บทที่ 3 ชีวิตใหม่
ก่อนที่เธอจะทันตั้งคำถามอะไรต่อ เสียงฝีเท้าที่เร่งรีบก็ดังมาจากด้านนอก หญิงสาวที่บอกว่าตัวเองเป็นนางกำนัลรีบหันไปมอง ก่อนจะหันกลับมาหาเฟยเฟย
“พระสนมเพคะ... ศาลาในตำหนักของพระสนมถูกจุดไฟเพคะ ขันทีกำลังพยายามดับเพลิงอยู่ แต่สถานการณ์ยังไม่สงบดีเพคะ”
เฟยเฟยยังคงสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัว เธอรู้สึกเหมือนถูกผลักให้ต้องเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ที่ไม่รู้จัก
“ศาลาของฉัน..ไม่ใช่สิ ของข้าเหรอ” เธอพูดอย่างไม่เชื่อ แต่ก็ลุกขึ้นตามแรงกระตุ้นภายในใจที่ทำให้หญิงสาวเริ่มอยากรู้อยากเห็นมากขึ้น ว่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นตอนนี้เป็นความจริงหรือเพียงแค่ความฝัน
นางกำนัลรีบพาเฟยเฟยเดินออกจากห้องไปยังศาลาที่เกิดเหตุ ท่ามกลางความมืดสลัวของค่ำคืน เฟยเฟยสังเกตเห็นว่ารอบ ๆ ตำหนักนี้เงียบสงัดอย่างน่าประหลาด เมื่อเทียบกับความคึกคักที่เธอเคยเห็นในซีรีส์โบราณที่ชอบดู
เมื่อมาถึงศาลา เฟยเฟยเห็นขันทีคนหนึ่งกำลังใช้ถังไม้ตักน้ำจากสระใกล้ ๆ เพื่อดับไฟที่กำลังมอดลง กลิ่นควันยังคงตลบอบอวล และแสงไฟยังคงสะท้อนในสายตาของทุกคนที่อยู่ในที่เกิดเหตุ
หญิงสาวเพิ่งรู้ตอนนี้ว่า เสียงฝีเท้าที่ได้ยินนั้นเป็นของกลุ่มทหารองครักษ์ทุกคนไปช่วยขันทีคนนั้นดับไฟซึ่งมันก็ดับลงอย่างรวดเร็ว
ในความมึนงง เฟยเฟยหันไปเห็นหญิงสาวคนหนึ่งในชุดที่ดูสง่างามและดูสูงส่ง บ่งบอกให้รู้ว่าอีกฝ่ายจะต้องมีฐานะไม่ธรรมดา อีกฝ่ายเดินเข้ามาพร้อมกับนางกำนัลและขันทีของตน ใบหน้าของคนผู้มาใหม่นั้นเต็มไปด้วยความมั่นใจและความเย่อหยิ่งอย่างเห็นได้ชัด
“กุ้ยเฟย ท่านคงไม่ได้ระวังให้ดีกระมังถึงได้ทำศาลาไหม้เสียหายเช่นนี้ หากตำหนักนี้เกิดไฟไหม้ใหญ่ขึ้นมา มันคงเป็นเรื่องใหญ่ต่อฮ่องเต้แน่ ๆ ...ถ้าไฟลามไปทั่ว” น้ำเสียงเย้ยหยันและแฝงด้วยความหวังดีที่จอมปลอมทำให้เฟยเฟยรู้ชัดว่าอีกฝ่ายไม่ได้หวังดีและต้องการให้เธอกลายเป็นคนผิดในเหตุการณ์ครั้งนี้
เฟยเฟยมองไปยังหญิงผู้นั้นด้วยสายตางุนงง
“กุ้ยเฟย...” เฟยเฟยทวนคำและยิ่งสับสนเข้าไปใหญ่เมื่อเห็นว่าทุกคนดูจะรู้จักเธอ แต่เธอกลับไม่รู้จักพวกเขาเลยแม้แต่นิด ถ้าหากนี่เป็นการย้อนเวลาอะไรอย่างนั้นจริง เธอก็ควรจะได้ความทรงจำของเจ้าของร่างเก่ามาด้วยไม่ใช่หรือไงแต่นี่กลับว่างเปล่า เมื่อไม่รู้จะทำเช่นไรก็ลองต่อปากต่อคำกับคนตรงหน้าไปสักทีเผื่ออะไรอะไรจะได้ชัดเจนขึ้น
“ทำไมเจ้าถึงกล้ากล่าวหาข้าเช่นนี้” เฟยเฟยพูดเสียงเย็นพลางพยายามเก็บอาการงงงวยที่ซ่อนอยู่ในใจ
“มิได้กล่าวหาก็แค่แสดงความเห็นเท่านั้น ถึงท่านจะเป็นถึงกุ้ยเฟยแต่ปล่อยให้ตำหนักที่ฮ่องเต้พระราชทานเกิดไฟไหม้กลางดึก เช่นนี้ไม่ควรถือว่าท่านขาดความ รับผิดชอบหรอกหรือ”
เฟยเฟยหรี่ตามองอีกฝ่ายอย่างเฉียบคม แม้จะงุนงง แต่ความฉลาดของเธอก็พอจะเห็นช่องว่างของแผนการบางอย่างตรงหน้า
“แล้วเจ้า...” นางกำนัลคนสนิทกระซิบที่ข้างหูว่าคนนี้คือหนิงเฟย จึงทำให้หญิงสาวจัดการขึ้นง่ายไปอีก “หนิงเฟย...เจ้าคงจะเคารพตำแหน่งของเราที่ต่างกันสินะ มาหาข้าในยามดึกเช่นนี้ แต่เจ้าก็แต่งเต็มยศทั้ง ๆ ที่เหตุการณ์ชุลมุน แม้แต่ตัวข้าเองยังออกมาดูเพียงสวมชุดไม่กี่ชิ้น นี่มิใช่เตรียมการไว้ล่วงหน้าแล้วหรือ”
คำของเฟยเฟยทำให้หัวหน้ากองทหารองครักษ์ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ หันมองอย่างสงสัย ก่อนหน้านี้เป็นเพราะเหตุการณ์จึงไม่ได้ทันคิด แต่ก็เป็นจริงอย่างกุ้ยเฟยว่า ถึงจะรีบแค่ไหนก็คงไม่มีเวลาให้แต่งตัว แล้วเมื่อเห็นว่ากุ้ยเฟยแต่งกายไม่เรียบร้อยจึงสั่งองครักษ์ทุกคนให้ก้มหน้าไม่ให้มองร่างกายของพระสนมคนโปรดของฮ่องเต้โดยตรง
“ขออภัยพระสนม หน่วยองครักษ์ของกระหม่อมจะจัดการสืบสวนเหตุการณ์นี้อย่างละเอียดอีกครั้ง” องครักษ์หนุ่มเอ่ยพลางมองหน้าหนิงเฟยด้วยแววตาที่เริ่มเปลี่ยนไป ก่อนจะออกไปพร้อมกับบรรดาคนของตน ทิ้งเอาไว้เพียงขันทีน้อยที่ต้องเหนื่อยหอบยืนมองศาลาที่ไม่เหลือความงดงามแบบเดิม
เฟยเฟยมองเห็นท่าทางของหนิงเฟยที่เริ่มกังวลด้วยสายตากดดัน “งั้นคงเป็นข้าที่เข้าใจผิดไปเอง เช่นนั้นข้าคงไม่รบกวนพระสนมแล้ว ขอพระสนมพักผ่อนให้เพียงพอ” หนิงเฟยชักสีหน้าไม่พอใจก่อนจะสะบัดหน้าเดินกลับไปยังตำหนักตน
และถึงแม้คำพูดของหนิงเฟยจะดูไม่มีอะไรแล้ว แต่แววตาของอีกฝ่ายก็ยังคงเต็มไปด้วยความไม่พอใจอย่างชัดเจนจนเฟยเฟยถึงกลับย่นหน้าใส่
ค้อนใส่กันขนาดนั้นต่อให้เธอออกกระดาษก็คงไม่ชนะหรอก
เมื่อหนิงเฟยถอยออกไป เฟยเฟยก็หันกลับมาถามนางกำนัลที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ “ข้าคือใคร... และนี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
และแม้ว่านี่จะเป็นคำถามที่แปลกประหลาดแต่จูหลิงก็พร้อมจะตอบทุกอย่างให้กับเจ้านายของตน “พระสนม... ท่านคือกุ้ยเฟย พระสนมเอกของฮ่องเต้ และตำหนักนี้คือตำหนักหลิงอันของท่านในพระราชวัง...”
จูหลิงสาวใช้ที่ติดตามเข้ามาจากตระกูลเก่าได้ เพราะครั้งหนึ่งจางกุ้ยเฟยเคยเป็นพระสนมที่ได้รับการโปรดปรานเล่าทุกอย่างให้กับนายของตนได้ฟัง ไม่ว่าจะเป็นบิดามารดาของหญิงสาวที่เป็นเพียงคหบดีเท่านั้น ไม่ได้เป็นขุนนางใหญ่โตอะไร
หรือแม้กระทั่งเหล่าพระสนมที่รวมหัวกันรังเกียจเดียดฉันท์จางกุ้ยเฟยด้วยสาเหตุต่าง ๆ กัน นางกำนัลตัวน้อยก็เล่าบอกมาหมด ไม่เว้นแม้กระทั่งขันทีเพียงหนึ่งเดียวที่อยู่ในตำหนักนี้เพราะความภักดีที่หญิงสาวเคยช่วยชีวิต
ยิ่งได้ฟังเฟยเฟยก็รู้สึกว่าตนเองทั้งโชคดีและโชคร้าย แม้จะมีตำแหน่งใหญ่โตแต่ดูเหมือนในตอนนี้หญิงสาวจะไม่ได้เป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้แล้ว สาเหตุดูเหมือนจูหลิงจะไม่กล้าเอ่ย ก็ไม่เป็นไรเฟยเฟยคิดว่าตัวเองคงตามหาได้ไม่ยาก
หญิงสาวถอนหายใจ ความรู้สึกตอนนี้ตีกันมั่วไปหมด ทั้งตกใจ แปลกใจ และยินดี “อย่างน้อยก็ไม่ต้องคิดมากเรื่องที่ทำงาน แต่ต้องมาคิดมากเรื่องในวังนี่แทน”
“พระสนมว่าอะไรนะเพคะ” เฟยเฟยส่ายหน้าก่อนจะทิ้งตัวลงนอน “พรุ่งนี้ค่อยเริ่มกันใหม่ก็แล้วกัน
บทที่ 4 ตำหนักเย็นเฟยเฟยนั่งอยู่ในศาลาเล็กภายในสวนตำหนักของเจ้าของร่างเดิม แสงแดดยามเช้าอาบผ่านใบไม้ที่ปลิดปลิวลงมาจากต้นไม้ใหญ่ สายตาคมของหญิงสาวมองไปที่ศาลาอีกหลัง ที่ยังคงมีร่องรอยเผาไหม้อยู่ไกล ๆ บรรยากาศที่นี่ดูสงบแต่ใจของเธอกลับไม่สงบตามไปด้วย ชีวิตใหม่ในร่างของกุ้ยเฟยไม่ใช่สิ่งที่เธอเคยคาดคิดไว้ เธอคิดว่าจะได้ไปเมาให้หายเครียดก่อนจะหางานใหม่ต่างหากการเป็นพระสนมเอกดูเหมือนจะนำมาซึ่งอำนาจและความสุขสบาย แต่ในความเป็นจริง ชีวิตของเธอกลับเต็มไปด้วยความโดดเดี่ยวและความกดดัน“นี่มันไม่ใช่สิ่งที่คิดไว้เลย...จะโดนฆ่าเมื่อไรก็ไม่รู้” เธอพึมพำกับตัวเอง สายตามองไปยังสวนที่เงียบเหงา สถานที่ที่ควรจะเต็มไปด้วยคนรับใช้และของประดับหรูหรา กลับเหลือเพียงความว่างเปล่าเฟยเฟยพยายามปรับตัวกับชีวิตในตำหนักที่ถูกลดความสำคัญจนแทบไม่มีใครเหลียวแล เหลือเพียงแค่สาวใช้เพียงคนเดียวและขันทีชั้นผู้น้อยที่คอยดูแลเธอ แม้ทั้งสองจะซื่อสัตย์และนอบน้อม แต่ความเป็นอยู่ของเธอก็เรียกว่ายังต่ำกว่าที่ควรจะเป็นในฐานะกุ้ยเฟย “พระสนมเพคะ วันนี้ของที่นำมาจากคลังหลวงถูกยึดไปอีกแล้วเพคะ” สาวใช้รายงานด้วยเสียงอันเศร้าสร้อย
บทที่ 5 สวมบทกุ้ยเฟยจะไปยากอะไรเฟยเฟยนั่งคิดทบทวนถึงสิ่งที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่เธอตื่นขึ้นมาในร่างใหม่ แม้จะชอบกับชีวิตใหม่แต่ก็ยังมีความรู้สึกสับสนอยู่บ้างกับการเป็นพระสนมเอกในบริษัทว่ามีการต่อสู้ขัดแข้งขัดขาแล้ว ในพระราชวังนี่กลับเต็มไปด้วยการแก่งแย่งชิงดียิ่งกว่าและเมื่อดูจากการกลั่นแกล้งเล็กน้อยที่เธอได้รับอยู่เรื่อย ๆ มันก็ทำให้เฟยเฟยรู้ว่าเส้นทางนี้ไม่น่าจะง่าย แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่คิดจะยอมแพ้หรอก อย่างน้อยอยู่ที่นี่ก็แค่กิน ๆ นอน ๆ และหาทางเอาตัวรอดไปวัน ๆ ก็เท่านั้น ไม่ต้องปากกัดตีนถีบทำงานหัวฟูแต่ไม่รู้ว่าผลตอบแทนจะคุ้มไหมเพียงแต่สิ่งที่เธอยังสงสัยคือเพราะอะไรเธอถึงได้มาอยู่ที่นี่ แทนที่หญิงสาวที่รูปร่างบอบบางคนนี้ “แต่อย่างไรก็มาแล้ว... ต่อให้เป็นใครก็มาเถอะ นี่ใคร เฟยเฟยนะ จะไม่ยอมให้ใครมากดขี่ข่มแห่งได้อีกแน่ ๆ” หญิงสาวพูดกับตัวเองเบา ๆ พลางมองออกไปนอกหน้าต่าง สายลมเย็นพัดผ่านเข้ามาเป็นสัญญาณราวกับตอบรับคำที่เธอพูดและถึงแม้สถานการณ์ของจางกุ้ยเฟยอย่างเธอจะไม่ดีนักในตอนนี้ แต่เธอก็ยังมีความหวังว่าเธอจะทำให้มันดีขึ้นได้เพราะตอนนี้สิ่งที่เฟยเฟยมีมากที่สุดคือเวลา หญิง
บทที่ 6 การเปลี่ยนแปลงหลังจากรู้สถานะที่ชัดเจนของตัวเองจากบันทึกของเจ้าของร่างแล้ว แทนที่เฟยเฟยจะเครียด นางกลับใช้ชีวิตอย่างมีความสุขขึ้นกว่าเก่า หญิงสาวออกไปเดินเล่นในสวนอย่างผ่อนคลาย ไม่ได้ระแวดระวังเหมือนก่อนหน้า ดอกไม้หลากสีสันที่บานสะพรั่งส่งกลิ่นหอมอ่อน ๆ ออกมา ทำให้เฟยเฟยรู้สึกสบายใจแม้จะยังรู้สึกโดดเดี่ยวอยู่บ้าง เพราะข้างกายนางนอกจากจูหลิงและขันทีน้อยก็ไม่มีใครกล้าขยับเข้ามาใกล้ ถึงมาก็เหมือนต้องการจะหาเรื่องหรือกลั่นแกล้งนางมากกว่า แต่พอเห็นว่านางสู้กลับที่เหลือก็ดูจะถอยออกไป ยกเว้นเพียงแต่...“คนผู้นั้นคือใครกัน” เฟยเฟยถามจูหลิงที่ก้มหน้าก้มตาไม่กล้าเอ่ยถึงอีกฝ่าย และดึงนายหญิงของตัวเองอย่างกุ้ยเฟยให้กลับที่พัก“ทำไมล่ะ” จูงหลิงส่ายหน้า นางจำได้ดีว่าชายคนที่พระสนมถามถึงคือใคร แต่ช่วงนี้อาการเศร้าซึมของพระสนมหายไปแล้ว แม้จะแทนที่ด้วยอาการหลง ๆ ลืม ๆ แต่ก็ดูมีความสุขในชีวิตแต่ละวัน นางไม่อยากให้นายหญิงของตนกลับไปเป็นคนอมทุกข์อีก“ท่านผู้นั้นพระสนมไม่ควรพบเพคะ” จูหลิงตัดสินใจเอ่ยออกไป กุ้ยเฟยได้ยินก็ทำหน้าสงสัยก่อนหน้านี้นางรู้สึกสะดุดตากับร่างสูงของชายคนหนึ่งที่ยืนอยู่ใต
บทที่ 7 ข่าวลือ“พระสนมเพคะ เพราะวันนั้นที่พระสนมเจอกับองค์ชายทำให้เกิดข่าวลือ ลือกันไปทั่วทั้งพระราชวังชั้นนอกและชั้นในแล้วนะเพคะ” จูหลิงสาวใช้คนสนิทเอ่ยพลางมองจางกุ้ยเฟยด้วยสีหน้าเป็นห่วง เพราะครั้งก่อนที่เป็นเช่นนี้นายหญิงของนางเก็บตัวอยู่แต่ในห้องนอนไม่กินไม่นอนจนเป็นไข้ไปหลายวัน แต่ครั้งนี้กลับต่างออกไป“ข้ารู้ดี” เฟยเฟยตอบอย่างเรียบเฉย “แต่ข้าไม่มีเวลาจะไปสนใจเรื่องพวกนั้นหรอก เรื่องที่ควรสนใจคือราชองครักษ์คนนั้นเอาของคืนกลับมาให้พวกเราได้หมดหรือยังต่างหาก” จูหลิงถึงกลับถอนหายใจ “ก็มีบ้างที่ถูกทำลายไปจึงเอากลับมาไม่ได้ แต่ตามที่ข้าเขียนไปเขาก็ช่วยตามกลับมาให้จนเกือบครบแล้วเพคะ”“ดี ดีมาก อะไรแตกหักไปแล้วก็ช่าง แต่อะไรที่เป็นสิทธิของเราต้องไม่ให้ใครเอาไปรู้ไหม” กุ้ยเฟยพูดก่อนจะหันกลับไปจัดตำหนักของตนเองตามปกติ หญิงสาวเลือกของใช้ต่าง ๆ ที่สามารถหามาได้เพื่อปรับปรุงให้ห้องของนางสะดวกสบายและสวยงามมากยิ่งขึ้นในแบบที่นางชอบ นางสั่งให้สาวใช้ช่วยหาผ้าไหมเนื้อดีมาตกแต่งประตูและหน้าต่าง จัดดอกไม้สดใหม่ไว้ตามมุมห้อง และจัดเตรียมชุดน้ำชาชั้นดีไว้รับแขกยามจำเป็น ซึ่งก็แทบจะไม่มีแขกกุ้ยเฟย
บทที่ 8 รักแต่เอื้อมไม่ถึงตั้งแต่วันที่หลี่อวิ๋นได้พบกับจางกุ้ยเฟยอีกครั้ง เขาก็เริ่มแอบมาหานางที่ตำหนักกุ้ยเฟยอยู่บ่อย ๆ ด้วยการปลอมตัวเป็นราชองครักษ์ เพื่อไม่ให้เป็นที่จับตามองจากทุกคนถึงอีกฝ่ายจะมองเขาเป็นเพียงแค่คนรู้จักหรือจะแกล้งทำเป็นไม่สนใจ แต่ในใจของเขาหญิงสาวก็ยังเป็นคนที่เขาต้องการมาเป็นชายา หากวันนั้นเขากลับมาจากชายแดนทัน เสด็จพ่อก็คงจะไม่รับนางเข้าวัง แต่ในเมื่อรับเข้ามาแล้ว เขาจึงทำได้เพียงแค่แอบมองเท่านี้แม้จะรักอีกฝ่ายมากแค่ไหนแต่เขาก็ไม่คิดที่จะแย่งของของบิดาตน แต่ไม่นึกว่าเพียงแค่มอง พบหรือพูดคุยบ้างก็ทำให้อีกฝ่ายต้องลำบากเสียแล้วที่จริงก็ผิดที่เขาตั้งแต่ต้น เขาแค่ยึดติดกับคำพูดที่เคยเอ่ยเล่น ๆ ยามเป็นเด็ก ที่บอกจะรับอีกฝ่ายเป็นชายา และตอนที่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพระสนมก็ตั้งใจจะตัดใจแล้วแท้ ๆ แต่เมื่อวันก่อนตอนที่ได้เจอ ใจของเขากลับดังจนแทบจะทะลุอกออกมา หากตอนนี้เสด็จพ่อถามเขาอีกครั้งว่ารักนางหรือไม่ เขาคงตอบได้เต็มปากกว่าครั้งก่อนทางด้านกุ้ยเฟย แม้จะไม่ได้รู้สึกอะไรเป็นพิเศษกับองค์ชายหลี่อวิ๋น ถึงจะรู้สึกคุ้นเคยแต่ก็เท่านั้น นางคิดว่านี่คงเป็นเพราะร่างกายเจ้าของเด
บทที่ 9 สงบสุขที่ไม่ได้แปลว่าสงบสุขข่าวการใช้ชีวิตอย่างสงบสุขไม่สนข่าวลือของจางกุ้ยเฟยเริ่มกระจายไปทั่ววังหลวง และมันทำให้สนมเจินไม่พอใจอย่างมาก นางเก็บความโกรธไว้ไม่อยู่ เมื่อเห็นว่าผู้คนเริ่มหันมามองกุ้ยเฟยในแง่ดีซึ่งนั่นไม่ใช่สิ่งที่สนมเจินต้องการทั้งที่เคยคิดว่าจางกุ้ยเฟยคงจะเป็นหญิงสาวอ่อนแอและอยู่ได้ไม่นานนักในวังหลัง ดูเหมือนตอนนี้ที่เคยคิดเอาไว้จะผิดไปเสียทั้งหมด “ถ้าแค่นี้ทนได้ก็ทนต่อไปอีกหน่อยก็แล้วกัน” เช้าวันถัดมาขณะที่เฟยเฟยกำลังนั่งอยู่ในสวน สนมเจินก็เข้ามาหาโดยมีนางกำนัลคนสนิทและขันทีเดินตามเข้ามาติด ๆ หญิงสาวกรีดยิ้มอย่างน่ากลัวก่อนจะเอ่ยทักทายอย่างเป็นมิตรแต่แฝงไปด้วยคำพูดจาเหน็บแนม"ตำหนักของจางกุ้ยเฟยช่างเงียบเหงาเสียจริง ๆ นะ นางกำนัลและขันทีหายไปไหนกันหมดหรือ นี่พระสนมคงไม่ต้องกวาดถูตำหนักเองกระมัง” สนมเจินเอ่ยด้วยรอยยิ้มที่แฝงความเยาะเย้ยแต่เฟยเฟยที่ได้ฟังกลับยิ้มเรียบๆ "ตำหนักของข้าเงียบก็จริง แต่ก็สงบใจดีไม่วุ่นวายเท่านั้น อ้อ แต่ก็เพิ่งวุ่นวายเมื่อครู่ เสียงคล้ายนกร้องบาดแก้วหู ดูเหมือนจะเป็นตอนที่พระสนมเข้ามากระมัง" แม้จะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใครแต่ปากคอแบ
บทที่ 10 นางเปลี่ยนไปค่ำคืนที่เงียบสงบ เหล่าข้าราชบริพารต่างทำหน้าที่ของตน นางกำนัลและขันทีไม่ได้เดินกันขวักไขว่เท่ากับตอนกลางวัน จึงทำให้หลี่อวิ๋นที่อยู่ในชุดราชองครักษ์เดินไปมาได้อย่างสบายใจและไม่มีใครสังเกตและสงสัยตัวเขาแน่นอนว่าหลี่อวิ๋นรู้ว่าราชองครักษ์ตัวจริงจะเดินมาถึงตรงนี้เมื่อไร ในเมื่อตารางการตรวจตราอยู่ในมือจึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะใช้ช่วงเหล่านั้นแอบเข้าไปในตำหนักจางกุ้ยเฟยชายหนุ่มแอบเดินเข้าไปข้างในตำหนักที่ค่อนข้างเงียบกว่าตำหนักอื่น ชายหนุ่มคอยสังเกตความเคลื่อนไหวรอบข้างให้แน่ใจว่าไม่มีผู้ใดติดตาม หลี่อวิ๋นขยับตัวเข้าไปใกล้เฟยเฟยที่นั่งอยู่ในสวนริมน้ำของตนอย่างแผ่วเบา รอบกายของนางไม่มีแม้แต่นางกำนัลหรือขันที ซึ่งต่างจากเมื่อก่อนที่จูหลิงและขันทีน้อยจะประกบติดนายหญิงของตนเสมอเมื่อมั่นใจว่าที่ตรงนี้มีเพียงแค่เขากับหญิงสาวอยู่กันตามลำพัง หมวกราชองครักษ์ก็ถูกถอดออกเพื่อให้เห็นใบหน้าของคนด้านในชัดเจนขึ้น"มาอีกแล้วหรือ มีธุระอันใดจึงมาหาข้าถึงตำหนักเช่นนี้เล่า"หลี่อวิ๋นยิ้มและก้าวเข้าไปใกล้อีกฝ่ายมากขึ้น เฟยเฟยเงยหน้าขึ้นสบตาเขาแม้แววตาของนางจะสงบนิ่งแต่ก็มีความสงสัยแฝง
บทที่ 11 ช้าไปแสงจันทร์ส่องผ่านม่านบังลมในตำหนักบูรพาขององค์รัชทายาท ผู้ที่เพิ่งกลับมาหลังจากปลอมตัวเพื่อออกไปหาจางกุ้ยเฟยในยามดึก ชายหนุ่มถอนหายใจพลางปลดชุดราชองครักษ์ออกและสวมชุดรัชทายาทเช่นเดิม เขาเดินไปนั่งที่โต๊ะไม้แกะสลักที่ติดกับบานหน้าต่างใต้ต้นไม้ใหญ่ มองดูใบไม้ร่วงหล่นลงมาตามสายลมที่พัดผ่าน ราวกับเป็นสัญญาณแห่งความผันแปรที่เขาไม่อาจควบคุมได้หลี่อวิ๋นคิดถึงคำพูดของเฟยเฟยอีกครั้ง ‘ท่านเองก็ระวังตนด้วย อย่าให้ใครจับได้ว่ามาหาข้าถึงตำหนักในยามดึกดื่นเช่นนี้ จะได้ไม่ต้องลำบากตัวเองเพราะข้าอีก ลำพังข้าเคยชินเสียแล้ว’ คำเตือนของนางก้องอยู่ในความคิด ชายหนุ่มยิ้มน้อย ๆ เขารู้สึกยินดีที่หญิงสาวเป็นห่วง แม้ในใจลึก ๆ จะรู้ดีว่าความสัมพันธ์นี้เต็มไปด้วยความเสี่ยง แต่ทุกครั้งที่ได้พบกับเฟยเฟย เขากลับรู้สึกเหมือนความรู้สึกที่เคยแสนอ้างว้างกลับมีสีสันขึ้นมาอีกครั้งมือแกร่งเอื้อมไปหยิบสุราในไหเล็กขึ้นมาเทใส่จอก ก่อนจะยกดื่มช้า ๆ เขาปล่อยให้รสขมและร้อนแผ่ซ่านไปในลำคอ ขณะเดียวกันปล่อยให้ความคิดความทรงจำในอดีตย้อนกลับคืนมา ภาพของหญิงสาวในวัยเด็กที่พูดคุยวิ่งเล่นกับเขามันบริสุทธิ์และสดใส
บทที่ 30ไม่นานหลังจากนั้น ตัวแทนของบริษัทก็เข้ามาพบเธอ พวกเขาอธิบายถึงเงินชดเชยที่เธอจะได้รับเพื่อไม่ให้ฟ้องร้องบริษัท แม้จะรู้ว่าเป็นหัวหน้างานที่ทำผิด แต่บริษัทก็ต้องรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น“เราขอโทษจริง ๆ ครับสำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นกับคุณ” ตัวแทนกล่าวด้วยน้ำเสียงขอโทษ “เราหวังว่าคุณจะยอมรับเงินชดเชยนี้และพักฟื้นอย่างสบายใจ”เฟยเฟยมองเงินก้อนโตที่อยู่ตรงหน้า เธอรู้ว่าการตัดสินใจในวันนี้จะส่งผลต่ออนาคตของเธอ ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจรับเงินก้อนนั้นไว้เพื่อไม่ให้ฟ้องบริษัท และเพื่อใช้เวลาพักผ่อนกับตัวเอง “ขอบคุณค่ะ” เธอพูดออกมาด้วยน้้ำเสียงเด็ดขาดราวกับยังคงอยู่ในยุคโบราณเฟยเฟยใช้เวลาพักฟื้นในโรงพยาบาลพักใหญ่ ก่อนที่หมอและพยาบาลจะปล่อยให้เธอกลับบ้าน เธอตัดสินใจที่จะไม่กลับไปทำงานที่บริษัทนี้อีก เธออยากเริ่มต้นใหม่ แต่ก่อนหน้านั้นเธอจะต้องพยายามอยู่กับปัจจุบันให้ได้ซะก่อน ในทุกคืนหญิงสาวยังคงฝันถึงชายหนุ่มคนรักที่ห่างกับเธอตอนนี้เป็นร้อยเป็นพันปี เธอมั่นใจว่าเขาจะต้องเสียใจมากแน่ ๆ กับการจากมาของเธอเฟยเฟยออกไปซื้อด้ายและผ้ามาทำผ้าเช็ดหน้า เธอไม่เคยทำพวกนี้ได้ แต่ตอนนี้กลับทำม
บทที่ 29บั้นปลายชีวิตของหลี่อวิ๋น เขาสละราชบัลลังก์ให้กับน้องชายและใช้ชีวิตอยู่ที่สุสานของฮองเฮาเพียงคนเดียวของเขาสุสานแห่งนี้มีขนาดใหญ่โต สร้างขึ้นจากหินอ่อนสีขาวสะอาดตา มีการแกะสลักลวดลายดอกไม้บานสะพรั่งรอบ ๆ เหมือนสวนของพวกเขา เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งความรักและความทรงจำ หลี่อวิ๋นเลือกสถานที่นี้เพราะมันตั้งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติสวยงาม มีดอกไม้หลากหลายชนิดบานสะพรั่งรอบ ๆ ราวกับว่าดอกไม้เหล่านั้นก็รู้ดีถึงความรักที่เขามีต่อเฟยเฟยจึงผลัดกันบานไม่เคยหยุด “เฟยเฟย...” เสียงที่เคยหนุ่มกลับแหบแห้งและขาดหายแบบคนมีอายุ เขายังคงจดจำรอยยิ้มของนางอันเป็นที่รักได้ “ข้าคิดถึงเจ้าเหลือเกิน แม้จะไม่อยากรบกวนเจ้าแต่ก็อดไม่ได้ที่จะมานั่งอยู่ตรงนี้”เขานั่งอยู่กับสุสานนานหลายชั่วโมง น้ำตาที่รินไหลลงมาบนแก้ม กลายเป็นน้ำตาที่ซึมซาบลงไปในดินที่รอบ ๆ สุสาน มือที่แห้งเหี่ยวปัดฝุ่นบนจารึกหินอ่อนและยิ้มจาง ๆ “อีกไม่นานข้าก็คงจะตามไปเจอเจ้าแล้วไม่ว่าที่ไหนก็ตาม” วันนั้นหลี่อวิ๋นไม่ได้กลับออกไปจากสุสาน เขายังคงอยู่ที่สุสานแห่งนี้ สถานที่ที่เต็มไปด้วยความรักและความเจ็บปวดของเขาร่างของอดีตฮ่องเต้ถูกพบหลังจากน
บทที่ 28ช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกันทำให้หลี่อวิ๋นและเฟยเฟยเข้าใจว่าแม้จะมีอุปสรรคใด ๆ แต่หากพวกเขาอยู่เคียงข้างกันก็จะสามารถก้าวข้ามไปได้อย่างมีความสุขโดยไม่คิดเลยว่าเรื่องราวมันจะบานปลายไปได้ถึงเพียงนี้แม้ทุกคนจะรู้ว่ามีการต่อต้านเฟยเฟยอย่างรุนแรง แต่ไม่มีใครคาดคิดว่าความเกลียดชังจะนำไปสู่การทำร้ายถึงชีวิตได้ หลี่อวิ๋นระแวดระวังทุกย่างก้าวของเฟยเฟย เพราะรู้ดีว่ามีภัยซ่อนเร้นอยู่ใกล้แค่เอื้อมค่ำคืนหนึ่งขณะที่หลี่อวิ๋นทำงานอยู่ในห้องทรงงาน เขาได้ยินเสียงเฟยเฟยเรียกชื่อเขา “หลี่อวิ๋น ช่วยด้วย” เมื่อเขารีบเข้าไปที่ห้องบรรทมก็พบว่าเฟยเฟยนอนหมดสติอยู่ที่พื้นทั้ง ๆ ที่เขาไม่สนอะไรและนำตัวหญิงสาวมาอยู่ตำหนักเดียวกันแล้วแท้ ๆ ใบหน้าของหญิงสาวซีดเผือด หลี่อวิ๋นตกใจและรีบเข้าไปกอดนางแน่น เขารู้สึกถึงความเย็นและร้อนของร่างกายที่แปลกประหลาด“ตามหมอหลวงเร็ว และปิดตำหนักเดี๋ยวนี้” หลี่อวิ๋นตะโกนเสียงดังเมื่อหมอหลวงมาถึง หลี่อวิ๋นที่แทบจะตั้งสติไม่ได้ก็ทำได้แค่เดินไปมาและจ้องมองหมอหลวงรักษาหญิงสาวที่รักด้วยความกระวนกระวาย “นางต้องฟื้นคืนมา ข้าขอร้อง” เขาพูดเสียงสั่น หมอพยักหน้าแต่สีหน้าก็ไม่มั่นใจ
บทที่ 27วันเวลาผ่านไป ภายในพระราชวังยังคงมีเสียงกระซิบเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างหลี่อวิ๋นและเฟยเฟยอยู่ แม้ขุนนางส่วนใหญ่เริ่มยอมรับนาง แต่กระแสต่อต้านก็ยังไม่สิ้นสุด ขุนนางบางคนมักบอกว่านางเป็นปีศาจที่ล่อลวงคนพ่อและยังล่อลวงคนลูกอีกด้วย ความไม่พอใจเหล่านี้ทำให้เกิดความตึงเครียดและข่าวลือที่อาจจะทำให้ตำแหน่งของหญิงสาวสั่นคลอนแต่ในช่วงเวลาที่ทั้งสองเหนื่อยล้าจากหน้าที่ พวกเขาก็มักจะมานั่งคุยกันในสวน “หากการรับสนมจะทำให้พวกเขาหยุดพูด...” “ข้าไม่รับใครนอกจากเจ้า” เฟยเฟยยังไม่ทันพูดจบ หลี่อวิ๋นก็ขัด เรื่องในพระราชวังตอนนี้ ดูก็รู้ว่าเป็นเพราะอยากได้อำนาจ“ข้ารักแต่เจ้าไม่สามารถแสร้งทำเป็นรักคนอื่นได้หรอก” เฟยเฟยมองหลี่อวิ๋นด้วยความรักแล้วหญิงสาวก็แอบแปลกใจว่า วันเวลามันเร็วขนาดนี้ได้อย่างไร จากคนแปลกหน้าที่ไม่มีวันได้พบ ตอนนี้กลายเป็นคู่ชีวิตที่นางพร้อมจะรับฟังคำของอีกฝ่าย“อย่าได้ห่วงไปเราจะดูแลเจ้าอย่างดี คงต้องเพิ่มคนดูแลเจ้าอีกหน่อย เรื่องพวกนั้นก็คงต้องปล่อยให้พูดไป คนเชื่อจริงไม่มีหรอก แค่อยากรู้เท่านั้นว่าใครยังกล้าถึงเพียงนี้ มิเห็นตระกูลหนิงหรืออย่างไร”“แม้ข้าจะพยายามทำให้
บทที่ 26หลี่อวิ๋นฟังคำนั้นก็หัวเราะเบา ๆ “คิดว่ากำลังจะตัดใจจากเจ้า แต่น่าแปลกเมื่อเห็นเจ้า… ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป”เฟยเฟยรู้สึกถึงความร้อนผ่าวในใบหน้า ขณะที่หญิงสาวนึกถึงช่วงเวลานั้น นางจำได้ว่ารู้สึกแปลก ๆ เมื่อได้สบตากับเขา “ข้าดีใจที่เราได้เจอกัน” หญิงสาวพูดออกมาจากใจ ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตามที่นำพานางมาที่นี่นางขอบคุณหลี่อวิ๋นกระชับตัวหญิงสาวที่เดินมาข้างกันให้แน่นขึ้นอีก เขาจับมือของนางอย่างเบามือ “ข้าก็ดีใจที่ได้พบกับเจ้า ทันเวลา...” หลี่อวิ๋นรู้ดีว่าตอนนั้นเขาเพียงแค่รู้สึกว่าต้องทำตามสัญญาหลังจากรู้สึกไม่ดีมานานนับปีและอีกฝ่ายก็เลี่ยงที่จะพบเจอเขา สุดท้ายเขาตั้งใจจะจบทุกอย่าง แต่คนที่เคยหลีกเลี่ยงเขาอย่างเฟยเฟยกลับเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน ที่จริงวันนั้นเขาคงตัดใจจากเฟยเฟยในยามเด็กที่กลายเป็นสนมของเสด็จพ่อไปได้ แต่กลับตกหลุมรักคนเดิมอีกครั้ง มีหลายครั้งที่เขาสงสัยถึงท่าทางแปลก ๆ และความสามารถที่เคยมีและเคยไม่มี แต่ยามนี้เขาไม่สนแล้ว นางคือเฟยเฟยของเขาหลี่อวิ๋นหันไปสบตากับหญิงสาวอีกครั้ง ความรู้สึกอบอุ่นและอ่อนโยนแล่นผ่านไปทั่วร่าง สายลมที่พัดผ่านทำให้ดอกไม้รอบตัวไหวเอน เหมือน
บทที่ 25หลังจากเรื่องราววุ่นวายผ่านไปไม่นาน เมื่อหลี่อวิ๋นเริ่มจัดการทุกอย่างในพระราชวัง ราชกิจต่าง ๆ ก็เป็นชายหนุ่มที่จัดการ เมื่อทุกอย่างดูเข้าที่เข้าทางฮ่องเต้ก็หมดห่วงและจากไปในพระราชวังที่เคยมีความรุ่งเรืองและอบอวลไปด้วยเสียงหัวเราะ ขณะนี้กลับเต็มไปด้วยความเงียบสงัด เดินผ่านไปทางไหนก็ได้ยินเพียงเสียงแผ่วเบาของการร้องไห้ ทุกซอกทุกมุมของวังเต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งความเศร้าโศกฮ่องเต้สิ้นพระชนม์แล้ว การจากไปของเจ้าชีวิตทิ้งความว่างเปล่าไว้ในใจของทุกคน ไม่ว่าจะเป็นพระสนม ข้าราชบริพาร หรือแม้แต่ชาวบ้านที่อยู่ภายนอกวังหลวง ทุกคนล้วนแต่รู้สึกเสียใจจากการสูญเสียครั้งใหญ่นี้เฟยเฟยยืนอยู่ที่กลางพระตำหนัก น้ำตาไหลอาบแก้ม ใจของนางเต็มไปด้วยความเศร้าสร้อยเมื่อคิดถึงอีกฝ่าย หลังจากเรื่องของนางและหลี่อวิ๋นชัดเจนขึ้นมา หญิงสาวก็ได้เข้าเฝ้าทั้งฮ่องเต้และฮองเฮาบ่อยครั้ง ทั้งสองเหมือนเป็นคนเติมตะเกียงเพื่อส่องทางให้แสงสว่างในชีวิตที่จะต้องใช้ในวันข้างหน้าของหญิงสาว แม้จะเตรียมใจแต่ก็ไม่เคยคิดว่าจะต้องสูญเสียพระองค์ไปเร็วเช่นนี้ ความรู้สึกเศร้าและเจ็บปวดกัดกินหัวใจของทุกคนในพระราชวังหลี่อวิ๋นประ
บทที่ 24ขันทีคนนั้นกำลังราดน้ำมันจะจุดไฟ ราชองครักษ์เร่งเข้าไปจับกุมคนของสนมหนิง พวกเขาถูกควบคุมตัวและนำตัวไปสอบสวนข่าวการจับกุมแพร่กระจายไปทั่วพระราชวัง สนมหนิงที่ได้รู้ก็เตรียมจะหนีแต่ดูเหมือนจะไม่ทัน นางถูกราชองครักษ์ที่เฝ้าเวรยามเข้าไปจับถึงในตำหนักฮ่องเต้เมื่อได้รับทราบเรื่องก็รู้สึกโกรธเคืองและผิดหวังในความไม่จงรักภักดีของสนมหนิง เขาตัดสินใจเรียกสนมหนิงและคนของนางเข้ามาพบเพื่อตัดสินโทษ โดยให้โอกาสสนมหนิงได้ชี้แจงความจริง“เราเห็นเจ้าเป็นครอบครัวจึงเล่าเรื่องให้ฟัง แต่เจ้ากลับไม่เชื่อฟังเรา ทำในสิ่งที่ไม่ควรทำในวังหลวง” ฮ่องเต้กล่าวเสียงแข็ง “แม้เจ้าจะรับใช้เรามานานแต่เราคงเก็บคนอย่างเจ้าเอาไว้ไม่ได้ ทำไมถึงได้ทำอย่างนี้กัน”สนมหนิงเชิดหน้าอย่างไม่เกรงกลัวเพราะอย่างไรก็คงจะต้องตายอยู่แล้ว “หม่อมฉันเพียงต้องการทำให้แน่ใจว่า จะไม่มีผู้ที่ไม่สมควรอยู่ เข้ามาในราชวงศ์”ฮ่องเต้ส่ายหน้า “นั่นไม่ใช่ความจริง ขันทีของเจ้าบอกเราแล้ว เฟยเฟยนางได้ตำแหน่งที่เจ้าต้องการจะยกให้กับหลานสาว ความริษยาและความโกรธของเจ้าทำให้เจ้าสูญเสียสติไปแล้ว เราจะไม่ให้เจ้ามีโอกาสทำร้ายผู้บริสุทธิ์อีกต่อไป”เม
บทที่ 23“ข้าไม่เคยคิดเลยว่าการเสี่ยงทำความผิดมันจะได้ผลรางวัลคุ้มขนาดนี้” เฟยเฟยยิ้ม “ถึงตำหนักแล้ว” “ยังไม่อยากจากเจ้าเลย” ชายหนุ่มหยิบเอาผ้าเช็ดหน้าขึ้นมา “เพราะถึงแม้จะมีสิ่งนี้แต่มันก็ไม่หอมและอ่อนโยนนุ่มนวลเช่นเจ้า” เฟยเฟยหัวเราะใบหน้าแดง“อ่อนโยนคงไม่ใช่ข้าแล้วกระมัง” หลี่อวิ๋นพยักหน้า เขารู้ว่าพรุ่งนี้จะยิ่งเหนื่อยยิ่งกว่าวันนี้ แต่เมื่อมีเฟยเฟยอยู่เคียงข้าง เขาก็มั่นใจว่าเขาจะสามารถฝ่าฟันอุปสรรคเหล่านั้นไปได้ “เราจะทำให้ดีที่สุดเพื่อสร้างอนาคตที่ดีร่วมกัน” หลี่อวิ๋นพูดด้วยความมั่นใจ แม้ว่าจะมีความท้าทายรออยู่ แต่เขาเชื่อว่าความรักของพวกเขาจะช่วยให้พวกเขาเผชิญหน้ากับทุกสิ่งได้“พรุ่งนี้จะมาขอกำลังใจเจ้าแต่เช้า” แม้จะรู้ว่าไม่ควร แต่เพราะเขาและหญิงสาวก็ไม่เคยสนใจกฎระเบียบเหล่านั้นอยู่แล้ว เฟยเฟยได้ยินก็ยิ้มหวานและถึงแม้ว่าจะไม่ได้ตอบออกไปแต่นางคิดว่าจะตั้งหน้าตั้งตารออย่างแน่นอน ในขณะที่ข่าวเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างจางเฟยเฟยกับหลี่อวิ๋นเริ่มกระจายไปทั่วพระราชวัง ผู้คนส่วนใหญ่ก็รับรู้และเห็นชอบในความรักของทั้งคู่ หรือไม่ก็ยอมจำนนต่อพระราชโองการแต่สนมหนิงกลับรู้สึกไม่พอใจอย่า
บทที่ 22“ไม่ใช่สนมแล้วเป็นอะไรกัน” เสียงของสนมเจินดังขึ้นพร้อมกับความตกใจ สายตาของนางหันไปหาสนมเซียงและสนมหนิงที่นั่งอยู่ข้าง ๆ “ฝ่าบาทนี่หมายความว่าอย่างไร” สนมเซียงถามอย่างไม่เชื่อ ในขณะที่สนมหนิงยกมือขึ้นปิดปากเพื่อป้องกันไม่ให้เสียงหวีดร้องหลุดออกมา “นางเข้ามาอยู่ในวังหลวงในฐานะว่าที่พระชายาขององค์รัชทายาทตลอดมา แต่ตอนนั้นเรื่องราวมันวุ่นวาย ที่เราบอกพวกเจ้าก็เพราะเห็นว่าเป็นครอบครัวเดียวกันไม่อยากให้เข้าใจกันผิด” ฮ่องเต้ประกาศชัดและบอกถึงเหตุผลในใจแต่แน่นอนว่าความจริงที่ได้ฟังทำให้บรรดาสนมที่เคยเห็นเฟยเฟยเป็นเพียงแค่หนึ่งในสนมของฮ่องเต้ตกใจจนแทบจะเป็นลม เพราะพวกนางแกล้งหญิงสาวเอาไว้มากฮ่องเต้จ้องไปที่สนมเจิน สนมเซียง และสนมหนิงอย่างเด็ดเดี่ยว “ข้าต้องการให้พวกเจ้าเข้าใจฐานะที่แท้จริงของจางเฟยเฟย นางไม่ใช่เพียงสนมธรรมดา แต่จะเป็นคนที่อยู่เคียงข้างกับหลี่อวิ๋นในวันข้างหน้า”“แต่ฝ่าบาท ทำไมถึง…” สนมเจินยังไม่สามารถพูดจบได้ ฮ่องเต้ก็ยกมือขึ้นเพื่อทำให้นางสงบ“ข้ารู้ว่าพวกเจ้ามีความรู้สึกไม่พอใจต่อกัน แต่ขอให้พวกเจ้ารับฟังสิ่งที่ข้ากำลังจะพูด” พระองค์หยุดหายใจเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยต่