บรรยากาศภายในตำหนักเฉียนชิงน่าเกรงขามเหมาะสมกับเป็นตำหนักอันเป็นที่พำนักอยู่ของประมุขแห่งแคว้น หากไม่ได้รับอนุญาตก็ไม่มีผู้ใดสามารถเข้ามาที่นี่ได้ ยกเว้นโอรสสองพระองค์ที่ถือกำเนิดจากครรภ์ของฮองเฮา พวกเขาดูสบาย ๆ เมื่ออยู่ที่นี่ แตกต่างจากนางและฟู่เหยาเหยา
ฟู่ลี่อิ๋งเดินขนาบข้างเว่ยจงหมิง ส่วนเว่ยเจิ้งหยางและฟู่เหยาเหยามีสถานะต่ำกว่าจึงรั้งเดินอยู่เบื้องหลังของนางและเว่ยจงหมิง
เมื่อได้มาอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ทุกคนต่างก็กระอักกระอ่วนใจ ได้แต่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ร่างเล็กของฟู่ลี่อิ๋งได้แต่ยืนหลบซ่อนอยู่ใต้เงาของเว่ยจงหมิง นางรู้ดีว่าเวลานี้เว่ยเจิ้งหยางกำลังมองมาที่ตน แต่กระนั้นหญิงสาวก็ไม่ได้หันกลับไปมองเขาเลยแม้เพียงหางตา เรื่องราวเมื่อคืนที่นางเห็นด้วยตาตัวเองก็พอจะบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้แล้ว
ยืนรอกันอยู่ครู่หนึ่งประมุขแห่งแคว้นก็เสด็จออกมา ผู้เป็นพระบิดาจ้องมองบุตรชายทั้งสองที่มีลูกสะใภ้ยืนขนาบข้างด้วยสายตาแห่งความยินดี แต่เมื่อพิจารณาดูให้ดีกลับพบความผิดปกติบางอย่าง สายตาของเว่ยอ๋อง
“อิ๋งอิ๋ง” เว่ยเจิ้งหยางเรียกชื่อเล่นของนางเหมือนที่เคยเรียกอยู่เป็นประจำ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความอาลัยอาวรณ์“ไท่จื่อ ปล่อยหม่อมฉันลงก่อนดีกว่า หม่อมฉันว่า ควรจะพูดให้เว่ยอ๋องเข้าใจเสียที ต่อจากนี้ไปเขาจะได้ไม่มารบกวนวันเวลาที่ดีของเราสองคน” นางบอกให้เขาหยุดก่อนเว่ยจงหมิงหรี่ตามองนาง ราวกับจะถามนางว่าจะทำเช่นนั้นจริง ๆ หรือ แต่พอเห็นนางพยักหน้าเล็กน้อยจึงปล่อยให้นางลงเดินเมื่อเขาปล่อยนางออกจากอ้อมกอด ฟู่ลี่อิ๋งก็จัดการจับมือที่ใหญ่กว่ามือของตัวเองหลายเท่าตัวเอาไว้แน่น นางพาเขาเดินเข้าไปหาเว่ยเจิ้งหยาง สายตาไม่ได้หลงเหลือเยื่อใยอะไรให้กับบุรุษที่นางกำลังเผชิญหน้าอีกต่อไปแล้ว“อิ๋งอิ๋ง ๆ ข้าขอโทษ ที่ผ่านมาข้าขอโทษ เราสลับตัวกลับมาเป็นดังเช่นปกติเถิด เจ้าควรจะได้เป็นภรรยาข้า ควรได้เป็นมารดาของไคไคน้อย” เว่ยเจิ้งหยางรู้ว่านางรักและเอ็นดูไคไคจึงใช้เขาเป็นข้ออ้าง “ตอนที่เจ้ารักษาตัวอยู่ในจวนพักร้อนที่เสิ่นหนาน เจ้าก็ชอบช่วงเวลานั้นไม่ใช่หรือ ข้า
“จะเป็นคนดี ใช่ว่าจะมีแค่เพียงวิธีการออกบวชอย่างเดียวเสียหน่อย” เว่ยจงหมิงอธิบาย “เป็นฆราวาสก็เป็นคนดีได้ ทุกอย่างอยู่ที่การกระทำ ช่วยเหลือผู้คน ไม่พูดจาให้ร้ายผู้อื่น มีน้ำใจก็นับว่าเป็นคนดีในระดับหนึ่งแล้ว หรือเจ้านิยามว่าคนดีจะต้องออกบวชอย่างเดียว”ที่เว่ยจงหมิงกล่าวมาไม่ใช่ว่านางไม่รู้ นางรู้ทุกอย่างแท้จริงแล้ว.....สิ่งที่นางต้องการอาจจะเป็นแค่ความต้องการหนีไปให้พ้นจากที่นี่ก็ได้ร่างเล็กยิ้มแล้วไม่กล่าวสิ่งใดต่อ ทุกอย่างเป็นไปอย่างเรียบง่าย นางและเขาไม่ได้พูดสิ่งใดด้วยกันอีก ได้แต่นั่งฟังเสียงลมพัดกิ่งไม้ไหว สอดประสานกลายเป็นเสียงดนตรีขับขาน ทำให้ผู้คนที่ได้ยินรู้สึกหัวใจเบิกบานคลายความกังวลไปได้ไม่มากก็น้อยบรรยากาศเช่นนี้ทำให้นางคิดถึงค่ำคืนวันนั้น คืนวันที่อยู่บนภูเขาหลังศาลเจ้า แค่คิดถึงเหตุการณ์วันนั้นน้ำตาของนางก็ไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัว“ฮึก” นางพยายามกลั้นเสียงร้องไห้ของตัวเองเอาไว้ &ldqu
เขาพานางขึ้นรถม้าและออกจากตำหนักเฉียนชิง บนรถม้าเงียบสงบไม่มีผู้ใดพูดจา เว่ยจงหมิงนั่งหลับตาตลอดทาง ทำท่าทางคล้ายกับครุ่นคิดเรื่องราวมากมาย เขาไม่แม้แต่จะหันมามองที่นาง ภายในใจของชายหนุ่มเวลานี้น่าจะว้าวุ่นน่าดู นางคิดไม่ถึงว่าฮ่องเต้จะสามารถมองสิ่งที่พวกนางกำลังปกปิดได้อย่างง่ายได้เช่นนี้ฟู่ลี่อิ๋งอยากจะอ้าปากพูดคุยอยู่กับเขาหลายครั้ง แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจไม่พูดสิ่งใดออกไปเพราะเกรงว่าตนจะพูดสิ่งใดผิดไป รถม้าเคลื่อนตัวลัดเลาะผ่านถนนไปเรื่อย ๆ ช้า ๆดูเหมือนว่าเส้นทางนี้จะไม่ใช่เส้นทางที่ใช้ในการกลับจวน คล้ายกับว่ารถม้ากำลังแล่นออกไปนอกเมืองเสียมากกว่า“ไท่จื่อ นี่ไม่ใช่ทางกลับจวน” นางเปิดม่านหน้าต่างออกไปดูถนนหนทาง“ก็ไม่ได้จะกลับจวน ข้าอยากไปหาที่สงบ ๆ พักผ่อนสักครู่หนึ่ง เดี๋ยวรอพระอาทิตย์ใกล้ตกดินค่อยกลับก็ได้” มันเป็นความเคยชินของเขา หากมีเรื่องที่ไม่สบายใจ เขาก็มักจะพาตัวเองออกไปอยู่ในสถานที่ที่ไร้ผู้คนแต่เขาดันลืมไปว่ามีไท่จื่อเฟยตัวน้อยติดรถม้ามาด้วย ไหน ๆ
บรรยากาศภายในตำหนักเฉียนชิงน่าเกรงขามเหมาะสมกับเป็นตำหนักอันเป็นที่พำนักอยู่ของประมุขแห่งแคว้น หากไม่ได้รับอนุญาตก็ไม่มีผู้ใดสามารถเข้ามาที่นี่ได้ ยกเว้นโอรสสองพระองค์ที่ถือกำเนิดจากครรภ์ของฮองเฮา พวกเขาดูสบาย ๆ เมื่ออยู่ที่นี่ แตกต่างจากนางและฟู่เหยาเหยาฟู่ลี่อิ๋งเดินขนาบข้างเว่ยจงหมิง ส่วนเว่ยเจิ้งหยางและฟู่เหยาเหยามีสถานะต่ำกว่าจึงรั้งเดินอยู่เบื้องหลังของนางและเว่ยจงหมิงเมื่อได้มาอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ทุกคนต่างก็กระอักกระอ่วนใจ ได้แต่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ร่างเล็กของฟู่ลี่อิ๋งได้แต่ยืนหลบซ่อนอยู่ใต้เงาของเว่ยจงหมิง นางรู้ดีว่าเวลานี้เว่ยเจิ้งหยางกำลังมองมาที่ตน แต่กระนั้นหญิงสาวก็ไม่ได้หันกลับไปมองเขาเลยแม้เพียงหางตา เรื่องราวเมื่อคืนที่นางเห็นด้วยตาตัวเองก็พอจะบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้แล้วยืนรอกันอยู่ครู่หนึ่งประมุขแห่งแคว้นก็เสด็จออกมา ผู้เป็นพระบิดาจ้องมองบุตรชายทั้งสองที่มีลูกสะใภ้ยืนขนาบข้างด้วยสายตาแห่งความยินดี แต่เมื่อพิจารณาดูให้ดีกลับพบความผิดปกติบางอย่าง สายตาของเว่ยอ๋อง
เมื่อคืนที่ผ่านมานางนอนบนเตียง ส่วนเว่ยจงหมิงไปนอนอยู่ที่เตียงเล็ก ๆ อยู่ห่างจากเตียงของนางไปนิดหน่อย ฟู่ลี่อิ๋งถูกเขาปลุกตั้งแต่เช้าตรู่ ร่างเล็กที่อยู่ในกองผ้าห่มลุกขึ้นมาเตรียมตัวตั้งแต่เช้า ตามธรรมเนียมแล้ว หลังจากแต่งงานนางควรจะเข้าไปถวายพรพระฮ่องเต้ซึ่งบัดนี้เขามีสถานะเป็นพ่อสามี และมีพิธีการของราชวงศ์อีกเล็กน้อยฟู่ลี่อิ๋งไม่คิดว่าเว่ยจงหมิงจะเป็นคนเรียบง่ายกว่าที่นางคิด นิสัยของสองพี่น้องคล้ายกันจริง ๆ ฟู่ลี่อิ๋งเปรียบเทียบเขาก็น้องชายตั้งใจเอาไว้ว่าหลังจากกลับจากเข้าวัง นางจะพูดคุยเรื่องการหย่าร้างให้จงได้ อย่างไรเขาก็ไม่ได้รักไม่ได้ชอบนาง การแต่งงานครั้งนี้มันผิดพลาดล้วนเป็นเรื่องผิดพลาด แล้วถ้าเกิด ถ้าเกิดเขาตัดใจจากฟู่เหยาเหยาไม่ได้ล่ะ เวลานี้เว่ยจงหมิงน่าจะเสียใจอยู่พอสมควรนางกำนัลประโคมชุดแต่งกายให้ฟู่ลี่อิ๋งชุดใหญ่ เครื่องประดับอะไรก็แล้วแต่ที่มีล้วนนำมาสวมใส่ให้กับนาง ดูเหมือนนางพวกนี้จะไม่รู้ว่านางสลับตัวกับฟู่เหยาเหยา คงเป็นเพราะนอกจากคนในเสิ่นหนานก็ไม่มีใครเคยเห็นใบหน้าของคุณหนูจวนโหว
แสงแดดยามเช้าสาดส่องเข้ามาภายในห้องหอที่ประดับประดาด้วยสิ่งของมงคลสีแดงสด เว่ยเจิ้งหยางลืมตาขึ้นพร้อมกับขยี้ตาเล็กน้อย มือป่ายปัดไปยังที่นอนด้านข้าง ความทรงจำของค่ำคืนที่ผ่านมาเลือนรางเหลือเกิน กลิ่นกายของสตรีที่กำลังนอนซุกอยู่ข้างกายเขา ดูแปลกพิกล“อิ๋งอิ๋ง” ชายหนุ่มเอ่ยชื่อของสตรีที่ต่อไปนี้จะกลายเป็นภรรยาของเขาฟู่เหยาเหยารอโอกาสนี้มานานแล้ว นางแสร้งกระเด้งตัวขยับเข้าไปชิดกับเตียงนอนด้านใน ทันทีที่ได้ยินเสียงของเว่ยเจิ้งหยาง ทำท่าทางใสซื่อประดุจลูกแมวน้อยที่แสนจะน่าสงสาร“ท่านไม่ใช่ไท่จื่อ” ร่างเล็กแบบบางเนื้อตัวสั่นเทา สายตาจ้องมองบุรุษที่เพิ่งตื่นขึ้นด้วยท่าทางหวาดหวั่นเว่ยเจิ้งหยางสะบัดศีรษะเพื่อขับไล่ความพร่าเบลอก่อนจะค่อย ๆ มองสิ่งต่าง ๆ รอบตัวให้ชัดเจน“เจ้า!!! ฟู่เหยาเหยา” ชายหนุ่มมีสีหน้าตื่นตะลึงทำสิ่งใดไม่ถูก “ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่”“ข้าก็ไม่รู้” นางรู้ทุกเรื่องแต่เสแสร้งทำเป็นไม่รู้ “แล้วเหตุใด ข