“กลับมาแล้วเหรอจันทร์” รังสิมันต์ซึ่งนั่งอยู่บนโซฟาในห้องโถงเอ่ยถามขึ้น เมื่อเห็นจันทริกากำลังจะอุ้มเมสซี่เดินผ่านหน้าเขาไป เขาไม่ได้นั่งอยู่คนเดียว แต่มีศศิประภาซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ ด้วย ซึ่งนั่นเป็นภาพที่จันทริกาเห็นจนชินตาเสียแล้ว แม้มันจะเพิ่งเกิดขึ้นไม่นานก็ตาม
“ค่ะ...” เสียงหวานเอ่ยตอบสั้นๆ เช่นเคย
“ตามพี่มานี่หน่อยสิ”
ว่าแล้วร่างสูงก็ลุกขึ้นพร้อมกับศศิประภา จากนั้นเดินนำจันทริกาไปยังห้องนั่งเล่น จันทริกาค่อนข้างแปลกใจแต่ยอมเดินตามไป และเมื่อไปถึงคิ้วเรียวก็กระตุก แววตาเปล่งประกายอย่างไม่รู้ตัว เมื่อเห็นว่าในห้องนั้นมีแกรนด์เปียโนสีขาวตั้งอยู่
“จันทร์ชอบไหม” รังสิมันต์ถามด้วยเสียงอบอุ่น
“ชอบค่ะ สวยมากเลยค่ะพี่ตะวัน” จันทริกาตอบไปตามที่ตัวเองรู้สึก โดยที่ตาไม่ละไปจากแกรนด์เปียโนแสนสวยหลังนั้น
“ถ้าชอบ ตอนนี้มันเป็นของจันทร์แล้ว พี่ซื้อให้เป็นของขวัญสำหรับการเป็นนักศึกษาคณะวิจิตรศิลป์วันแรก อยากเล่นเมื่อไหร่ก็เข้ามาเล่นได้เลย พี่จะรอฟัง”
“ขอบคุณพี่ตะวันมากค่ะ” หญิงสาวพนมมือไหว้ทั้งที่ยังอุ้มเมสซี่อยู่ ตาจ้องมองเครื่องดนตรีราคาแพงนั้นด้วยความซาบซึ้งอีกครั้ง ก่อนจะค่อยๆ หม่นแสงลงเมื่อเหลือบไปเห็นสายตาดุๆ ของศศิประภาที่มองมาอย่างไม่พอใจ แต่กระนั้นน้ำเสียงที่ศศิประภาพูดกับเธอก็ยังอ่อนโยนในแบบที่จันทริกาไม่คุ้นหูเอาเสียเลย
“ขอบคุณคุณตะวันแล้ว ก็ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าซะสิจันทร์ พี่สองคนรอทานข้าวอยู่”
“ค่ะ...”
จันทริกาได้แต่รับคำ ก่อนจะรีบผละไปอย่างรู้ตัวดีว่าศศิประภาไม่ต้องการให้เธอมีปฏิสัมพันธ์กับรังสิมันต์ไม่ว่าทางใดๆ
คล้อยหลังจันทริกา ศศิประภาก็หันมาทางผู้เป็นสามี แม้ตอนนี้เขาจะดูรักและหลงเธอมากเพราะเธอกำลังจะมีลูก หากแต่ยังมีบางอย่างที่เธอยังกังวล
“ศศิบอกคุณตะวันไปแล้วนี่คะ ว่าอย่าตามใจยัยจันทร์มากนัก เดี๋ยวยัยจันทร์จะเสียนิสัยเอา” เสียงนั้นพูดอย่างอ่อนหวาน แต่ถ้อยคำที่เปล่งออกมากลับเต็มไปด้วยการตำหนิติเตียน
“ผมก็แค่อยากให้ของขวัญกับน้อง อีกอย่างเท่าที่ผมเห็น จันทร์ก็ดูเป็นเด็กดีนะ ทำไมศศิถึงกลัวว่าจันทร์จะเสียนิสัย”
“ยัยจันทร์น่ะร้ายลึกจะตาย”
“ร้ายลึก?”
“คุณตะวันไม่รู้อะไรหรอกค่ะ ยัยจันทร์เป็นคนสองบุคลิก มุมหนึ่งจะดูเรียบร้อย เงียบๆ ไม่ค่อยพูด อย่างที่คุณตะวันเห็น แต่อีกมุมเป็นมุมที่น่ากลัวมากนะคะ คุณตะวันเชื่อไหมคะ ว่ายัยจันทร์เคยวางยาเบื่อหมาแถวบ้านจนตายเกลี้ยง เพราะรำคาญเสียงเห่าของพวกมัน เรื่องนี้ศศิไม่อยากบอกนะคะ แต่ก็เป็นห่วงเมสซี่ ศศิยังคิดว่าจะพายัยจันทร์ไปพบจิตแพทย์ แต่ก็กลัวน้องจะคิดมาก ก็เลยได้แต่ดูอย่างประคับประคองและระมัดระวังคนใกล้ตัว”
“ไม่จริงหรอกมั้ง ผมว่าศศิคิดมากไปเอง ถ้าจันทร์จะเป็นคนใจร้ายแบบนั้น แล้วทำไมเมสซี่ถึงได้ติดจันทร์แจขนาดนี้ ผมเชื่อว่าจันทร์น่าจะเป็นคนที่รักสัตว์ และคนแบบนี้ไม่กล้าทำร้ายแม้แต่มดตัวเล็กๆ เรื่องที่ศศิเล่าผมว่าน่าจะเป็นการเข้าใจผิดกันมากกว่านะ” รังสิมันต์บอกไปตามที่เห็น และเชื่อมั่นในสัญชาตญาณของตัวเอง เด็กผู้หญิงที่เขาชอบความน่ารักของเธอตั้งแต่แรกคนนั้นน่ะเหรอ จะเป็นคนจิตใจโหดเหี้ยมขนาดนั้น ศศิประภาคงเข้าใจผิดและคิดมากไปเอง
“คุณตะวันมองโลกในแง่ดีเกินไป คุณรู้ตัวไหมคะว่ายัยจันทร์น่ะแอบชอบคุณอยู่ ทำแบบนี้บ่อยๆ ระวังจะเป็นการให้ความหวังจันทร์นะคะ”
“เรื่องนี้ศศิสบายใจได้ ผมไม่ได้คิดอะไรกับจันทร์แบบนอกลู่นอกทาง ผมก็แค่เอ็นดูและสงสารเหมือนน้องสาวคนหนึ่งเท่านั้น” เขาบอกกับภรรยาพร้อมกับย้ำกับตัวเอง แม้ช่วงหนึ่งจะเคยรู้สึกลึกซึ้งกับจันทริกาเกินกว่าคำว่าน้องสาว แต่ตอนนี้รังสิมันต์รู้สึกว่าตัวเองให้ใจกับศศิประภาอย่างไม่ตะขิดตะขวงใดๆ แล้ว ศศิประภาเป็นคนช่างเอาอกเอาใจ ออดอ้อน อ่อนหวาน ที่สำคัญตอนนี้เธอกำลังจะเป็นแม่ของลูกเขา ดังนั้นความรู้สึกของเขาที่มีต่อจันทริกาในยามนี้จึงมีแต่ความบริสุทธิ์ อย่างที่พี่ชายพึงมีต่อน้องสาว และศศิประภาเองก็ไม่จำเป็นต้องคิดมากใดๆ
“ศศิไว้ใจคุณนะคะ แต่ไม่ไว้ใจยัยจันทร์”
“ไม่มีอะไรหรอกครับ อย่าคิดมากสิ ผมรักคุณคนเดียวนะ แล้วต่อไปก็ห้ามคิดอะไรเครียดๆ อีกรู้ไหม เพราะมันจะส่งผลกระทบกับลูกของเราที่อยู่ในท้องของคุณ”
“ค่ะ...ศศิจะไม่คิดมาก ศศิรักคุณนะคะคุณตะวัน รักมากด้วย และต้องขาดใจตายแน่ๆ ถ้าคุณแบ่งใจไปรักใคร”
ศศิประภาซบหน้าลงบนอกกว้างของผู้ชายที่ได้ชื่อว่าเป็นสามี ผู้ชายที่เพียบพร้อมทั้งหน้าตา ฐานะ การงาน และสถานะทางสังคม ดั่งเจ้าชายในฝันของผู้หญิงหลายคน และเขาเลือกเธอเป็นภรรยา ซึ่งเธอคงวางใจและสบายใจมากกว่านี้หากไม่มีหอกข้างแคร่อย่างจันทริกา เหตุการณ์ในวันนี้มันเหมือนฟางเส้นสุดท้าย ที่ทำให้เธอตัดสินใจทำอะไรบางอย่าง ซึ่งเป็นการกำจัดมารชีวิตสองชีวิตออกไปพร้อมๆ กัน!
บทที่ 50“แต่คุณปรัชญ์ขอร้องนะคะ จันทร์ไม่อยากผิดคำพูดกับ...”จันทริกายังพูดไม่ทันจบ นิ้วแกร่งเรียวยาวก็แตะลงบนเรียวปากนุ่ม เพื่อห้ามไม่ให้เธอพูดต่อ“ฉันไม่อนุญาตให้เธอเห็นคนอื่นสำคัญกว่าฉัน”พูดจบนิ้วที่แตะอยู่บนเรียวปากนุ่มก็เลื่อนออก แต่เรียวปากหยักร้อนกลับเคลื่อนเข้ามาแทนที่ ร่างบางเกร็งขึ้นเพราะกลัวว่ารังสิมันต์จะทำรุนแรงเช่นเดิมอีก หากแต่จูบครั้งนี้เป็นจูบที่แสนอ่อนโยน จูบที่คล้ายจะไถ่โทษ จูบที่เว้าวอน จนอาการเกร็งนั้นมลายหายไป และยืนนิ่งให้เขาจูบอยู่เนิ่นนาน“เมี้ยว...”เสียงร้องของเมสซี่ที่ดังขึ้น ทำให้อารมณ์ที่กำลังอ่อนไหวของทั้งคู่สะดุดลง จันทริกาได้สติจึงรีบผละออกห่างจากการโอบกอดของเขาอย่างรวดเร็ว แล้วย่อตัวลงไปอุ้มเมสซี่ขึ้นมาแนบอก คล้ายกับจะใช้มันเป็นเกราะป้องกันไม่ให้เขาเข้าถึงตัวได้อีกรังสิมันต์ออกจะเขม่นแมวตัวโปรดเป็นครั้งแรก แต่ไหนแต่ไรมันรู้งาน และไม่เคยทำตัวเป็นก้างขวางคอ แต่ทำไมวันนี้มันถึงมาขัดจังหวะก็ไม่รู้“ฉันเพิ่งบอกเธอไปหยกๆ ว่าไม่ให้เห็นใครสำคัญกว่าฉัน”“แต่นี่เมสซี่แมวของคุณนะคะ คุณให้อาหารมันหรือยังคะ” จันทริกาถามอย่างพอจะเข้าใจอากัปกิริยาของเมสซี่ดีว่าที
บทที่ 49ร่างสูงเดินดุ่มไปหาคนทั้งคู่อย่างไม่รีรอ สีหน้าบอกชัดว่าไม่สบอารมณ์และไม่พอใจเป็นอย่างมาก ปรัชญ์จึงพยักหน้าให้จันทริกาหลบไปก่อน ส่วนเขาเป็นฝ่ายอยู่รับหน้ารังสิมันต์ “แกมาทำอะไรที่บ้านฉัน” รังสิมันต์ถามเสียงห้วนกระด้างอย่างไม่คิดจะเก็บอารมณ์“มาหาจันทร์”“มาหาทำไม?”“มาจีบมั้ง” ปรัชญ์ตอบกวนๆ ยิ่งเห็นรังสิมันต์ทำหน้าถมึงทึงเช่นนั้นก็ยิ่งพอใจที่ได้ยั่วให้เพื่อนโกรธได้ แต่ดูแค่ตาเดียวก็รู้ว่าที่รังสิมันต์ทำหน้าแบบนั้นก็เพราะกำลังหึงหรือไม่ก็หวงก้าง“มันใช่เวลาไหม” รังสิมันต์ย้อนถามด้วยน้ำเสียงโทนเดิม“ทีแกยังเคยคิดจีบเมียฉัน ทำไมฉันจะจีบเมียแกบ้างไม่ได้” ปรัชญ์ยักไหล่และตอบกวนๆ เช่นเดิม ทั้งๆ ที่ในใจแอบหัวเราะคนออกอาการอยู่เงียบๆ “ฉันบอกแล้วไงว่าเด็กคนนั้นไม่ใช่เมียฉัน” แม้จะออกอาการว่าหึงหวงปานใด แต่ปากก็ยังคงปฏิเสธเสียงแข็ง ซึ่งนั่นกลับยิ่งเข้าทางปรัชญ์“ไม่ใช่ก็ยิ่งดีใหญ่ ฉันจะได้ทำอะไรสะดวกๆ”“แกกำลังจะแต่งงานกับน้องเล็กนะเว้ย เลวให้มันน้อยๆ หน่อยได้ไหมไอ้เวร”“หวงก้างว่างั้น”“แกแม่งกวนตีนไม่เลิกว่ะ แล้วแต่แกเถอะไอ้เลวอยากทำอะไรก็ทำ” เมื่อถูกจี้แบบถูกจุดซ้ำแล้วซ้ำอีก รังสิ
บทที่ 48วันนี้เป็นวันหยุดของรังสิมันต์ซึ่งเพิ่งจะกลับมาจากกรุงเทพฯ เมื่อวานนี้ อุ้ยคำจึงลากลับบ้านไปหาครอบครัว ส่วนหนานอินซึ่งเป็นรปภ.เฝ้าป้อมหน้าบ้านก็ขอลาหยุดเช่นกัน จึงกลายเป็นว่าวันนี้จันทริกาต้องอยู่บ้านหลังใหญ่นั้นกับเจ้าของบ้านตามลำพังรังสิมันต์อยู่กับเมสซี่ในห้องนั่งเล่น ส่วนจันทริกาตากผ้าอยู่หลังบ้าน มือเล็กที่กำลังจับผ้าขึ้นแขวนบนราวตากชะงักครู่หนึ่งพลางเงี่ยฟัง เมื่อได้ยินเสียงกดกริ่งหน้าบ้าน ปกติแล้วหน้าที่เปิดประตูรั้วจะเป็นของหนานอินซึ่งเป็นรปภ.เฝ้าหน้าป้อม แต่วันนี้หนานอินลางาน จันทริกาจึงต้องละมือจากการตากผ้า แล้วเร่งฝีเท้าไปยังประตูหน้าบ้านอย่างรู้ดีว่าเป็นหน้าที่ตัวเอง“มาหาใครคะ” เสียงหวานถามคนที่มากดกริ่งอย่างสุภาพ ก่อนที่ดวงตาสวยปนเศร้าจะเบิกกว้างและเปลี่ยนเป็นเปล่งประกายด้วยความดีใจ เมื่อเห็นหน้าคนที่มากดกริ่งในระยะใกล้“พี่เล็ก...”เจ้าของชื่อที่เธอเรียกคือรุ่นพี่ที่เธอเคยสนิทสนมมากในตอนเรียนมัธยม เพราะเคยอยู่ชมรมดนตรีด้วยกันนั่นเอง “จันทร์...” “ดีใจจังค่ะที่ได้เจอพี่เล็ก พี่เล็กสวยขึ้นจนจันทร์เกือบจะจำไม่ได้เลยค่ะ”
บทที่ 47สำหรับคนที่จมอยู่ในห้วงของความทุกข์ใจ วันเวลามักผ่านไปช้าเสมอ คนในบ้านที่รังสิมันต์ส่งไปทำงานที่ห้างสรรพสินค้าของเขา ยังไม่มีใครได้กลับมา ดังนั้นจันทริกาจึงต้องทำงานบ้านทุกอย่างแทบจะคนเดียวเช่นเดิม และยังมีสิ่งที่ต้องทำมากกว่าหน้าที่ของคนรับใช้ทั่วไป นั่นคือเธอต้องคอยรองรับไฟปรารถนาของรังสิมันต์ ไม่ว่าเขาต้องการยามใด เธอก็ไม่เคยที่จะปฏิเสธได้สักครั้ง จันทริการู้ดีว่าเขาทำไปเพื่อระบายความแค้นเท่านั้น หากแต่ตอนนี้เธอกลับเริ่มรู้สึกว่าร่างกายของตัวเองเริ่มจะผูกพันกับเขาอย่างลึกซึ้งมากขึ้นทุกวัน ซึ่งเรื่องเหล่านี้ทำให้เธอทุกข์ใจไม่น้อย หากจะมีสิ่งที่ทำให้เธออยู่บ้านหลังนี้ได้อย่างมีความสุข ก็คงจะเป็นความน่ารักของเมสซี่กับความเอ็นดูจากลุงหนานอินซึ่งเป็นรปภ.กับอุ้ยคำเท่านั้น ส่วนเจ้าของบ้าน แม้ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน เขาก็ยังคงใจร้ายและเย็นชาใส่เธอดังเดิม แม้บางครั้งเขาเหมือนจะอ่อนโยน แต่นั่นก็เป็นเพียงเพราะเขาลืมตัว ครั้นพอเขาคิดได้ว่าเกลียดชังเธอแค่ไหน จันทริกาก็มักจะได้รับผลจากความเคียดแค้นชิงชังของเขาดังเดิมเช้านี้จันทริกาไม่ได้ทำอาหาร รังสิมันต์บอกเอาไว้ตั้งแต่เมื่อวานแล้วว่
บทที่ 46“คำว่าเกมหัวใจ มันไว้สำหรับคนที่มีใจให้กัน”“แกไม่ได้คิดอะไรกับจันทร์ว่างั้น” จากที่ถูกไล่ต้อนตอนนี้ปรัชญ์เปลี่ยนเป็นฝ่ายไล่ต้อนรังสิมันต์บ้าง“คิด...คิดว่าเด็กคนนั้นทำให้เมียฉันตาย”“แน่ใจว่าคิดแค่นั้น แล้วนี่แต่งตัวจะไปไหน”“กลับเชียงใหม่สิวะ จะอยู่ทำไมล่ะ ก็ผู้หญิงที่ฉันตั้งใจจะมาจีบกลายเป็นเมียแกไปแล้วนี่ หรือแกจะให้ฉันแย่งเมียเพื่อนก็ได้นะฉันไม่ถือ”“ก่อนจะถามฉัน ถามตัวเองก่อนว่าคิดจะแย่งเมียฉันจริงๆ หรือแค่อยากให้เมียตัวเองหึง”คำพูดที่เหมือนกับมานั่งอยู่ในใจเช่นนั้น ทำให้รังสิมันต์ต้องทำหน้าตึงกลบเกลื่อน แม้สิ่งที่ปรัชญ์พูดมาจะไม่ตรงกับความจริงนักแต่ก็เฉียดสุดๆ เขาไม่ได้อยากให้จันทริกาหึง แค่อยากให้เธอเจ็บจริงหรือที่ว่าต้องการแค่นั้น?รังสิมันต์ถามตัวเอง...แล้วทำไมตอนที่เด็กคนนั้นทำหน้าเหมือนไม่รู้สึกอะไรกับเขา เขาถึงได้หงุดหงิดนัก“ต้องให้ย้ำกี่ครั้งว่าเมียฉันตายแล้ว แกความจำเสื่อมหรือไงไอ้เชี่ยปรัชญ์” คนถูกต้อนคืนทำเสียงฉุนๆ ใส่“ฉันไม่ได้หมายถึงคนที่ตายแล้วเว้ย แต่หมายถึงคนที่แกอยู่ด้วยตอนนี้”“จันทริกาไม่ใช่เมียฉัน”“แล้วเป็นอะไร แค่อดีตน้องเมียที่ตอนนี้ถูกลดฐานะล
บทที่ 45“เธอนอนหรือยัง” ถามทั้งๆ ที่รู้ว่าดึกดื่นขนาดนี้ จันทริกาต้องนอนแล้ว เพราะปกติถ้าคืนไหนที่เขาไม่ได้ให้เธอขึ้นไปหา หรือเป็นฝ่ายลงมาหาเธอ เด็กคนนั้นจะหลับเร็วเป็นพิเศษ“นอนแล้วค่ะ คุณโทร.มามีอะไรหรือเปล่าคะ”“ฉันแค่โทร.มาถามว่าเมสซี่เป็นยังไงบ้าง” ปากพูดไปตามที่สมองเตรียมการเอาไว้ล่วงหน้า หากแต่เสียงในใจเสียงหนึ่งกลับตะโกนก้องขึ้นมาว่า เพราะอยากได้ยินเสียงนุ่มๆ เรียบๆ ของเธอต่างหาก“เมสซี่อยู่กับจันทร์ค่ะ ตอนนี้หลับไปแล้ว”“ก็ดี ฉันแค่เป็นห่วงมัน”“ไม่ต้องห่วงนะคะจันทร์จะดูแลเมสซี่อย่างดี และสมบัติทุกชิ้นของคุณในบ้านหลังนี้ยังอยู่ครบค่ะ” จันทริกาพูดกับคนโทร.มาด้วยน้ำเสียงที่เหมือนจะเป็นการบอกกล่าวตามปกติ ทว่าหัวใจกลับปวดแปลบ เมื่อตระหนักถึงความจริงที่ว่า คุณตะวันเป็นห่วงแค่เมสซี่เท่านั้น ไม่ได้ห่วงเธอแม้แต่นิด หากจะห่วงก็คงห่วงว่าเธอจะพาใครมาขโมยของในบ้านอย่างที่เขาพูดไว้ก่อนไปมากกว่า เพราะเธอเป็นผู้ร้ายในสายตาเขามาตลอดตั้งแต่ศศิประภาตายไป จันทริกาจึงต้องบอกเขาไปเช่นนั้น หากแต่คนฟังกลับรู้สึกว่าเธอกำลังประชด“สมบัติของฉันที่เธอว่าอยู่ครบทุกชิ้น รวมถึงเธอด้วยหรือเปล่า”จันทริกาห