ปัก!
“แด๊ดดี้…”
บั้นท้ายกลมกลึงกระทบกับต้นขาแกร่งจนเกิดเสียงดังลั่นนานร่วมชั่วโมง บุรินทร์ใช้ฝ่ามือบีบเคล้นทรวงอกอวบอั๋นจนเกิดเป็นรอยแดงเถือกก่อนจะจูบที่ซอกคอของเธอเบาๆ
มาเฟียหนุ่มมองภาพสะท้อนเร่าร้อนที่กำลังฉายอยู่ในกระจกบานใหญ่ภายในห้องนอน ไล่สายตาคมมองเรือนร่างของหญิงสาวที่ตกเป็นของเขาโดยสมบูรณ์แบบ
ริมฝีปากหนาพรมจูบไปทั้งตัวไม่เว้นแม้กระทั่งฝ่าเท้า
บุรินทร์เฝ้ารอรอเวลานี้มานาน ทุกตารางนิ้วที่อยู่บนตัวเธอ เขาต้องได้สัมผัสมันเพียงคนเดียว
“แด๊ดดี้…พะ…พอหรือยังคะ” เดมี่เอี้ยวหน้าถามคนที่ยืนซ้อนอยู่ทางด้านหลัง
ความร้อนรุ่มแผ่ซ่านไปทั่วร่างเมื่อคนตัวสูงถาเอวสอบกระแทกโดนจุดกระสันย้ำๆ ใบหน้าจิ้มลิ้มแดงก่ำหยาดเหงื่อไหลย้อย ก้มมองคราบน้ำขาวขุ่นที่กำลังทะลักย้อนกลับไหลลงตามหว่างขา
“ไม่มีวันพอ” ดึงมือเล็กมาจูบหนักๆ ใช้ปลายลิ้นอุ่นโลมเลียแล้วดูดดึงนิ้วเธอเบาๆ
“มี่ไม่ไหวแล้ว”
“เชื่อฉันสิว่าเธอยังไหว” กระซิบบอกข้างหูด้วยน้ำเสียงแหบพร่า ขบเม้มไปตามลำคอจนเกิดเป็นรอยช้ำแสดงความเป็นเจ้าของ “เธอทนไหวอยู่แล้ว เด็กดี…”
“…..” หญิงสาวหอบหายใจทางปากโหยหาอากาศเมื่อบุรินทร์คลายอ้อมแขนออกจากลำคอปลดปล่อยให้เธอเป็นอิสระ
“ต้องการอะไรแค่พูดออกมา ฉันจะหามาประเคนให้เธอทุกอย่าง”
ดังต้องมนต์สะกดเมื่อถูกช่องทางสีหวานของหญิงสาวตอดรัดบีบความเป็นชายแนบแน่นจวนจะทำให้ถึงฝั่นฝันอยู่รอมร่อ
เดมี่กัดริมฝีปากแน่นเมื่อร่างสูงที่ยืนอยู่ทางด้านหลังเร่งจังหวะถาเอวสอบก่อนจะกระตุกเกร็ง สัมผัสได้ถึงความอุ่นวาบที่ถูกปล่อยเข้ามาในตัวเธอเป็นรอบที่สี่ของค่ำคืนนี้
“เด็กดี”
บุรินทร์เงยหน้าขึ้นเปล่งเสียงร้องครางในลำคอ ใช้นิ้วปาดน้ำรักสีข้นที่ติดอยู่ตามเรียวขา ก่อนจะยัดใส่ปากให้เธอกลืนกิน
“แด๊ดดี้ มี่เจ็บ…พอก่อนได้ไหม”
“…..”
“เอาไว้ค่อยทำวันหลังกันนะคะ”
เมื่อได้ฟังประโยคที่น่าสนใจ เขาจึงคลายอ้อมแขน ยอมถอนแก่นกายออกจากช่องทางรักอย่างอ้อยอิ่ง
ยกมือขึ้นลูบไล้เรือนผมสีน้ำตาลอ่อนราวกับเอ็นดูนักหนา ทั้งๆ ที่การกระทำก่อนหน้ามันดูตรงกันข้ามไปหมดทุกอย่าง
“แด๊ดดี้ช่วยลบมันทิ้งได้มั้ยคะ” ริมฝีปากบางสั่นระริก มองไปยังสมาร์ตโฟนที่อยู่ในมือของมาเฟียหนุ่ม
“ฉันจะเก็บไว้คนเดียวดูตอนที่เด็กดีไม่อยู่”
“…..”
“จะไม่มีใครได้เห็นนอกจากเราสองคน”
เล็บสวยจิกลงบนต้นขาของตัวเองไว้แน่น ได้แต่ยืนมองคลิปหวาบหวิวที่บุรินทร์เป็นคนถ่ายเก็บไว้
“ในคลิปเห็นหน้าเด็กดีชัดมาก สวยไปทั้งตัว” บุรินทร์ยกยิ้มมุมปากอย่างหลงไหล เขาชักจะอดใจไม่ไหวอยากทำกับเธอซ้ำๆ ในทุกๆ วัน
…
ตกดึกของคืนนั้น
“อื้อ…เจ็บ แด๊ดดี้ทำอะไร” หญิงสาวสะดุ้งตื่นขึ้นมาจากดึก หลุบสายตามองการกระทำของมาเฟียหนุ่ม
บุรินทร์หยิบเข็มฉีดยาขนาดพอเหมาะ ก่อนจะใช้สำลีชุบแอลกอฮอล์ทำความสะอาดบนผิวขาวเนียนแล้วฉีดเข้าที่สะโพกด้วยความชำนาญ
“ฉีดยาแก้ปวดไว้ให้ พรุ่งนี้ตื่นขึ้นมาจะได้สบายตัว” ปลายนิ้วเรียวลูบไล้พวงแก้มอมพูอย่างทะนุถนอม จุมพิตที่หน้าผากเบาๆ แทนคำขอโทษที่ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่พลั้งมือรุนแรงกับเธอ
“แต่แด๊ดดี้ไม่ได้ป้องกัน มี่ต้องกินยา”
“เอาไว้ครั้งหน้าฉันจะเป็นคนป้องกันเอง”
“แด๊ดดี้ทำเจ็บ…มี่ไม่อยากทำ มี่ไม่อยากมีอะไรกับแด๊ดดี้แล้วค่ะ” เคยคิดว่าการมีอะไรกันจะต้องรู้สึกดีเหมือนในซีรี่ย์ที่เคยดู แต่มันไม่ใช่เลยกลับกลายเป็นบุรินทร์ที่มีความสุขอยู่ฝ่ายเดียว
“…..” มาเฟียหนุ่มมองท่าทางงอแงของเด็กน้อยอย่างไม่ถือสาพลางรอฟังคำตอบที่อยากได้ยิน “ยังคิดจะไปจากฉันอยู่ไหม”
“…..”
“ล้มเลิกความคิด เพราะถึงยังไง ฉันก็ไม่มีวันปล่อยเธอ” จากรอยยิ้มบางแปรเปลี่ยนเป็นแววตาเยียบเย็นจนหญิงสาวรู้สึกเสียวสันหลัง
“แต่เราตกลงกันแล้ว ถ้ามี่ยอม…แด๊ดดี้จะปล่อยมี่ไป”
“แค่เซ็กซ์ห่วยแตกของเธอ มันไม่ได้คุ้มค่ากับสิ่งที่ฉันเสียไปเลยสักนิด”
เดมี่ทิ้งตัวลงนอนบนเตียงพร้อมคราบน้ำตาหลังจากได้ยินประโยคนั้น ริมฝีปากอิ่มสวยเปล่งเสียงร้องครางสะอึกสะอื้นสุดท้ายก็ไม่ได้ต่างจากที่คิดไว้สักเท่าไหร่
“ได้ฉันเป็นผัวต้องเสียใจขนาดนั้น?”
“แต่มันควรเกิดจากความรักไม่ใช่เหรอคะ”
“แล้วที่ฉันรักเธอมันยังไม่พออีกหรือไง! อยากให้รักมากแค่ไหนก็พูดมาสิวะ!”
“แต่มี่ไม่ได้รักแด๊ดดี้…ได้ยินมั้ยว่ามี่ไม่ได้รัก…”
ปัง!
“กรี๊ดด…” เดมี่ยกมือสั่นเทาขึ้นปิดใบหน้า ส่งเสียงกรีดร้องตามสัญชาตญาณหลังจากได้ยินเสียงปืนดังขึ้นหนึ่งนัด
“ถ้าพูดคำเฮงซวยพวกนั้นออกมาอีกแม้แต่คำเดียว ฉันจะจัดการเธอซะ!”
มาเฟียหนุ่มหมดความอดทน ตวาดเสียงดังลั่นพร้อมกับกระชากคอเสื้อของเธออย่างแรงให้เข้าหา
แววตาที่มองเต็มไปด้วยความเดือดดาล ขบกรามกัดฟันแน่นจนเส้นเลือดตรงขมับปูดโปน
“ฮึก…” เดมี่ซุกใบหน้าเข้ากับหมอนใบใหญ่กลั้นเสียงสะอื้นด้วยความหวาดกลัวก่อนจะผล็อยหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย
…
เช้าวันต่อมา
แสงแดดยามเช้าสาดส่องเข้ามาภายในห้องนอนหรูหรา กระทบกับใบหน้าเกลี้ยงเกลาช่วยปลุกหญิงสาวให้รู้สึกตัว
เดมี่สะลึมสะลือยกมือขึ้นลูบหน้าเบาๆ เพื่อเรียกสติ ค่อยๆ ประคองพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นนั่งเอนหลังพิงหัวเตียง มองไปบริเวณรอบห้องนอนไม่เห็นชายหนุ่มเหมือนที่คิด
เธอก้มมองร่องรอยฟกช้ำที่บุรินทร์ทำไว้ มันยังคงติดอยู่บนร่างกายไม่ได้จางหายไปไหน
ยิ่งตอกย้ำว่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นคือความจริงไม่ได้ฝันไป
“คุณเดมี่ตื่นแล้วครับนาย”
มาเฟียหนุ่มปรายหางตามองหญิงสาวในชุดนักศึกษาเพียงนิด หลังจากลูกน้องเข้ามารายงาน แต่ไม่ได้พูดอะไรต่อจากนั้น
ใบหน้าจิ้มลิ้มของเธอซีดเซียวคล้ายกับคนพักผ่อนไม่เพียง คงเป็นผลพวงมาจากการกระทำป่าเถื่อนของเขาที่รังแกเธอตลอดทั้งคืน
บรรยากาศภายในห้องอาหารเงียบเหงา คนทั้งสองต่างก้มหน้าก้มตาทานอาหารในจานของตัวเองโดยไม่มีบทสนทนาใดๆ เกิดขึ้น
เสียงหวานที่เคยร้องเรียก ‘แด๊ดดี้’ ให้ได้ยินในทุกๆ เช้า แต่ตอนนี้กลับว่างเปล่า เดมี่ทำเหมือนว่าเขาเป็นธาตุอากาศไม่มีตัวตน ไม่แม้แต่จะหันมามองหน้าเลยด้วยซ้ำ
“ทะเลาะกับคุณเดมี่เหรอครับ” ครามเองก็รับรู้ได้ถึงบรรยากาศที่แปลกไป
“ไม่ใช่เรื่องอะไรของมึง”
“ขนาดนายถูกยิงบาดเจ็บ คุณมี่ยังไม่ถามอาการสักคำ”
“…..”
“ดูเหมือนว่าคุณเดมี่กำลังงอนนายอยู่นะครับ” ครามกระซิบกระซาบข้างเจ้านาย
“แล้วยังไง กูจำเป็นต้องใส่ใจยัยเด็กนั่นเหรอ”
“ผู้หญิงเวลางอนง้อไม่ยากหรอกครับ ถ้านายน้อยอยากง้อคุณเดมี่เดี๋ยวผมสอนให้” เป็นเพราะเห็นบุรินทร์เอาแต่เหลือบสายตามองหญิงสาวแทบทุกนาที
จริงอยู่ที่คนอย่างบุรินทร์ไม่เคยง้อใคร เขายอมหักได้แต่ไม่คิดจะก้มหัวหรือลดตัวลงไปหาใครทั้งนั้น
“กูไม่มีทางทำเรื่องไร้สาระแบบนั้น”
“…..” ลูกน้องคนสนิทยืนอมยิ้มมองหน้าเจ้านายหนุ่ม เขาเองก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าใครกันแน่ที่จะเป็นฝ่ายทนไม่ไหวเสียก่อน
“วันนี้พี่ครามไม่ต้องไปส่งมี่นะคะ”
“ทำไมล่ะครับ มันเกิดอะไรขึ้น”
“ตอนนี้มี่พอจะอ่านหนังสือออกแล้ว เลยอยากหัดนั่งรถเมล์ดูน่ะค่ะ”
“ผมว่าไม่ดีมั้งครับ รถที่บ้านของเราก็มีตั้งเยอะแยะ จะนั่งรถโดยสารให้ลำบากทำไม” อยู่ในโกดังติดแอร์มีรถสปอร์ตไปจนถึงไฮเปอร์คาร์ของเจ้านายมากมายจอดเรียงรายให้เลือกขับ
“แต่มันไม่ใช่รถของมี่ค่ะ”
“…..”
“ไม่ต้องกลัวว่ามี่จะหนีหรือหายไปไหน เพราะถ้าหนีไปยังไงสุดท้ายพวกพี่ก็คงตามหามี่จนเจออยู่ดี” เดมี่พูดผ่านน้ำเสียงตัดพ้อ ก่อนจะก้มหน้าก้มตาเก็บข้าวของใส่กระเป๋าสะพายเตรียมตัวไปมหาลัย
“แล้ววันนี้จะกลับค่ำไหมครับ เผื่อนายน้อยรอทานข้าวเย็น” ตั้งแต่มีเดมี่เข้ามาอยู่ด้วยกันที่นี่ บุรินทร์กลับบ้านเร็วขึ้นแถมตรงเวลาทุกวัน ถ้าเคลียร์งานเสร็จแล้วจะรีบตรงดิ่งกลับมาบ้านในทันที
“อาจจะค่ำหน่อยค่ะ พอดีมีกิจกรรมกับมหาลัย”
เธอรู้ว่ากำลังมีสายตาของบุรินทร์ที่คอยเฝ้ามอง แต่ไม่ได้ให้ความสนใจรีบเดินออกมาในทันที
โรงพยาบาล “น้องจิ๋วมาแล้ว” “ไหนๆ ขอดูบ้าง” “ทำไมน้องไม่ลืมตา” “ตัวนิ่มมากเลย ลองจับดูสิ” เสียงบทสนทนาของพวกเด็กน้อยกำลังพูดคุยกันอย่างไร้เดียงสา ยืนล้อมวงจ้องมองสมาชิกใหม่ที่เพิ่งลืมตาดูโลกได้เพียงไม่กี่วัน “ตัวเป็นอะไร ทำไมไม่มาดูน้องคนใหม่” ฟรานเดินเข้าไปถามแฝดน้องที่เอาแต่นั่งกอดอกทำหน้าบึ้งตึงไม่ยอมพูดจา “เบื่อ! เค้าไม่อยากได้น้องผู้ชาย เค้าอยากมีน้องผู้หญิง” เด็กชายบ่นพึมพำพลางเบือนหน้าหันหนี “ผู้ชายก็ดีนะ ตัวจะได้ไม่เหงา จะได้มีเพื่อนเล่นไง” “เล่นแต่ฟุตบอลกับปั่นจักรยานจนเบื่อแล้ว อยากเล่นอย่างอื่นบ้าง” “แล้วอย่างอื่นที่แฝดว่ามันคืออะไร อยากเล่นขายของหรือเล่นตุ๊กตาเหรอ” ใบหน้าน้อยๆ ของฟรานเอียงคอมองน้องชายฝาแฝดอย่างไม่เข้าใจ “เพราะหม่ามี๊เลือกน้องให้เราไม่ได้” “แล้วทำไมแด๊ดดี้ถึงมีแต่ลูกผู้ชาย ทำไมถึงไม่มีลูกผู้หญิงบ้าง” เด็กชายตัดพ้อทำสีหน้าเศร้า ถ้ามีน้องผู้ชายเพิ่มขึ้นมาอีกคนคงได้ปวดหัวกว่าเดิม “เพร
หลายเดือนผ่านไป “อาการของคุณฟาเรนดีขึ้นมากเลยค่ะ วันนี้ทำกายภาพได้หลายอย่างเลย” เดมี่ยิ้มกว้างพร้อมกับหัวใจที่พองโตหลังจากได้ยินข่าวดีจากพยาบาลที่ดูแลลูกชาย ตั้งแต่ได้รับตัวยาชนิดใหม่จากบุรินทร์ อาการของฟาเรนก็เริ่มดีขึ้นตามลำดับ จากกล้ามเนื้อที่เคยอ่อนแรงค่อยๆ ขยับได้มากขึ้น กลายเป็นช่วยเหลือตัวเองได้ดีและเดินเองได้ในที่สุด “ขอบคุณมากนะคะที่ช่วยดูแลฟาเรนให้เป็นอย่างดี” “คุณฟาเรนใจสู้มากค่ะ อีกไม่นานคงวิ่งเล่นกับพวกพี่ๆ ได้อย่างแน่นอน” “มี่รักแด๊ดดี้นะ รักที่สุดในโลก” หญิงสาวเดินเข้าไปกอดชายหนุ่มไว้แน่นแทนคำขอบคุณ ใบหน้าจิ้มลิ้มซบลงบนแผงอกแกร่งอย่างออดอ้อน “อะไรของเธอ” คิ้วเข้มเลิกขึ้นมองการกระทำเหล่านั้น ถึงแม้จะดูเหมือนไม่ค่อยใส่ใจแต่หัวใจของเขายังคงเต้นแรงกับผู้หญิงคนนี้อยู่ตลอด ต่อให้เวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน มันก็ยังคงเป็นเหมือนเดิมเสมอมา “เพราะมีแด๊ดดี้ ฟาเรนถึงมีอาการดีขึ้นในทุกวัน ถ้าไม่ได้แด๊ดดี้ช่วยดูแล ลูกคงแย่แน่เลยค่ะ” บุรินทร์อ
“ฟาเรน!” เด็กชายหันไปตามเสียงเรียกที่คุ้นเคย ไปหน้าน้อยๆ เอียงคอมองด้วยความสงสัยเมื่อเห็นพี่สาววิ่งเข้ามากอด ทั้งๆ ที่ก่อนหน้าบอกว่าปู่จะพาไปเที่ยวต่างประเทศ “ไหนบอกว่าปู่จะพาไปเล่นสกีที่ญี่ปุ่นไง” “ไม่อยากไปแล้ว เอาไว้ให้ฟาเรนหายป่วย พวกเราค่อยไปด้วยกัน” ฟรานโผกอดน้องชายที่นั่งอยู่บนรถเข็นวิลแชร์ด้วยความคิด เด็กหญิงไม่ได้คิดเสียใจหรือเสียดายเลยสักนิด พวกเขาสามคนตกลงกันแล้วว่าจะไม่ขอไปเที่ยวถ้าเกิดไม่มีฟาเรน หรือถ้าจะไปก็ต้องไปพร้อมกัน “ไปวิ่งเล่นกัน แด๊ดดี้ทำสนามเด็กเล่นให้พวกเราอันใหม่ใหญ่เบ้อเริ่มเลย” “แต่แด๊ดดี้ไม่ให้ออกจากบ้านนะ เดี๋ยวไม่สบาย” ฟาเรนพูดเสียงเบา สีหน้าดูซึมลงอย่างน่าสงสาร เขารู้ตัวเองเสมอว่าไม่ใช่เด็กปกติเหมือนคนทั่วไป “ตอนนี้แด๊ดดี้ไม่อยู่ ทางสะดวกแล้วนะ อยากไปไหม” “ยะ…อยากไป” พยักหน้าเบาๆ ก่อนจะวาดสายตาหันซ้ายมองขวาเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครอยู่แถวนี้ “งั้นก็รีบขี่หลังพี่เลย” “จะไม่โดนแด๊ดดี้ตีใช่ไหม”
“ทำอะไรอยู่ตัวเล็ก” “ก่อประสาททรายอยู่ครับ” ฟาเรนเด็กชายวัยห้าขวบหันไปตอบผู้เป็นพ่อ ก่อนจะหันกลับมาสนใจสิ่งตรงหน้าดังเดิม “เล่นคนเดียวเหงาไหม” บุรินทร์ยืนมองลูกน้อยที่นั่งเล่นอยู่ไม่ไกล ข้างกายของฟาเรนมีรถเข็นวิลแชร์ประตำแหน่งและพยาบาลพิเศษมากถึงสามคนคอยประคบประหงมอยู่ไม่ห่าง ถึงแม้ว่าฟาเรนจะมีอายุห้าขวบ แต่น้ำหนักและสัดส่วนค่อนข้างตกเกณฑ์ต่ำกว่าเด็กปกติทั่วไป ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนเป็นผลข้างเคียงมาจากการคลอดก่อนกำหนด “หนูอยากมีเพื่อน” เด็กชายบอกผ่านน้ำเสียงเศร้าสร้อยท่าทางซึมลงจนสังเกตได้ ตั้งแต่จำความได้ เขาถูกเลี้ยงดูแตกต่างจากเด็กทั่วไป ในขณะที่พวกพี่ได้วิ่งเล่นแต่ฟาเรนทำได้แค่นั่งมองอยู่ในห้องพักปลอดเชื้อต้องให้ยาทุกสี่ชั่วโมง “อย่านั่งตากแดดนาน เดี๋ยวไม่สบาย” “คุณปู่ไม่รักฟาเรนเหรอครับแด๊ดดี้ ทำไมถึงไม่พาหนูไปเที่ยวด้วย” คำถามของลูกชายทำเอามาเฟียหนุ่มหยุดชะงักนิ่งไป หัวอกคนเป็นพ่อสั่นไหวค่อยๆ ย่อตัวนั่งลงข้าง
“แฟรงก์มา!”เด็กน้อยที่นั่งอยู่ต่างหันขวับกันอย่างพร้อมเพรียง ใบหน้าน้อยๆ ของหลานฉีกยิ้มกว้างเมื่อมองเห็นปู่ที่เดินเข้ามาหลังจากที่ไม่ได้เจอหน้ากันหลายเดือน“แฟรงก์…แฟรงก์!” เด็กหญิงตะโกนเรียกซ้ำๆ กระโดดโลดเต้นดีใจรีบวิ่งเข้าไปกอดด้วยความคิดถึงวันนี้ในมือปู่มีขนมแถมยังหิ้วของเล่นมาฝากหลานเยอะแยะ ตามใจกว่าแด๊ดดี้และหม่ามี๊ก็คงจะเป็นผู้ชายคนนี้“บอกกี่ครั้งแล้วว่าให้เรียกปู่ ข้าไม่ใช่เพื่อนเล่นของพวกเอ็งนะ” คนเป็นปู่ถอนหายใจมองหน้าไอ้พวกเด็กฝรั่งที่ไม่มีพ่อแม่คอยสั่งสอนแต่ได้พอสบสายตาอันไร้เดียงสาเหล่านั้น หัวใจแกร่งก็ยอมโอนอ่อนให้โดยดี“ปู่คืออะไร” ฟาโรห์ตัวป่วนเอียงคอถามอย่างสงสัย“คือพ่อของพ่อไง”“แล้วพ่อคือใคร” พอได้ยินแบบนั้นยิ่งทำให้งงไปกันใหญ่“พ่อก็คือแด๊ดดี้ไง ภาษาไทยเขาเรียกว่าพ่อ”“เข้าใจแล้ว”“เดี๋ยวนี้ลืมกันแล้วสิ ทำไมพวกเอ็งถึงไม่ไปหาปู่บ้างเลย” บุรินทร์ภัทรแสร้งทำท่าทางตัดพ้อน้อยใจ อยู่ที่บ้านก็เอาแต่ชะเง้อคอคอยมองทางหลานน้อยอยู่ทุกวัน“ไม่ได้ลืมสักหน่อย แต่แด๊ดดี้ไม่ให้ไป” เด็กหญิงพูดแทรกน้ำเสียงเจื้อยแจ้วแต่สีหน้ากลับดูซึมลงอย่างเห็นได้ชัด“อยู่แต่บ้านไม่ได้ออกไปเที่ย
ห้างสรรพสินค้า“อ้าปากสิ เดี๋ยวฉันป้อน” มาเฟียหนุ่มบรรจงตักไอศกรีมคำโตจ่อไปที่ริมฝีปากเล็ก“…..” เดมี่ส่ายหน้าปฏิเสธ เธอเอาแต่คิดถึงลูกน้อยจนไม่เป็นอันทำอะไร“ไหนเคยบอกว่าอยากกินไอติม ก็พามาแล้วยังจะต้องการอะไรอีก”“มี่อยากรู้ว่าลูกเป็นยังไงบ้าง”“ไว้ถึงบ้านแล้วค่อยคุย”“มี่อยากรู้เดี๋ยวนี้ ตอนนี้มะ…มันไม่มีจิตใจอยากทำอะไรแล้ว” ดวงตาคู่สวยสั่นคลอนอย่างหนัก หยดน้ำตาไหลอาบใบหน้าอย่างสุดกลั้น “ทำไมแด๊ดดี้ถึงไม่บอกกันสักคำว่าลูกเป็นอะไร”“…..”ยิ่งเขาไม่พูดมันออกมา ยิ่งทำให้เธอแทบเสียสติ ในสมองมันเอาแต่คิดมากไปเองต่างๆ นานา “อยากเห็นมี่ขาดใจตายก่อนเหรอ”“ที่ไม่บอกเพราะลูกไม่ได้เป็นอะไร ไม่ต้องร้องไห้” บุรินทร์ถอนหายใจหนัก เอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาออกให้ ความทุกข์ของเดมี่ตอนนี้มีเพียงสิ่งเดียวก็คือเรื่องลูก “ทางโรงพยาบาลเขาโทรมาแจ้งข่าวดี”“ข่าวดี?” คนตัวเล็กรีบยกหลังมือขึ้นปาดน้ำตาออกจากใบหน้าแบบลวกๆ หลังจากได้ยินประโยคที่เฝ้ารอมานานแสนนาน“อาการลูกดีขึ้นมาก ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดเราจะได้ไปรับลูกออกจากโรงพยาบาลด้วยกันอาทิตย์หน้า”“พูดจริงใช่ไหม อย่าหลอกให้ดีใจนะ” รอยยิ้มกว้างปรากฏขึ้นบนใบหน้าแสนห