีกครั้ง”“ไม่ต้องพูดหรอกค่ะ”“แต่พี่อยากพูด”ธีรัชมองไปที่ดวงตาของมินตราอย่างแน่วแน่ เหมือนจะใช้ดวงตาพูดแทนหัวใจ“พี่ขอโทษ”คำเพียงคำเดียว แต่ทำให้หัวใจของมินตราสั่นไหวอีกครั้ง“พี่ขอโทษสำหรับทุกอย่างที่พี่เคยทำ พี่ทำให้มินเสียใจ พ
เสียงหัวเราะของเด็กชายดังก้องไปทั่วถนนหน้าบ้าน แววตาเปล่งประกายของธีโอบ่งบอกถึงความสุขล้นหัวใจ เขาวิ่งไปรอบสนามหญ้าด้วยท่าทางทะเล้น กางแขนสองข้างออกเหมือนเครื่องบินเล็ก ๆ พร้อมส่งเสียง “วู้ววว” อย่างร่าเริง“ลูก! อย่าวิ่งเร็วนะ เดี๋ยวล้ม!”มินตราตะโกนขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเล็กน้อย ส่วนธีรัชที่ยืนเคียงข้าง ทำเพียงหัวเราะเบา ๆ แล้วหันไปแกล้งแหย่เธออย่างอารมณ์ดี “เด็กผู้ชายก็ต้องซนแบบนี้แหละ ไม่ต้องห่วงนักหรอก”มินตราเหลือบมองเขา ริมฝีปากเม้มแน่นในความไม่เห็นด้วย ก่อนที่เธอจะทันได้เอ่ยสิ่งใดออกมา ทุกอย่างก็พลิกผันในพริบตาเสียงหัวเราะของธีโอยังไม่ทันจางหาย ร่างเล็กกลับวิ่งพรวดออกจากสนามหญ้า ล้ำเข้าไปยังถนนหน้าบ้านโดยไม่รู้ตัวแล้วในเสี้ยววินาทีนั้น...เสียงเครื่องยนต์คำรามแว่วมา รถยนต์สีดำพุ่งออกจากหัวมุมถนนด้วยความเร็ว“ธีโอ!!”เสียงของมินตราแหลมสูง สะท้านออกมาจากความตกใจและความกลัวสุดขั้วหัวใจเธอรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบหยุดหมุน ขาแข็งทื่อ ไม่อาจขยับได้แม้แต่นิ้วเดียว ส่วนธีรัชที่ได้สติกลับพุ่งตัวออกไปทันทีโดยไม่ลังเลแม้เสี้ยววินาทีร่างสูงของเขาโอบลูกชายเข้ามากอดแน่น แล้วหมุนตัวล้มกลิ้งออก
เช้าวันใหม่เริ่มต้น แต่หัวใจของมินตรายังหนักอึ้งไม่ต่างจากคืนที่ผ่านมาเธอเดินไปที่ประตูบ้านอย่างลังเล เพราะรู้ดีว่าใครกำลังยืนรออยู่ข้างนอก และเมื่อเธอเปิดประตูออก สิ่งแรกที่เห็นคือชายร่างสูงในเสื้อยืดกับกางเกงยีนส์ธรรมดาธีรัชเขายืนอยู่ตรงนั้น เหมือนเมื่อวาน เหมือนวันก่อน และอีกหลายวันก่อนหน้านั้นในมือของเขาเต็มไปด้วยถุงของเล่นหลากสี มินตราขมวดคิ้ว ความรู้สึกในใจเธอสับสนปนเปกันไปหมด“อะไร?”น้ำเสียงเธอเย็นชา ใจจริงแล้วเธอไม่ต้องการให้เขาเข้ามายุ่งเกี่ยวกับชีวิตของลูกแม้แต่นิดเดียว“ของเล่นให้ลูกเรา”ไม่รอคำตอบ ธีรัชเดินผ่านเธอเข้าไปในบ้านสายตาเขาหยุดลงที่เด็กชายตัวเล็ก ๆ ซึ่งกำลังมองเขาด้วยดวงตาใสซื่อธีโอ...ลูกชายของเขาและมินตราเด็กชายลังเลเล็กน้อย ก่อนจะค่อย ๆ เดินเข้าหาเขา“อันนี้ของธีโอเหรอครับ?”ธีรัชย่อตัวลงให้ระดับสายตาเท่ากัน แล้วยื่นของเล่นให้“ใช่ ของธีโอทั้งหมดเลย”ธีโอมองหน้าเขานิ่ง ๆ เหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างแล้วจู่ ๆ ก็ยิ้มกว้างออกมา ก่อนจะคว้าของเล่นมากอดไว้แน่นธีรัชรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างเติมเต็มในหัวใจเขาไม่ได้คิดจะใช้ของเล่นซื้อใจลูก ไม่ได้อยากแสดงตัวว่า
"พี่ธีรัช!?"เสียงของมินตราดังก้องท่ามกลางความเงียบสงบ ร่างของหญิงสาวยืนนิ่ง ดวงตาเบิกกว้าง หัวใจเต้นแรงราวกับจะหลุดออกมาจากอกห้าปีเต็มที่เธอหายไปจากชีวิตเขา ห้าปีที่เธอพยายามลืม ทุกอย่าง และวันนี้ โชคชะตาก็พาเธอกลับมายืนอยู่ตรงหน้าเขาอีกครั้งธีรัชยืนนิ่ง ร่างสูงสง่าภายใต้แสงแดดอ่อน ดวงตาคมจ้องมองเธอและเด็กชายที่ยืนอยู่ข้างกายอย่างไม่ละสายตา ใบหน้าเขาแข็งทื่อ แต่ในแววตานั้นกลับสั่นไหวไม่ใช่แค่ตกใจ แต่ลึกไปกว่านั้น มันมีทั้งความสับสน คำถาม ความเจ็บปวด และ...ความโหยหา"กลับไปกับพี่" เขาพูดขึ้น เสียงของเขาไม่ได้เข้มแข็งเหมือนเคย มันเต็มไปด้วยความเว้าวอนมินตรากระชับมือที่จับลูกแน่นขึ้น เธอส่ายหน้าทันที“ฉันไม่กลับ”ธีรัชขมวดคิ้ว “ทำไม?”“เพราะมินไม่มีเหตุผลอะไรจะต้องกลับไป!”“มิน...”เขามองเด็กชายตัวเล็กที่ยืนอยู่ข้างเธอ ธีโอหันมามองแม่แล้วซุกตัวแน่น ใบหน้าเล็กๆ ซบลงที่ท้องของเธอ มินตราก้มลงลูบศีรษะลูกเบาๆ“อย่าทำแบบนี้เลยค่ะ พี่ธีรัช มินใช้เวลาห้าปีเต็มๆ เพื่อสร้างชีวิตใหม่ที่ไม่มีพี่ พี่ไม่รู้หรอกว่าทุกวันมันยากแค่ไหน มินไม่มีใครเลย มีแค่ธีโอ...”เสียงของเธอสั่น แต่ก็ไม่ยอมให้หยดน้ำ
เมืองเล็กริมทะเลชื่อ “บ้านหินทราย” กำลังกลายเป็นเป้าหมายของการลงทุนครั้งใหม่ โครงการอสังหาริมทรัพย์ระดับไฮเอนด์จากบริษัทใหญ่ในเมืองหลวงกำลังจะปักหมุดที่นื่เนื่องจากกำลังได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวสายธรรมชาติและเป็นเมืองเป้าหมายของโปรเจกต์ล่าสุดจากบริษัทสื่อยักษ์ใหญ่ “Akarin Media Group” และซีอีโอคือเขา “ธีรัช”หลังจากที่บริษัทสื่อดิจิทัลของเขาขยายโปรเจกต์ใหม่ร่วมกับกรมการท่องเที่ยว เมืองเล็กๆ แห่งนี้จึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นของแคมเปญ ‘เสน่ห์เมืองริมฝั่งฟ้า’ ที่เขาเป็นหัวเรือใหญ่ในการวางคอนเซปต์ทั้งหมดเขาเป็นบอสใหญ่ เป็นคนเลือกทุกอย่างด้วยตัวเอง แต่มีสิ่งเดียวที่เขาไม่ได้เลือก... คือความรู้สึกในอก ที่เริ่มเปลี่ยนไปตั้งแต่เขาก้าวเท้าเข้าสู่เมืองนี้ ความรู้สึกแปลกๆ เหมือนมีลางสังหรณ์ว่าสิ่งที่เขาฝังกลบไว้นานเกือบห้าปีกำลังจะเวียนกลับมาอีกครั้งหนึ่งเขาเดินริมถนนเลียบชายฝั่ง สวมเสื้อเชิ้ตพับแขน กับกางเกงแสล็คสีเข้ม ดูไม่เป็นทางการเท่าไรนักสำหรับบอสใหญ่ของบริษัทที่มีเครือข่ายสื่อครอบคลุมทั้งรายการโทรทัศน์ออนไลน์ แมกกาซีนท่องเที่ยว และช่องสารคดีระดับประเทศ"ที่นี่มีศักยภาพดี…เหมาะแก่การถ่
เมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งที่ไม่มีใครรู้จัก ไม่มีใครจำเธอได้มินตราใช้ชีวิตอยู่ที่นี่เงียบๆ มาเกือบห้าปีแล้วมันไม่ใช่ที่ที่เธอเคยฝันว่าจะมาอยู่ ไม่ได้อบอุ่นเหมือนบ้านที่เคยรู้จัก แต่ที่นี่… ไม่มีใครถามว่าเธอเป็นใคร ไม่มีใครพูดถึงชื่อเขาให้ได้ยิน ไม่มีคนของเขามากวยใจ และนั่นก็มากพอแล้วทุกวันของมินตราเริ่มต้นในร้านเบเกอรี่เล็กๆ ข้างสถานีรถไฟ เธอทำขนม ชงกาแฟ ล้างถาด เตรียมของขายในตอนเช้า และปิดร้านตอนบ่าย แม้เงินที่ได้มาจะไม่มาก แต่เธอไม่เคยบ่นเพราะอย่างน้อย เธอไม่ต้องก้มหน้าให้ใครมาด่าว่าหรือรังแกอีกมินตราไม่ได้มีบ้านสวยงามเช่นอดีต ไม่มีเสื้อผ้าแพงๆใส่ ไม่มีโต๊ะอาหารยาวเหยียดหรือโคมไฟระย้า เธอมีแค่ห้องเช่าเล็กๆ ที่พอวางเตียงหนึ่งตัว โต๊ะตัวเล็ก และตู้เสื้อผ้าเก่าๆ หนึ่งใบ แต่ทุกอย่างในนั้นกลับสะอาด เรียบร้อย และยังดูปลอดภัยสิ่งเดียวที่มีค่าที่สุดในชีวิตของเธอในตอนนี้คือเสียงเล็กๆ ที่ดังขึ้นในยามเช้าหรือหลังเลิกงาน“แม่ครับ~”มินตราหันกลับไป เด็กชายตัวเล็กกำลังวิ่งเข้ามาหาเด็กวัยสี่ขวบผิวขาวจัด ผมยุ่งเล็กน้อยจากการนอนกลางวัน ดวงตากลมโต เหมือนใครบางคนในอดีต ที่เธอไม่อยากพูดถึงอีก“ครับ ธ