ไกลเหมือนตอนออกมา ต่างกันตรงที่รอบนี้เดินกลับไปที่นั่นอีกครั้ง แต่ดูเหมือนอัศวินหนุ่มที่ชื่ออัสเวลจะพาคิมหันต์ไปคนละทางกับครั้งก่อน มันเป็นประตูทางออกหมู่บ้านอีกด้านหนึ่ง เมื่อออกมาก็พบว่ามันเป็นเส้นทางเลียบริมผาขึ้นไปตามเนินเขา ที่สุดทางเดินนั้นคือกำแพงพระราชวังสีเทาตั้งตระหง่านอยู่ และเบื้องหลังมีพระราชวังสูงใหญ่โผล่พ้นกำแพงขึ้นมา
เส้นทางเลียบริมผานี้เป็นถนนที่ถูกทำไว้เป็นอย่างดี ไม่ใช่พื้นดินลูกรัง แต่ถูกปูด้วยหินเทาสี่เหลี่ยมแบบเดียวกับกำแพงพระราชวัง คิมหันต์ชะเง้อมองลงไปเบื้องล่างของหน้าผา พบว่าเป็นป่ากว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ที่กลางป่าเหล่านั้นบางทีก็มีสิ่งปลูกสร้างบางอย่างสูงโผล่พ้นผืนป่าขึ้นมา ดูคล้ายหอคอย ไม่ก็ป้อมปราการ
เมื่อเดินขึ้นมาจนถึงด้านบน รอบด้านก็เริ่มเปลี่ยนจากทางเดินเลียบผา กลายเป็นเนินเขากว้าง ๆ แทน บนพื้นที่ขนาบทางเดินทั้งสองด้านนั้นเป็นสนามหญ้าที่ได้รับการตัดแต่งอย่างเป็นระเบียบ และมีพุ่มต้นไม้สวยงาม น่าประหลาดใจที่แม้แต่ด้านนอกกำแพงก็ได้รับการตกแต่งดูแลเป็นอย่างดี
หลังจากเดินขึ้นเนินมาได้หนึ่งหอบ ในที่สุดคิมหันต์ก็พบว่าตนกำลังเดินขนาบตามแนวกำแพง หากมองไปด้านหน้าก็จะเห็นว่ามีถนนอีกสายจากด้านซ้ายมุ่งจากเนินเขาด้านล่างขึ้นมาบรรจบกับเส้นทางเดินที่เขาเดินอยู่ตรงด้านหน้าประตูของกำแพงพระราชวังพอดี หากเทียบกับเส้นทางที่เขาเดินอยู่ ถนนเส้นนั้นใหญ่กว่ามาก เรียกได้ว่าเป็นถนนหลักมุ่งสู่พระราชวังก็คงไม่ผิด
อัสเวลที่นำอยู่หยุดลง ตรงนั้นคือประตูทางเข้าพระราชวังที่ดูสูงใหญ่กว่าครั้งก่อน คิมหันต์มองไล่ลงไปตามถนนใหญ่ที่คดเคี้ยวตามแนวเนินเขา สุดปลายทางด้านล่างนั้นเป็นเมืองที่กว้างใหญ่กว่าเมืองที่เขาเดินผ่านเมื่อครั้งก่อนเสียอีก รอบตัวเมืองนั้นมีกำแพงเมืองล้อมรอบคั่นระหว่างตัวเมืองด้านในกับผืนป่าด้านนอก ผังเมืองเมื่อมองดูจากมุมสูงนี้ทำให้เห็นว่ามันดูเป็นระเบียบจนน่าประหลาดใจ
“ท่านผู้กล้าขอรับ” อัสเวลเรียก แล้วผายมือให้ชายหนุ่มมายืนที่ด้านข้างของเขา ทหารสองคนเดินเข้ามาตรวจสอบ เมื่อพบว่าเป็นอัศวิน และผู้กล้า จึงส่งสัญญาณให้กับทหารที่อยู่ด้านบนกำแพง ไม่นานก็ได้ยินเสียงกลไกดังลั่นสะเทือนไปทั่ว ประตูซี่กรงยักษ์ค่อย ๆ เลื่อนขึ้นอย่างน่าเกรงขาม คิมหันต์มองอย่างตื่นตาตื่นใจ แม้ว่าครั้งก่อนที่เดินออกมาประตูนั้นจะใหญ่แล้ว แต่นี่ใหญ่กว่าเกือบเท่าตัวทีเดียว
“อัสเวล ถ้าจำไม่ผิด ที่นี่คือประเทศไซออนใช่ไหม?” คิมหันต์เอ่ยถามขึ้น
“ใช่ขอรับท่านผู้กล้า ที่นี่คือราชอาณาจักรไซออน” อัสเวลตอบสั้น ๆ
“งั้นหรอ?... ตอนออกจากพระราชวังครั้งที่แล้ว คุณอารอนพาพวกผมเข้าหมู่บ้านขุนนางจากอีกด้าน ที่นั่นก็มีเมืองอยู่เมืองนึง แต่พอผมมองลงไปด้านล่างของเนินเขานี้ เห็นว่ามีเมืองอีกเมือง แสดงว่ารอบ ๆ ภูเขาลูกนี้มีอยู่หลายเมืองหรอ?” ผู้กล้าหนุ่มถาม เขาคิดว่าภูเขาแห่งนี้น่าจะเป็นศูนย์กลาง และรอบ ๆ ด้านล่างอาจจะมีเมืองอยู่อีกก็เป็นได้
“ใช่ขอรับ ด้านล่างนี้คือเมืองไซออนเหนือ เป็นเมืองหลวงของพวกเรา” ว่าแล้วอัศวินหนุ่มก็ผายมือลงไปที่เมืองด้านล่างประกอบคำอธิบาย “อย่างที่ท่านว่า รอบ ๆ ภูเขาลูกนี้ มีเมืองอยู่อีกทั้งหมดสี่แห่ง แต่ละแห่งตั้งอยู่ตามทิศต่าง ๆ ของภูเขาลูกนี้ เมืองที่ท่านเห็นครั้งก่อนคือเมืองไซออนตะวันตก เมืองนั้นจะตั้งอยู่บนที่ราบสูงไซออน จึงลงไปไม่ไกลมากจากพระราชวังแห่งนี้ เลยเหมาะแก่การตั้งหมู่บ้านของขุนนางขอรับ”
คิมหันต์พยักหน้ากับข้อมูลใหม่ หากเป็นไปได้เขาก็อยากลองไปเยือนให้ครบทุกเมือง เขาอยากรู้ว่าที่โลกแห่งนี้ใช้ชีวิตกันอย่างไร ถึงเขาจะยังไม่รู้ว่าการเป็นผู้กล้านั้นต้องทำหน้าที่อะไร แต่การศึกษาเกี่ยวกับโลกใบนี้น่าจะทำให้เขาปรับตัวง่ายขึ้น
เมื่อคิดจบ ประตูทั้งสามชั้นก็เปิดเสร็จพอดี อัสเวลจึงเดินนำเขาเข้าไปด้านใน
ทันทีที่ก้าวเข้าไปด้านใน เขาก็ได้แต่ตกตะลึง เบื้องหน้าเขาคือทางเดินทอดยาวไปสู่พระราชวังอันใหญ่โตที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า สองข้างทางคือสวนที่ตกแต่งอย่างสวยงามกว้างสุดลูกหูลูกตา ตลอดสองข้างทางเดินนั้น มีทหารยืนเฝ้าอยู่เป็นระยะ แต่สิ่งที่ทำให้คิมหันต์ตกตะลึงจริง ๆ คือ ‘ตัวพระราชวัง’ ที่อยู่ตรงหน้าเขาต่างหาก
นอกจากความใหญ่โตโอ่อ่าแล้ว ทางเข้านั้นก็ถูกสร้างขึ้นอย่างวิจิตรตระการตา มันเป็นประตูพระราชวังที่สร้างยื่นออกมาจากตัวอาคารหลัก สองด้านของประตูที่ยื่นออกมานั้นมีบันไดที่ก่อขึ้นกระหนาบข้าง ไปสู่ระเบียงที่สร้างขึ้นเหมือนเป็นกำแพงทอดยาวออกไปทั้งซ้ายและขวา แต่มันไม่ได้มีเพียงชั้นเดียว บนกำแพงแต่ละชั้น ก็จะมีบันไดทอดสูงขึ้นสู่ระเบียงอีกหลายชั้นซ้อนกัน ราวกับว่าพระราชวังนี้ ก็เป็นกำแพงเมือง และป้อมปราการสูงหลายชั้นขึ้นไปเป็นทอด ๆ โดยแต่ละชั้นก็มีทหารยืนเฝ้าอยู่ตลอดทุกระยะ
ยิ่งเดินเข้าใกล้ เงาของพระราชวังแห่งนี้ก็ทาบทับลงมา ราวกับว่ามันสูงเสียจนบดบังดวงอาทิตย์มิให้ส่องแสงมาถึง
คิมหันต์เริ่มประหม่า มองไปรอบ ๆ อย่างไม่อาจควบคุมตัวเองได้
เมื่อเดินเข้าประตูไปก็พบว่ามันคล้ายกับเป็นอุโมงค์สั้น ๆ ที่สว่างไสวไปด้วยแสงคบเพลิงตลอดสองข้างทาง และเมื่อพ้นอุโมงค์ออกมา มันก็กลายเป็นโถงอันกว้างใหญ่ คิมหันต์ใจเต้นกับสิ่งที่เห็นตรงหน้านี้ มันคือโถงต้อนรับของพระราชวัง รอบข้างสว่างไสวไปด้วยแสงระยิบระยับจากโคมระย้าด้านบน เขาไม่มีทางรู้เลยว่าอะไรที่ให้แสงสว่างอยู่บนโคมระย้านั้น แต่มันทำให้ห้องโถงแห่งนี้ราวกับอยู่ท่ามกลางเวทมนตร์
บนพื้นรอบด้านถูกปูด้วยพรมแดงขริบด้วยลดลายสีทองสะท้อนแสง และเบื้องหน้าเขาเป็นบันไดที่กว้างใหญ่ และสูงขึ้นไปถึงสามชั้น บันไดแต่ละชั้นมีชานพัก สามารถเดินตรงขึ้นไปต่อ หรือจะเลี้ยวซ้ายขวาไปเป็นบันไดย่อยที่จะนำพาไปชานระเบียงรอบ ๆ ของแต่ละชั้น ที่ด้านบนสุดของบันไดชั้นที่สาม ตรงกลางนั้นเป็นเหมือนระเบียงยื่นออกมาอยู่กลางบันได ราวกับถูกสร้างขึ้นให้พระราชามายืนบนนั้น และมองลงมาเพื่อพูดคุยต้อนรับเหล่าแขกที่มาเยือนที่จะยืนอยู่ตรงโถงต้อนรับแห่งนี้
แต่อัสเวลไม่ได้หยุดลงที่ตรงนี้ เขากลับเดินนำขึ้นบันไดไป คิมหันต์รีบเดินตาม เมื่อถึงด้านบนที่ชั้นสาม เขาก็พบว่าตรงหน้ามีประตูไม้สีขาวบานใหญ่รอต้อนรับเขาอยู่ มันถูกตกแต่งด้วยลวดลายไม้เถาสีทองไล่เลียบไปตามกรอบประตู ชายหนุ่มรู้ทันทีว่าเบื้องหลังบานประตูนั้นมีใครรอเขาอยู่
ที่หน้าประตูมีทหารคู่หนึ่งยืนเฝ้าอยู่ซ้ายขวา บนชุดเกราะนั้นก็หรูหราไม่ต่างจากประตูที่พวกเขาเฝ้า ทั้งสองถือหอกยื่นออกด้านข้างตัวไขว้ขัดกันเป็นกากบาท ราวกับปิดกั้นมิให้ผู้ใดผ่านพ้นประตูนี้เข้าไปได้
“จงเอ่ยนามผู้เข้าเฝ้า” ทหารยามคนหนึ่งเอ่ยขึ้น
“ข้าอัสเวล อัศวินแห่งหน่วยรักษาพระองค์ และนี่คือท่านผู้กล้าคิม พระราชารับสั่งให้มาเข้าเฝ้าในเวลานี้” อัสเวลเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
ได้ยินดังนั้นทหารยามก็ดึงหอกกลับไว้ข้างตัว ก่อนจะพูดขึ้นด้วยเสียงดังแสบแก้วหู
“ผู้กล้าคิมได้มาถึงแล้ว!” กล่าวจบ ทหารยามด้านขวาก็พิงหอกไว้กับกำแพง แล้วหันกลับไปผลักประตูบานสีขาวให้เปิดเข้าไปด้านใน
อัสเวลส่งสัญญาณให้คิมหันต์เดินตามเขาเข้าไป ใจของผู้กล้าหนุ่มเต้นรัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แม้จะเคยเจอพระราชามาแล้วครั้งหนึ่ง แต่นั่นเป็นสถานการณ์ที่งุนงงเกินกว่าจะตื่นเต้น แต่นี่เหมือนสถานการณ์มันบิ้วให้เขาใจเต้นตั้งแต่เดินเข้ามาในพระราชวังแล้ว ตอนนี้มือของเขาชุ่มไปด้วยเหงื่อ ที่ท้องนั่นก็ปั่นป่วนราวกับมีหนูแฮมสเตอร์ปั่นจักรอยู่ภายใน
คิมหันต์เดินไปตามพรมแดงที่ปูทอดยาวไปเบื้องหน้า ด้านในสุดนั้นเป็นแท่นสูงตรงกลางนั้นมีบันไดสำหรับเดินขึ้นไปบนแท่นราวห้าขั้น ด้านบนนั้นเป็นเก้าอี้หนาทึบที่สร้างจากหินอ่อนสีขาวแกะสลัก แค่เห็นก็รู้ว่ามันคือ ‘บัลลังก์’ และผู้ที่นั่งอยู่บนนั้นย่อมเป็นพระราชาซาริออนที่เขาเคยเจอครั้งหนึ่งเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน
อัศวินหนุ่มเดินพาเขามาหยุดลงตรงหน้าบันไดสู่บัลลังก์ ก่อนจะทรุดกายลงนั่งชันเข่า มือข้างซ้ายวางบนเข่าที่ชันขึ้น มือข้างขวายันกำปั้นกับพื้น แล้วเอ่ย “ข้าอัสเวล ได้นำพาท่านผู้กล้ามาแล้วขอรับ”
ผู้กล้าหนุ่มยืนตัวแข็งทำอะไรไม่ถูก ทันทีที่รู้ตัวเขาก็รีบนั่งชันเข่าตามอัสเวล
“ยินดีต้อนรับท่านผู้กล้าคิมอีกครั้ง” พระราชาเอ่ยขึ้น เสียงของเขาดังกังวาลไปทั่วห้องบัลลังก์ “เอาล่ะ เจ้าไปได้แล้วอัสเวล”
“ขอรับ” อัศเวลค้อมศีรษะ แล้วลุกขึ้น เขาถอยหลังไปสามก้าว และหันเดินออกจากห้องบัลลังก์ไป
คิมหันต์อดรู้สึกว้าเหว่ขึ้นมาไม่ได้ ตอนนี้เขาอยู่ตัวคนเดียวอย่างแท้จริง ถูกทิ้งให้อยู่กับพระราชาของราชอาณาจักรแห่งนี้โดยลำพัง เขาไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากเขาทำให้พระราชาไม่พอใจ สถานการณ์แบบนี้ช่างแปลกประหลาด ทว่าเขาจำเป็นต้องตั้งสติเอาไว้
“ท่านผู้กล้าลุกขึ้นเถิด” พระราชาเอ่ย
ผู้กล้าหนุ่มลุกขึ้นยืน แล้วโค้งให้อีกครั้งหนึ่ง “กระผมผู้กล้าคิมมาเข้าเฝ้าแล้วขอรับ”
คิมหันต์ไม่รู้ว่าจะพูดอะไร จึงได้แต่กล่าวเลียนแบบอัสเวล อย่าว่าแต่พิธีการใด ๆ ของที่นี่เลย แม้แต่คำราชาศัพท์ที่เคยเรียนมาแต่เด็กก็คืนครูไปหมดแล้วเสียด้วย
“ท่านผู้กล้าไม่ต้องมากพิธี ข้ารู้ดีว่าท่านไม่รู้ธรรมเนียมของพวกเรา” พระราชาเอ่ยขึ้นอย่างใจกว้างด้วยรอยยิ้ม “เรามาเข้าเรื่องกันเถอะ… ท่านผู้กล้าคงจะพอเห็นบ้านเมืองของพวกเราบ้างแล้วใช่หรือไม่”
คิมหันต์พยักหน้า “ขอรับ”
“เช่นนั้น ท่านคงรู้แล้วว่าพวกเรามีหัวเมืองต่าง ๆ อยู่เบื้องล่างของภูเขาลูกนี้” พระราชาซาริออนเริ่มเกริ่น “และท่านผู้กล้าอาจสังเกตเห็นแล้ว ผู้คนในบ้านเมืองของพวกเราไม่ใคร่มีความสุขนัก ผู้คนต่างอยู่ในสภาวะตกทุกข์ได้ยาก ช่วงนี้ดินแดนของพวกเราเริ่มขาดแคลนอาหาร และเศรษฐกิจก็ย่ำแย่ลงเรื่อย ๆ”
ผู้กล้าหนุ่มฟังอย่างตั้งใจ ใช่แล้ว เขาสังเกตเห็นตอนเดินผ่านเมือง ผู้คนมองพวกเขาด้วยสายตาแปลก ๆ ขณะที่เขาใช้ชีวิตอย่างสุขสบายอยู่ในเขตหมู่บ้านขุนนาง ชาวบ้านกลับต้องใช้ชีวิตอยู่อย่างลำบากสินะ คงไม่แปลกหากชาวบ้านจะมองเขาด้วยสายตาโกรธเคืองที่เขาได้รับสิทธิพิเศษ
“พวกเราหาได้ประสบกับภัยธรรมชาติไม่ หากแต่พวกเราถูกรุกรานจากอำนาจมืดภายนอกที่อันตราย และยากที่จะรับมือได้…” พระราชาแห่งไซออนกล่าวต่อเนื่อง “แผ่นดินใหญ่ทางตอนเหลือนั้นมีเผ่าพันธุ์อันตรายอยู่มากมาย หนึ่งในนั้นคือเผ่าพันธุ์ปิศาจ แม้ว่าจะมีทะเลขวางกั้นระหว่างดินแดนของพวกเรากับแผ่นดินใหญ่ไว้ ทว่าพวกมันก็ยังข้ามน้ำข้ามทะเลมายังดินแดนของพวกเราได้ ในที่สุดเมื่อสองปีก่อน พวกมันก็ยึดเมืองท่าทางตอนเหนือของพวกเราได้ พวกมันทำลายเรือประมงทั้งหมดของพวกเรา พวกเราสูญเสียแหล่งประมงที่ใหญ่ที่สุดไป”
พระราชาซาริออนหลับตาลงอย่างอ่อนล้า แล้วเล่าต่อ “ตั้งแต่นั้นมา พวกมันก็เริ่มรุกคืบใกล้เข้ามา ขณะเดียวกัน โดยมีหัวหน้าของเหล่าปิศาจที่เรียกตัวเองว่า ‘จอมมาร’ เป็นผู้ปกครองพวกมันอยู่ ภายในหนึ่งสัปดาห์ กลางป่าทิศเหนือ พวกมันก็สร้างปราสาททมิฬขึ้นใกล้กับอดีตเมืองท่าของพวกเรา และค่อย ๆ ส่งขุนนางปิศาจเข้าบุกยึดป้อมปราการ และหอคอยต่าง ๆ ของอาณาจักรเราทีละจุด เวลานี้พวกเราสูญเสียดินแดนทางเหนือเกือบทั้งหมดให้พวกมันไปแล้ว ตอนนี้ดินแดนของพวกมันมาประชิดจ่อประตูเมืองทิศเหนือ พวกเราเหลือเวลาไม่มาก พวกมันจะเริ่มบุกเมื่อไหร่ ไม่อาจรู้ได้เลย”
เรื่องราวประดังประเดเข้ามาอย่างน่ากลัว คิมหันต์พยายามทำความเข้าใจโดยไวที่สุด แม้ยังมีคำถามคาใจมากมาย แต่ก็ยังปล่อยให้พระราชากล่าวเล่าต่อไป “พวกมันจู่โจมพื้นที่เพาะปลูกของพวกเรา และทำลายพื้นที่ปศุสัตว์ขนาดใหญ่เสียจนไม่มีเหลือ เวลานี้พวกเราจำเป็นต้องอาศัยอาหารจากหัวเมืองทิศอื่นที่ผลผลิตต่ำกว่า ทำให้เกิดการขาดแคลนขึ้นในหมู่ประชาชน”
ผู้กล้าหนุ่มฟังมาได้ถึงตรงนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะถามขึ้น “หากโดนรุกรานถึงขนาดนี้ พวกท่านมิได้ต่อสู้เพื่อขับไล่พวกมันไปงั้นหรอขอรับ?”
“แน่นอน… พวกเราทำแล้วท่านผู้กล้า” ทว่าเสียงที่ตอบมาหาใช่พระราชาไม่ กลับเป็นอัศวินผู้หนึ่งร่างกายใหญ่โต ในชุดเกราะสีเงินมีลวดลายนูนสีทองบนชุดเกราะ ใบหน้าของเขาแม้ว่าจะเต็มไปด้วยรอยแผลเป็น แต่ก็ไม่อาจกลบความงามบนใบหน้าของเขาได้ เส้นผมตรงสีทองนั้นไว้ยาวจนถึงกลางหลัง บริเวณรอบปากเขากลับไม่มีหนวดเคราราวกับโกนมาเป็นอย่างดี เรียกได้ว่าเป็นชายเจ้าสำอางคนหนึ่ง ถึงอย่างนั้นก็ยังปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาผู้นี้ดูน่าเกรงขามยิ่งนัก “พวกเราได้จัดตั้งทัพออกไปทั้งขับไล่ และรับการโจมตีมาตลอดสามปี พวกเราสูญเสียกำลังพลไปมากมาย จนเวลานี้ แม้แต่คนที่พร้อมจะเป็นทหารนั้นก็เหลือน้อยลงเต็มที พวกเรานั้นขาดแคลนทั้งอาหาร และกำลังคน ท่านเข้าใจหรือไม่ท่านผู้กล้า พวกเราต่อสู้อย่างเต็มที่แล้ว”
เมื่ออัศวินร่างใหญ่กล่าวด้วยน้ำเสียงสิ้นหวังจบลง พระราชาก็เอ่ยเสริมขึ้น “ตามที่คาลอสกล่าวนั่นแหละ พวกเราพยายามต่อต้านเต็มที่แล้ว หากแต่ก็ไร้ผล และนี่เอง พวกเราจึงเลือกทางเลือกสุดท้าย…”
“อัญเชิญผู้กล้าจากต่างโลกสินะครับ?” คิมหันต์เริ่มเข้าใจสถานการณ์ การที่เขาถูกอัญเชิญมาไม่ใช่เรื่องบังเอิญจริงด้วยนั่นแหละ และเขาก็เริ่มเข้าใจแล้วว่า คำว่าผู้กล้าที่เขาได้รับนั้น กำลังแบกรับภาระอันหนักอึ้งเพียงใด
พระราชาพยักหน้าตอบรับ “ถูกต้องแล้ว”
“แล้วท่านแน่ใจได้อย่างไรว่า ผู้กล้าที่อัญเชิญมาจะสามารถขับไล่ หรือกำจัดเหล่าปิศาจให้หมดไปจากดินแดนนี้ได้ขอรับ…” คิมหันต์ถามอย่างตรงไปตรงมา “พวกท่านอาจจะคาดหวังในตัวกระผมมากเกินไปหรือไม่ กระผมเกรงว่าจะไม่ได้เก่งกาจอย่างที่พวกท่านคาดหวัง ตัวกระผมเองก็ไม่เคยต่อสู้กับพวกปิศาจมากก่อนเลย และไม่แน่ด้วยว่ากระผมจะชนะได้ พวกท่านไม่คิดว่าเป็นการเสียเที่ยวที่อัญเชิญกระผมมาหรอกหรอขอรับ?”
เมื่อได้ยินคำพูดของคิมหันต์ พระราชาซาริออนก็หัวเราะขึ้นอย่างแผ่วเบา “ท่านช่างถ่อมตัวยิ่งนัก… แต่ไม่ต้องกังวลไปเลยท่านผู้กล้าคิม… ท่านจะชนะพวกมันได้แน่! เพราะที่แห่งนี้คือดินแดนแห่งผู้กล้ายังไงล่ะ!!”
คิมหันต์นิ่งฉงน พระราชากล่าวต่อ “ที่นี่ คืออาณาจักรเพียงแห่งเดียวที่ยังสามารถทำพิธีกรรมอัญเชิญผู้กล้าหลงเหลืออยู่บนโลกนี้ยังไงล่ะ และทุกครั้งที่อัญเชิญผู้กล้า เขาจะค่อย ๆ แข็งแกร่งขึ้น จนสามารถกำจัดภัยคุกคามของโลกได้สำเร็จทุกครั้งไป…”
“ท่านหมายความว่า กระผมจะแข็งแกร่งขึ้นได้เองงั้นหรือขอรับ?” ผู้กล้าหนุ่มทวนความหมาย
“ใช่แล้ว ไม่ว่าใครจะเป็นผู้กล้าก็ตาม สุดท้ายเขาจะแข็งแกร่งขึ้นเกินกว่าใครจะต้านได้ ตัวท่านก็เช่นกัน ผู้กล้าคิม” อัศวินที่ชื่อคาลอสกล่าวตอบ
คิมหันต์ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยขึ้น “ถ้าเช่นนั้น กระผมคงต้องฝึกซ้อมต่อสู้แล้วล่ะขอรับ กระผมไม่มีทักษะในการต่อสู้เลยแม้แต่น้อย หากมีใครช่วยฝึกฝนให้กระผมได้คงจะดีไม่น้อยขอรับ”
พระราชาซาริออนได้ยินดังนั้นก็เผยรอยยิ้มออกมา แล้วกล่าวขึ้น “ข้าดีใจที่ท่านอยากพัฒนาตัวเองถึงเพียงนี้ เห็นทีความฝันในการกำจัดจอมมารคงอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม”
“กระผมจะทำให้ดีที่สุดขอรับ!” คิมหันต์ตอบรับ เขาเข้าใจแล้วว่าตนเองสำคัญอย่างไร ตอนนี้เขาจำเป็นต้องเรียนรู้วิธีการต่อสู้ก่อน ส่วนจะแข็งแกร่งได้แค่ไหน ปล่อยให้อนาคตเป็นตัวตัดสิน
“ดีมาก!!” พระราชาซาริออนตอบรับด้วยน้ำเสียงอันดัง แล้วหัวเราะออกมาอย่างยาวนาน ก่อนจะค่อย ๆ สงบลง แล้วหันกลับมาสบตาคิมหันต์อีกครั้ง ผู้กล้าหนุ่มสะดุ้งโหยงเมื่อเห็นดวงตาเป็นประกายวาวโรจน์ของราชาตรงหน้า “หากเจ้าต้องการคู่ซ้อม อัสเวลจะเป็นทั้งผู้สอนและคู่ซ้อมให้ท่านเอง ที่หมู่บ้านขุนนางมีลานฝึกซ้อมอยู่ ท่านสามารถไปใช้ได้อย่างเต็มที่!”
คิมหันต์โค้งให้พระราชาทีหนึ่งแล้วกล่าว “ขอบพระคุณขอรับ”
“แล้วก็… คาลอส…” จากนั้นพระราชาก็หันไปยังอัศวินคนสนิทของตน คาลอสที่ถูกเรียกหาก็เข้าใจทันที เขาโค้งรับครั้งหนึ่ง ก่อนหยิบเอาดาบเล่มหนึ่งที่ซ่อนเอาไว้หลังบัลลังก์ขึ้นมา และเดินลงมาหยุดที่ตรงเบื้องหน้าคิมหันต์
คาลอสยื่นดาบให้กับผู้กล้าหนุ่มที่ยื่นมือมารับดาบนั้นไป “ขอบคุณครับ”
หากให้อธิบายรูปลักษณ์คร่าว ๆ ดาบเล่มนี้ เป็นเพียงดาบที่มีการประดับตกแต่งอย่างหรูหรา มีลวดลายสลักบนฟักดาบอย่างสวยงาม หากผู้ถือเป็นขุนนาง หรือผู้กล้าอย่างเขาก็ดูสมฐานะดี หากแต่เขาสัมผัสได้ว่ามันเป็นเพียงดาบธรรมดาที่ไม่ได้มีพลังพิเศษอะไร แค่ดูดีกว่าดาบทั่วไปเท่านั้น ผู้กล้าหนุ่มคิดอยากชักดาบออกมาดูตอนนี้ แต่คงไม่เหมาะนัก เอาไว้เขากลับถึงบ้านค่อยชักออกมาดูก็แล้วกัน
“เอาล่ะท่านผู้กล้า ยังสงสัยสิ่งใดอีกหรือไม่” พระราชากล่าว
“ขอรับท่านพระราชา กระผมมีเรื่องอยากจะขอร้องเพิ่มขอรับ” คิมหันต์ค้อมศีรษะลงอย่างสุภาพอีกครั้ง
“ว่ามาสิ”
“กระผมมาที่นี่ มิได้มีเสื้อผ้าอื่นติดมาด้วย หากเป็นไปได้ พวกท่านได้โปรดจัดหาเสื้อผ้าให้กระผมด้วยเถอะขอรับ” คิมหันต์ร้องขอ และหากโชคดีได้เสื้อผ้ามาหลายชุด เขาจะส่งต่อชุดบางชุดให้กฤษด้วย
“ได้แน่นอน” พระราชาพยักหน้าตอบรับ
“อีกเรื่องหนึ่งขอรับ เรื่องอาหาร กระผมนั้นต้องไปกินที่ไหนหรือขอรับ” ในเมื่อมีโอกาส คิมหันต์ก็รีบถามเรื่องสำคัญทันที
“หากวันใดท่านอยู่บ้าน อัสเวลจะเป็นผู้นำอาหารไปส่งให้ท่าน” พระราชาว่า “อาหารอาจไม่ได้ดีนัก ขอให้ท่านผู้กล้าอย่าคาดหวัง”
“ไม่มีปัญหาขอรับ กระผมกินง่ายอยู่ง่าย” คิมหันต์ตอบรับอย่างยินดี
พระราชาพยักหน้าอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าคิมหันต์หมดเรื่องถามแล้ว เขาจึงลุกขึ้นยืน แล้วกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงก้องกังวาล “ขอบใจท่านผู้กล้ายิ่งนัก ขอให้ท่านอยู่อย่างสบายใจ และฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ ข้าจะรอวันที่ท่านแข็งแกร่งยิ่งขึ้นกว่านี้”
“ขอบคุณเช่นกันขอรับ” คิมหันต์โค้งรับทีหนึ่ง ก่อนจะได้ยินเสียงประตูเปิดขึ้น และมีเสียงฝีเท้าเดินมาหยุดที่ด้านหลัง
“ไปกันเถิดขอรับท่านผู้กล้า” เป็นอัสเวลนั่นเอง เมื่อเขาได้ยินพระราชากล่าวปิดท้ายจบ ก็เดินเข้ามารับคิมหันต์กลับที่พัก
พวกเขาเดินกลับออกไปทางเดิมที่เข้ามา ทันทีที่ออกมาจากกำแพงพระราชวังได้ คิมหันต์ก็มองออกไปที่เบื้องล่างอีกครั้ง เมืองด้านล่างนั้นยังคงดูใหญ่โตเช่นเคย แต่ความรู้สึกเขากลับไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป หลังจากฟังเรื่องราวจากพระราชามาแล้วทำให้เขารู้สึกสงสารชาวบ้านขึ้นมาจับใจ หากเขาทำให้ชาวบ้านกลับมาใช้ชีวิตอย่างปกติได้อีกครั้ง จะอย่างไรเขาก็ยินดีทำ
คิมหันต์มองทอดออกไปไกลขึ้น ถัดจากเมืองเบื้องล่างนั้นเป็นป่าทึบอันกว้างไกล ภายในป่านั้นดูมีบรรยากาศไม่น่าไว้วางใจนัก ราวกับมีไอหมอกสีดำลอยฟุ้งอยู่ภายใน ถัดจากป่าไป เขามองเห็นท้องทะเลสะท้อนแสงสีส้มยามเย็นเป็นประกายระยิบระยับ ที่ตรงสุดปลายของดินแดนก่อนถึงผืนทะเลนั้น มีเค้าโครงของเมืองท่าขนาดใหญ่อยู่ ที่ตรงนั้นมีปราสาทสูงตระหง่านตั้งอยู่ไกลลิบ
นั่นเองสินะ… ปราสาทของจอมมาร คิมหันต์คิด แม้ว่าเขาจะอยู่บนเขาสูงก็ตาม แต่การที่เขายังเห็นปราสาทสีดำนั้นได้อย่างชัดเจน แปลว่ามันคงต้องใหญ่โตกว่าที่เขาคาดเอาไว้แน่
คิมหันต์กำหมัดแน่น… ที่นั่นคือจุดชี้ชะตาสุดท้ายของอาณาจักรนี้ และตัวเขาสินะ
ช่างน่ากลัวเหลือเกิน… การที่อาณาจักรนี้ต้องมาเดิมพันไว้ที่เขาคนเดียว มันช่างเป็นเดิมพันที่สูงเสียจริง แต่ในเมื่อเขารับปากแล้ว หน้าที่นี้คงมอบให้ใครทำแทนไม่ได้…
การเผชิญหน้ากับจอมมาร ฟังดูแฟนตาซีเหลือเกิน เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าชีวิตของเขาจะต้องมาพบพานอะไรกับเรื่องแบบนี้ ตอนอยู่ที่โลกเดิม แม้แต่เกมแนวแฟนตาซียังไม่เคยเล่นเลยด้วยซ้ำ ทว่าโชคชะตาช่างตลกร้าย เขาผู้ซึ่งไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับโลกแฟนตาซี กลับต้องมาจับดาบในฐานะผู้กล้า และออกเดินทางเพื่อปราบจอมมาร
ในขณะที่เขาเริ่มวิตกเกี่ยวกับอนาคตของตัวเองนั้น เขาก็นึกถึงคนคนหนึ่งขึ้นมาได้
คนที่เชี่ยวชาญเกี่ยวกับสิ่งที่เขาต้องเผชิญมากที่สุด…
กฤษ ฉันคงต้องหวังพึ่งนายแล้วสินะ…
_________________________________