มณฑลชิงไห่ อยู่ทางทิศตะวันตกของมณฑลกานซูอันเป็นที่ตั้งของมหานครฉางอัน จุดเริ่มต้นอันยิ่งใหญ่แห่งเส้นทางสายไหมภูมิประเทศงดงาม อุดมสมบูรณ์ทั้งแม่น้ำ ภูเขา เป็นที่ตั้งของด่านซีหนิงที่เปิดออกสู่ดินแดนต่างชาติอย่างซินเจียง
ที่ใดมีการค้า ที่นั่นย่อมมีโจร
บริเวณภูเขาเศียรมังกร นอกด่านซีหนิงไปไม่ไกลคือที่ลงหลักปักฐานของเหล่าโจรผู้คอยปล้นสะดมขบวนสินค้าที่ผ่านไปมา
ภูเขาอันดุร้ายดังพญามังกร สูบเลือดเนื้อพ่อค้าจนสิ้นเนื้อประดาตัว...สูบกระทั่งชีวิตและลมหายใจ
วันนี้ก็ดูท่าว่าจะมีพ่อค้าผู้โชคร้ายรายใหม่จำต้องมาสังเวยชีวิตที่นี่อีกหน
"นายท่านขอรับ รีบหนีไปเร็วเข้า ทางนี้พวกข้าจะสกัดเอาไว้เอง!" เสียงชายหนุ่มที่กำลังสู้รบติดพันกับคนร้ายดังขึ้นพลางหันไปทางชายหนุ่มผู้เป็นนายเหนือหัวที่เพิ่งตวัดกระบี่ฟาดฟันร่างสูงใหญ่ของโจรป่าจนลงไปกองกับพื้น
"เจ้าคิดว่าข้าไร้ฝีมือเพียงนั้นเชียวรึ เฉี่ยวเหมย" ร่างสูงบนหลังม้ากวัดแกว่งกระบี่เข้าบี่เข้าใส่โจรร้ายที่รุมกลุ้มเข้ามาทางเขาอย่างไม่ลดละ
"นายท่าน ใครจะกล้าดูถูกท่าน เพียงแต่เจ้าพวกนี้มีมาก...น่าตายนัก!..." เฮยเฉี่ยวเหมยคนสนิทของเขาสะบัดดาบใหญ่แทงชายชุดดำที่พุ่งมาทางด้านหลัง "...มาจากไหนกันเยอะแยะ!"
"ห้ามพูดคำหยาบ"
"นายท่าน! ท่านรู้กาลเทศะบ้างได้หรือไม่!?"
บุรุษชุดขาวเพียงกระตุกยิ้มเยือกเย็น สายตาคมเข้มดุจัดคู่นั้นยังคงมุ่งเป้าไปที่เหล่าโจรชั่วผู้กระหายทรัพย์สินเงินทองของเขา
...อยากได้ของของข้าอย่างนั้นรึ?
...เช่นนั้นคงจะได้เห็นกันว่าใครกันต้องเป็นฝ่ายหลั่งเลือดสังเวยให้หุบเขาเศียรมังกรนี้
ชายหนุ่มกระโจนร่างลงจากหลังม้า เสือกกระบี่แทงผ่านช่องว่างของเกราะอ่อนที่โจรป่านั้นสวมใส่จนลงโลหิตพุ่งออกจากสีข้างเป็นสาย จากนั้นจึงหันไปสั่งลูกน้องอีกคนที่ใช้เท้าถีบร่างผอมบางของศัตรูกระเด็นออกไป
"เฉี่ยวเหมย เจ้าพาคนของเราจำนวนหนึ่งนำสัมภาระตีฝ่าวงล้อมศัตรูมุ่งไปยังฉางอัน"
"ขอรับ!" เขารับคำแข็งขัน ก่อนจะหันไปตะโกนบอกอีกฝ่าย "ชื่อข้าไม่ได้อ่านแบบนั้นนะขอรับ นายท่าน!"
ชื่อของเขามาจากตัว เฉี่ยวที่แปลว่าต่อสู้ กับ เหมย ที่แปลว่า หลักแหลม ต่างหาก ไม่ได้แปลว่าผลเฉี่ยวเหมย (สตรอเบอรี่)!
"เฉี่ยวเหมย เจ้ากลายเป็นตาแก่ขี้บ่นอีกแล้ว"
"ท่านจงใจจะให้ข้ากระอักเลือดตายก่อนใช่ไหม?!...โว้ย มารดามันเถอะ!" เฉี่ยวเหมยแค้นใจที่ถูกผู้เป็นนายกระทำย่ำยี ได้แต่ระบายโทสะออกมาด้วยการฟาดฟันกับเหล่าผู้ร้าย ทางหนึ่งคุยสั่งการหลู่ฟาง ลูกน้องมือขวาของเขาที่ไว้ใจได้ให้พาคนที่ยังรอดพร้อมสัมภาระมุ่งหน้าไปฉางอันก่อน
"โดนแบบนี้ทุกวัน เจ้ายังไม่ชินอีกเหรอ?" ผู้เป็นนายยังหันไปตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย ก่อนซัดฝ่ามือเข้าจุดสำคัญของโจรร้าย
"ท่านพูดทุกวัน ไม่เบื่อหรือไร?" ลูกน้องก็ช่างยอกย้อนนัก "แล้วนี่ใช่เวลาพูดเล่นหรือนายท่าน?! ถ้าท่านว่างมากก็จัดการพวกโจรให้หมดเร็วๆ สิ!"
"ถึงเจ้าไม่บอกข้าก็จะทำอยู่แล้ว" ชายหนุ่มว่า "แล้วที่ข้าสั่งให้เจ้าแบ่งคนตีฝ่าวงล้อมนำสัมภาระกลับไปเมืองหลวงน่ะ ทำหรือยัง?"
"ข้าสั่งให้หลู่ฟางพาคนไปแล้ว ส่วนข้าจะอยู่คุ้มกันท่านเอง" เฉี่ยวเหมยหรี่ตาลงอย่างพยายามใช้ความคิด ทั้งที่มือยังตวัดฟาดฟันออกไป เขาขยับถอยหลังเล็กน้อยเพื่อเข้ามาอยู่ใกล้นายท่านของตน "นายท่าน ข้าว่างานนี้คนของเราเล่นตุกติกแล้ว"
"ตาไวเหมือนกันนี่"
"ลูกตามีไว้ดู ไม่ได้มีไว้ฟังเสียงนา" ลูกน้องบ่นอีก "แปลว่าท่านรู้อยู่แล้ว"
"อืม คนอย่างข้า ไป๋จิ้งเหอ มีหรือจะดูไม่ออก"
เฉี่ยวเหมยเบ้ปาก แต่ใจนั้นยอมรับความสามารถของผู้เป็นนายอย่างศิโรราบจริงๆ
"ขบวนผู้คุ้มกันที่เราจ้างมานั้นตายเยอะกว่าทางเราเสียอีก นั่นแปลว่าคนที่ไปจ้างพวกมันมานั้นเล่นไม่ซื่อ คิดแบ่งเงินค่าจ้างเก็บไว้เอง"
"ท่านบอกว่าข้าเป็นคนของท่าน ท่านจะปกป้องข้า ท่านยังไม่ลืมใช่หรือไม่?!" หมิงเสวี่ยดึงเสื้อเขาจากด้านหลังไว้แน่น"ข้าไม่ลืม และไม่มีวันลืมว่าข้าได้ให้สัญญากับเจ้าไว้" เขาค่อยหมุนตัว หันหลังไปเผชิญหน้านางมืออุ่นเชยคางนางขึ้นจนเห็นดวงตานั้นเจิ่งด้วยน้ำตา หัวใจปวดแปลบจนเกินทน"ข้าปกป้องร่างกายของเจ้าได้ แต่ข้าไม่อาจปกป้องหัวใจ หากเจ้าไม่ยินยอม..." นิ้วอุ่นค่อยๆ ปาดน้ำตาออกจากเรือนหน้านาง "...เจ้าเข้าใจหรือไม่?"นางพยักหน้า ก้อนสะอื้นจุกอยู่ในลำคอจนพูดไม่ออกทั้งซาบซึ้งในความห่วงใยลึกซึ้งของเขา แต่นางยังไม่กล้าเปิดใจให้ใคร ความทรงจำในคืนนั้นยังคงตามหลอกหลอนนางอยู่"เจ้ายังรักเขาใช่หรือไม่" เสียงทุ้มห้าวนั้นแฝงไปด้วยความเจ็บร้าวจนหมิงเสวี่ยรู้สึกได้"ข้าไม่รู้" นางว่า สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับนางเป็นความรักหรือเป็นเพียงความผูกพัน...มันบิดพันกันเป็นเกลียวดั่งฟั่นเชือกจนแยกไม่ออก"ข้ารู้แต่...ข้ารักคนที่ทำร้ายข้าไม่ได้..."ร่างสูงค่อยๆ ยกมือปัดปอยผมของนาง "เช่นนั้นก็ไปพบเขาเถอะ ไปดูให้แน่ใจว่าหัวใจเจ้ายังมีเขาอยู่หรือไม่""แต่ข้า...กลัว" นางใช้มือที่เย็นเฉียบจับมือเขาแน่นเพื่อยืนยันคำพูดนั้
"เสร็จแล้ว!" หมิงเสวี่ยชูกระดาษที่เขียนเสร็จขึ้นสูงอย่างนึกชื่นชม "นายท่าน ข้าเขียนเสร็จแล้ว!"นางยิ้มแล้วหันไปมองจิ้งเหอ เขาหลับไปแล้วโดยที่หนังสือวางอยู่ข้างๆ"หลับแล้วรึ?" หมิงเสวี่ยเปรย นางวางกระดาษบนโต๊ะแล้วเดินไปที่เตียงเล็กที่อีกฝ่ายนอนอยู่ เอานิ้วจิ้มจมูกจะตื่นไหมนะ?นิ้วเรียวแตะที่ปลายจมูกของเขาเบาๆ หัวใจเต้นระรัวที่ตัวเองหาญกล้าทำอะไรแบบนี้เมื่อก่อนนางกลัวเขาจะตาย ทั้งเจ้าเล่ห์ ชอบกลั่นแกล้งนาง บางครั้งก็ดูโหดเหี้ยมเย็นชา...แต่ตอนนี้เขากลับเป็นผู้ชายอ่อนโยนและมีเสน่ห์ชวนให้หลงไหลอย่างประหลาด...อ้ะ...นี่นางกำลังคิดว่าเจ้าจิ้งจอกนี่น่าหลงใหลหรือนี่?แก้มปรางพลันร้อนวูบวาบ ความรู้สึกนี้...มันอะไรกันนะ?ตอนอยู่กับหงเช่อ ไม่เห็นจะรู้สึกแบบนี้เลย"จิ้มจมูกข้าเล่น...สนุกมากหรือไม่?" เขาเอ่ยทั้งที้ยังหลับตา ก่อนพลิกกายหันมามองที่เด็กสาวมือซน"สนุกเจ้าค่ะ" นางยิ้มทะเล้น "ตั้งใจว่าหากท่านยังไม่ตื่น คราวนี้จะเอาพู่กันวาดหน้าเลยเจ้าค่ะ""ก่อนจะวาดหน้าใคร ดูหน้าตัวเองก่อนดีหรือไม่?" เขาชี้ไปที่คันฉ่องทองเหลืองที่วางอยู่บนโต๊ะมอมแมมอย่างกับลูกแมว!หมิงเสวี่ยยกสองจับหน้าจับตาและยกมือตั
"อ้อ อย่างนั้นรึ" เขานั่งเอามือเท้าโต๊ะมองนางอย่างสบายใจที่ได้แกล้ง ใบหน้ายังเรียบเฉย แต่ประกายตานั้นไม่ธรรมดาเลย"เจ้าอยากเป็นคนตีข้าล่ะสิ หากจะตีก้นข้ายอมให้เจ้าตีก็ได้นะ"เสวี่ยหมิงแยกเขี้ยวใส่เขา แค่คิดก็อยากจะอาเจียนแล้ว!!! ใครจะอยากตีก้นคนผีทะเลเช่นนี้กันเล่า!?เห็นสีหน้าปฏิเสธเช่นนั้น ไป๋จิ้งเหอก็ลุกขึ้นยืนทำท่าดุขึ้นมา"ถ้าเช่นนั้นก็เขียนใหม่ ถ้ายังเขียนแบบขอไปทีแบบนี้อีก ข้าจะทำให้เจ้านั่งไม่ได้ไปหลายวันทีเดียว" มือใหญ่ตบลงบนกระดาษเสียงดังหมิงเสวี่ยบุ้ยปากงอน แต่ก็กลับมาตั้งสติ ไม่ทำเป็นเล่นอีกแล้วด้วยความพยายามของนาง ในที่สุดนางก็ทำได้ แม้ว่ากว่าจะเขียนได้สวยงามตามที่เขาต้องการก็หมดกระดาษไปหลายใบ นางปาดเหงื่อออกจากหน้าผาก แค่จุดจุดเดียว นางยังใช้เวลาครึ่งชั่วยาม!! กว่าจะคัดทั้งหมดนี่จบ วันนี้นางคงไม่ต้องทำอันใดแล้ว"พักดื่มน้ำชาสักหน่อยไหม?" ถึงแม้ได้แค่จุดๆ เดียว แต่เห็นแก่ความอุตสาหะ เขาจะอนุโลมให้นางได้พักแล้วกัน"ไม่เจ้าค่ะ ข้าขอตัวต่อไปเลยเจ้าค่ะ" แม้จะยากลำบาก แต่นางก็รู้สึกสนุก นางมองว่าหากยอมลำบากในวันนี้ ยอมอดทนเขียนจนกลายเป็นความเคยชินแล้วล่ะก็ สักวันนางจะเขียนหน
"เจ้าเฉลียวฉลาดปานนี้ ถ้าเช่นนั้นเราก็เริ่มกันเลยเถอะ"หรือว่าเมื่อครู่แค่เริ่มต้น?เขา...เขาจะจับนางกินแล้วใช่ไหม?!ไป๋จิ้งเหอหรี่ตามองปากเล็กๆ ที่อ้าราวกับปลาทอง แล้วดีดหน้าผากนางเบาๆ คราหนึ่ง "คิดเองเออเองอีกแล้ว""ก็คำพูดท่านชวนให้คิด" เด็กสาวลูบหน้าผากตัวเองป้อยๆ "เชื่อสิ ถ้าใครมาได้ยินก็คิดเหมือนข้าทั้งนั้น""คิดว่าอย่างไร?" เขาเอียงหูมาใกล้ราวกับจะให้นางกระซิบบอกสิ่งที่นางคิดเมื่อครู่"คิด...คิดว่า" สวรรค์ เขามาอยู่ใกล้แบบนี้ นางเขินจนหูอื้อตาลายหมดแล้ว"ช่างเถอะ...ข้าหมายถึงเริ่มเรียนต่างหาก" ไป๋จิ้งเหอลุกไปยืนรอข้างเตียง "เจ้าพร้อมหรือไม่?""หืม? เรียน?" นางพยายามรวบรวมสติกลับมา เขาหมายถึงเรื่องเรียน เรื่องเรียน... "เจ้าค่ะ ข้าพร้อมทุกเมื่อ""เปลี่ยนเสื้อผ้าเสีย แล้วไปพบข้าที่ห้องหนังสือ เราจะเริ่มจากการคัดอักษร""เจ้าค่ะ!" นางลุกจากเตียงมาคารวะเขาอีกครั้ง "กรุณารอสักครู่นะเจ้าคะ"เขาเดินออกไป นางรีบวิ่งไปปิดประตูและเลือกเสื้อผ้ามาเปลี่ยนอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้หมิงเสวี่ยใช้เวลาไม่นานนักในการแต่งตัว นางกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปที่ห้องหนังสืออย่างไม่ต้องการให้เขาเสียเวลา ไปถึงก
"ท่านอย่าเสียใจเลย ความรักเป็นเรื่องที่ฝืนไม่ได้" นางเอ่ยขึ้นอย่างให้กำลังใจ "แล้วท่านไม่คิดจะมองใครใหม่หรือ?" ระดับเขาน่าจะมีคนมาให้ดูตัวหัวกระไดไม่แห้ง"มี แต่ข้ายังไม่ต้องใจใคร""ไม่ต้องห่วง นายท่านเป็นคนหน้าตาหล่อเหลา ชาติตระกูลรึก็ดี ฐานะก็มั่งคั่งรับรองว่าท่านจะต้องเจอหญิงสาวที่เหมาะสมกับท่านแน่นอนเจ้าค่ะ" นางอวยพรให้เขาอย่างจริงใจ นางเชื่อว่าเขาจะต้องมีคู่ครองที่ดี ดีขนาดที่ทำให้คนที่ทิ้งเขาไปต้องนึกเสียดายที่ทำเช่นนั้นเลยทีเดียวไป๋จิ้งเหอกลับแค่นหัวเราะ "ตระกูลที่ถูกสาปแช่งเช่นตระกูลไป๋ ไม่มีคนอยากยุ่งเกี่ยวด้วยนักหรอก""เอ๋? สาปแช่ง?" นางเลิกคิ้วแต่เมื่อนึกถึงว่าเขาอยู่ในแวดวงการค้า การไปขัดแข้งขัดขาตัดโอกาสใครคงมีไม่น้อย...จะโดนสาปแช่งก็ไม่แปลกนัก.."เป็นเรื่องสมัยที่บิดาข้าเพิ่งทำการค้า แม้จะไม่ได้ตั้งใจแต่ผลของมันช่างใหญ่หลวง ทำให้อีกตระกูลหนึ่งล่มสลาย"เขาเล่า "ตอนนั้นผู้คนต่างสาปแช่งตระกูลไป๋ ว่าเป็นผู้เหยียบซากศพผู้อื่นเพื่อขึ้นสู่จุดสูงสุด""...จะหาว่าข้าโหดร้ายก็ได้นะ แต่มันเป็นเรื่องธรรมดาของการทำการค้า" หมิงเสวี่ยมองอย่างตรงไปตรงมา "ข้าไม่ได้ไร้เดียงสาขนาดคิดว่าเร
"ข้าไม่ได้หึงท่าน!" นางมันบ้า! เมื่อไหร่ไอ้อาการคิดไปเองนี้จะแก้หายเสียที ฮือ...น่าอับอายจนอยากจะเอาหน้าซุกดินแล้ว!"เสวี่ยเอ๋อร์นี่ปากแข็งนัก" จื่อหนี่รีบวิ่งมาจับมือของทั้งสองประสานกัน "ตอนอยู่ในครัว นางกลัวว่านายท่านรู้เรื่องข้ากับเฉี่ยวหลางเข้าแล้วจะเสียใจ นางร้อนใจมากเลยนะเจ้าคะ""จ....เจ้า" น่าตีนัก เป็นน้องเป็นนุ่งจะตีให้ก้นลาย!"ข้าเพียงไม่อยากเห็นผู้ใดถูกสวมเขาเท่านั้น!" พูดไปแล้วนางก็ได้รีบยกมือปิดปาก นางหันหลังให้ทุกคนในที่นั้นแล้วตีปากตัวเองไม่หยุดปากพล่อยนัก!...พูดแบบนั้นมันต่างอะไรกับการบอกว่าเป็นห่วงเขากันเล่า?!ยิ่งเห็นสายตาหยอกเย้ของคนทั้งสาม ยิ่งทำเอาอีกฝ่ายหน้าแดง ทั้งยังรู้สึกโกรธจนหูอื้อตาลาย"ข...ข้าไม่คุยด้วยแล้ว!" นางกระทืบเท้าเป็นเด็กๆ แล้ววิ่งกลับไปยังห้องนอนทันที"จื่อหนี่หัวเราะคิกคักอย่างชอบใจ "พี่สะใภ้ข้าช่างน่ารักอะไรอย่างนี้""หนี่เอ๋อร์ก็น่ารักเหมือนกัน" เฉี่ยวเหมยเชยคางเด็กสาวขึ้นอย่างหลงใหล"นายท่านรีบไปโอ๋ว่าที่ฮูหยินน้อยเถอะขอรับ นางโมโหใหญ่แล้ว""เห็นว่าตนเองนำข้าไปหนึ่งก้าวก็สั่งสอนข้าแล้วรึ?" สายตาเยียบเย็นของจิ้งเหอมองเฉี่ยวเหมยอย่างเสียดแทง