เหวยผิงจึงหยิบขวดกระเบื้องที่ใส่น้ำทิพย์ขึ้นมากิน กลิ่นอันหอมหวานลอยคลุ้งไปทั่ว ทำให้ทั้งเฟยฮวาและเหล่าผึ้งงานบินมาหยุดต่อหน้าเหวยผิง มองน้ำทิพย์ที่อยู่ในขวดกระเบื้องตาเป็นประกาย
“ถือว่าเป็นรางวัลของพวกเจ้าสำหรับวันนี้” เหวยผิงหยดน้ำทิพย์ลงใบไม้แล้วยื่นให้กับเหล่าผึ้งงานที่นำทางนางมาหาต้นหยางเหมย
เหล่าผึ้งงานเองที่ได้รับอนุญาตก็บินมาเกาะใบไม้อย่างรวดเร็ว ดูดกินน้ำทิพย์อย่างเอร็ดอร่อย
“นี่เหวยผิง ท่านต้องให้ข้าด้วยสิ ข้าก็พาท่านมานะ” เฟยฮวาเอ่ยประท้วงที่ตนไม่ได้รับน้ำทิพย์ เหมือนผึ้งงานของนาง
“ได้สิ” เหวยผิงหยดน้ำทิพย์ไปที่หลังมือแล้วยืนไปใกล้ๆ เฟยฮวา
“ขอบคุณ”
เหวยผิงนั่งมองเหล่าผึ้งกินน้ำทิพย์อยู่ก็รู้สึกว่ามีบางอย่างสะกิดที่ขาหลังของนาง นางจึงหันไปมองก็พบว่าเป็นพังพอนขาวที่กำลังใช้เท้าอันน้อยเขี่ยนางไปมา
“แล้วนี่มีพังพอนขาวด้วยหรือ” เหวยผิงมองเจ้าพังพอนน้อยอย่างแปลกใจ เพราะปกตินางเห็นแต่พังพอนสีน้ำตาล นางยังไม่เคยเห็นพังพอนตัวสีขาวมาก่อนเลย
“อี้ๆ…” เจ้าพังพอนน้อยก็เขี่ยขาหลังไปมา
“เจ้าต้องการอันใดหรือ” เหวยผิงที่เห็นพังพอนขาวเขี่ยอยู่อย่างนั้นจึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“อี้ๆ…อี้” เหมือนพังพอนขาวจะพยายามบอกอะไรนางสักอย่างแต่นางก็ไม่เข้าใจอยู่ดี
“มันต้องการน้ำทิพย์ของท่าน” เฟยฮวาที่กินน้ำทิพย์หมดแล้ว จึงบินขึ้นมาดูเจ้าพังพอนขาวที่กำลังพยายามบอกอะไรกับเหวยผิง
“เจ้าต้องการมันหรือ” เหวยผิงหยิบขวดกระเบื้องขึ้นมาให้พังพอนขาวดู
“อี้ๆ…” พังพอนขาวพยักหน้าขึ้นลง เหวยผิงที่เห็นท่าทางของพังพอนขาว นางคาดว่าจะเป็นกลิ่นของน้ำทิพย์ที่ส่งกลิ่นหอมยั่วยวนให้เจ้าพังพอนขาวตัวนี้มา
“ไม่ได้ น้ำในขวดนี้มีอย่างจำกัดเหตุใดข้าจะต้องให้เจ้าด้วย”
“อี้ๆ…” เหมือนมันจะฟังเหวยผิงรู้เรื่อง พังพอนขาวใช้นิ้วอันน้อยนิดชี้มาที่เฟยฮวา
“เฟยฮวาช่วยข้าหาต้นหยางเหมยพวกนี้ แล้วเจ้าทำประโยชน์อันใดให้ข้า”
หลังจากที่พังพอนขาวได้ฟังเหวยผิงก็ทำท่าครุ่นคิดเล็กน้อย ตากลมโตมองไปเห็นผลหยางเหมยที่กองอยู่ข้างๆ มนุษย์ผู้นี้ มันจึงวิ่งขึ้นต้นหยางเหมยอย่างรวดเร็ว
เหวยผิงที่เห็นเจ้าพังพอนนี้ไปแล้วก็ถอนหายใจ คิดว่าเจ้าพังพอนขาวยอมแพ้แล้ว นางจึงลุกขึ้นไปเก็บเหล่าหยางเหมยที่กองอยู่บนพื้นเข้ามิติ
“เอาล่ะ กลับกันเถิด” หลังจากเก็บเข้ามิติแล้ว เหวยผิงก็สะพายตะกร้าแล้วหันมาบอกกับเหล่าผึ้งงานทั้งหลาย แต่ขณะที่นางกำลังจะเดินกลับ สายตาเหลือบไปเห็นก้อนกลมสีขาววิ่งลงจากต้นไม้อย่างรวดเร็วแล้วมาหยุดต่อหน้านาง
เจ้าพังพอนขาวที่หายไปนั้นเอง นางก้มมองก็เห็นอุ้งมือสีขาวแบกลูกหยางเหมยสามสี่ลูก ในปากยังมีอีกสองลูก มันวางลูกหยางเหมยต่อหน้าเหวยผิง แล้วยืนมือออกมาหาเหวยผิง
เหวยผิงเองถึงกับตากระตุก ไม่คิดว่าเจ้าพังพอนขาวจะคิดเช่นนี้ เก็บหยางเหมยมาให้นางสี่ห้าลูกก็คิดว่าจะมีประโยชน์ต่อนางแล้วหรือ
“อี้ๆ…” พังพอนขาวท้วงน้ำทิพย์จากมนุษย์ตัวใหญ่ พลางชี้ไปที่ลูกหยางเหมยที่มันเก็บมา
เหวยผิงที่กำลังเหนื่อยใจกับเจ้าพังพอนตามตื๊อตัวนี้ ก็ปรากฏความคิดหนึ่งขึ้นมาในหัว
“เจ้าต้องการน้ำทิพย์ในขวดนี้ใช่หรือไม่” เหวยผิงหยิบขวดกระเบื้องให้พังพอนขาวดู
“อี้ๆ…อี้” พังพอนขาวที่เห็นขวดกระเบื้องก็พยักหน้าเป็นพัลวัน
“ เช่นนั้นเรามาทำข้อตกลงกันหรือไม่ หากเจ้ายอมกลับไปกลับข้า ยอมเป็นเพื่อนเล่นลูกชายข้าไปตลอดข้าจะให้ขวดนี้กับเจ้าทั้งหมด”
หลังจากที่ได้ฟังข้อตกลงจากมนุษย์ตัวโตผู้นี้ เจ้าพังพอนขาวก็คิดหนัก มันไม่อยากจะไปอยู่กับมนุษย์ แต่มันก็ต้องการน้ำในขวดนั้นเหมือนกัน ดูจากที่เหล่าผึ้งพวกนั้นกินน่าจะอร่อยไม่น้อย
“ตกลงจะอย่างไร หากไม่ข้าจะกลับแล้ว ลูกของข้ารออยู่บ้านคนเดียว” เหวยผิงที่เห็นพังพอนขาวทำท่าครุ่นคิดนานเกินไปจึงเก็บขวดกระเบื้องกับไป แล้วหันหลังเตรียมเดินกลับ
แต่เเล้วเจ้าพังพอนขาวก็กระโดดเกาะขานางไว้ ทำให้นางถึงต้องหยุดชะงักแล้วก้มมองพื้น
“ตกลงจะไปหรือไม่ไป”
“อี้ๆ….” พังพอนขาวพยักหน้าตกลง แล้วยืนมือออกมารอรับน้ำทิพย์จากเหวยผิง
เหวยผิงที่เห็นมันยอมตกลงก็หยิบขวดกระเบื้องออกมาแล้วยื่นให้กับพังพอนขาวทั้งขวด
พังพอนขาวที่เห็นมนุษย์ตัวโตยืนขวดมาให้ อุ้งมือน้อยๆ ก็รับมาอย่างดีใจ จมูกน้อยๆ ดมฟุดฟิดไปมาขณะที่พังพอนขาวกำลังเพลิดเพลินกับกลิ่นอันหอมหวาน ตัวมันก็ลอยขึ้นแล้วมาร่วงอยู่ตะกร้าที่เหวยผิงสะพายอยู่
หลังจากไม่มีอะไรแล้วเหวยผิงก็ตรงกลับบ้านทันที โดยครั้งนี้มีผู้ติดตามอีกหนึ่งตัวกลับมาด้วย
“แม่กลับมาแล้ว” เหวยผิงที่กลับมาถึงบ้านก็เอ่ยส่งเสียง ก่อนจะได้ยินเสียงขลุกขลักอยู่ในบ้าน แล้วประตูก็เปิดออกปรากฏร่างของลูกชายนาง
“ท่านแม่ ท่านกลับมาแล้ว ท่านเก็บหยางเหมยได้เยอะหรือไม่” อี้เหวินเอ่ยพลางเขย่งมองผลหยางเหมยที่อยู่ข้างหลังทางแม่
“……” เหวยผิงปลดตะกร้าออกแล้วเอามาวางลงต่อหน้าอี้เหวิน
“ว้าว…พังพอนขาวน่ารักจังเลย” อี้เหวินที่เห็นก้อนสีขาวที่อยู่บนตะกร้าก็ตาลุกวาว
“ชอบหรือไม่”
“ท่านแม่จะให้ข้าเลี้ยงหรือขอรับ” อี้เหวินเอ่ยถามท่านแม่ พลางมองพังพอนขาวสลับไปมา
“หากเจ้าต้องการแม่ก็จะให้เลี้ยง แต่หากไม่วันนี้เราจะกินพังพอนย่างกัน” เหวยผิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบพลางมองไปที่พังพอนขาว
พังพอนขาวที่ได้ยินอย่างนั้นมันก็กระโดดกอดอี้เหวินอย่างรวดเร็ว พลางทำหน้าออดอ้อนเลี้ยงข้าเถิด ข้ายังอยากมีชีวิตอยู่
“เลี้ยงขอรับ ข้าจะเลี้ยงมัน” อี้เหวินเห็นสายตาเจ้าพังพอนตัวขาว หัวใจดวงน้อยๆ ก็อ่อนยวบ กอดร่างอันนุ่มนิ่มของพังพอนขาวไว้
“ได้เราจะไม่มีกินมัน”
พังพอนขาวที่เห็นเหวยผิงไม่กินมันแล้วก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก แต่หลังจากได้ยินประโยคถัดไปมันก็หยุดชะงัก
“แต่ถ้ามันดื้อไม่ยอมเชื่อฟัง หนีหรือไม่ว่าอะไรก็แล้วแต่ แม่จะทำมันย่างเสีย” เหมือนประโยคนี้เหวยผิงจะเอ่ยกับพังพอนขาวเสียมากกว่า
“ขอรับท่านแม่ ข้าจะเลี้ยงมันอย่างดี รับรองมันเชื่อฟังอย่างดี ใช่หรือไม่เสี่ยวไป๋” อี้เหวินเอ่ยพร้อมกับตั้งชื่อให้เจ้าพังพอนขาวเรียบร้อย
“ตกลง ส่วนเจ้าหากทำตัวดีจะมีน้ำทิพย์ให้กินตลอด เข้าใจหรือไม่”
“อี้ๆ…” เสี่ยวไป๋ที่ได้ยินว่ามันจะมีน้ำทิพย์กินตลอดมันก็ร้องอย่างดีใจ พลางเอาหัวขาวซบลงอกของอี้เหวิน
“เอาล่ะพวกเจ้าทั้งสองก็ไปเล่นกันได้แล้ว แม่จะนั่งเลือกหยางเหมยที่เก็บมาเสียหน่อย” ลูกหยางเหมยที่เหวยผิงเก็บมามีทั้งลูกสุกปกติ กับลูกที่สุกงอมจัดๆ เหวยผิงจึงจะเลือกลูกที่สุกงอมไปหมักสุราเสียก่อนแล้วเก็บอันที่ยังดีไว้ทีหลัง
“ข้าจะช่วยท่านแม่ขอรับ ใช่หรือไม่เสี่ยวไป๋ก็จะช่วยท่านแม่”
“ได้ งั้นเจ้าก็ช่วยแม่เลือกผลหยางเหมยพวกนี้”
หลังจากนั้นสองแม่ลูกก็ช่วยกันเลือกผลหยางเหมย โดยมีพังพอนขาวที่น่าสงสาร นั่งเลือกผลหยางเหมยกับเขาด้วย
เวลาผ่านไปหนึ่งชั่วยามกว่าท้องฟ้าก็เริ่มมืดสนิท ทำให้เหวยผิงต้องหยุดมือ ยังเหลือผลหยางเหมยในมิติอีกเล็กน้อยเท่านั้นที่ยังไม่ได้เลือก นางจึงเก็บไว้เลือกพรุ่งนี้
แล้วเข้าไปในครัวเตรียมอาหารสำหรับมื้อเย็น อาหารมื้อนี้เป็นเมนูง่ายคือ ผัดหวานเนื้อกวาง ในส่วนของเสี่ยวไป๋เหวยผิงยังหันเนื้อกวางเป็นชิ้นเล็กให้มันอีกด้วย
หลังจากกินเสร็จนางก็ไล่หนึ่งพังพอนหนึ่งเด็กเข้าไปนอน ส่วนนางจะไปล้างเนื้อล้างตัวก่อน เนื่องจากระหว่างเก็บหยางเหมยมีเหงื่อออกไม่น้อย
พอนางกลับมาหลังจากอาบน้ำก็เห็นอี้เหวินน้อยกอดเสี่ยวไป๋อย่างสบายใจ นางจึงดึงผ้าห่มมาห่มให้ทั้งสองแล้วล้มนอนข้างๆ พรุ่งนี้ยังมีงานรอนางอยู่ไม่น้อย
เช้าวันรุ่งขึ้น…
เหวยผิงตื่นมาก็เตรียมหมักสุราน้ำผึ้งไว้ เนื่องจากมีถังน้อยทำให้เหวยผิงไม่สามารถทำได้มาก จึงคิดว่าวันนี้จะไปซื้อถังที่ตัวอำเภอเสียหน่อย
หลังจากที่จัดการกับสุราเรียบร้อย นางก็มาดูแป้งที่นางเลี้ยงไว้ถือว่าประสบผลสำเร็จ แป้งที่นางเลี้ยงโตขึ้นกว่าเดิมอย่างมาก จึงตัดออกครึ่งหนึ่งทิ้ง แล้วผสมน้ำกับแป้งอย่างละเท่ากันใส่ลงไป คาดว่าพรุ่งนี้นางจะเริ่มเมี่ยนเปา (ขนมปังซาวโดวจ์)
“เหวยผิงท่านกำลังทำอะไรอยู่หรือ” ขณะที่เหวยผิงกำลังทำความสะอาดครัวเฟยฮวาก็บินเข้ามาหา
“มีอะไรหรือ”
“ท่านต้องการน้ำผึ้งหรือไม่ ตอนนี้น้ำผึ้งข้ามีเยอะมากๆ”
“มันเหลืออีกตั้งสองวันถึงจะเก็บไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงเต็มเร็วขนาดนั้นล่ะ” เหวยผิงถามด้วยความสงสัย แต่ก็ยังเข้าไปเอาขวดกระเบื้องเปล่ามา
“ไม่รู้สิ ผึ้งงานของข้าหาน้ำหวานเก่งละมั่ง” เฟยฮวาเอ่ยชมผึ้งงานของตัวเอง ก่อนทั้งสองจะเดินไปหลังบ้าน
ทันทีที่เหวยผิงเห็นรังผึ้งที่มีขนาดใหญ่อย่างมากก็รู้สึกตกใจ
“ทำไมมันใหญ่ขนาดนี้” ขนาดมันใหญ่กว่าหลายวันก่อนไม่น้อย และดูเหมือนมันจะใหญ่ต่อไปเรื่อยหากนางยังไม่ทำอะไรสักอย่าง ด้วยรังผึ้งขนาดใหญ่เท่านี้บ้านนางรับไม่ไหวแน่ บ้านนางยิ่งใกล้พังอยู่
“เอาอย่างนี้ ข้าจะตัดเอารังของเจ้าไปครึ่งหนึ่ง แล้ววันนี้ข้าจะไปตัวอำเภอข้าจะไปสั่งทำบ้านมาให้พวกเจ้า” คงต้องหาวิธีย้ายรังของเฟยฮวาออกจากบ้านให้เร็วที่สุด ทำให้นางคิดถึงกล่องเลี้ยงผึ้งที่นางเคยเห็นในทีวีในภพที่แล้ว
“บ้านหรือ เหมือนของเหวยผิงหรือเปล่า” เฟยฮวาเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“คงเหมือนกันแหละ”
“งั้นก็ตกลง เหวยผิงตัดเอาไปเลย” เฟยฮวาสั่งให้เหล่าผึ้งของนางออกจากหลังก่อนชั่วคราวให้เหวยผิงตัดรังของนางได้สะดวก
เหวยผิงที่เห็นว่ามันมีขนาดใหญ่เกินกว่าที่นางจะถือไหวจึงกลับไปเอาถังในครัวมาใส่ โดยนางตัดส่วนที่ไม่มีตัวอ่อน
เช้าวันรุ่งขึ้น…ในตำหนักของหนิงเซียนต่างวุ่นวายตามหาหมอหลวงอย่างเร่งรีบ เมื่อพบว่าหนิงเซียนโดนทำลายร้ายตอนนี้ทั้งวังหลวงต่างอยู่ในความตื่นตระหนก เหตุใดเมื่อคืนถึงบังอาจมีผู้ลักลอบเข้ามาทำลายว่าที่ฮองเฮาได้“ฝ่าบาทหมอหลวงมาแล้วเจ้าค่ะ” เข่อซิงวิ่งมาพร้อมกับหมอหลวง เข้ามาในห้องของที่มีร่างของหนิงเซียนนอนเจ็บอยู่ที่แขนของนางนั้นยังมีเลือดซึมอยู่ตลอดหมอหลวงเข้ามาแล้วก็รีบจัดการกับแผลของหนิงเซียน “ฝ่าบาทพระองค์โปรดออกไปก่อนได้หรือไม่ ข้าต้องใช้สมาธิอย่างมากในการรักษาคุณหนูหนิงเซียน” หมอหลวงหันมาบอกจางหมิงที่ยังยืนอยู่ในห้องดู“ข้า…” ทีแรกจางหมิงมีท่าทียึกยัก แต่พอคิดว่าจะต้องรีบรักษาหนิงเซียนให้เร็วที่สุดจึงตัดสินใจออกจากห้องไปพอหมองหลวงเห็นว่าฝ่าบาทออกไปแล้วก็หันมารักษาให้กับหนิงเซียน หยิบยาขึ้นมาก่อนจะป้อนให้กับหนิงเซียน ดวงตาที่หลับอยู่ของหนิงเซียนเปิดขึ้นทันทีคว้ายาในมือของหมอหลวงก่อนจะป้อนใส่ปากของหมอหลวงอย่างรวดเร็วนางตวัดร่างขึ้นก่อนจะล็อกร่างของหมอหลวงไว้ให้กลืนยาเม็ดนั้นลงไป ด้วยความที่ร่างหมอหลวงบอบบางเกือบเท่านางทำให้หมอหลวงไม่สามารถขัดขืนได้เลยทำใจต้องกลืนยาเม็ดนั้นลงไป“เจ
“เจ้าหัวเราะอันใด” ซูเม่ยมองไปที่หนิงเซียนอย่างไม่เข้าใจ เหตุใดมันจึงไม่เป็นไปตามที่นางคาดไว้“ข้าแค่เพียงชื่นชมในบทละครที่คุณหนูซูเม่ยตั้งใจเล่นเป็นอย่างมาก แต่เพียงคุณหนูบทของท่านกลับไม่เป็นจริงสักเรื่อง”“เจ้าหมายความว่าอย่างไร”“ท่านยังต้องถามข้าอีกหรือ ข้าอยากจะรู้นักว่าคนที่ไปสืบเรื่องนี้มาเหตุใดจึงสืบมาได้เพียงแค่นี้ เรื่องราวที่เหตุขึ้นที่ซีฉินออกจะใหญ่โต งั้นตัวข้าหนิงเซียนจะเล่าให้ทุกคนฟังในเรื่องที่ถูกต้อง จะได้เล่าเรื่องของตระกูลข้าได้อย่างตรงไปตรงมาไม่บิดเบือน” หนิงเซียนไล่สายตาไปหาผู้คนในงานนี้ ผู้ที่เผลอสบสายตากับนางก็รีบหลบสายตาหนีทันที“เรื่องที่ตระกูลหม่าของข้าถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฏนั้นเป็นความจริง แต่มันก็เป็นสิ่งที่ตระกูลข้าถูกใส่ร้ายเท่านั้น พวกบ้าหลงระเริงอยู่ในอำนาจหวาดกลัวต่อตระกูลของข้าที่ย่อมสละเลือดเนื้อเพื่อแผ่นดิน คุณหนูซูเม่ยต่อจากนี้ท่านจงตั้งใจฟังให้ดี… “หนิงเซียนจ้องเข้าไปในดวงตาของซูเม่ยที่เต็มไปด้วยความตื่นตระหนก” ตัวข้ากองทัพทมิฬของท่านพ่อข้าและยังมีกองทัพหนันเหลียงร่วมจัดการโค่นบัลลังก์ตระกูลราชวงศ์องค์ก่อนนั้นคือสิ่งที่คุณหนูซูเม่ยขาดหายไป” หลังจาก
ภายในท้องพระโรง“ฝ่าบาทมีม้าเร็วจากซีฉินส่งสารมาว่าเหล่าคณะขุนนางของซีฉินจะมาเยี่ยมเยือนหนันเหลียงในอีกห้าวันข้างหน้าขอรับ” สิ้นสุดเสียงของนางกองทำให้เหล่าขุนนางในท้องพระโรงต่างถกเถียงกันกับการมาเยือนของคณะซีฉินในครั้งนี้ เพราะทั้งสองแคว้นนั้นก็นับว่าไม่ได้ปรองดองกันถึงขนาดที่ว่าจะไปมาหาสู่กันได้แต่ข้อถกเถียงก็ข้อถกเถียงเมื่อจางหมิงสั่งให้ขุนนางทุกคนเตรียมความพร้อมให้ดีในการมาเยือนของคณะซีฉินอีกห้าวันข้างหน้า“คุณหนูเจ้าคะ คณะจากซีฉินจะมาเยี่ยมเยือนที่นี่ในอีกห้าวันข้างหน้า” เหมยฮวาเอ่ยด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น“ท่านลุงจะมาที่นี่หรือ” หนิงเซียนแปลกใจเหตุใดนางถึงไม่รู้ข่าวเกี่ยวกับซีฮัน“ใช่เจ้าค่ะ ตอนนี้ฝ่าบาทสั่งให้เหล่าขุนนางเตรียมความพร้อมต่างๆ ท่านซ่งเสี่ยนเองก็เริ่มสั่งให้นางกำนัลเตรียมการสถานที่วังหลวงรอแล้วเจ้าค่ะ”หนิงเซียนพยักหน้าเข้าใจ นางก็อยากรู้ว่าที่ซีฮันมาเยือนหนันเหลียงครั้งนี้ด้วยเหตุอันใด “คงจะมีเรื่องให้ตื่นเต้นอีกแล้ว”ห้าวันผ่านไปตลอดเวลาที่ซีฉินส่งมาแล้วมาว่าจะมาเยี่ยมเยือนให้อีกห้าวันข้างหน้า คนในวังหลวงต่างมีหน้าที่จัดเตรียมสถานที่ให้พร้อม และวันนี้เป็นวันที่คณะของ
“คุณหนูเกิดเรื่องใหญ่เข้าเจ้าค่ะ” เสียงของเข่อซิงดังมาตั้งแต่หน้าตำหนัก ทำให้หนิงเซียนที่กำลังนั่งอยู่ในห้องยาต้องออกมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น“เกิดอะไรขึ้นหรือเข่อซิง” ท่าทีของเข่อซิงดูร้อนรนไม่น้อย“ข่าวเกี่ยวกับท่านเจ้าค่ะ ตอนนี้ในเมืองต่างกล่าวถึงตัวท่านอย่างสนุกเลยเจ้าค่ะ เกี่ยวกับที่ตระกูลหม่าของท่านเป็นตระกูลแม่ทัพที่ก่อกบฏร้ายแรงสังหารชาวบ้านไม่เว้น แต่ดีที่ราชวงศ์ของตงหยางสั่งประหารได้ทัน พวกเขายังเล่นกันอีกกว่าเป็นท่านที่หนีรอดมาได้” เข่อซิงที่ออกไปซื้อของให้กับลี่หลิน นางจึงบังเอิญได้ยินเข้าหนิงเซียนได้ยินอย่างนั้นก็ไม่ได้มีท่าทีเปลี่ยนแปลงไปมากนัก” งั้นหรือเจ้าจะตกใจไม่ใย “ทำให้เข่อซิงสงสัยไม่น้อยตอนนี้ตระกูลของท่านกำลังถูกมองไม่ดีอยู่นะเจ้าคะ” แต่… “” มันไม่ใช่ความจริง เหตุใดข้าต้องเป็นเดือดเป็นร้อนกับเรื่องพวกนั้นด้วยล่ะ“เรื่องที่กล่าวมาไม่เป็นความจริงทั้งสิ้น เหตุใดจึงไม่บอกไปด้วยละว่านางคนนี้ที่เป็นคนล้มราชวงศ์ซีฉินกับมือเอง” เจ้าค่ะ “เข่อซิงพยักหน้าตอบรับ ในเมื่อหนิงเซียนไม่ดูเดือดร้อนกับข่าวที่เกิดขึ้นเลยนางก็หาได้เดือดร้อนไม่“ขบวนองค์หญิงสามเสด็จ” เสียงของใครบางคนดัง
หนิงเซียนที่ได้ฟังเรื่องราวของก็รู้สึกสงสารจางหมิงไม่น้อย เป็นถึงเชื่อราชวงศ์ใช่ว่าจะสุขสบาย ต้องคอยระวังภัยกันเอง“แล้วฝ่าบาทจะตื่นจากบรรทมเมื่อใด”“หากไม่มีดอกไม้นั้นแล้ว กว่าพิษที่อยู่ในร่างกายของจางหมิงจะหายหมด ข้าคิดว่าอย่างต่ำสี่ถึงห้าวัน”ซ่งเสี่ยนพยักหน้าอย่างโล่งใจ คิดว่าจางหมิงจะเป็นอะไรไปมากกว่านี้เสียอีกเมื่อจัดการตรงนี้เสร็จรีบร้อยนางจึงลาซ่งเสี่ยนกลับตำหนักวันนี้นางคิดที่จะไปเยี่ยมพวกเสี่ยวเปาเสียหน่อย นางเดินมาถึงทางออกเห็นว่ามู่เฉินยืนอยู่หน้าประตูด้วยสีหน้านิ่งเรียบ” มีอันใดหรือมู่เฉิน “” คุณหนูท่านจะกลับตำหนักแล้วหรือขอรับ “” ใช่ ว่าแต่เกิดอันใดขึ้น “” ตอนนี้เหล่าขุนนางต่างหมายจะเข้ามาเยี่ยมฝ่าบาทขอรับ “ตอนนี้มีเหล่าขุนนางประมาณหกเจ็ดคนยืนรออยู่หน้าตำหนักของจางหมิงเพื่อหวังจะเข้ามาดูอาการ” มีทางออกอื่นหรือไม่ “หนิงเซียนเองก็ไม่อยากปะทะขุนนางพวกนั้นในตอนนี้หรอกมู่เฉินได้ยินอย่างนั้นก็พยักหน้า ทางลับของตำหนักของฝ่าบาทย่อมมีอยู่แล้ว” ตามข้ามาขอรับ “หนิงเซียนเดินตามมู่เฉินออกไปทางลับที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของตำหนัก” ทางเดินไปทางนี้แล้วเลี้ยวซ้าย ท่านจะไปออกหลังน้ำตกใ
ทันทีที่นางเข้ามาในห้องบรรทมของจางหมิง สิ่งที่ทำให้นางขมวดคิ้วอย่างแรกก็คือกลิ่นของกำยานนางรู้สึกว่าในกลิ่นของกำยานนี้มีบางอย่างแอบแฝงอยู่ แต่นางปล่อยผ่านมองไปที่เตียงก็เห็นร่างอันคุ้นเคยนอนแน่นิ่งอยู่กับเตียง ผิวกายซีดขาวราวกับคนตายระหว่างนั้นนางก็ยืนรอเพราะตอนนี้กำลังมีหมอหลวงคอยตรวจอาการของจางหมิงอยู่“หมอหลวงอาการของฝ่าบาทเป็นเช่นไรบ้าง” หลังจากที่หมอหวังเหว่ยตรวจเสร็จแล้วก็เข้าไปถามหมอหลวงหันมาพบว่ามีหญิงสาวผู้หญิงยื่นจ้องมองมาที่เขาด้วยสายตาเรียบนิ่งก็ชะงักเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยตอบหวังเหว่ย “อาการฝ่าบาทคล้ายคนปกติ ชีพจรเต้นมั่นคงดูเหมือนคนแข็งแรงทั่วไปแต่ที่ข้าสงสัยคือผิวที่ซีดราวกับคนตายของฝ่าบาท ข้าคงต้องขอไปปรึกษาหารือกลับหมอหลวงคนอื่นๆเสียก่อน ท่านองครักษ์หวังเหว่ยท่านโปรดวางใจ” หมองหลวงเอ่ยตอบพลางเหลือบตาไปมองหญิงสาวที่ยืมอยู่ในห้องนี้อีกคน“เช่นนั้นก็ขอบคุณท่านมาก คุณหนูเชิญท่านตรวจดูอาการของฝ่าบาทได้เลย” หวังเหว่ยเอ่ยขอบคุณหมอก่อนจะหันมาบอกกับหนิงเซียน“ไม่ได้ ท่านหวังเหว่ยนางเป็นใครกล้าดีอย่างไรถึงให้นางมาจับตัวฝ่าบาทท่านไม่รู้หรือว่าตอนนี้ฝ่าบาทกำลังจะประชวรอยู่” หมอหลวง