“จงนำมันไปขังคุกเสีย!”
“ขอรับ!!” เหล่าทหารตอบรับคำของพระราชา ฉุดกระชากฤษผู้ซึ่งนั่งคุกเข่าอยู่ให้ลุกขึ้นมาอย่างรุนแรง
ราวกับฟ้าถล่ม สมองของกฤษว่างเปล่า เขาไม่เคยคิดว่าการมาต่างโลก จะทำให้เขาตกต่ำถึงเพียงนี้ นี่เขายังไม่ทันรู้อะไรเกี่ยวกับที่นี่เลย แม้แต่พลังของตัวเองก็ยังไม่รู้ แต่กลับต้องถูกขังคุกตั้งแต่ไก่โห่เช่นนี้ ช่างน่าอัปยศยิ่งกว่าการ์ตูนต่างโลกเรื่องไหน ๆ เลยไม่ใช่หรอ
แต่ก่อนที่เขาจะถูกลากออกไปนั้น เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
“เดี๋ยวก่อนครับ!” คิมหันต์ผู้กลายเป็นผู้กล้าหมาด ๆ กล่าวขึ้น “สรุปว่าผมคือผู้กล้าของพวกท่านสินะขอรับ”
เมื่อพระราชาเห็นผู้กล้าหันมาถาม เขาจึงพยักหน้า “ใช่แล้ว”
“ถ้าเช่นนั้น รบกวนปล่อยเด็กคนนั้นเถอะขอรับ เขามากับผมขอรับ” ผู้กล้าหนุ่มหันไปมองที่กฤษ “ผมจะเป็นผู้ดูแลเขาเอง ที่เขาถูกอัญเชิญมาเพราะเป็นผู้ช่วยของผมขอรับ”
มาแนวใสซื่อใจดีหรอกหรอ!! กฤษคิด พลางหันไปทางพระราชาว่าจะเอาอย่างไรกับตน
ราชาซาริออนนิ่งไปครู่หนึ่งอย่างครุ่นคิด คิ้วของเขาขมวดอย่างรู้สึกขัดใจ สิ่งที่ผู้กล้าพูดทำให้เขาจำเป็นต้องชั่งน้ำหนักผลดีผลเสีย ก่อนจะหันไปหาคิมหันต์แล้วถามขึ้น “ท่านแน่ใจหรือ?”
คิมหันต์พยักหน้าอย่างหนักแน่น แล้วกล่าว “ขอรับ กระผมแน่ใจ เด็กคนนี้เป็นผู้ช่วยของผมเองครับ เขาทำหน้าที่เสิร์ฟเครื่องดื่มให้กับผมหลายครั้ง การที่เขาติดมาที่นี่ด้วย ผมจำเป็นต้องรับผิดชอบในตัวเขาครับ”
ที่เสิร์ฟเครื่องดื่มนั่น เพราะนายมาซื้อกาแฟร้านพี่สาวชั้นไม่ใช่หรอ!! ไม่ได้เป็นคนรับใช้นายสักหน่อย! กฤษโวยวายในใจ แต่เขาเลือกที่จะเงียบไว้ไม่ให้เสียเรื่อง
ซาริออนราชาแห่งไซออนหันมามองทางกฤษอีกครั้งอย่างประเมิน เขามองเด็กหนุ่มตั้งแต่ศีรษะจนถึงปลายเท้า แล้วจึงกล่าวขึ้น “ก็ได้… หากท่านต้องการเช่นนั้น มันผู้นี้จะเป็นผู้รับใช้ของผู้กล้า ท่านจงดูแลมันให้ดี อย่าได้ปล่อยให้มันทำการใดให้วุ่นวาย”
“ขอรับ กระผมจะดูแลเขาเป็นอย่างดี” คิมหันต์โค้งทีหนึ่งขณะกล่าวตอบ
“ทหาร!! ปล่อยตัวมัน…” พระราชากล่าวอย่างเย็นชา เหล่าทหารตอบรับ แล้วปล่อยมือจากกฤษในทันที
เด็กหนุ่มหลุดมาได้ ก็รีบสะบัดไหล่ แล้วเดินมาหลบอยู่หลังคิมหันต์ แม้เขาจะไม่ชอบชายหนุ่มผู้นี้นัก แต่ตอนนี้หมอนี่คือที่พึ่งเดียวของเขา เด็กหนุ่มตัวแถมเอามือปัดไหล่ราวกับรู้สึกสกปรก แล้วมองไปทางทหารที่จับตัวเขาไว้เมื่อครู่นี้ด้วยสีหน้ายียวน
“ผมจะดูแลเขาเองทุกอย่าง กระผมขอเพียงอาหาร และที่อยู่ให้กับเขาก็พอแล้วขอรับ” คิมหันต์รีบกล่าวขึ้นเพื่อร้องขอ การที่เขามาที่แห่งนี้แบบตัวเปล่า ทำให้เขารู้สึกไม่มั่นคง ดังนั้นหากเขาต้องดูแลใครสักคน ผู้นั้นจำเป็นต้องดูแลตัวเองได้ในระดับหนึ่งก่อน
“พวกเราไม่ดูแลตัวแถมซึ่งไร้ประโยชน์เช่นนั้น” พระราชากล่าวอย่างรังเกียจ คิมหันต์ใจตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม “ที่พักเราจะมีให้ท่านผู้กล้าคีมหาน…”
“เรียกกระผมสั้น ๆ ว่าคิมเถิดขอรับ” คิมหันต์กล่าว
“เรามีที่พักให้ท่านท่านผู้กล้าคิม ท่านจะต้องจัดแบ่งที่พักให้กับคนรับใช้ของท่านเอง และอาหารในวันที่ท่านไม่ได้ออกปฏิบัติการ เราจะจัดเตรียมให้ท่าน หากแต่ท่านต้องจัดแบ่งอาหารส่วนของท่านให้กับคนของท่านเอง เราไม่มีหน้าที่จัดเตรียมให้คนรับใช้ของผู้กล้า” พระราชากล่าวขึ้นรับรองสวัสดิการของผู้กล้า แต่เป็นอันแน่นอนแล้วว่ากฤษไม่ได้รับสิทธิ์นั้น
สรุปเราต้องรอรับของเหลือจากหมอนี่อีกทีสินะ กฤษคิดในใจอย่างเจ็บแค้น
“ขอรับ กระผมจะจัดการที่พัก และอาหารของเขาเอง” คิมหันต์ยืนยัน
“ดี…” พระราชาพยักหน้า แล้วหันไปเรียกชายคนหนึ่งที่อยู่ด้านหลัง ชายผู้นั้นก้าวขึ้นมา แล้วโค้งค้างเอาไว้ราวรอรับคำสั่ง “ผู้นี้คือ อารอน เจ้ากรมเคหาสน์ เขาจะเป็นผู้พาท่านไปยังที่พักเอง… และข้าจะแต่งตั้งผู้ดูแลท่านผู้กล้าไปให้ในภายหลัง โปรดรออยู่ที่บ้านของท่านก่อน…”
คิมหันต์พยักหน้า เมื่อเห็นอีกฝ่ายตอบรับ พระราชาจึงกล่าวปิดท้าย “หากท่านไม่มีคำถามแล้ว เชิญท่านตามอารอนไปเถิด”
อารอน เป็นชายวัยกลางคนร่างเตี้ย เขามีเส้นผมสีทองหวีจนเรียบแปล้ สวมชุดขุนนางสีดำ เสื้อซับในเป็นสีขาวมีเชือกกลัดกระดุมสีแดง เขาโค้งให้กับคิมหันต์ทีหนึ่ง แล้วกล่าวพร้อมกับหันหลังให้ “ตามข้ามาเถิด”
ผู้กล้าหนุ่มโค้งอย่างสุภาพให้กับพระราชาทีหนึ่ง ก่อนหันไปสบตากับกฤษแล้วส่งสัญญาณให้เด็กหนุ่มตามเขาไป
ทั้งหมดในห้องโถงนั้นมองตามผู้กล้า และคนรับใช้ของเขาเดินออกไปจากโถงอย่างไม่วางตา สายตาของพวกเขามีบางสิ่งวูบไหวอย่างไม่อาจบอกได้ เมื่อมองไปยังผู้กล้า เมื่อทั้งสองเดินตามอารอนจนลับตาออกไปแล้ว พระราชาซาริออนก็คลายมือที่กำไว้แน่นออก แล้วยกมือขึ้นกระดิกนิ้วเรียกคนข้างตัวให้เข้ามาใกล้
“จัดเตรียมคน ไปติดตามพวกมัน อย่าได้คลาดสายตา…” พระราชากล่าวเบา ๆ
ชายหนุ่มในชุดอัศวินสีเงินโค้งรับทีหนึ่งด้วยแววตาลุกวาว “ขอรับ…”
__________________________________
หลังจากออกจากโถงใหญ่แห่งการอัญเชินนั้นแล้ว ก็เป็นทางเดินแคบ ๆ ทอดยาวคาดเดาระยะทางไม่ได้ หากแต่ตลอดทางนั้นมีคบไฟจุดอยู่ตลอด เมื่อสิ้นสุดทางเดิน ก็พบว่าเป็นบันไดวนคล้ายบันไดของหอคอย หากแต่พอสังเกตดี ๆ จะเห็นว่ามันเป็นบันไดวนที่พันรอบเสาต้นใหญ่อยู่ พวกเขาเดินตามอารอนขึ้นไปอยู่พักใหญ่ จนกฤษคิดว่าตัวเองหอบจนเกือบจะไม่ไหว ในที่สุดก็ขึ้นมาจนถึงจุดสิ้นสุด และพบว่าเป็นทางเดินทอดยาวอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้พวกเขาได้เห็นหน้าต่างที่เจาะไว้เป็นช่องตลอดทางเดิน เมื่อมองลอดออกไปก็พบว่าเป็นสวนกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา ทำให้พวกเขารู้ทันทีว่า ที่พวกเขาเดินขึ้นมานั้น มาจากใต้ดินทางลึกลงไปนั่นเอง
ไกลชะมัด กฤษบ่นในใจ พลางหอบอย่างหมดเรี่ยวแรง ทว่าก็สนใจกับทิวทัศน์ใหม่ที่เพิ่งได้เห็นเช่นกัน
เส้นทางที่พวกเขาเดินนั้นถูกปูด้วยหินอย่างปราณีต และกว้างขวางกว่าทางเดินแคบ ๆ ใต้ดินที่พวกเขาเพิ่งผ่านมา มันทอดยาวออกไปราวไร้ที่สิ้นสุด หากแต่เดินไปครู่หนึ่ง พวกเขาก็พบทางแยกด้านซ้าย อารอนนำพวกเขาเลี้ยวไปทางนั้น ไม่นานก็พบประตูไม้บานใหญ่ และมีทหารยืนเฝ้าอยู่ทั้งสองข้างของประตู
อารอนพยักหน้าทีหนึ่ง ทหารทั้งสองจึงเปิดประตูให้พวกเขาออกไป
เสียงประตูไม้ดังเอียดอาดยาวนานจนมันเปิดกว้างสุด แสงแดดภายนอกสาดส่องเข้ามาทำให้พวกเขาแสบตา ยังไม่ทันที่พวกเขาจะปรับสายตาได้ อารอนก็เดินนำพวกเขาออกไปแล้ว
คิมหันต์ และกฤษ รีบเดินตามออกไป จึงได้เห็นว่าเบื้องหน้าคือกำแพงที่เป็นป้อมปราการขนาดยักษ์ เบื้องหลัง คือประตูเล็ก ๆ มุมหนึ่งของปราสาทขนาดใหญ่เท่านั้น ดูเหมือนพวกเขาเพิ่งเดินออกจากประตูเล็กของพระราชวังนั่นเอง
ถึงแม้ว่าจะเห็นกำแพงสูง และป้อมปราการใหญ่นั้นอยู่ตรงหน้า แต่พวกเขาใช้เวลาเดินหลายนาทีกว่าจะถึงประตูของป้อมแห่งนั้น ที่นั่นมีประตูไม้บานใหญ่สูงกว่าห้าเมตร อารอนหยุดยืนอยู่ตรงหน้าทหารที่ดูแลประตูอยู่ครู่หนึ่ง เหล่าทหารกวาดตามองอารอนและผู้ที่ตามมาทั้งสองครั้งหนึ่ง ก่อนจะหันไปส่งสัญญาณให้ทหารที่ประจำกลไกประตู
ทหารผู้นั้นค่อย ๆ หมุนกลไกประตูที่ฝังอยู่บนพื้น ทำให้ประตูเมืองที่เป็นเหมือนซี่กรงขนาดยักษ์ค่อย ๆ เลื่อนขึ้นอย่างใช้เวลา เมื่อมันขึ้นไปจนสุด ก็ปรากฏให้เห็นประตูไม้ขนาดยักษ์แบบบานพับ ตรงกลางมีท่อนกลอนขนาดใหญ่ขัดอยู่ ทหารสองคนเดินไปยกกลอนออก แล้วดึงบานประตูเปิดเข้ามา จึงเผยให้เห็นประตูซี่กรงยักษ์ที่ด้านนอกอีกชั้น ทหารคนเดิมที่หมุนกลไก ก็เดินจากกลไกด้านซ้ายไปกลไกด้านขวา แล้วเริ่มหมุนกลไกอีกครั้ง ซี่กรงยักษ์ด้านนอกนั้นค่อย ๆ เลื่อนขึ้นอย่างช้า ๆ
ประตูเมืองสามชั้นเลยหรอเนี่ย!! กฤษทึ่ง ประตูเหล่านี้ดูแข็งแรงอยู่แล้ว หากแต่ทำเอาไว้ถึงสามชั้นคงเป็นเพราะภัยคุกคามนั้นน่าจะสาหัสทีเดียว
จะว่าไป เพราะสถานะของตัวเขาที่เฉียดนอนคุกนั้น ทำให้เขาลืมโฟกัสไปว่า พระราชายังไม่ได้มอบภารกิจให้กับผู้กล้าเลย หากเป็นปกติการ์ตูนแนวต่างโลก พระราชาจะรีบบอกเหตุผลที่อัญเชิญผู้กล้ามา และมอบภารกิจให้ทันที ทว่าคงเป็นเพราะตัวเขาที่เป็นตัวแถมติดมาด้วย ทำให้ทั้งตัวผู้กล้า และพระราชาเองต่างหลุดโฟกัสจากเรื่องเหล่านั้น และมาสนใจเขาแทน
เป็นไปได้ว่า เร็ว ๆ นี้คงเรียกคิมหันต์ไปรับฟังภารกิจละมั้ง?
เมื่อคิดจบ ประตูซี่กรงยักษ์ก็เลื่อนขึ้นจนสุด อารอนจึงพยักหน้าเรียกพวกเขาให้เดินต่อ
นานจัง ไอ้ประตูนี่ เปิดแค่ครึ่งเดียวพวกเราก็เดินผ่านได้แล้วไม่ใช่หรอ? ทำไมต้องเปิดให้สุดทุกอันเนี่ย กฤษบ่นในใจต่อ คงเป็นเพราะเดินมานานชักเมื่อยขา เด็กหนุ่มวัน ๆ เอาแต่นั่งวาดการ์ตูนอยู่ในบ้าน ไม่เคยออกกำลังกาย ทำให้ร่างกายที่ผอมแห้งนั้นไร้กล้ามเนื้อโดยสิ้นเชิง
หากเขาถูกเลือกเป็นผู้กล้าจริง ๆ คงเป็นผู้กล้าที่ผอมแห้งที่สุดในประวัติศาสตร์
เมื่อออกจากกำแพงเมือง ก็พบว่าพวกเขาอยู่บนเนินเขา เบื้องหน้าเขาเป็นทางลาดลงไปเรื่อย ๆ มองเห็นทิวทัศน์เมืองอันกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา พวกเขาเห็นได้ว่า ถัดจากตัวเมืองไปจะเป็นป่า มีเส้นทางเล็ก ๆ ที่ทอดออกไปไกลลิบสู่ทะเลที่ส่องแสงประกายอยู่ในที่อันห่างไกล หากว่าพวกเขาไม่ได้อยู่บนเนินเขาสูงเช่นนี้ คงไม่รู้ว่าถัดจากเมืองไปจะมีป่า และทะเล ดูเหมือนที่สุดปลายทางนั้นจะมีท่าเรือเล็ก ๆ อยู่ แต่มันก็ไกลเกินกว่าที่พวกเขาจะเห็นรายละเอียด
พวกเขาเริ่มเดินลงจากเนินเขาสู่ตัวเมือง แม้ว่าจะเป็นเวลากลางวัน ทว่าเมืองกลับดูอึมทึมอย่างน่าประหลาด ทั้งที่ภาพตรงหน้าควรเป็นภาพที่สวยงามอลังการ แต่กลับรู้สึกทรุดโทรม และเงียบเหงา ราวกับว่าชาวเมืองทอดทิ้งเมืองนี้ไปแล้วมากมาย เหลือเพียงผู้คนน้อยนิดเท่านั้น
ความรู้สึกเหล่านั้นดูจะเป็นจริงขึ้นมาเมื่อพวกเขาเดินผ่านเมือง สำหรับเมืองหลวงต่าง ๆ ไม่ว่าจะในหนัง ในนิยาย หรือในการ์ตูนก็ตาม มักจะเห็นผู้คนเดินสวนกันขวักไขว่ มีตลาด มีการค้าขาย มีผู้คนมากหน้าหลายตา และอย่างน้อยต้องมีขโมย
ทว่าที่นี่กลับไม่มีสิ่งเหล่านั้นเลย ผู้คนบนท้องถนนมีเดินสวนกันบ้าง แต่น้อยเหลือเกิน และที่ประหลาดคือ พวกเขาที่เดินสวนไปนั้นมองมายังทั้งสองคนด้วยสายตาประหลาดที่คาดเดาไม่ได้ เมื่อสังเกตได้เช่นนั้นกฤษก็เริ่มรู้สึกไม่สบายใจ
ไม่นาน พวกเขาก็เห็นกำแพงสูงประมาณสี่เมตรที่ทอดยาวอยู่ทางขวาของทางเดินเบื้องหน้าเขา มองจากตรงนี้ภายในกำแพงไม่มีสิ่งปลูกสร้างใหญ่โตอะไรโผล่พ้นกำแพงขึ้นมาเลย
คุกหรอ? หรือกำแพงเมืองเล็ก ๆ กฤษคิด
ไม่นานพวกเขาก็ได้คำตอบ อารอนพาเดินไปยังประตูทางเข้าที่มีทหารเฝ้าอยู่เพียงคนเดียว เมื่อประตูเปิด พวกเขาก็เดินเข้าไปด้านใน เห็นได้ว่ามีบ้านที่ดูตกแต่งดูดี และขนาดใหญ่กว่าด้านนอกกำแพงเรียงรายอยู่หลายร้อยหลัง
“ที่นี่คือขุนนางเคหาสน์” อารอนกล่าวขึ้น พร้อมยื่นเข็มกลัดตราสัญลักษณ์บางอย่างส่งมาให้คิมหันต์ “นี่คือเข็มกลัดสำหรับเข้ามาในนี้ หากท่านทำมันหาย จะไม่สามารถเข้ามาได้ ขอให้ระวังไว้ด้วย”
ที่แท้ก็บ้านจัดสรรนี่เอง เด็กหนุ่มนึกขำในใจ มองคิมหันต์รับเข็มกลัดมาติดที่อก
“ที่นี่คือบ้านของเหล่าขุนนาง แม้ว่าขุนนางในยุคนี้จะลดลง แต่บ้านก็ยังเหลือว่างไม่มากนัก” อารอนว่า พลางพาเดินต่อไป “ข้าจะพาพวกท่านไปที่บ้านที่เตรียมเอาไว้”
อารอนพาเดินลึกเข้าไปตามเส้นทางหมู่บ้านขุนนาง ยิ่งลึก บ้านยิ่งเล็กลง ทว่าก็ยังตกแต่งและได้รับการดูแลเป็นอย่างดี ไม่นานอารอนก็มาหยุดที่หน้าบ้านหลังหนึ่ง
“เชิญท่านเข้าพักตามสบาย…” อารอนโค้งให้ทีหนึ่ง แล้วเดินจากไป
ทิ้งไว้ให้หนึ่งผู้กล้า หนึ่งตัวแถมยืนงงอยู่หน้าบ้านที่เล็กกระทัดรัดที่สุดเท่าที่เห็นมาในหมู่บ้านนี้…
มันเล็กพอ ๆ กับบ้านของชาวบ้านด้านนอกกำแพง ยังดีหน่อยที่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี และการตกแต่งก็สวยงามพอประมาณ หากแต่บ้านผู้กล้าเล็กขนาดนี้ดูไม่สมศักดิ์ศรีเลยสักนิด
“เราเข้าไปกันเถอะ” คิมหันต์หันมายิ้มให้เด็กหนุ่ม ก่อนเดินนำเข้าไป
ประตูบ้านเป็นบานเปิดปิด ทว่าไม่มีกลอนกับรูคล้องกุญแจ ดูท่าที่นี่จะไม่มีโจรขโมย ถึงไม่ล็อกกุญแจบ้านกัน… ผ่านประตูเข้าไป ก็พบกับห้องโถงขนาดเล็ก ดูทรงแล้วคล้ายกับห้องรับแขกผสมห้องกินข้าว ด้านซ้ายของห้องมีเตาผิงแบบโบราณฝังอยู่ในผนัง ถัดไปจากเตาผิงไม่ไกล ก็พบว่ามีประตูบานหนึ่ง เมื่อเปิดดูจึงเห็นว่าเป็นห้องน้ำ ด้านในสุดของห้องน้ำเป็นส้วมหลุม ตรงกลางห้องน้ำนั้นกว้างกว่าบริเวณส้วมหลุม ด้านบนผนังมีรางอิฐที่ดูเหมือนใช้ลำเลียงน้ำ ถ้าให้เดาคงเอาไว้ใช้อาบน้ำ ที่พื้นมีขุดหลุมตื้น ๆ เป็นรางต่อไปยังส้วมหลุม คล้ายกับเป็นการชำระสิ่งปฏิกูล น่าประหลาดใจที่ต่างโลกเซ็ตติ้งยุคกลางแบบนี้มีระบบประปาที่น่าสนใจกว่าที่คิด
ออกมาทางด้านขวาของบ้านมีประตูอยู่สองบาน บานหนึ่งเปิดเข้าไปเป็นห้องนอนขนาดเล็ก มีเตียงหลังหนึ่งขนาดนอนคนเดียววางไว้กลางห้อง สองข้างของเตียงมีพื้นที่กว้างขวางสำหรับใช้สอย ที่มุมห้องด้านตรงข้ามกับปลายเตียงมีโต๊ะเขียนหนังสือตั้งอยู่ ถัดออกไปประตูอีกบานที่อยู่ข้างกัน ดูจะเป็นห้องครัว แม้จะไม่เข้าใจระบบการทำอาหารของโลกนี้ แต่เพราะหม้อไหกระทะที่แขวนอยู่ก็ทำให้รู้ว่านี่คือห้องครัว
เมื่อสำรวจบ้านจบ ทั้งคู่ก็นั่งลงบนโต๊ะกินข้าวที่ตั้งอยู่กลางห้องอย่างหมดแรง
กฤษที่นั่งลงตรงข้ามกับคิมหันต์กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงล้อเลียนเล็กน้อย “ขอบคุณท่านผู้กล้าที่ช่วยชีวิตข้าขอรับ”
“พอเถอะ ขี้เกียจจะคุยภาษาโบราณแล้ว” คิมหันต์กล่าวอย่างเหนื่อยหน่าย “นี่… น้องชื่อกฤษใช่ไหม? ขอถามหน่อยเถอะ นี่มันเรื่องอะไรกันหรอ พี่ยังไม่เข้าใจอะไรเลยตอนนี้”
กฤษมองหน้าคิมหันต์ผู้กล้าของโลกใบนี้อย่างท้อแท้ ก่อนจะกล่าวขึ้น “สรุปว่า ที่ทำไปทั้งหมดจนมาถึงตรงนี้ นายยังไม่เข้าใจอะไรเลยหรอเนี่ย?”
“อะ… ทำไมคุยกับพี่ห้วน ๆ ขนาดนั้นล่ะ น้องยังเด็กกว่าพี่ไม่ใช่หรอ?” คิมหันต์ขมวดคิ้วเหมือนจะดุใส่กฤษ ทว่าไม่ได้น่ากลัวเลยสักนิด
“เฮ้อ… ให้ตายเถอะ เบื่อความบ้าอาวุโสของคนไทยจัง… ขนาดมาต่างโลกยังไม่หายบ้าเลย…” กฤษบ่นพึมพัม แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะได้ยิน
“อย่างน้อยเรียกชั้นว่าพี่เพื่อเป็นการให้เกียรติกันหน่อยก็ยังดีน่า” คิมหันต์กล่าวกลับอย่างละเหี่ยใจ
“โอเคคร้าบ ๆ พี่คิมหันต์? พอใจแล้วสินะ?”
“โอเค… เรียกพี่สั้น ๆ ว่าคิมก็ได้” คิมหันต์พยักหน้าอย่างพอใจ “สรุปว่านี่มันอะไรกัน ตอบได้ยัง?”
“ก็… ที่นี่คือต่างโลก…” กฤษเหลือกตาขึ้น แล้วพยายามคิดหาคำตอบที่ดีที่สุดสำหรับคนใสซื่อไร้ความรู้ในโลกแฟนตาซี “พูดง่าย ๆ ก็ได้ว่า พวกเราถูกดึงเข้ามาอยู่ในหนังการ์ตูนแฟนตาซี ที่นี่อยู่คนละโลกกับที่เราอยู่ อย่างที่พี่เห็น ทุกอย่างนั้นไม่เหมือนโลกเราเลยซักนิด หรือถ้าเหมือนก็คงเหมือนยุโรปยุคโบราณละมั้ง?”
เมื่อได้ฟังที่กฤษพูดจนจบ คิมหันต์ก็นั่งครุ่นคิด ก่อนจะเริ่มถามอีกครั้ง “งั้นเราหาทางกลับไปโลกของเราได้ไหม?”
“อาจจะได้ หรืออาจจะไม่ได้” เด็กหนุ่มยักไหล่ “ในการ์ตูนต่างโลกส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้กลับกันหรอก มักจะอยู่จนแก่ตายในต่างโลกนั่นแหละ แต่ก็มีบางเรื่องที่ถ้าทำภารกิจสำเร็จ คนที่อัญเชิญเรามาอาจจะมีวิธีส่งเรากลับโลกเดิมอยู่ก็ได้”
“ภารกิจหรอ? ภารกิจอะไร?” ผู้กล้าหนุ่มถามอย่างงุนงง
“นี่พี่ไม่เคยตั้งคำถามเลยหรอว่าทำไมเราถึงถูกอัญเชิญมาน่ะ?” กฤษขมวดคิ้ว ยิ่งเห็นคิมหันต์ส่ายหน้าด้วยสายตาว่างเปล่าก็ถอนหายใจออกมา
“ไม่ใช่ว่าเราซวยหรอ?” ผู้กล้าหนุ่มถาม
“ไม่ใช่เพราะซวย พี่ไม่ได้ยินที่พระราชานั่นพูดหรอว่าเขาอัญเชิญเรามาอย่างมีจุดประสงค์น่ะ” เด็กหนุ่มตัวแถมอธิบายให้ผู้กล้าฟัง “ปกติแล้ว หลัก ๆ เลย การอัญเชิญผู้กล้า ก็เพื่อมารับมือกับภัยคุกคามบางอย่างของโลกนั้น ๆ ส่วนใหญ่จะเป็นจอมมาร เจ้าอสูร หรืออะไรบางอย่างที่อันตรายประมาณนั้น… นั่นแหละ ภารกิจ”
ได้ยินดังนั้น คิมหันต์ก็นิ่งไป ก่อนจะละล่ำละลักถาม “ใครรับมือนะ? ต้องไปต่อสู้กับพวกปิศาจหรอ? ใครสู้? ชั้นหรอ?”
กฤษทำสีหน้าว่างเปล่า แล้วพยักหน้า…
“ชั้นเนี่ยนะไปสู้กับปิศาจ จะบ้าหรอ เคยเข้าคลาสมวยไทยแท้ครั้งเดียวเอง” คิมหันต์หน้าซีด
“ก็พี่ไปตอบรับเขาแล้วว่าเป็นผู้กล้า ถ้าไม่ไปปราบปิศาจ แล้วจะเป็นผู้กล้าทำไมล่ะ”
“พี่แค่เล่นตามน้ำไปเอง ใครจะไปรู้ล่ะว่าจะให้ชั้นทำอะไรน่ะ!” คิมหันต์กุมหัวแล้วส่ายหน้า “ว่าแต่กฤษเถอะ ทำไมถึงรู้เรื่องต่างโลกดีขนาดนี้ล่ะ น้องเคยไปต่างโลกหรอ”
“ไม่ล่ะ… แค่เป็นติ่งเฉย ๆ” กฤษกล่าวอย่างราบเรียบ ส่วนคิมหันต์นิ่งงันด้วยความฉงน “ผมน่ะ เป็นติ่งของการ์ตูนแนวต่างโลกไงล่ะ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือการ์ตูน อนิเมะ หนัง หรือแม้แต่นิยายแนวต่างโลก ล้วนผ่านตาผมมาแล้วทั้งนั้น และตอนนี้ผมก็เป็นนักวาดการ์ตูนแนวต่างโลกลงในแอพตูนด้วย เจ๋งใช่ไหมล่ะ?”
คิมหันต์เป็นฝ่ายทำสีหน้าว่างเปล่าบ้าง เมื่อเห็นท่าทางอันภูมิใจของกฤษ “สรุปคือนายเป็นแค่ติ่งการ์ตูนสินะ…”
“อะ… อะไรกันเล่า… ถึงเป็นแค่การ์ตูนแต่มันก็มีประโยชน์ไม่ใช่หรือไง อย่างน้อยผมก็รู้จักต่างโลกมากกว่าพี่ก็แล้วกัน” กฤษกำหมัดกัดฟันเถียงคอเป็นเอ็น “ว่าแต่พี่เถอะ มั่นหน้ามาจากไหนถึงไปตอบรับว่าตัวเองเป็นผู้กล้าน่ะ”
“พี่เปล่าบอกว่าตัวเองเป็นผู้กล้าสักหน่อย ดาบเล่มนั้นมันบอกเองไม่ใช่หรอ?” พอพูดถึงดาบคัดสรรค์นั่น กฤษถึงกับเจ็บหัวใจ “พี่น่ะ ก็แค่ถนัดเล่นตามน้ำไปเฉย ๆ เพราะพี่เป็นนักแสดงไงล่ะ ไม่ว่าบทไหน ก็สวมบทบาทได้ทั้งนั้นแหละ”
“หะ… นักแสดง? ดาราหรอ?” กฤษตกใจ มิน่าล่ะถึงหล่อขนาดนี้ “นี่เจ๊กานมีดารามาจีบถึงร้านกาแฟหรอเนี่ย?”
“หะ… จีบ? ใครจีบใครนะ?” คิมหันต์ตกใจบ้าง
“อ้าว ไม่ใช่ว่าพี่มาร้านกาแฟวันเว้นวันเพราะจะมาจีบพี่สาวผมหรอกหรอ?”
ผู้กล้าหนุ่มนิ่งงัน ก่อนจะเริ่มหัวเราะดังลั่น “อ่าาา ฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ จีบพี่สาวนายหรอ ขำชะมัด”
“เดี๋ยวสิ ไม่ได้มาจีบหรอกหรอ”
“เปล่าเลย ร้านกาแฟนั่นเคยเป็นบ้านเก่าของพี่เอง พ่อของพี่น่ะขายไปเมื่อนานมาแล้ว พอดีช่วงนี้มีงานแสดงแถวนั้น พี่เลยแวะไปนั่งร้านกาแฟนั่นรำลึกความหลังน่ะ” คิมหันต์ใช้นิ้วเช็ดน้ำตาที่เล็ดออกมาเพราะความตลกของกฤษ “ถึงพี่สาวนายจะสวยก็จริงเถอะ แต่ไม่ใช่สเปคพี่หรอก”
“ก็แล้วไป…” กฤษหรี่ตาแล้วกอดอก ปกติก็ตีกันจะตายอยู่หรอก แต่พอมีหนุ่มมีจีบก็หวงพี่สาวขึ้นมาเสียอย่างนั้น “นั่นสินะ นักแสดงละครไทย คงไม่สนใจการ์ตูนต่างโลก เลยไม่รู้เรื่องอะไรเลยสินะ”
“มันก็ใช่แหละกฤษ” ชายหนุ่มยอมรับ “เอาจริง ๆ พี่เคยดูการ์ตูนแค่ตอนสมัยเด็กที่เขาเอามาฉายตอนเช้าเท่านั้นแหละ หลังจากนั้นก็ไม่เคยดูเลย”
“ฟังดูเป็นวัยเด็กที่รันทดจัง…” กฤษเบ้ปาก
“ก็ไม่รันทดขนาดนั้นหรอก สมัยนั้นพี่เริ่มเรียนดนตรี ก็เลยสนใจแต่เรื่องดนตรีน่ะ การ์ตูนที่เคยดูเลยไม่ค่อยจำหรอก” คิมหันต์เล่าให้ฟัง “มันไม่ได้แย่หรอกนะที่วัยเด็กมีกิจกรรมอะไรมากกว่าอ่านการ์ตูนน่ะ”
รู้สึกเหมือนโดนแทงใจดำยังไงไม่รู้… กฤษคิด เพราะตัวเขาเองนั้นตรงกันข้ามกับชายหนุ่มตรงหน้า แม้ว่าตลอดชีวิตสิบกว่าปีของเขาจะมีการ์ตูนเป็นเพื่อนคู่กาย แต่เขากลับไม่มีทักษะอื่นใดนอกจากวาดการ์ตูน กลายเป็นว่าเขาเริ่มอิจฉาชีวิตของคิมหันต์เสียแล้ว ที่ชีวิตได้ทำกิจกรรมหลากหลาย และสามารถเลือกคุณค่าของตัวเองได้จากสิ่งที่ชอบหนึ่งในหลาย ๆ อย่างนั้น
เทียบกับเขาแล้ว ต้นทุนของเขามีแค่การ์ตูนเท่านั้น…
ชีวิตคนเรามีต้นทุนไม่เท่ากันจริง ๆ สินะ…
แม้แต่มาต่างโลกที่เป็นเหมือนเซฟโซนสำหรับกฤษ ยังโดนชิงตำแหน่งผู้กล้าไปด้วยซ้ำ…
“แล้วหลังจากนี้เราจะเอายังไงต่อดี” คิมหันต์กล่าวอย่างจนใจ
“คงต้องรอให้พระราชาเรียกตัวไปทำภารกิจ… ตอนนี้คงทำได้แต่รอ”
“นั่นน่ะสินะ…”
ก็อก ๆ ๆ
กล่าวคำยังไม่ทันจบดีของคิมหันต์ เสียงเคาะประตูบ้านก็ดังขึ้น
“ท่านผู้กล้าขอรับ กรุณาเปิดประตูด้วยขอรับ” เสียงชายผู้หนึ่งดังขึ้นด้านนอก ทั้งคิมหันต์และกฤษลุกขึ้นโดยอัตโนมัติ
ทั้งสองสบตากันทีหนึ่ง สิ่งที่พวกเราเพิ่งจะกล่าวถึงมาเร็วกว่าที่คิด
คิมหันต์เดินไปยังประตู เมื่อเปิดออก ก็พบอัศวินผู้หนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าประตู เขายังดูหนุ่มแน่น เหมือนเพิ่งเป็นอัศวินได้ไม่นาน บนใบหน้ามีรอยแผลเป็นจาง ๆ บริเวณหน้าผากด้านขวา ถึงจะดูยังเด็ก แต่คงตัดสินประสบการณ์จากรูปลักษณ์ภายนอกไม่ได้สินะ
เมื่อเห็นผู้กล้า อัศวินหนุ่มก็ยืนตรง แล้วโค้งทีหนึ่ง
“ยินดีต้อนรับผู้กล้าขอรับ กระผมชื่ออัสเวล รับหน้าที่ติดตาม และดูแลท่านผู้กล้าขอรับ”
“ยินดีที่ได้รู้จักอัสเวล ชั้นชื่อคิม ฝากตัวด้วยนะ” คิมหันต์ตอบกลับด้วยรอยยิ้มเมตตา
“กระผมได้รับโองการจากพระราชา มาเชิญท่านไปเข้าเฝ้าขอรับ” อัสเวลเข้าประเด็นทันที
“ตอนนี้หรอ?” คิมหันต์งุนงง เขาเพิ่งจะมาถึงบ้านได้ไม่นาน ก็ถูกเรียกตัวไปอีกแล้วงั้นหรือ
“ขอรับ ตอนนี้เลย” อัศวินหนุ่มตอบ
ผู้กล้าหันไปสบตากับตัวแถมของเขาทีหนึ่ง แล้วจึงพยักหน้าให้อีกฝ่ายไปด้วยกัน
กฤษนั้นไม่ปฏิเสธอยู่แล้ว การได้ศึกษาเกี่ยวกับต่างโลกเป็นสิ่งที่เขาใฝ่ฝันมาตลอดชีวิต ขอเพียงไม่โดนจับขังคุกอีก แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว
ทั้งสองกำลังจะก้าวเท้าออกจากบ้าน เสียงของอัสเวลก็ดังขึ้นเสียก่อน “เดี๋ยว!!”
คิมหันต์ และกฤษชะงัก “พระราชาเชิญแค่ท่านผู้กล้าเท่านั้น คนรับใช้ที่เป็นตัวแถมไม่มีสิทธิ์เข้าเฝ้า!”
เด็กหนุ่มตัวชาวูบ นอกจากจะโดนเหยียดแล้ว ยังโดนกีดกันด้วยอย่างนั้นหรือ
ผู้กล้าหนุ่มหันมองกฤษด้วยสายตากังวล ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่สู้ดี “ไม่เป็นไรหรอกกฤษ เดี๋ยวพี่กลับมาเล่าให้ฟังเอง”
กฤษพยักหน้ารับ เขามองสีหน้าทีเดียวก็รู้ว่าคิมหันต์ไม่ได้เป็นห่วงเขา แต่กำลังกังวลที่ต้องไปเพียงลำพังต่างหาก บางครั้งผู้กล้าก็ควรรับมือกับพระราชาให้ได้ คิมหันต์ควรฝึกเอาไว้ แม้ว่าตัวเขาจะเสียดาย แต่ก็จำเป็นต้องให้อีกฝ่ายไปเรียนรู้ด้วยตัวเอง
“ถ้าเช่นนั้น ขอเชิญขอรับท่านผู้กล้า” อัศวินหนุ่มผายมือ คิมหันต์จึงเดินออกจากบ้านไป
ประตูบ้านปิดลงแล้ว
ทว่าความกังวลยังไม่จางหายไป
มีอะไรบางอย่างทำให้กฤษไม่สบายใจ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับเขารบกวนจิตใจเขามากกว่า
หากเป็นเช่นนี้ต่อไป… คงจะอยู่ยากเป็นแน่…
____________________________