ไป๋จิ้งเหอถอนใจอย่างหงุดหงิด เขาเพิ่งกลับมาจากการเดินทางไปฮามิเพื่อซื้อพรมเปอร์เซียและผ้าทอมือจากจากชาวเผ่าแถบนั้น มูลค่าที่เมื่อนำไปขายที่เมืองหลวงนั้นมีค่ามหาศาล แต่กลับถูกทำให้เสียเวลาโดยเหล่าที่ต้องการผลประโยชน์แค่เพียงหยิบมือ น่าตายนัก!
นับว่ายังดีที่เขาวางแผนไว้สองสามขั้นเสมอ หากเมื่อสองเดือนก่อนไม่ได้เปลี่ยนชุดกองกำลังของตนให้มีประสิทธิภาพด้านการรักษาความปลอดภัยให้ดีขึ้นแล้วล่ะก็ ป่านนี้เขาคงกลายเป็นศพนอนไร้ลมหายใจแทนพวกโจรป่านี่แล้ว
"นายท่าน ระวัง!" เฉี่ยวเหม่ยเบิกตากว้าง เมื่อมีดโจรป่าคนหนึ่งเงื้อง่าอาวุธใส่เจ้านายของเขาจากด้านหลัง ไป๋จิ้งเหอปรายหางตาก่อนกระโดดหลบโดยสัญชาตญาณ แต่ปลายดาบกลับเชือดหัวไหล่ขวา แม้จะไม่ลึกนักแต่ก็เรียกโลหิตเขาได้มากพอดู โชคดียังเป็นของไป๋ไป๋จิ้งเหอเมื่อเฉี่ยวเหมยหมุนตัวกลับมาสกัดร่างโจรป่าคนนั้นเอาไว้ได้ด้วยการแทงทะลุจากด้านหลังได้ทัน
เฉี่ยวเหมยเอาเท้ายันร่างโจรออกจากดาบตนแล้วพุ่งไปประคองไป๋ไป๋จิ้งเหอ "นายท่าน...!" เฉี่ยวเหมยตาค้างเมื่อเห็นเลือดที่ทะลักออกมาจากบาดแผลนั้นกลายเป็นสีดำแทนที่จะเป็นสีแดงดั่งเลือดทั่วไป
"ข้ารู้แล้ว มีดของมันมีพิษ"
"ไม่ได้การแล้ว ข้าต้องพาท่านออกไปเดี๋ยวนี้เลย"
"ไม่ต้องห่วงข้า สินค้าเหล่านั้นสำคัญกว่า" ไป๋จิ้งเหอกัดฟันทนความเจ็บปวด สิ่งใดที่เขาลงทุนลงแรงไปแล้วไม่มีวันที่จะให้เสียไปอย่างเปล่าประโยชน์เด็ดขาด ถึงแม้เรื่องนั้นจะเกี่ยวพันถึงชีวิตของเขาก็ตาม
"นี่ใช่เวลาควรจะดื้อหรือไร?" เฉี่ยวเหมยทำหน้าเหนื่อยใจ เมื่อหันไปประเมินสถานการณ์รอบด้านก็เห็นว่าตอนนี้ฝ่ายโจรเสียคนไปเป็นจำนวนมากและเหลือที่ยังวิ่งพล่านไปมาแค่ราวๆ สิบกว่าคนเท่านั้น ในขณะที่คนของพวกเขายังเหลืออยู่เยอะกว่ามาก จึงตัดสินใจให้ลูกน้องอีกคนที่วางใจได้รับช่วงดูแลต่อ "อี้ปิง ข้าจะพานายท่านไปแล้ว เจ้าดูแลทางนี้แล้วข้าจะส่งข่าวไป!"
"ข้าไม่ อั่ก..." ไม่ทันได้ปฏิเสธลูกน้องตัวดีก็พลันรู้สึกถึงพิษร้อนที่กัดไปถึงกระดูก ความเจ็บปวดพุ่งเข้าใส่จนเขากระอักเลือดและสลบไปในทันที
อี้ปิงพยักหน้ารับแข็งขัน เฉี่ยวเหมยจึงพาไป๋จิ้งเหอขึ้นหลังแล้วใช้วิชาตัวเบาพาเจ้านายของตนไปรักษาตัว ณ สถานที่ที่ใกล้ที่สุดทันที
สามวันต่อมา ในเมืองซีหนิง
สายลมอ่อนพัดโชย เวลานี้เพิ่งจะบ่ายคล้อยแต่กลับมีเมฆมืดครึ้มคล้ายกับว่าฝนกำลังตั้งเค้าและจะตกในไม่ช้า ร้านค้าแผงลอยริมถนนเริ่มเก็บของบางส่วนก่อนที่จะเสียหายเพราะสายฝน ทว่าคนเดินถนนกลับยังไม่น้อยลงราวกับว่าไม่เกรงกลัวฝนเอาเสียเลย
ท่ามกลางผู้คนที่ออกมาเดินถนนมีพี่น้องคู่หนึ่งปะปนอยู่ มองเพียงปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นคุณหนูคุณชายจากตระกูลใหญ่ดีๆ สักตระกูลในเมือง ผ้าแพรเนื้อดี ลวดลายสดใสเข้ากับฤดูกาล ยังมีเครื่องประดับเต็มตัวนั่นอีก
"พี่ใหญ่ เรากลับบ้านช้าหน่อยได้หรือไม่ ข้าอยากไปซื้อน้ำตาลปั้นที่ข้างศาลเจ้าก่อน" เสียงเด็กชายเจื้อยแจ้วถามพี่สาวที่เดินจูงมือเขาอยู่
ผู้เป็นพี่สาวหันมองน้องชายตัวสูงแค่ครึ่งเอวแล้วหัวเราะ "มีอันใดไม่ได้กัน ถ้าอย่างไรเราแวะไหว้พระขอพรให้ท่านแม่ด้วยเลยเถอะ"
เด็กชายยิ้มร่า จับมือพี่สาวแน่นอย่างเปี่ยมสุขและชวนพี่สาวคุยระเรื่อยไปตามทาง
"พี่ใหญ่ ท่านรู้หรือไม่ว่าพักนี้ที่ชานเมืองมีผีออกอาละวาดด้วย"
"โลกนี้มีผีที่ไหนกัน เจ้าโดนผู้อื่นหลอกเข้าแล้วล่ะ"
"เสี่ยวป๋ายไม่หลอกข้าหรอก" น้องชายเถียง เสี่ยวป๋ายที่พูดถึงคือสาวใช้ประจำตัวของเขานั่นเอง "นางเล่าว่า คนแถบชานเมืองระยะนี้กินไม่ได้นอนไม่ค่อยหลับกันเลยเพราะมีเสียงร้องของผีดังตั้งแต่พลบค่ำจนรุ่งสาง"
พี่สาวทำหน้าเหมือนไม่เชื่อ น้องชายรีบเล่าต่อ
"พี่ใหญ่ ท่านลองคิดดูสิ ถ้าไม่ใช่ผีเหตุใดจึงร้องแต่ตอนกลางคืนกันเล่า"
"มีเหตุผล เล่าต่อสิ"
"และท่านทราบหรือไม่ว่าเสียงนั้นมาจากที่ใด"
"ที่ใด"
"จวนผู้ว่าเหลียงที่โดนประหารยกตระกูลเพราะข้อหากบฏเมื่อรัชกาลก่อนนั่นอย่างไร"
"หืม จริงรึ"
"จริงสิท่านพี่" น้องชายทำหน้าตาจริงจัง "ผู้คนต่างก็ลือกันว่า เป็นวิญญาณร้องทุกข์ ไม่ได้ไปผุดไปเกิดเพราะมีห่วง"
พี่สาวหยุดฝีเท้า ก้มมองน้องชายและเอานิ้วชี้แตะริมฝีปาก "อย่าพูดเรื่องอัปมงคลต่อเลย เดี๋ยวคืนนี้จะฝันร้ายเอาได้"
น้องชายเบิกตากว้างและรีบพยักหน้า ทำท่าเอามือปิดปากตนเองแน่นหนาว่าจะไม่พูดแล้ว พี่สาวยิ้มและพาเดินต่อ
"เราไปซื้อน้ำตาลปั้นกันเถอะ"
"นี่ๆ เหอหลาง มาดูชุดของเด็กๆ กัน น่ารักมากเลย" หมิงเสวี่ยชวนคุยเบี่ยงประเด็น "เรียกซือเสียนมาด้วย จะได้ให้ลองชุดพร้อมกับเซียนเซียน"สามีของนางจึงจำต้องพับความคิดนั้นไปก่อน และให้สาวใช้ไปตามซือเสียนมาเพื่อลองชุด"เสวี่ยเอ๋อร์...""เจ้าคะ?" นางหันไปยิ้มสดใสให้เขา"เจ้าตื่นเต้นหรือไม่?""นิดหน่อยเจ้าค่ะ" หญิงสาวว่าพลางวางมือไว้ที่หว่างอกตนเอง"แต่ข้าตื่นเต้นมาก..."หมิงเสวี่ยหัวเราะออกมา เจ้าบ่าวของนางน่ารักเหลือเกิน นางอ้าแขนออกและกอดรอบเอวเขา "ไม่เป็นไรนะเจ้าคะ มีข้าอยู่ด้วย ไม่ต้องตื่นเต้นนะ" นางกอดเขาแน่นอยู่ครู่หนึ่งจึงคลายออกแต่ยังไม่ทันได้คลายเขาก็ดึงนางกลับไปกอดอีก "กอดอีกหน่อยสิ ข้าชอบ...""เดี๋ยวเสื้อยับหมดเจ้าค่ะ""น่านะ เสวี่ยเอ๋อร์คนดี"ฮูหยินน้อยอมยิ้มและกอดกระชับ จิ้งจอกหน้าตายผู้นี้บทจะอ้อนนางก็อ้อนเสียราวกับเป็นเด็กเล็กๆ เลยทีเดียว"ข้ากอดด้วยๆ!" ซือเซียนน้อยวิ่งไปรอบๆ และมุดเข้ามาแทรกตรงกลาง แขนเล็กนั้นชูขึ้นทั้งสองข้างขอให้อุ้ม"ได้สิ" ไป๋จิ้งเหอยิ้มก่อนอุ้มลูกสาวขึ้นมาแล้วหมิงเสวี่ยก็กอดสองพ่อลูกพร้อมกัน"ท่านพ่อ ท่านแม่...!" ซือเสียนที่สาวใช้เพิ่งพาเข้ามาวิ่งมากอดข
หมิงเสวี่ยกลับยืนเท้าสะเอว และถลึงตามองสามี คนผู้นี้ร้ายกาจนัก! แล้วเช่นนี้หยกลายเมฆที่นางรับฝากไว้เมื่อใดจะได้ไปคืนสู่เจ้าของเล่า!นางว่าพลางนึกขึ้นได้ว่าตอนเปลี่ยนชุดเมื่อครู่นางถอดถุงผ้าที่ใส่หยกนั้นไว้ นางรีบค้นร่างตัวเองหามันเอ...ไปไหนนะ"ท่านพ่อเจ้าขา ข้าเจอถุงผ้านี้ล่ะ สวยจังเลย""ไหน" จิ้งเหอยื่นมือหมายจะรับถุงผ้าในมือลูกสาวไปดูลำตัวหมิงเสวี่ยพลันชาวาบ เซียนเซียนเอ๋ย! ลูกสาวคนดี! หาเรื่องให้แม่แล้วอย่างไรเล่า!"นี่ถุงผ้าของท่านแม่นี่นา" เขาบอกพลางเงยหน้ามองหมิงเสวี่ยที่เหงื่อชื้นมือ"ช...ใช่เจ้าค่ะ" หมิงเสวี่ยยิ้มแหย "ขอคืนนะเจ้าคะ"เขามองนาง มองถุงผ้า และยัดมันใส่อกเสื้อ "ข้าเก็บไว้ให้ก่อน เดี๋ยวเจ้าทำตกอีก"ไม่นะ! หมิงเสวี่ยทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ แต่ไม่เป็นไร ตอนกลางคืนเดี๋ยวค่อยไปล้วงควักเอาคืน! ตอนนี้จะทำเป็นอยากได้หรือรั้นจะเอาคืนไม่ได้อย่างเด็ดขาด หากจิ้งจอกผู้นี้เห็นนางหวงมันเป็นพิเศษต้องจับได้แน่ๆ"ได้เจ้าค่ะ" นางกลับไปยิ้มแย้มต่อ "มาเจ้าค่ะ ได้เวลาท่านลองชุดแล้วเช่นกัน""ท่านพ่อเจ้าขา ขอถุงผ้าให้ข้าเล่นหน่อยนะเจ้าคะ" ซือเซียนตัวน้อยอ้อนวอน เกาะแขนบิดาไม่ปล่อย"มันเป็
"ท่าน...แกล้งข้าอีกแล้ว" นางว่าทั้งๆ ที่หอบหายใจ ตาหรี่ปรือแทบจะลืมไม่ขึ้น เขายิ้มน้อยๆ ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ..ให้ตายสิ นางเกลียดรอยยิ้มแบบนี้ของเขานัก นอกจากเขาจะไม่ตอบ ยังถอนสิ่งนั้นออกจากนาง หมิงเสวี่ยเอามือปิดหน้าราวกับรู้ชะตากรรมของตนเอง ตั้งแต่เขาอาการดีขึ้น ก็มักจะเล่นงานนางบนเตียงเสียจนนางแทบลุกไม่ขึ้นทุกครา คราวนี้ก็คงเป็นเช่นนั้น...และจริงอย่างที่นางคิด มือแกร่งจับนางพลิกตัวคว่ำหน้าแนบกับฟูกนอน ใบหน้าหวานสะบัดเงยเมื่อเขากดกายลงมาอีกครั้ง เสียงร้องครางกระเส่าไม่หยุดปากเพื่อบรรเทาความเสียวซ่านที่อีกฝ่ายมอบให้ มือเล็กจิกทึ้งผ้าปูที่นอนจนแทบแหลกแรกเริ่มนางนั้นคึกคักยิ่ง แต่หลังจากถึงฝั่งฝันไปถึงสองรอบนางก็ชักจะหมดแรง ยิ่งตอนนี้ถูกเขาจับคว่ำหน้า นางยิ่งมิอาจขัดขืน"เหอ...เหอหลาง" หมิงเสวี่ยเสียงแผ่ว นางใกล้จะหมดสติแล้วนะแต่ถึงกระนั้น การกระทำของเขาก็ยังคงส่งนางขึ้นสู่จุดสูงสุดได้อีกบางครานางก็เกลียดตนเอง เหนื่อยแทบขาดใจ ก็ยังเสพสุขไม่หยุด นางเจียนจะคลั่งเมื่อเขาขยับตัวรุนแรงขึ้น ทั้งยังโน้มกายลงบีบเคล้นทรวงอกอิ่ม และยอดอกของนางอีก"หมดแรงแล้วรึ?"หมิงเสวี่ยเงยหน้ากัดฟันกรอด ยัง
"ตรงไหนดีนะ...?" นางใช้ศอกดันตัวขึ้นเข้าหาเขาเล็กน้อยริมฝีปากเล็กทำท่างับเบาๆ ที่ริมฝีปากเขาราวกับแกล้งหยอก "ตรงนี้ก็ดี..."เขายังคงนิ่ง ปล่อยให้นางชิมเขาต่อไป"ตรงนี้ก็ดี" นางจูบที่แก้มเขา ก่อนงับที่ซอกคอเขาเบาๆ"แมวน้อยช่างเลือกกินยิ่ง..." เขาพูดขึ้นและใช้มือผลักนางนอนลงอย่างทนไม่ไหว "แต่จิ้งจอกมันตะกละตะกลาม จะกินแมวน้อยตัวนี้มิให้เหลือแม้แต่เส้นขนทีเดียว"ผู้เป็นฮูหยินกลับไม่มีท่าทียี่หระ ทั้งกลับเป็นฝ่ายยกวงแขนคล้องคอเขา กดศีรษะเขาลงมาให้นางได้ชมชิมริมฝีปากหวานฉ่ำ"ท่านก็กินข้าหมดทั้งตัวแล้วนี่ เหอหลางของข้า" นางเอ่ยเสียงแผ่วเมื่อริมฝีปากของทั้งสองผละจากกัน"กินแล้วก็กินอีก ข้ายังกินไม่หนำใจ..." ว่าพลางเริ่มจุมพิตย้ำกับริมฝีปากนางต่อ"อืม...เช่นนั้นข้าจะให้ท่านกินข้าไปชั่วชีวิต" มือซนเริ่มสอดยังสาบเสื้อแล้วลูบไล้แผ่นอกแกร่งของเขา "แล้วสตรีหน้าไหนก็อย่าหวังได้กินท่านด้วย"มือน้อยที่หลายปีก่อนเคยหยาบกระด้าง ทว่าตั้งแต่มาอยู่กับเขาก็ไม่เคยได้จับงานหนักจนกลายเป็นมือน้อยที่นุ่มเนียน ถูกนางลากไล้จนแตะลงที่แผลเป็นอันเป็นรอยทางยาวจากกลางอกไปจนถึงไหล่ขวาของเขา บาดแผลที่ฉู่หลานเทียนฝากไว้
"ที่นี่อาจจะดูใหญ่โต ผู้คนมากมาย แต่ก่อนหน้านี้ข้าก็เหงามากเชียวล่ะ...""ตอนนี้ไม่เหงาแล้วนะเจ้าคะ" หมิงเสวี่ยกอดแขนสามีไว้แน่น แล้วอิงแก้มอุ่นกับแขนเขา "เพราะข้ากับเด็กๆ จะคอยป่วนท่านทุกวันเลย"ชายหนุ่มอมยิ้ม เพราะมีนางและลูกๆ ชีวิตเขาจึงมีความสุขมากจริงๆ "ข้าชินกับความซุกซนของเจ้าแม่ลูกเสียแล้วล่ะ"ความสดใสของหมิงเสวี่ย บางทีก็ทำให้เขารู้สึกคล้ายกับว่านางเป็นลูกคนโตที่เอาแต่ใจยิ่ง และมักจะเป็นหัวโจกนำลูกๆ ของเขาและเฉี่ยวเหมยไปทดลองเล่นอะไรแปลกๆ เยอะแยะไปหมด วันทั้งวันมีแต่เสียงหัวเราะและรอยยิ้ม ทำให้ชีวิตเขาไม่เคยขาดสีสันไปเลยแม้แต่วันเดียวเขาพานางเดินเลี้ยวไปมา จนกระทั่งมาหยุดที่เรือน "อิงฮวา" (ดอกซากุระ) "นี่คือ...?""ห้องของเรา..." เขาเปิดประตูพานางเข้าไปชมด้านใน หมิงเสวี่ยถึงกับอ้าปากค้าง ภายในห้องตกแต่งอย่างสวยสดงดงามและหรูหรา เมื่อเทียบกับจวนที่ซีหนิงแล้ว ที่นี่ดีงามกว่าเป็นร้อยเป็นพันเท่า"อย่าขโมยอะไรล่ะ หากอยากได้ก็ขอข้าดีๆ เข้าใจหรือไม่?"หมิงเสวี่ยย่นจมูกใส่เขา "ขโมยไปทำไมกัน ข้าขโมยหัวใจท่านอย่างเดียว ของทุกอย่างนี่ก็กลายเป็นของข้าแล้ว ง่ายดายยิ่ง""ร้ายนักนะ นางแมวขโมย
สามปีให้หลังจากนั้น...เย็นวันนี้เมืองฉางอันครึกครื้นยิ่ง จากที่เป็นเมืองหลวงที่ครึกครื้นอยู่แล้ว วันนี้ก็มีเรื่องให้ชาวบ้านได้พูดคุยกันเช่นเคยขบวนรถม้าหรูหราบ่งบอกฐานะร่ำรวยและทรัพย์ศฤงคารอันมั่งคั่งค่อยๆ เคลื่อนผ่านประตูเมือง มุ่งหน้าสู่เขตบ้านพักของผู้มีอันจะกินทั้งหลาย และจอดลงที่หน้าคฤหาสน์ตระกูลไป๋"ยินดีต้อนรับกลับขอรับ นายท่าน ฮูหยินน้อย และคุณหนูทั้งสอง" พ่อบ้านเฮยที่อยู่เบื้องหน้าขบวนต้อนรับประสานมือคารวะผู้เป็นนาย ขณะที่หมิงเสวี่ยก้าวลงจากรถม้าด้วยอาการตะลึงพรึงเพริดเจ้าจิ้งจอกนี่ร่ำรวยเพียงนี้เชียวรึ?!บ้านช่องใหญ่โตโอ่อ่า ใหญ่กว่าจวนผู้ว่าของซีหนิงที่ว่าใหญ่ที่สุดในเมืองซีหนิงอีกเท่าตัว! ไหนจะบ่าวไพร่คนรับใช้ที่ตั้งแถวรอรับพวกนางอยู่นี่อีกเล่า! ถ้ารู้ว่ารวยขนาดนี้ คงยอมพลีกายแต่งงานด้วยไปนานแล้ว!!"ท่านแม่ๆ นี่บ้านของพวกเราหรือเจ้าคะ?" ซือเซียนในวัยสามขวบ เกาะชายกระโปรงมารดาเอ่ยถามหมิงเสวี่ยหันไปดึงแขนเสื้อไป๋จิ้งเหอ "นี่ เราไม่ได้มาผิดบ้านใช่ไหม?""ไม่ผิดหรอก นี่ล่ะ บ้านของเรา" ไป๋จิ้งเหอเอ่ยด้วยรอยยิ้มบางเมื่อเห็นท่าทีตกตะลึงพรึงเพริดนั้น"ใหญ่กว่าบ้านที่ซีหนิงอีก!"