共有

ตอนที่ 3 : ผู้กล้าฝึกหัด

last update 最終更新日: 2025-11-08 00:14:12

ตอนที่ 3 : ผู้กล้าฝึกหัด

 

             อัสเวลมาส่งคิมหันต์ถึงหน้าบ้าน กว่าจะออกจากพระราชวัง แล้วเดินกลับมาถึงที่นี่ เวลาก็ล่วงเลยมาถึงยามเย็นแล้ว ตะวันคล้อยลงที่ตรงขอบฟ้า แสงสีส้มฉาบฉายไปทั่วบริเวณ ทั้งสองเดินมาหยุดลงตรงหน้าประตูบ้าน ผู้กล้าหนุ่มหันไปขอบคุณที่อีกฝ่ายเดินมาส่ง อัสเวลโค้งรับ ก่อนจะพูดขึ้น

             “ใกล้ได้เวลาอาหารเย็นแล้ว ขอท่านผู้กล้ารอเสียหน่อย กระผมจะนำอาหารมาให้ขอรับ”

             “รบกวนด้วยนะอัสเวล” คิมหันต์กล่าวอย่างเกรงใจ ถึงอัศวินหนุ่มจะถูกส่งมาเพื่อดูแลเขา แต่เขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะทำให้เขาทุกอย่างเลย แม้กระทั่งเรื่องเสิร์ฟอาหารก็ด้วย ปกติจะให้แม่บ้าน หรือคนรับใช้นำมาให้ แต่นี่คนที่มียศเป็นถึงอัศวิน กลับต้องยกอาหารมาให้เอง ผู้กล้าหนุ่มไม่รู้เลยว่าควรรู้สึกยังไงดี

             “ไม่เป็นไรขอรับ ท่านผู้กล้าโปรดพักผ่อน พรุ่งนี้เช้ากระผมจะมารับไปลานฝึก ขอท่านผู้กล้าเตรียมตัวด้วย” อัสเวลกล่าวเสียงราบเรียบ เมื่อคิมหันต์พยักหน้ารับทราบ อัศวินหนุ่มก็เดินจากไป

             คิมหันต์มองส่งอัสเวลจนลับสายตาไป แล้วจึงหันกลับไปเปิดประตูบ้าน เมื่อเข้ามาก็พบว่าในบ้านนั้นมืดทึบ มีเพียงแสงสีส้มสลัวที่ยังลอดผ่านหน้าต่างในห้องรับแขกที่ยังพอให้ความสว่างกับบ้านหลังนี้ได้

             มืดจัง… ชายหนุ่มคิด พลางตำหนิกฤษในใจที่ปล่อยให้บ้านมืดได้ขนาดนี้ แล้วเดินเข้ามาในห้องรับแขก ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงพูดประหลาดดังลอยมาจากในนั้น…

             “จงเปิด!… โอเพ่น!… โอเพ่นสเตตัส!... ไม่ได้แฮะ โอเพ่นวินโดว์!... ไม่ใช่…” เสียงนั้นดังลอยมาจากกฤษที่นั่งอยู่บนเก้าอี้โต๊ะรับแขก มือนั้นก็ปัดไปปัดมาบนอากาศตรงหน้าอย่างจริงจัง พลางพูดอะไรอยู่คนเดียวอย่างหน้าดำคร่ำเครียด “เปิดหน้าต่างสถานะ!... จงเผยสเตตัส!... โว้ย… ไม่ใช่อีกแล้ว มันไม่มีหรือไงกันนะ…”

             คิมหันต์ยืนมองอยู่ครู่หนึ่งด้วยสายตาละเหี่ยใจ ก่อนจะกระแอมขึ้น แล้วกล่าว “ทำอะไรน่ะกฤษ…”

             เด็กหนุ่มสะดุ้งโหยง ก่อนจะหันขวับมาทางคิมหันต์

“ตกใจหมด! พี่คิม!” เด็กหนุ่มเอามือทาบอก ท่าทางโอเว่อร์ “กำลังหาวิธีเปิดหน้าต่างสเตตัสน่ะสิ”

“หน้าต่างสเตตัส?” คิมหันต์ฉงน

             “ใช่… อย่าบอกนะว่าพี่ไม่รู้จัก?” กฤษหรี่ตาอย่างเหนื่อยหน่าย

             “อย่าทำหน้าแบบนั้นใส่พี่สิ… แล้วมันคืออะไรกันล่ะ ไอ้หน้าต่างสเตตัสน่ะ”

             “จะอธิบายยังไงดีล่ะทีนี้…” กฤษทำหน้าคิดหนัก “มันคือหน้าต่างที่จะบอกว่าเรามีค่าสถานะเลือด พลังโจมตี พลังป้องกัน ความเร็ว ความฉลาด โชค พลังเวทมนต์ อยู่เท่าไหร่ รวมถึงสกิลที่เรามีติดตัวมาด้วย ประมาณนั้นน่ะ ถ้าพี่คิมเคยเล่นเกมก็น่าจะนึกออก”

             “ประเด็นคือพี่ไม่เล่นน่ะสิ…” ได้ยินแล้วกฤษก็ทำหน้าท้อแท้ “แต่พี่ก็พอเข้าใจนะ…”

             “นั่นแหละ” เด็กหนุ่มพยักหน้าอย่างโล่งใจที่ไม่ต้องอธิบายไปมากกว่านี้ “ผมอยากจะเปิดมันขึ้นมา ผมอยากรู้ว่าตัวเองมีค่าสถานะเท่าไหร่ และมีสกิลอะไรบ้าง”

             “ของแบบนั้นมันจะไปมีได้ยังไงกันล่ะ…” คิมหันต์ไม่อ้อมค้อม

             “แต่ปกติการ์ตูนต่างโลกมันจะมีไง” กฤษเถียง

             “แต่นี่ไม่ใช่การ์ตูนไง… นี่คือโลกจริงนะกฤษ”

             เด็กหนุ่มเงียบ ก็เป็นไปได้ที่โลกจริงจะไม่มีหน้าต่างสเตตัสเหมือนในการ์ตูนต่างโลก ถ้าแบบนั้นก็ลำบากแย่เลยไม่ใช่หรอ “ยอมก็ได้ แต่ผมจะไม่หยุดลองหรอกนะ”

             “ตามสบายเถอะ…” คิมหันต์ถอนหายใจ “ว่าแต่นายเถอะ ทำไมไม่เปิดไฟล่ะ ปล่อยให้บ้านมืดขนาดนี้”

             “ต้องถามว่า… เปิดยังไงก่อนต่างหาก…”

             คราวนี้ผู้กล้าหนุ่มเงียบบ้าง เขาลืมไปเลยว่านี่มันต่างโลก ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีสวิซไฟ ไม่มีแม้กระทั่งหลอดไฟ…

งานหยาบล่ะทีนี้ คิมหันต์คิด

“สรุปคืนนี้เราจะอยู่กันมืด ๆ แบบนี้ใช่ไหม” กฤษถามกลับบ้าง

“เทียน... เทียนไง หรือตะเกียงก็ได้ ไม่มีหรอ?” คิมหันต์เริ่มเดินหาไปทั่วบ้าน

“ตอนเราเดินสำรวจบ้าน พี่ก็เห็นแล้วนี่ว่าไม่มีอะไรเลย…” กฤษยืนมองผู้กล้าหนุ่มอย่างระอาใจ “ถึงมีเทียน ก็ไม่มีไฟแช็ก หรือไม้ขีดไม่ใช่หรอ?”

คิมหันต์ชะงัก พลางยกมือขึ้นกุมหัว “บ้าจริง… ไม่คิดว่าบ้านในต่างโลกจะลำเค็ญขนาดนี้… งั้นเราต้องเอาแท่งไม้มาปั่นจุดไฟกันเองหรอ?”

“นี่พี่ล้อเล่นใช่ไหม…” กฤษตลกไม่ออก “สรุปผู้กล้าอย่างพี่พึ่งพาอะไรได้บ้างเนี่ย”

“อย่าประชดกันแบบนั้นสิ!” คิมหันต์ทำหน้าเหมือนอยากร้องไห้ “พี่ไม่ได้อยากเป็นผู้กล้าซักหน่อย”

ห้องทั้งห้องเริ่มมืดสนิท… แสงอาทิตย์ได้จากไปแล้ว…

“ชักเริ่มหนาวแล้วด้วยสิ” กฤษว่า 

“หนาวไวซะด้วย” คิมหันต์พยักหน้าเห็นด้วย “แล้วเราจะเอายังไงกันดี”

ขณะที่ทั้งยืนครุ่นคิดกันอย่างจริงจังนั้น เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น

ก็อก ๆ

ผู้กล้าหนุ่มหันขวับ แล้วรีบก้าวเท้าฉับ ๆ ไปที่ประตู โชคดีที่สายตาเริ่มปรับให้มองเห็นในความมืดได้บ้างแล้ว ไม่งั้นคงได้เดินชนกำแพงกันบ้าง

ประตูเปิดออก อย่างที่คาดไว้ ผู้ที่อยู่หลังบานประตูคืออัสเวลนั่นเอง

“กระผมนำอาหารมาส่งขอรับ” อัสเวลยื่นตะกร้าที่มีผ้าคลุมให้คิมหันต์

นอกจากเป็นอัศวินแล้ว ยังเป็นไรเดอร์ด้วยสินะ อยู่ ๆ เสียงในหัวก็คิดขึ้นแบบนั้น ก่อนจะสลัดความคิดประหลาดนั้นทิ้งไป แล้วรับตะกร้านั้นเอาไว้ ทันใดนั้นผู้กล้าหนุ่มก็ไม่ปล่อยโอกาสนี้หลุดมือ

“เอ่อ… อัสเวล… ปกติบ้านในโลกนี้เขาเปิดไฟกันยังไงหรอ?”

“เปิดไฟ?” อัศวินหนุ่มขมวดคิ้วฉงน

“เอ่อ… หมายถึง ตอนกลางคืน ที่โลกนี้เขาใช้อะไรให้แสงสว่างในบ้านน่ะ” คิมหันต์พยายามอธิบาย

อัสเวลนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะทำหน้าเหมือนนึกขึ้นได้ “ท่านยังใช้เวทมนตร์ไม่เป็นสินะขอรับ”

“ใช่ ๆ จะเปิดไฟที่นี่เขาต้องใช้เวทมนตร์กันด้วยหรอ” ชายหนุ่มทั้งตอบแล้วถามในทีเดียว อัสเวลพยักหน้าตอบทีหนึ่ง คิมหันต์จึงกล่าวต่อ “งั้นอัสเวล นายช่วยเปิดไฟให้หน่อยได้ไหม ตอนนี้บ้านมืดมาก แถมยังหนาวอีกต่างหาก”

“ได้ขอรับ” อัสเวลตอบรับสั้น ๆ คิมหันต์จึงเปิดทางให้อัศวินหนุ่มเดินเข้าบ้านไป

เมื่อเข้ามาในบ้าน สิ่งแรกที่อัสเวลทำก็ยกมือขวาขึ้นแตะกำแพง มือของเขาเรืองแสงขึ้นเล็กน้อย ก่อนที่ผนังและเพดานจะค่อย ๆ ส่องแสงออกมา ไม่นานก็สว่างไสวไปทั่วบ้าน

“โอ้ว…” คิมหันต์กับกฤษร้องขึ้นพร้อมกัน

“บ้านขุนนางของพวกเรา ผนังทำจากแร่วิเศษ แค่ถ่ายพลังเวทใส่เพียงเล็กน้อย ก็จะให้แสงสว่างได้หลายชั่วโมงขอรับ” อัสเวลอธิบายเสียงเรียบ “ต่อไปพวกท่านเริ่มหนาวกันแล้วสินะขอรับ”

คิมหันต์ตอบรับ อัศวินหนุ่มจึงเดินไปที่เตาผิง เขายื่นมือเข้าไปในเตาผิง และมือของเขาก็เริ่มเรืองแสงอีกครั้ง ทันใดนั้นเปลวไฟก็ลุกพรึ่บขึ้นมาในเตาผิงนั้น

“อา…” คิมหันต์และกฤษพูดไม่ออก ได้แต่ยืนมองอัศวินหนุ่มจุดไฟด้วยมือเปล่า

“ในเตาผิงนี้ มีท่อนฟืนนิรันดร์อยู่ขอรับ หากเราถ่ายพลังเวทไฟใส่เพียงเล็กน้อย ท่อนฟืนก็จะติดไฟ และมันจะไม่หมดไป สามารถลุกไหม้เช่นนี้ไปได้ตลอดกาลตามชื่อของมัน ในห้องครัวที่เตาไฟก็มีท่อนฟืนแบบนี้อยู่เช่นกันขอรับ” อัสเวลอธิบาย

“งั้นตอนที่จะดับล่ะ ทำไงหรอ?” กฤษเป็นคนถาม

“ก็แค่ถ่ายพลังเวทบริสุทธิ์เข้าไปสลายพลังเวทไฟที่อยู่ในท่อนฟืนแค่นั้น…” อัสเวลตอบห้วน ๆ ท่าทางเขาจะไม่ถูกชะตากับกฤษจริง ๆ เสียด้วย

“งั้นพรุ่งนี้พวกเราจะดับไฟได้ยังไงล่ะ? ชั้นใช้พลังเวทไม่เป็นนะ” คิมหันต์เอ่ยขึ้น

“พรุ่งนี้ตอนมื้อเช้า กระผมจะเข้ามาปิดไฟ และดับไฟในเตาผิงให้เองขอรับ”

คิมหันต์ตอบรับด้วยสีหน้าโล่งใจ อัสเวลกวาดตามองไปทั่วบ้านทีหนึ่ง แล้วจึงกล่าวขึ้น “หากไม่มีอะไรแล้ว ข้าขอตัวก่อนนะขอรับ”

“อืม ขอบคุณนะอัสเวล” อัศวินหนุ่มพยักหน้ารับคำขอบคุณ แล้วจึงเดินออกจากบ้านไป

เสียงประตูปิดลง ผู้กล้าหนุ่มกับตัวแถมหันหน้ามองกันอยู่ครู่หนึ่ง แล้วต่างคนต่างถอนหายใจ แล้วนั่งลงบนเก้าอี้

“รอดไปได้คืนนึงสินะ” กฤษกล่าว

“โชคดีที่อัสเวลมาส่งอาหารพอดี” คิมหันต์กล่าวสำทับ

“สรุปหมอนั่นเป็นอัศวิน หรือไรเดอร์กันแน่น่ะ ทำหน้าที่ทั้งรับส่ง แถมยังมาส่งอาหารอีก” กฤษพูดแบบขวานผ่านซาก

“นี่นายน่ะ อย่าแพ้เสียงในหัวแบบนั้นสิ” คิมหันต์ปรามอย่างขำขัน อย่างน้อยอัสเวลก็เป็นธุระให้พวกเขาหลายอย่าง จะมาล้อเลียนอัศวินหนุ่มกันแบบนี้ก็ดูไม่แฟร์เอาเสียเลย

“กินข้าวเลยได้ไหม เริ่มหิวแล้ว” กฤษเอ่ยขึ้น

“อืม” คิมหันต์ตอบรับ แล้วลุกขึ้น พลางเอื้อมมือไปดึงผ้าที่คลุมตะกร้าเอาไว้ออก

ผู้กล้าหนุ่มถึงกับตะลึงงันเมื่อเห็นของที่อยู่ในตะกร้า

กฤษเห็นอีกฝ่ายนิ่งไป จึงลุกขึ้นดูบ้าง แล้วเขาก็ตะลึงงันไปด้วยอีกคน

เนื้อดิบ? แล้วจะกินยังไงกันล่ะเนี่ย! กฤษอุทานในใจ

“อย่างน้อยก็มีผลไม้มาให้สี่ลูกนะ” คิมหันต์กล่าวอย่างปลอบใจ พลางมองลงไปในตะกร้าที่มีเนื้อของอะไรสักอย่างที่หั่นชิ้นมาค่อนข้างใหญ่ ดูเหมาะสำหรับทำสเต็ก กับผลไม้ที่หน้าตาคล้ายส้มสีชมพูมาให้อีกสี่ลูก

“ถ้าผลไม้แค่คนละสองลูกกินไม่อิ่มหรอก” กฤษโอดครวญ

“อย่างน้อยถ้าเราทำอาหารได้ ก็ยังพอแบ่งเนื้อกันกินได้ล่ะนะ” ผู้กล้าคิมหันต์กล่าวอย่างครุ่นคิด

กฤษเองก็นิ่งคิดเช่นกัน ก่อนจะทำหน้าเหมือนนึกขึ้นได้แล้วกล่าวขึ้น “เราก็ยังพอทำอาหารได้อยู่ไม่ใช่หรอ”

คิมมองกฤษอย่างสงสัย ก่อนที่เด็กหนุ่มจะเปรยยิ้มออกมา แล้วหันไปทางเตาผิง

“โอ้…” คิมหันต์เลิกคิ้วขึ้น จริงด้วย เราก็มีไฟอยู่แล้วนี่นะ แล้วผู้กล้าหนุ่มก็เดินหายเข้าไปในครัว เสียงดังก๊องแก๊งอยู่ครู่หนึ่งก็เดินกลับออกมาพร้อมกับเขียงไม้ที่มีกระทะ ตะหลิว มีด จาน และส้อมวางซ้อนอยู่ด้านบน

“พี่คิดว่าน่าจะพอทำสเต็กได้นะ แต่เหมือนจะไม่มีเครื่องปรุงให้เลยสักอย่าง” คิมหันต์ว่า

“ไม่เป็นไรหรอก กินได้หมดแหละ” กฤษตอบ

ผู้กล้าหนุ่มวางเขียงไว้บนโต๊ะ เอาจานสองใบวางเรียงไว้บนโต๊ะพร้อมส้อม ก่อนจะหยิบกระทะขึ้นมาถือไว้ แล้วใช้มืออีกข้างหยิบเอาเนื้อในตะกร้าวางลงในกระทะ ก่อนจะเดินไปที่เตาผิง ยื่นกระทะเข้าไปในนั้น เปลวไฟที่ลุกโชนอย่างสม่ำเสมอลามเลียไปทั่วก้นกระทะ ไม่นานเสียงเนื้อโดนความร้อนก็ดังขึ้นฉ่า ๆ กลิ่นหอมของเนื้อย่างฟุ้งกระจายไปทั่วห้อง คิมหันต์ใช้ตะหลิวที่หยิบมาด้วยพลิกด้านเนื้อ เสียงเนื้ออีกข้างที่โดนความร้อนดังฟู่ขึ้น กฤษที่นั่งมองอยู่ข้างหลังกลืนน้ำลายอึกใหญ่ด้วยความหิว

ชายหนุ่มนั่งย่างเนื้อด้วยอย่างสบายใจ เพราะปกติเขาอยู่บ้านคนเดียวในคอนโด หนึ่งในอาหารที่เขาทำบ่อยสุดก็คือสเต็กนั่นเอง นี่จึงไม่ใช่เรื่องยากที่เขาจะทำสเต็กกินในต่างโลก ในขณะที่คิมหันต์กำลังเพลินอยู่นั้น เสียงของกฤษก็ดังขึ้นด้านหลัง

“หวายยย เปรี้ยวชะมัด” ผู้กล้าหนุ่มหันขวับไปดู ก็พบว่ากฤษที่แกะส้มกินไปกลีบหนึ่งกำลังนั่งหยีตาอยู่ พอเห็นคิมหันต์ทำหน้าเหมือนอยากรู้อยากเห็น กฤษจึงฉีกส้มอีกกลีบหนึ่งส่งเข้าปากผู้กล้าหนุ่ม

แค่เริ่มเคี้ยวทีเดียว ความเปรี้ยวก็กระจายไปทั่วปาก คิมหันต์ทำหน้ามู่ทู่หยีตาอย่างคุมไม่ได้ แล้วบ่นออกมา “โอ้ย เปรี้ยว เปรี้ยวเกิ๊นนน”

ทันทีเนื้อที่ย่างเริ่มเกรียม คิมหันต์ก็ยกเอากระทะออกจากเตาผิง เดินกลับมาที่โต๊ะ เทเนื้อลงบนเขียง ใช้มีดที่เตรียมมาตัดแบ่งเนื้อออกเป็นสองส่วนเท่ากันไปวางไว้ในจานละชิ้น

“พี่คิดว่า ส้มนี่คงกินเปล่า ๆ ไม่ได้หรอก เราเอามันมาบีบน้ำใส่สเต็กแทนมะนาวดีไหม” คิมหันต์เสนอ ปกติแล้วเขาจะกินสเต็กใส่แค่เกลือกับพริกไทยดำ แต่ที่นี่ไม่มีทั้งสองอย่างที่ว่ามา ของที่เหมาะจะเอามาปรุงเนื้อที่สุดคงนี้ไม่พ้นผลไม้สีชมพูที่หน้าตาเหมือนส้มนี้

กฤษพยักหน้ารับอย่างหิวโหย ได้แต่นั่งมองคิมหันต์ฉีกส้มสีชมพูมากลีบหนึ่ง บีบน้ำลงบนสเต็ก แล้วส่งสเต็กจานแรกนั้นให้เด็กหนุ่มที่นั่งมองตาละห้อยก่อน

“กินเลย ไม่ต้องเกรงใจ” คิมหันต์กล่าว

“ขอบคุณครับ!” เด็กหนุ่มรีบตอบรับยกมือขึ้นพนมด้วยความดีใจ พอเป็นเรื่องของกินเจ้าเด็กนี่ก็สุภาพขึ้นมาเชียว

กฤษไม่รีรอ เอาส้อมจิ้มเนื้อขึ้นมาทั้งชิ้น แล้วค่อย ๆ กัดกินทีละคำ คิมหันต์นั่งมองอีกฝ่ายกินอย่างมีความสุข แม้ว่าจะมีทำหน้าเหยเกเพราะความเปรี้ยวบ้าง แต่โดยรวมก็น่าจะอร่อยทีเดียว

ว่าแล้วเขาก็ลงมือกินบ้าง เนื้อนี้เหนียวนุ่มคล้ายเนื้อหมูแต่มีมันแทรกค่อนข้างเยอะ ทำให้แม้สัมผัสเคี้ยวแรกจะเหนียว แต่เคี้ยวไปสักพักมันก็เริ่มนุ่มละลายเพราะมันที่แทรกอยู่ แม้ว่าเนื้อจะค่อนข้างแห้งเพราะเขาเลือกที่จะย่างนานเป็นพิเศษ ชายหนุ่มไม่รู้ว่านี่คือเนื้อของตัวอะไร และมีเชื้อโรคอะไรอยู่บ้างหรือไม่ เขาเลยย่างให้สุกที่สุดเพื่อไม่ให้ป่วยในภายหลัง

เนื้อในจานของทั้งสองคนหายไปอย่างรวดเร็ว น่าแปลกที่แม้ว่าชิ้นจะไม่ได้ใหญ่ แต่กินเสร็จพวกเขากลับอิ่มกว่าที่คิด ทั้งคู่นั่งเหม่อมองส้มสีชมพูอีกสามลูกครึ่งที่วางอยู่กลางโต๊ะโดยไม่มีใครไปแตะต้องมันอีก คิมหันต์คิดว่าจะเก็บพวกมันเอาไว้ก่อน หากมีมื้อไหนต้องทำสเต็กอีก คงใช้พวกมันมาปรุงอีกครั้ง

ทั้งคู่นั่งมองหน้ากันอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่กฤษจะเป็นฝ่ายกล่าวขึ้นทำลายความเงียบ

“สรุปว่าพระราชาเรียกพี่ไปทำอะไรหรอ? มอบภารกิจให้งั้นหรอ?”

“ใช่…” คิมหันต์ตอบรับ แล้วจึงเริ่มเล่าสิ่งที่คุยกับพระราชามาให้กฤษฟัง รวมถึงสิ่งที่เขาเห็นระหว่างเดินทางไปกลับพระราชวังด้วย

             “สรุปว่าเป็นปราบจอมมารจริง ๆ ด้วยสินะ…” กฤษถอนหายใจ ไม่พ้นแนวเรื่องดั้งเดิมของการ์ตูนต่างโลกสินะ แต่ในเมื่อเรียกคิมว่าผู้กล้าขนาดนี้แล้ว ก็คงหนีไม่พ้นต้องปราบจอมมารนั่นแหละนะ

             “กฤษรู้อยู่แล้วหรอ?” คิมหันต์สงสัย

             “มันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วน่ะ คำว่าผู้กล้า ก็หมายถึงผู้ที่มีความกล้าหาญ ปกติแล้วการ์ตูนแฟนตาซีก็มักจะมีจอมมาร คนที่กล้าหาญพอจะไปปราบจอมมารก็จะถูกเรียกว่าผู้กล้า แล้วในบรรดาการ์ตูนต่างโลก คนที่ถูกอัญเชิญมา มักจะถูกอัญเชิญมาให้เป็นผู้กล้าเพื่อไปปราบจอมมาร ถูกเรียกกันง่าย ๆ ว่าผู้กล้าจากต่างโลกไงล่ะ” กฤษเล่ายืดยาว ถ้าเป็นเรื่องแบบนี้ ให้เขาเล่าทั้งวันก็ยังไหว

             “สรุปคือ เราถูกอัญเชิญมาในโลกของการ์ตูนงั้นหรอเนี่ย” คิมหันต์กุมขมับ

             “จะว่าใช่ก็ไม่เต็มปากหรอก เพราะรอบตัวเรามันดูจริงเกินกว่าจะเป็นการ์ตูนยังไงก็ไม่รู้” เด็กหนุ่มกล่าวด้วยสีหน้าครุ่นคิด “แม้แต่หน้าต่างสเตตัสก็ไม่มี โหดร้ายชะมัด”

             “พรุ่งนี้เช้าพี่จะไปฝึกซ้อมต่อสู้ นายไปด้วยกันไหมกฤษ” ผู้กล้าหนุ่มกล่าวชวน

             “ไปสิ” เด็กหนุ่มตัวแถมตอบรับอย่างตื่นเต้น “ถ้าพวกนั้นยอมให้ผมไปด้วย ผมจะไปแน่นอน”

             คิมหันต์พยักหน้ายินดี พลางเอื้อมมือไปหยิบดาบที่ได้รับมาจากพระราชาซึ่งวางไว้ตรงขอบโต๊ะด้านซ้าย มาวางไว้ตรงหน้าตน กฤษเห็นเข้าจึงมีทีท่าสนใจ

             “นั่นดาบที่พี่ได้มาหรอ” กฤษถามขึ้น

             “ใช่แล้ว” ได้ยินดังนั้นกฤษก็ยกมือขึ้นแตะคางอย่างครุ่นคิด

             “แปลกแฮะ ดาบนี่ดูไม่ใช่ดาบวิเศษอะไรเลย เหมือนดาบธรรมดามากกว่า” กฤษวิเคราะห์

             ผู้กล้าหนุ่มได้ยินเข้าก็ลองยกดาบขึ้น แล้วดึงออกจากฝักดู ก่อนจะพลิกไปพลิกมาดูอย่างละเอียด “อืม ดูเหมือนจะเป็นดาบธรรมดาจริง ๆ นั่นแหละ แต่มันก็สวยอยู่นะ?”

             “เรื่องสวยไม่เถียงหรอก” กฤษมองดาบในมือคิมหันต์อย่างไม่วางตา “แต่น่าแปลกที่จะให้ไปปราบจอมมารทั้งที ทำไมให้มาแค่ดาบธรรมดา น่าจะให้ดาบวิเศษอะไรสักอย่างมากกว่า อย่างน้อยก็ไอ้ดาบคัดสรรนั่นก็ยังดี”

             “ดาบคัดสรร?” คิมหันต์ฉงน

             “ดาบเล่มที่ใช้ตรวจสอบว่าพี่กับผมใครเป็นผู้กล้าไง”

             “ดาบนั่นอาจเป็นของสำคัญของพระราชาเองก็ได้มั้ง หรือไม่ก็อาจให้พี่ใช้ดาบธรรมดาไปก่อน เพราะใช่ว่าพรุ่งนี้พี่จะต้องไปปราบจอมมารเลยสักหน่อย” คิมหันต์วิเคราะห์ เขายังเพิ่งมาโลกใบนี้ หากเขาคู่ควรพระราชาคงมอบดาบที่ดีกว่านี้ให้ล่ะมั้ง

             “มันก็เป็นไปได้อยู่หรอก” กฤษเห็นด้วย “ก็ตอนนี้พี่ยังเป็นแค่ผู้กล้าฝึกหัดอยู่นี่นะ”

             คิมหันต์ที่ถูกเรียกว่าผู้กล้าฝึกหัดหัวเราะ “นั่นสิ พี่ยังเพิ่งจะฝึกหัดเป็นผู้กล้า ให้ของมีค่ามาก็คงเหมือนกิ้งก่าได้พลอยละมั้ง”

             “ผมขอลองถือหน่อยได้ไหม” เด็กหนุ่มยื่นมือออกมา การได้ถือดาบเท่ ๆ สักเล่มเป็นเหมือนความฝันลูกผู้ชายเชียวนะ เห็นดังนั้นผู้กล้าฝึกหัดก็เก็บดาบเข้าฝัก แล้วส่งดาบให้เด็กหนุ่ม

             “หวา หนักชะมัด” เมื่อรับมา เขาก็สัมผัสได้ถึงน้ำหนักที่ทำเอาเกือบหลุดมือ

             “หนักหรอ?” คิมหันต์แปลกใจ “เป็นเพราะนายไม่ค่อยออกกำลังกายหรือเปล่า พี่ถือแล้วเบาโหวงเลยนะ”

             “ถึงผมไม่ได้ออกกำลังกาย แต่ก็ไม่น่าต่างจากพี่ได้ขนาดนี้นะ” กฤษถึงกับต้องเกร็งแขนทั้งสองข้าง เพื่อประคองดาบที่อยู่ในมือไว้ให้อยู่ อย่าว่าแต่ดึงดาบออกจากฝักเลย แค่ถือให้ได้มือเดียวยังยากด้วยซ้ำ “ผมว่า เพราะพี่เป็นผู้กล้าจริง ๆ นั่นแหละ เลยมีค่าสเตตัสความแข็งแกร่งมากกว่าผม”

             “มีเรื่องแบบนั้นด้วยหรอ”

             “เป็นเรื่องปกตินะ ผู้กล้าก็ต้องมีพลังมากกว่าคนทั่วไปอยู่แล้วสิ” กฤษตอบ พลางพึมพัมอยู่คนเดียวว่า “อิจฉาชะมัด”

             “ไม่ต้องอิจฉาหรอกน่า แค่ฝึกกล้ามเนื้อหน่อย เดี๋ยวก็ถือได้สบายแล้ว” คิมหันต์ที่ได้ยินเช่นนั้นก็กล่าวปลอบใจ เด็กหนุ่มยื่นดาบคืน เขาจึงรับเอาไว้ ถึงเขาจะเชื่อว่าเพราะตัวเขาออกกำลังกายบ่อย เลยถือดาบได้ไม่หนักก็เถอะ แต่เขาก็รู้สึกว่าดาบมันเบากว่าที่ควรจริง ๆ สิ่งที่กฤษพูดอาจเป็นไปได้ก็ได้

             “เฮ้อ… ผมมาทำอะไรที่นี่เนี่ย ผู้กล้าก็ไม่ได้เป็น ยังเป็นแค่ตัวแถมอีก รู้งี้นั่งวาดการ์ตูนอยู่บ้านเหมือนเดิมดีกว่า” เด็กหนุ่มตัดพ้อ

             “พี่ดีใจนะที่กฤษมาด้วย ถ้าไม่มีนาย พี่ก็ไม่รู้ว่าจะอยู่ได้ยังไงเหมือนกัน” ชายหนุ่มตอบอย่างเปิดใจ “ทุกอย่างที่นี่มันแปลกเกินไป ข้อมูลของกฤษเองก็ดูจะมีประโยชน์ด้วย พี่ว่าการที่นายมาที่นี่ด้วย ก็ไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรอกนะ”

             “ไม่ใช่เรื่องบังเอิญอยู่แล้วล่ะ ก็ผมกระโดดตามพี่มานี่นา” กฤษถอนหายใจ

             “ถึงยังไงก็เถอะ ขอบใจนะที่นายมาด้วยน่ะ กฤษ” คิมหันต์ยิ้ม สายตาที่อ่อนโยนของเขาทำให้เด็กหนุ่มอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะรีบเบนหน้าหนี

             “ผมไม่ได้ทำเพื่อพี่ซะหน่อย ผมแค่อยากเป็นผู้กล้าในต่างโลกต่างหาก”

             “ถ้าอ้างอิงตามนิยามที่นายบอกเอาไว้ ถ้านายเดินทางไปปราบจอมมารพร้อมพี่ นายก็คือผู้กล้าเหมือนกันไม่ใช่หรอ?”

             “ปกติผู้กล้าเขามีกันแค่คนเดียว คนที่ติดสอยห้อยตามน่ะ เป็นแค่คณะเดินทางของผู้กล้าต่างหาก” กฤษท้อใจ ทั้งตัวเอง และการที่ต้องอธิบายให้อีกฝ่ายฟังแบบไม่รู้จบ

             “แต่สำหรับพี่ กฤษคือผู้กล้าตัวจริงนะ” คิมหันต์กล่าวด้วยรอยยิ้ม เด็กหนุ่มหันหน้ากลับมาสบตากับเขาอีกครั้ง “นายไม่เหมือนกับพี่หรอกนะ พี่น่ะถูกบังคับมา แต่นาย เลือกที่จะมาที่นี่ด้วยตัวเอง นั่นแปลว่าต้องมีความกล้ามากพอที่จะทำแบบนี้นะ”

             หรือไม่ก็บ้าบิ่นแบบไม่คิดหน้าคิดหลัง… กฤษคิดเสริมคำต่อท้ายของคิมหันต์ แต่เขาเลือกที่จะเงียบ การที่อีกฝ่ายให้การยอมรับเขา แค่นี้ก็ทำให้รู้สึกอบอุ่นในหัวใจขึ้นมาได้แล้ว ตั้งแต่ที่เขาต้องเผชิญความจริงที่โหดร้ายว่าเป็นแค่ตัวแถม เขาก็คิดว่าคงต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวไปตลอดเสียแล้ว

             การเป็นตัวแถมที่เป็นเพื่อนกับผู้กล้า มันก็ไม่ได้เลวร้ายสักเท่าไหร่หรอก

             อย่างน้อยก็ดีกว่าต้องเผชิญกับต่างโลกด้วยตัวคนเดียวในสถานะต่ำต้อยแบบนี้ บอกตามตรง เขายังโชคดีกว่าผู้ถูกอัญเชิญในการ์ตูนหลาย ๆ เรื่องนัก

             “ฮ้าววว ง่วงชะมัด” กฤษแกล้งหาย แล้วเปลี่ยนเรื่อง “ไหน ๆ ก็ไม่ต้องวาดการ์ตูนแล้ว ขอนอนให้เต็มคราบหน่อยก็แล้วกัน เมื่อคืนก็นอนไม่พอซะด้วย”

             คิมหันต์เห็นด้วย จึงลุกขึ้นเดินนำเข้าห้องนอนไป

             ผู้กล้าหนุ่มผู้ใจดีดูเหมือนอยากจะให้กฤษนอนบนเตียงด้วยกันกับเขา แต่เด็กหนุ่มปฏิเสธอย่างแหยง ๆ แล้วขอผ้าห่มของคิมหันต์มาปูนอนบนพื้นแทน โชคดีที่ในห้องนอนไม่ได้หนาวอย่างที่คิด คิมหันต์เลยนอนแบบไม่ต้องห่มผ้าได้ ส่วนกฤษที่ได้ผ้าห่มหนานุ่มมาก็ปูลงบนพื้นข้างเตียง แล้วขยุมตรงปลายหัวนอนให้นูนขึ้นใช้แทนหมอน ปกติเขากินง่ายนอนง่ายอยู่แล้ว แค่นี้ไม่ใช่ปัญหาหรอก

             แล้วค่ำคืนแรกในต่างโลกก็จบลงไปด้วยดี…

 

_________________________

 

             เช้าวันรุ่งขึ้น คิมหันต์ตื่นตั้งแต่ดวงอาทิตย์ยังไม่ขึ้น ในบ้านนั้นค่อนข้างมืด เพราะไฟบนผนังนั้นค่อย ๆ หรี่ลงเรื่อย ๆ ตั้งแต่เมื่อคืน ตอนนี้ได้ดับสนิทหมดแล้ว เขาออกมาที่ห้องรับแขก แล้วเริ่มออกกำลังกายตามกิจวัตรอยู่พักใหญ่ แม้ว่าเมื่อคืนเขาจะนอนไม่ค่อยหลับเพราะรู้สึกแปลกที่ แต่การออกกำลังกายก็ทำให้เขาสดชื่นขึ้นได้บ้าง พอพระอาทิตย์เริ่มสาดแสงเข้าหน้าต่างมา ก็ได้ยินเสียงประตูห้องเปิดออก แล้วกฤษมานั่งหน้าง่วงอยู่ตรงโต๊ะกินข้าว มองคิมหันต์ที่กำลังซิทอัพตัวท่วมไปเหงื่อด้วยสายตาว่างเปล่า

             หลังซิทอัพครบครั้งที่หนึ่งร้อย ผู้กล้าหนุ่มก็ยันตัวขึ้นนั่งกับพื้น แล้วหันไปคุยกับกฤษ “มาออกกำลังกายด้วยกันไหม?”

             เด็กหนุ่มส่ายหน้า แล้วกล่าวด้วยเสียงงัวเงีย “ไม่ล่ะ… หิวน้ำชะมัด”

             “นั่นสินะ เมื่อคืนพี่ก็หิวน้ำ เลยไปกินน้ำจากฝักบัวในห้องน้ำแทนน่ะ” คิมหันต์เล่า

             “อึ๋ย พี่กินน้ำประปาหรอ” กฤษทำเสียงแขยง

             “คิดซะว่าอยู่ญี่ปุ่นแล้วกัน น้ำประปาที่นี่รสชาติก็ไม่แย่หรอกนะ” ได้ยินดังนั้น เด็กหนุ่มก็ได้แต่ยอมรับ พลางเดินหน้าหงิกเข้าห้องครัวไปเอาชามมาใบหนึ่ง แล้วเดินหายเข้าไปในห้องน้ำพักใหญ่

             คิมหันต์ลุกขึ้นยืน แล้วเริ่มยืดเส้นหลังออกกำลังกาย ยังไม่ทันเสร็จ ก็ได้ยินเสียงเคาะประตูบ้าน เขาจึงต้องหยุด แล้วเดินออกไปเปิดประตู

             แน่นอนว่าเป็นอัสเวลที่อยู่ตรงนั้น ที่ด้านหลังเขามีผู้หญิงสีหน้าเรียบเฉยในชุดแม่บ้านสองคนยืนอยู่ คิมหันต์พยักหน้าแล้วเปิดทางให้ทั้งสามเดินเข้าบ้านไป

             แม่บ้านคนแรกถือตระกร้าอาหารนำไปวางไว้บนโต๊ะ ส่วนอีกคนหนึ่งถือตระกร้าทรงกลมใหญ่ และสูงเกือบเท่าเข่าวางไว้ข้างโต๊ะ

             หลังจากเสร็จธุระ แม่บ้านทั้งสองก็โค้งให้คิมหันต์ แล้วหยิบเอาตระกร้าอาหารของเมื่อคืนเดินออกจากบ้านไป เมื่อเสียงประตูบ้านปิดลง อัสเวลก็เอ่ยขึ้น

             “กระผมนำอาหารเช้า และเสื้อผ้าจำนวนหนึ่งมาให้ท่านผู้กล้า หากท่านใส่แล้วไม่พอดีโปรดแจ้งกระผม เดี๋ยวจะให้แม่บ้านนำมาเปลี่ยนให้ขอรับ”

             “ขอบใจนะอัสเวล” คิมหันต์ยิ้มให้ พลางเปิดดูอาหารในตะกร้า คราวนี้ดีขึ้นตรงที่ไม่มีเนื้อดิบมา แต่เป็นขนมปังก้อนใหญ่ กับไข่ขนาดเท่ากำปั้นฟองหนึ่ง พร้อมทั้งเหยือกใส่น้ำที่ปิดฝามาอย่างดีถึงสองเหยือก “กำลังจะถามอยู่เลยว่ามีน้ำดื่มไหม แต่นายเอามาให้พอดี”

             “ขออภัยท่านผู้กล้าด้วยขอรับ เมื่อคืนข้าลืมนำน้ำดื่มมาให้ท่าน” อัสเวลโค้งอย่างสุภาพ แต่เสียงเขายังราบเรียบอยู่ดี “ท่านมีสิ่งใดต้องการเพิ่มหรือไม่ขอรับ”

             “อืม… ชั้นอยากได้ผ้าห่ม กับหมอนเพิ่มอีกชุดนึงน่ะ” กล่าวจบ กฤษก็เดินออกจากห้องน้ำพอดี อัสเวลที่ได้ยินคำขอของคิมหันต์ก็หันไปมองกฤษด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ก่อนจะกล่าวตอบว่า

             “ปกติพวกเราจะไม่จัดเตรียมของให้กับสามัญชนไร้ประโยชน์ แต่เพราะท่านผู้กล้านั้นใจดี คงจะแบ่งปันของส่วนตัวของท่านกับมัน เช่นนั้น กระผมจะจัดหาให้ท่านเพิ่มอีกชุดตามที่ท่านขอก็แล้วกัน” อัสเวลกล่าว กฤษได้ยินเข้าก็ได้แต่มองบน

             เหยียดเก่ง เด็กหนุ่มประชดในใจ

             “ขอบใจอีกครั้งนะอัสเวล” คิมหันต์ยิ้มอย่างดีใจ พลางตรวจสอบเสื้อผ้าในตะกร้า

             อัสเวลเองก็เดินไปที่เตาผิง ยื่นมือเข้าไปด้านใน เขาถ่ายพลังเวทลงไปเล็กน้อย ไฟที่ลุกอยู่บนฟืนนิรันดร์ก็ค่อย ๆ ดับลง แล้วพูดขึ้น “ท่านผู้กล้าโปรดกินข้าวเช้าให้เรียบร้อย อีกครู่หนึ่งข้าจะมารับท่านไปลานฝึก”

             “อืม เดี๋ยวชั้นจะรีบกินนะ”

             “ถ้าเช่นนั้นกระผมขอตัวก่อน” อัสเวลโค้งให้ทีหนึ่ง  แล้วเดินออกจากบ้านไป

             คิมหันต์หยิบเสื้อผ้ามาชุดหนึ่งแล้วยื่นให้กฤษ “นายรีบอาบน้ำก่อนเถอะ เดี๋ยวค่อยมากินข้าวเช้ากัน”

             เด็กหนุ่มรับเสื้อผ้าไว้ แล้วเดินกลับเข้าห้องน้ำไปอีกครั้ง

 

____________________________

 

             เคร้ง! เคร้ง!! เคร้ง เคร้ง เคร้ง!!!

             เสียงดาบปะทะกันดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง กฤษนั่งมองคิมหันต์ฟาดฟันดาบอย่างสะเปะสะปะใส่อัสเวลอย่างเบื่อหน่ายอยู่ตรงริมลานฝึก ถึงจะบอกว่าไม่มีความสามารถด้านการต่อสู้เลยก็เถอะ แต่การแกว่งดาบไปทั่วแบบนี้มันไม่ต่างจากเด็กเล่นฟันดาบเลยไม่ใช่หรอ

             อัสเวลเองก็คงจะคิดเช่นกัน แต่กลับเลือกที่จะปัดดาบของคิมหันต์แทนที่จะหลบ คงคิดว่าวิถีดาบมั่วซั่วแบบนั้นหลบไปก็เหนื่อยเปล่าละมั้ง

             น่าเสียดายที่กฤษถูกกีดกันไม่ให้เข้าไปร่วมวงด้วย เขาจึงทำได้อย่างมากแค่นั่งดูอยู่ขอบสนาม ทั้งที่ร่างกายอยากจับดาบจนเนื้อเต้นไปหมดแท้ ๆ  แต่พอถูกห้ามเข้าก็ได้แต่ทำใจ แล้วมานั่งเบื่ออยู่ตรงนี้

             เคร้ง!! เสียงปะทะดาบอย่างรุนแรงดังขึ้น คิมหันต์เซถอยหลังไปตามแรงปัดของอัศวินหนุ่ม แต่ก่อนที่เขาจะก้าวกลับไปฟันอีกครั้ง อัสเวลก็ยกมือขึ้นเบรกเขาเสียก่อน

             “พอก่อนขอรับ เห็นทีกระผมคงต้องสอนท่านใช้ดาบตั้งแต่พื้นฐาน” อัสเวลกล่าวเสียงเรียบ ทว่าเจือไปด้วยความอ่อนใจ

             “ขอโทษนะ ชั้นไม่เคยฝึกใช้ดาบน่ะ” คิมหันต์ได้แต่เกาหัวแล้วยิ้มแหย ๆ

             “กระผมเห็นอยู่ขอรับ” อัสเวลเก็บดาบเข้าไปในฝัก “กระผมขอเวลาเตรียมตัว พรุ่งนี้เราค่อยมาเริ่มตั้งแต่พื้นฐานก็แล้วกันขอรับ วันนี้ข้าจะสอนการใช้เวทมนตร์พื้นฐานให้กับท่านก่อน”

             เพราะหากใช้เวทมนตร์ไม่ได้ ก็จะใช้สิ่งของหลาย ๆ อย่างในบ้านไม่ได้

             ดังนั้นคิมหันต์ต้องเรียนรู้เอาไว้

             อัสเวลล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าของตน แล้วหยิบเอาหินสีม่วงขนาดครึ่งฝ่ามือขึ้นมาให้คิมหันต์ดู “นี่คือหินเวทมนตร์ชั้นดี มันไวต่อเวทมนตร์มากขอรับ การถ่ายพลังเวทเพียงเล็กน้อย ก็ทำให้มันเรืองแสงได้ ยิ่งถ่ายพลังเวทมาก มันก็ยิ่งสว่าง”

             คิมหันต์มองมัน พลางตั้งใจฟัง “ข้าจะทำให้ท่านดูเป็นตัวอย่าง”

             ว่าแล้วมือของอัศวินหนุ่มก็เรืองแสงอ่อน ๆ หินเวทมนตร์สีม่วงในมือก็ค่อย ๆ เรืองแสงออกมา ตัวหินเปลี่ยนจากสีม่วงเข้มกลายเป็นสีม่วงอ่อน อัสเวลเริ่มถ่ายพลังเวทมากขึ้น แสงที่มือของเขาเริ่มเข้มข้นขึ้น ที่ตัวหินก็เปล่งประกายแสงเจิดจ้าขึ้น จากสีม่วงเริ่มกลายเป็นสีชมพู เห็นดังนั้นผู้กล้าหนุ่มก็ตาลุกวาว

             ไม่ใช่แค่คิมหันต์ แต่ตัวแถมอย่างกฤษเองก็ตาลุกวาวเช่นกัน การใช้เวทมนตร์ได้ถือเป็นความสามารถในฝันของเขาเลยทีเดียว

             หลังจากอัศวินหนุ่มหยุดถ่ายพลังเวท แสงบนหินก็ค่อย ๆ หรี่ลงจนกลับสู่สภาพเดิม เขายื่นมันให้กับคิมหันต์ ชายหนุ่มรับไปถือไว้ พลางมองมันด้วยความสนใจ

             “ขอให้ท่านผู้กล้าหลับตาลง แล้วเพ่งสมาธิไปที่มือข้างที่ถือหินอยู่” อัสเวลเริ่มอธิบาย คิมหันต์จึงทำตาม “จงคิดภาพในหัวว่าได้รวบรวมพลังในตัวของท่านทั้งหมดไปไว้ที่มือนั้น และส่งต่อมันให้กับหินก้อนนั้น”

             ผู้กล้าหนุ่มพยายามทำตาม ทว่าหินกลับนิ่งสนิท

             “ไม่ได้แฮะ” คิมหันต์จ๋อยลงทันตา

             “ท่านผู้กล้าโปรดสงบใจ แล้วนึกภาพมือของผมที่เรืองแสงไปด้วยพลังเวทด้วยขอรับ” คิมหันต์พยักหน้า แล้วหลับตาลงอีกครั้ง เขาพยายามนึกภาพที่อัสเวลแสดงให้ดูหลายครั้งแล้ว มือที่เรืองแสงนั้นยังฝังอยู่ในใจของเขา “หากนึกได้แล้ว โปรดคิดว่ามือของท่านก็เรืองแสงเหมือนมือของผมด้วยขอรับ”

             คิมหันต์ขมวดคิ้ว หากเป็นภาพมือของอัสเวลเขายังพอนึกออก แต่พอเป็นมือตัวเองเขากลับคิดไม่ออกเลยสักนิด มือของเขาจะไปเรืองแสงแบบนั้นได้ยังไงกัน แต่ถ้าอัสเวลบอกให้ลองนึก เขาจะลองดูสักตั้ง ชายหนุ่มพยายามเค้นจินตนาการของตัวเองลงไปที่มือข้างนั้น เป็นเช่นนั้นอยู่นานสองนานทีเดียว

             กฤษนั่งมองอย่างระอาใจ นอกจากฝีมือดาบจะไม่มีแล้ว อย่าบอกนะว่าแม้แต่เวทมนตร์ก็ไม่ได้เรื่องด้วย แม้ว่าเขาจะไม่ได้ไปฝึกอยู่ตรงนั้นกับคิมหันต์ แต่เขาก็ได้ยินที่อัสเวลสอนอยู่ตลอด ที่หมอนั่นบอกให้นึกภาพ มันก็แค่การจินตนาการว่ามือตัวเองเรืองแสงได้แค่นั้นไม่ใช่หรอ แล้วนี่มันยากอะไรขนาดนั้นกัน ถึงกับขมวดคิ้วนิ่วหน้าเค้นความคิดกับเรื่องง่าย ๆ แบบนี้เนี่ยนะ

             ห่วยชะมัด กฤษบ่น พลางยกมือของตนขึ้นดู แล้วจินตนาการว่ามือของตนเรืองแสงเหมือนกับของอัสเวล

             ทันใดนั้นมือของเขาก็เรืองแสงขึ้นมา

             กฤษตกตะลึง ทำเอาเสียสมาธิ แสงบนมือจึงหายไป แม้ว่ามันจะดูไม่ยาก แต่เขาก็ไม่คิดว่าตนจะทำได้ง่ายขนาดนี้

             เขาหันขวับกลับไปที่อัสเวล ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกได้ถึงสายตาที่มองมาจากทางหางตาของอีกฝ่าย ก่อนจะหลุบสายตากลับไปมองที่คิมหันต์แทนด้วยสีหน้านิ่งเฉย

             กฤษรู้สึกขนลุกซู่ ไม่รู้ทำไมเขารู้สึกว่าสายตาของอัสเวลไม่น่าไว้ใจขึ้นมา เหมือนกับว่าเขาถูกลอบสังเกตอยู่ตลอดเวลา

             ทั้งที่เขานั่งอยู่ริมลานฝึกไกลขนาดนี้ และทดลองใช้พลังเวทเพียงเสี้ยววินาที แต่กลับถูกมองเห็นได้ในทันที หากไม่ใช่การถูกจับตาดู คงเป็นไปไม่ได้ที่อีกฝ่ายจะหันมาสนใจเขา

             อยู่ ๆ ความกังวลก็เริ่มก่อตัวขึ้นอีกครั้ง

             ดูท่าเขาจะทำอะไรกระโตกกระตากไม่ได้เสียแล้ว…

 

__________________________

 

この本を無料で読み続ける
コードをスキャンしてアプリをダウンロード

最新チャプター

  • ตัวแถมของผู้กล้าอย่างผม จะอยู่รอดยังไงในต่างโลกเนี่ย!?   ตอนที่ 3 : ผู้กล้าฝึกหัด

    ตอนที่ 3 : ผู้กล้าฝึกหัด อัสเวลมาส่งคิมหันต์ถึงหน้าบ้าน กว่าจะออกจากพระราชวัง แล้วเดินกลับมาถึงที่นี่ เวลาก็ล่วงเลยมาถึงยามเย็นแล้ว ตะวันคล้อยลงที่ตรงขอบฟ้า แสงสีส้มฉาบฉายไปทั่วบริเวณ ทั้งสองเดินมาหยุดลงตรงหน้าประตูบ้าน ผู้กล้าหนุ่มหันไปขอบคุณที่อีกฝ่ายเดินมาส่ง อัสเวลโค้งรับ ก่อนจะพูดขึ้น “ใกล้ได้เวลาอาหารเย็นแล้ว ขอท่านผู้กล้ารอเสียหน่อย กระผมจะนำอาหารมาให้ขอรับ” “รบกวนด้วยนะอัสเวล” คิมหันต์กล่าวอย่างเกรงใจ ถึงอัศวินหนุ่มจะถูกส่งมาเพื่อดูแลเขา แต่เขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะทำให้เขาทุกอย่างเลย แม้กระทั่งเรื่องเสิร์ฟอาหารก็ด้วย ปกติจะให้แม่บ้าน หรือคนรับใช้นำมาให้ แต่นี่คนที่มียศเป็นถึงอัศวิน กลับต้องยกอาหารมาให้เอง ผู้กล้าหนุ่มไม่รู้เลยว่าควรรู้สึกยังไงดี “ไม่เป็นไรขอรับ ท่านผู้กล้าโปรดพักผ่อน พรุ่งนี้เช้ากระผมจะมารับไปลานฝึก ขอท่านผู้กล้าเตรียมตัวด้วย” อัสเวลกล่าวเสียงราบเรียบ เมื่อคิมหันต์พยักหน้ารับทราบ อัศวินหนุ่มก็เดินจากไป คิมหันต์มองส่งอัสเวลจนลับสายตาไป แล้วจึงหันกลับไปเปิดประตูบ้าน เมื่อเข้ามาก็พบว่าในบ้านนั้นมืดทึบ

  • ตัวแถมของผู้กล้าอย่างผม จะอยู่รอดยังไงในต่างโลกเนี่ย!?   ตอนที่ 2 : ผู้กล้า และภารกิจ

    ไกลเหมือนตอนออกมา ต่างกันตรงที่รอบนี้เดินกลับไปที่นั่นอีกครั้ง แต่ดูเหมือนอัศวินหนุ่มที่ชื่ออัสเวลจะพาคิมหันต์ไปคนละทางกับครั้งก่อน มันเป็นประตูทางออกหมู่บ้านอีกด้านหนึ่ง เมื่อออกมาก็พบว่ามันเป็นเส้นทางเลียบริมผาขึ้นไปตามเนินเขา ที่สุดทางเดินนั้นคือกำแพงพระราชวังสีเทาตั้งตระหง่านอยู่ และเบื้องหลังมีพระราชวังสูงใหญ่โผล่พ้นกำแพงขึ้นมา เส้นทางเลียบริมผานี้เป็นถนนที่ถูกทำไว้เป็นอย่างดี ไม่ใช่พื้นดินลูกรัง แต่ถูกปูด้วยหินเทาสี่เหลี่ยมแบบเดียวกับกำแพงพระราชวัง คิมหันต์ชะเง้อมองลงไปเบื้องล่างของหน้าผา พบว่าเป็นป่ากว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ที่กลางป่าเหล่านั้นบางทีก็มีสิ่งปลูกสร้างบางอย่างสูงโผล่พ้นผืนป่าขึ้นมา ดูคล้ายหอคอย ไม่ก็ป้อมปราการ เมื่อเดินขึ้นมาจนถึงด้านบน รอบด้านก็เริ่มเปลี่ยนจากทางเดินเลียบผา กลายเป็นเนินเขากว้าง ๆ แทน บนพื้นที่ขนาบทางเดินทั้งสองด้านนั้นเป็นสนามหญ้าที่ได้รับการตัดแต่งอย่างเป็นระเบียบ และมีพุ่มต้นไม้สวยงาม น่าประหลาดใจที่แม้แต่ด้านนอกกำแพงก็ได้รับการตกแต่งดูแลเป็นอย่างดี หลังจากเดินขึ้นเนินมาได้หนึ่งหอบ ในที่สุดคิมหันต์ก็พบว่าตนกำ

  • ตัวแถมของผู้กล้าอย่างผม จะอยู่รอดยังไงในต่างโลกเนี่ย!?   ตอนที่ 1 : ผู้กล้า และตัวแถมของเขา

    “จงนำมันไปขังคุกเสีย!”“ขอรับ!!” เหล่าทหารตอบรับคำของพระราชา ฉุดกระชากฤษผู้ซึ่งนั่งคุกเข่าอยู่ให้ลุกขึ้นมาอย่างรุนแรงราวกับฟ้าถล่ม สมองของกฤษว่างเปล่า เขาไม่เคยคิดว่าการมาต่างโลก จะทำให้เขาตกต่ำถึงเพียงนี้ นี่เขายังไม่ทันรู้อะไรเกี่ยวกับที่นี่เลย แม้แต่พลังของตัวเองก็ยังไม่รู้ แต่กลับต้องถูกขังคุกตั้งแต่ไก่โห่เช่นนี้ ช่างน่าอัปยศยิ่งกว่าการ์ตูนต่างโลกเรื่องไหน ๆ เลยไม่ใช่หรอแต่ก่อนที่เขาจะถูกลากออกไปนั้น เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น “เดี๋ยวก่อนครับ!” คิมหันต์ผู้กลายเป็นผู้กล้าหมาด ๆ กล่าวขึ้น “สรุปว่าผมคือผู้กล้าของพวกท่านสินะขอรับ”เมื่อพระราชาเห็นผู้กล้าหันมาถาม เขาจึงพยักหน้า “ใช่แล้ว”“ถ้าเช่นนั้น รบกวนปล่อยเด็กคนนั้นเถอะขอรับ เขามากับผมขอรับ” ผู้กล้าหนุ่มหันไปมองที่กฤษ “ผมจะเป็นผู้ดูแลเขาเอง ที่เขาถูกอัญเชิญมาเพราะเป็นผู้ช่วยของผมขอรับ”มาแนวใสซื่อใจดีหรอกหรอ!! กฤษคิด พลางหันไปทางพระราชาว่าจะเอาอย่างไรกับตนราชาซาริออนนิ่งไปครู่หนึ่งอย่างครุ่นคิด คิ้วของเขาขมวดอย่างรู้สึกขัดใจ สิ่งที่ผู้กล้าพูดทำให้เขาจำเป็นต้องชั่งน้ำหนักผลดีผลเสีย ก่อนจะหันไปหาคิมหันต์แล้วถามขึ้น “ท่านแน

  • ตัวแถมของผู้กล้าอย่างผม จะอยู่รอดยังไงในต่างโลกเนี่ย!?   บทนำ : เมื่อลูกค้าร้านกาแฟถูกอัญเชิญไปต่างโลก

    บทนำ : เมื่อลูกค้าร้านกาแฟถูกอัญเชิญไปต่างโลกฝึด ๆ ๆ ฟืดดดดด… ฝึด ๆ ๆเสียงดินสอจรดลากเขียนไปบนกระดาษดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง รูปภาพการ์ตูนถูกสเก็ตลงบนกระดาษอย่างรวดเร็ว บ่งบอกถึงความชำนาญในทักษะการวาดของเด็กหนุ่มผู้ซึ่งถือดินสอร่างภาพการ์ตูนอยู่บนโต๊ะตัวในสุดของร้านกาแฟแห่งหนึ่ง บนโต๊ะนั้นเต็มไปด้วยอุปกรณ์วาดภาพ สมุดสเก็ต และแท็ปเลตวางอยู่ ภายในร้านกาแฟนั้นตกแต่งสไตล์มินิมอลสีขาวสะอาดตา ตัดกับโต๊ะไม้สีน้ำตาลเข้มจำนวนสี่โต๊ะตามแนวผนัง ฝั่งตรงข้ามเป็นหน้าต่างบานใหญ่รับแสง ด้านนอกเป็นสวนเล็ก ๆ โรยด้วยหินกรวดแม่น้ำกลมมนสีขาว มีแผ่นหินกลมสีอิฐปูเอาไว้เป็นก้าว ตรงเข้ามาที่ประตู หากมีลูกค้าเดินเข้ามาจะผ่านสวนนั้นก่อน และเมื่อเปิดประตูเข้ามา ก็จะพบเคาท์เตอร์กาแฟรอต้อนรับอยู่ แต่ว่าเวลานี้กลับไม่มีลูกค้า มีเพียงเด็กหนุ่มนั่งวาดรูปอยู่คนเดียวที่มุมในของร้านเด็กหนุ่มสะบัดปลายดินสอลงกระดาษได้อีกสองทีก็หยุดกึก ก่อนที่เขาจะเงยหน้าขึ้นหาวหวอดใหญ่ แล้วหันไปทางเคาท์เตอร์กาแฟ “เจ้ ขอกาแฟแก้วนึงดิ”สาวสวยเจ้าของร้านผู้ถูกเรียกว่า ‘เจ้’ ยืนท้าวเอว แล้วหันมาบ่นใส่น้องชายตัวเองด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย “

続きを読む
無料で面白い小説を探して読んでみましょう
GoodNovel アプリで人気小説に無料で!お好きな本をダウンロードして、いつでもどこでも読みましょう!
アプリで無料で本を読む
コードをスキャンしてアプリで読む
DMCA.com Protection Status