เมื่อมาถึงบ้านเหวยผิงก็แบ่งหยางเหมยออกมาประมาณสามจินล้างน้ำให้สะอาด ส่วนที่เหลือนางเก็บในมิติ
โดยมีอี้เหวินน้อยคอยเป็นลูกมือ กิจการแรกที่นางคิดจะทำก็คือสุราสายน้ำผึ้ง เมื่อภพที่แล้วนางถูกพี่สาวพาไปเรียนทำสุราสายน้ำผึ้ง จึงทำให้พอมีความรู้ติดตัวมาอยู่บ้าง อีกทั้งในภพนี้สุราก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ผู้คนต่างซื้อกัน สุราที่นางจะหมักนี้มันหอมนุ่มจนสตรีสามารถทานได้
เริ่มแรกนางเอาหยางเหมยมาบดให้พอแตกๆ แล้วก็ใส่ถังแล้วใช้ผ้าปิดหน้าถังไว้ไม่ให้อากาศเข้า
“คงต้องไปซื้อถังใหม่เสียแล้วล่ะ” ถังที่เหวยผิงใช้เป็นถังที่ไว้ใช้สำหรับตักน้ำ เมื่อวานนางก็ลืมซื้อ เอาไว้คราวหน้าค่อยไปสั่งทำใหม่ ซึ่งนางเองก็ไม่รู้ว่าที่นางทำนี้จะได้ผลหรือเปล่า นางจึงเก็บถังหยางเหมยไว้ในมิติ
หลังจากหมักเสร็จแล้ว นางก็ไม่รู้จะทำอันใดอีกจึงมานั่งเล่นหน้าบ้านกับอี้เหวิน
“ทำอันใดอยู่หรือ” เหวยผิงเดินเข้ามา ก็เห็นอี้เหวินกำลังขีดเขียนอะไรสักอย่างบนพื้นดิน
“ข้าเขียนพวกเราขอรับ นี่ท่านแม่ นี่อี้เหวิน ส่วนนี่เฟยฮวา” อี้เหวินชี้ไปบนพื้นให้ท่านแม่ดู
เหวยผิงที่เห็นรูปที่อี้เหวินวาดก็น้ำตาซึม นั่งลงข้างๆ อี้เหวินแล้วเอ่ยว่า
“สวยมากๆ อี้เหวินน้อยของแม่วาดสวยมากๆ”
“อะไรคือวาดหรือขอรับ” อี้เหวินถามด้วยความสงสัย
“วาดคือที่ลูกกำลังทำอยู่นี้อย่างไร ส่วนเขียนคือเอาไว้ใช้กับตัวหนังสือ เข้าใจหรือไม่”
“เข้าใจแล้วขอรับ”
“นี้คือเฟยฮวาหรือ” เฟยฮวาที่บินมาหา แล้วได้ยินอี้เหวินวาดรูปตนจึงบินเข้าไปดูใกล้ๆ ก็เห็นตัวอะไรก็ไม่รู้น่ากลัวจัง ไม่เห็นจะเหมือนเฟยฮวาเลย
“สวยหรือไม่ ข้าตั้งใจวาดเลยนะ” อี้เหวินเอ่ยด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจ ท่านแม่ยังชมว่าเขาวาดสวยเลย
“ข้าว่ามัน……สวยมากๆ ข้านึกว่าตัวข้าอีกตัวเลย” เฟยฮวาที่กำลังจะเอ่ยก็เจอสายตาพิฆาตของเหวยผิงก็กลับคำทันที เหวยผิงน่ากลัวไปแล้ว นางแค่จะบอกความจริงเองทำไมต้องทำหน้าเหมือนจะฆ่ากันด้วย
“เห็นไหมข้าบอกแล้ว”
เหวยผิงนั่งเล่นอยู่กับอี้เหวินอยู่สักพัก ก่อนจะลุกเข้าไปในครัว ปล่อยให้อี้เหวินเล่นอยู่กับเฟยฮวา ตลอดที่นางนั่งเล่นอยู่กับอี้เหวินในหัวนางก็คิดว่าจะทำอะไรมาขายเพิ่มดี หากจะพึ่งแต่สุราสายน้ำผึ้งไม่ได้ มันใช้เวลาหลายวันเกินไป
นางต้องการเงิน เงินที่เหลืออยู่ห้าสิบกว่าตำลึงไม่พอที่จะซื้อบ้านหลังใหม่นี้เลย นางเองรู้ว่าตรงนี้ไม่ใช่ที่ของนาง สองแม่ลูกเพียงแค่อาศัยอยู่เท่านั้น หากนางต้องการที่จะมีบ้านเป็นของตนเอง นางต้องซื้อที่ดินใหม่ ซึ่งเป็นเงินจำนวนมาก อย่างน้อยนางต้องมีเงินไม่ต่ำกว่าแปดร้อยตำลึงในการซื้อที่ดินและสร้างบ้าน
อายุของอี้เหวินก็ห้าหนาวแล้ว นางต้องการให้อี้เหวินได้ไปเรียนหนังสือในตัวอำเภอเช่นกัน
นางจึงนำขวดกระเบื้องที่ได้มาจากร้านขายสมุนไพรมาลวกน้ำร้อน แล้วนำแป้งที่ซื้อมาผสมกับน้ำอย่างละเท่าๆ กัน พอผสมทั้งสองเข้ากันเรียบร้อยแล้วนางก็นำไปให้ขวดกระเบื้องที่น้ำร้อนไว้ แล้วนำเศษผ้ามาปิดปากขวดไว้ แล้วนำไปเก็บไว้ในห้องให้พ้นจากแสงแดด
…
“เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า คนพาลย่อมไม่รู้จักบุญคุณคนอื่น” หลังจากเล่านิทานจบ เหวยผิงก้มมองพบว่าอี้เหวินน้อยหลับคาอกนางไปเสียแล้ว ดูเหมือนวันนี้จะเล่นจนเหนื่อยทำให้หลับเร็วกว่าปกติ
มือเรียวดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมร่างของอี้เหวินไว้ พลางก้มลงไปจูบที่หัว ตั้งแต่ที่นางมาอยู่ในร่างนี้เกือบเดือนนางพบว่าอี้เหวินของนางเป็นคนค่อนข้างเชื่อฟัง ช่างพูดช่างคุยเวลาอยู่กับคนที่รู้จัก แต่ถ้าไม่จะนิ่งเงียบ ทำหน้าเคร่งขรึมราวกับเป็นผู้ใด ไม่รู้ว่าได้มาจากใคร จากเจ้าของร่างเดิมก็ดูเหมือนจะไม่ใช่ หรือว่าจะได้นิสัยมาจากพ่อ ตัวนางเองก็ไม่รู้ว่าพ่อของอี้เหวินเป็นใคร เหตุใดถึงปล่อยให้สองแม่ลูกมาลำบากแค่นี้
แต่ตอนนี้นางก็ไม่ได้สนใจมากนักว่าพ่อของอี้เหวินจะกลับมาหรือไม่ เพราะนางเองก็เชื่อว่าตัวนางเองสามารถพึ่งพาตัวเองได้
นางจะต้องเป็นหญิงที่รวยที่สุดให้ได้….
เช้าวันรุ่งขึ้น…
มื้อเช้านางเลือกจะทำอาหารง่ายๆ คือข้าวผัดมันหมู อี้เหวินชอบมันอย่างมากกินไปถึงสองถ้วยใหญ่
“เฟยฮวาแบบนี้ บนเขามีบ้างหรือไม่” เหวยผิงหยิบหยางเหมยออกมาให้เฟยฮวาดู นางคิดว่าหากมีต้นหยางเหมยขึ้นที่ลำธาร บนเขาย่อมมีอยู่บ้าง ด้วยจำนวนที่นางเก็บมาไม่พออย่างแน่นอน
“ลูกอันนี้หรือ มีสิบนเขามีเต็มเลย เหล่าผึ้งงานของข้าไปเก็บน้ำหวานจากต้นนี้เป็นประจำเลย เหวยผิงอยากรู้ไปทำไมหรือ”
“ข้าต้องการมันนะ เจ้าพาข้าไปเก็บมันได้หรือไม่”
“ได้สิ เดี๋ยวข้าจะให้ผึ้งงานของข้าช่วยนำทาง” เฟยฮวาเอ่ยบอกก่อนจะบินกลับรังไปเรียกผึ้งงานมาสักตัวส่วนเหวยผิงก็ไปเตรียมตะกร้า
“อี้เหวินครั้งนี้เจ้าอยู่เฝ้าบ้าน แม่จะไปเก็บหยางเหมยบนเขาเสียหน่อย หากเจ้าหิวก็เข้าไปกินข้าวในครัวแม่เตรียมไว้ให้แล้ว” เหวยผิงเอ่ยบอกกับอี้เหวิน ครั้งนี้นางไม่พาอี้เหวินไปด้วย เพื่อความปลอดภัยนางไม่มั่นใจจะเจอหมาป่านั้นหรือเปล่า นางไปคนเดียวดีที่สุด
“พร้อมแล้ว” เฟยฮวาบินเข้ามาหาเหวยผิง โดยมีผึ้งนับสิบตัวบินตามมา
“ป่ะไปกันเถิดเดี๋ยวจะมืดก่อน แม่ไปก่อนเฝ้าบ้านดีๆ ล่ะ” เหวยผิงเอ่ยบอกกับเฟยฮวา ก่อนจะหันมาบอกอี้เหวินที่ยืนมองนางอยู่หน้าประตู
“ขอรับ ท่านแม่วางใจได้ ข้าจะเฝ้าบ้านเราอย่างดี”
"......" เหวยผิงส่งยิ้มให้อี้เหวินด้วยความเอ็นดู
เหวยผิงแบกตะกร้าขึ้นหลังมุ่งหน้าขึ้นเขา เดินตามเหล่าผึ้งน้อยที่คอยนำทาง หนึ่งมนุษย์และเหล่าผึ้งนับสิบเดินลัดเลาะมาตามแนวเขา ดูเหมือนบริเวณนี้จะไม่ค่อยมีชาวบ้านผ่านไปผ่านมาสักเท่าไหร่ ดูจากหญ้าที่ขึ้นอย่างหนาแน่น
ผึ้งงานตัวน้อยก็พาเหวยผิงมาหยุดอยู่ตรงดงต้นหยางเหมยนำสิบต้นเห็นจะได้ บนต้นเต็มไปด้วยลูกหยางเหมยสีแดงเข้ม และก็มีบางลูกที่ถูกกิน ดูเหมือนจะเป็นฝีมือของเหล่ากระรอกทั้งหลาย
“พอหรือไม่” เฟยฮวาที่เกาะบนไหล่เหวยผิงเอ่ยถาม เพราะถ้าหากไม่พอ เฟยฮวาจะให้ผึ้งงานของนางพาไปอีกที่
“พอแล้ว แค่นี้ก็พอแล้ว” ต้นหยางเหมยหลายสิบต้นขนาดนี้นางไม่รู้ว่าวันนี้จะเก็บหมดหรือเปล่า เพื่อไม่ให้เสียเวลาเหวยผิงก็ลงมือเก็บทันที ส่วนเหล่าผึ้งทั้งหลายก็บินไปเก็บน้ำหวานตามต้นหยางเหมยที่ยังคงเป็นดอกอยู่ ปล่อยให้เฟยฮวาคอยอยู่กับเหวยผิง
เพราะพวกมันรู้ว่ามนุษย์ผู้นี้เป็นมิตรกับพวกมัน แถมยังให้น้ำทิพย์กับพวกมันเสียอีก
ไม่ว่าจะผลสุก ผลงอมถูกเหวยผิงเก็บมาจนหมด เวลาเกือบสี่ชั่วยามที่เหวยผิงใช้เวลาเก็บหยางเหมยตะกร้าที่เตรียมมาเต็มปริ จนเหวยผิงต้องเก็บหยางเหมยมาวางกองไว้ข้างๆ
“เหอะ…เสร็จสักที” เหวยผิงทิ้งตัวนั่งผิงต้นไม้อย่างหมดแรง อีกทั้งรู้สึกปวดคอไม่น้อย ที่ต้องคอยเงยหน้าเก็บลูกที่อยู่สูง บางลูกอยู่สูงจนนางต้องหาไม้มาสอย แต่ก็ถือว่าคุ้ม ด้วยจำนวนผลหยางเหมยขนาดนี้นางสามารถหมักสุราได้เกือบห้าสิบถังเห็นจะได้
เช้าวันรุ่งขึ้น…ในตำหนักของหนิงเซียนต่างวุ่นวายตามหาหมอหลวงอย่างเร่งรีบ เมื่อพบว่าหนิงเซียนโดนทำลายร้ายตอนนี้ทั้งวังหลวงต่างอยู่ในความตื่นตระหนก เหตุใดเมื่อคืนถึงบังอาจมีผู้ลักลอบเข้ามาทำลายว่าที่ฮองเฮาได้“ฝ่าบาทหมอหลวงมาแล้วเจ้าค่ะ” เข่อซิงวิ่งมาพร้อมกับหมอหลวง เข้ามาในห้องของที่มีร่างของหนิงเซียนนอนเจ็บอยู่ที่แขนของนางนั้นยังมีเลือดซึมอยู่ตลอดหมอหลวงเข้ามาแล้วก็รีบจัดการกับแผลของหนิงเซียน “ฝ่าบาทพระองค์โปรดออกไปก่อนได้หรือไม่ ข้าต้องใช้สมาธิอย่างมากในการรักษาคุณหนูหนิงเซียน” หมอหลวงหันมาบอกจางหมิงที่ยังยืนอยู่ในห้องดู“ข้า…” ทีแรกจางหมิงมีท่าทียึกยัก แต่พอคิดว่าจะต้องรีบรักษาหนิงเซียนให้เร็วที่สุดจึงตัดสินใจออกจากห้องไปพอหมองหลวงเห็นว่าฝ่าบาทออกไปแล้วก็หันมารักษาให้กับหนิงเซียน หยิบยาขึ้นมาก่อนจะป้อนให้กับหนิงเซียน ดวงตาที่หลับอยู่ของหนิงเซียนเปิดขึ้นทันทีคว้ายาในมือของหมอหลวงก่อนจะป้อนใส่ปากของหมอหลวงอย่างรวดเร็วนางตวัดร่างขึ้นก่อนจะล็อกร่างของหมอหลวงไว้ให้กลืนยาเม็ดนั้นลงไป ด้วยความที่ร่างหมอหลวงบอบบางเกือบเท่านางทำให้หมอหลวงไม่สามารถขัดขืนได้เลยทำใจต้องกลืนยาเม็ดนั้นลงไป“เจ
“เจ้าหัวเราะอันใด” ซูเม่ยมองไปที่หนิงเซียนอย่างไม่เข้าใจ เหตุใดมันจึงไม่เป็นไปตามที่นางคาดไว้“ข้าแค่เพียงชื่นชมในบทละครที่คุณหนูซูเม่ยตั้งใจเล่นเป็นอย่างมาก แต่เพียงคุณหนูบทของท่านกลับไม่เป็นจริงสักเรื่อง”“เจ้าหมายความว่าอย่างไร”“ท่านยังต้องถามข้าอีกหรือ ข้าอยากจะรู้นักว่าคนที่ไปสืบเรื่องนี้มาเหตุใดจึงสืบมาได้เพียงแค่นี้ เรื่องราวที่เหตุขึ้นที่ซีฉินออกจะใหญ่โต งั้นตัวข้าหนิงเซียนจะเล่าให้ทุกคนฟังในเรื่องที่ถูกต้อง จะได้เล่าเรื่องของตระกูลข้าได้อย่างตรงไปตรงมาไม่บิดเบือน” หนิงเซียนไล่สายตาไปหาผู้คนในงานนี้ ผู้ที่เผลอสบสายตากับนางก็รีบหลบสายตาหนีทันที“เรื่องที่ตระกูลหม่าของข้าถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฏนั้นเป็นความจริง แต่มันก็เป็นสิ่งที่ตระกูลข้าถูกใส่ร้ายเท่านั้น พวกบ้าหลงระเริงอยู่ในอำนาจหวาดกลัวต่อตระกูลของข้าที่ย่อมสละเลือดเนื้อเพื่อแผ่นดิน คุณหนูซูเม่ยต่อจากนี้ท่านจงตั้งใจฟังให้ดี… “หนิงเซียนจ้องเข้าไปในดวงตาของซูเม่ยที่เต็มไปด้วยความตื่นตระหนก” ตัวข้ากองทัพทมิฬของท่านพ่อข้าและยังมีกองทัพหนันเหลียงร่วมจัดการโค่นบัลลังก์ตระกูลราชวงศ์องค์ก่อนนั้นคือสิ่งที่คุณหนูซูเม่ยขาดหายไป” หลังจาก
ภายในท้องพระโรง“ฝ่าบาทมีม้าเร็วจากซีฉินส่งสารมาว่าเหล่าคณะขุนนางของซีฉินจะมาเยี่ยมเยือนหนันเหลียงในอีกห้าวันข้างหน้าขอรับ” สิ้นสุดเสียงของนางกองทำให้เหล่าขุนนางในท้องพระโรงต่างถกเถียงกันกับการมาเยือนของคณะซีฉินในครั้งนี้ เพราะทั้งสองแคว้นนั้นก็นับว่าไม่ได้ปรองดองกันถึงขนาดที่ว่าจะไปมาหาสู่กันได้แต่ข้อถกเถียงก็ข้อถกเถียงเมื่อจางหมิงสั่งให้ขุนนางทุกคนเตรียมความพร้อมให้ดีในการมาเยือนของคณะซีฉินอีกห้าวันข้างหน้า“คุณหนูเจ้าคะ คณะจากซีฉินจะมาเยี่ยมเยือนที่นี่ในอีกห้าวันข้างหน้า” เหมยฮวาเอ่ยด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น“ท่านลุงจะมาที่นี่หรือ” หนิงเซียนแปลกใจเหตุใดนางถึงไม่รู้ข่าวเกี่ยวกับซีฮัน“ใช่เจ้าค่ะ ตอนนี้ฝ่าบาทสั่งให้เหล่าขุนนางเตรียมความพร้อมต่างๆ ท่านซ่งเสี่ยนเองก็เริ่มสั่งให้นางกำนัลเตรียมการสถานที่วังหลวงรอแล้วเจ้าค่ะ”หนิงเซียนพยักหน้าเข้าใจ นางก็อยากรู้ว่าที่ซีฮันมาเยือนหนันเหลียงครั้งนี้ด้วยเหตุอันใด “คงจะมีเรื่องให้ตื่นเต้นอีกแล้ว”ห้าวันผ่านไปตลอดเวลาที่ซีฉินส่งมาแล้วมาว่าจะมาเยี่ยมเยือนให้อีกห้าวันข้างหน้า คนในวังหลวงต่างมีหน้าที่จัดเตรียมสถานที่ให้พร้อม และวันนี้เป็นวันที่คณะของ
“คุณหนูเกิดเรื่องใหญ่เข้าเจ้าค่ะ” เสียงของเข่อซิงดังมาตั้งแต่หน้าตำหนัก ทำให้หนิงเซียนที่กำลังนั่งอยู่ในห้องยาต้องออกมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น“เกิดอะไรขึ้นหรือเข่อซิง” ท่าทีของเข่อซิงดูร้อนรนไม่น้อย“ข่าวเกี่ยวกับท่านเจ้าค่ะ ตอนนี้ในเมืองต่างกล่าวถึงตัวท่านอย่างสนุกเลยเจ้าค่ะ เกี่ยวกับที่ตระกูลหม่าของท่านเป็นตระกูลแม่ทัพที่ก่อกบฏร้ายแรงสังหารชาวบ้านไม่เว้น แต่ดีที่ราชวงศ์ของตงหยางสั่งประหารได้ทัน พวกเขายังเล่นกันอีกกว่าเป็นท่านที่หนีรอดมาได้” เข่อซิงที่ออกไปซื้อของให้กับลี่หลิน นางจึงบังเอิญได้ยินเข้าหนิงเซียนได้ยินอย่างนั้นก็ไม่ได้มีท่าทีเปลี่ยนแปลงไปมากนัก” งั้นหรือเจ้าจะตกใจไม่ใย “ทำให้เข่อซิงสงสัยไม่น้อยตอนนี้ตระกูลของท่านกำลังถูกมองไม่ดีอยู่นะเจ้าคะ” แต่… “” มันไม่ใช่ความจริง เหตุใดข้าต้องเป็นเดือดเป็นร้อนกับเรื่องพวกนั้นด้วยล่ะ“เรื่องที่กล่าวมาไม่เป็นความจริงทั้งสิ้น เหตุใดจึงไม่บอกไปด้วยละว่านางคนนี้ที่เป็นคนล้มราชวงศ์ซีฉินกับมือเอง” เจ้าค่ะ “เข่อซิงพยักหน้าตอบรับ ในเมื่อหนิงเซียนไม่ดูเดือดร้อนกับข่าวที่เกิดขึ้นเลยนางก็หาได้เดือดร้อนไม่“ขบวนองค์หญิงสามเสด็จ” เสียงของใครบางคนดัง
หนิงเซียนที่ได้ฟังเรื่องราวของก็รู้สึกสงสารจางหมิงไม่น้อย เป็นถึงเชื่อราชวงศ์ใช่ว่าจะสุขสบาย ต้องคอยระวังภัยกันเอง“แล้วฝ่าบาทจะตื่นจากบรรทมเมื่อใด”“หากไม่มีดอกไม้นั้นแล้ว กว่าพิษที่อยู่ในร่างกายของจางหมิงจะหายหมด ข้าคิดว่าอย่างต่ำสี่ถึงห้าวัน”ซ่งเสี่ยนพยักหน้าอย่างโล่งใจ คิดว่าจางหมิงจะเป็นอะไรไปมากกว่านี้เสียอีกเมื่อจัดการตรงนี้เสร็จรีบร้อยนางจึงลาซ่งเสี่ยนกลับตำหนักวันนี้นางคิดที่จะไปเยี่ยมพวกเสี่ยวเปาเสียหน่อย นางเดินมาถึงทางออกเห็นว่ามู่เฉินยืนอยู่หน้าประตูด้วยสีหน้านิ่งเรียบ” มีอันใดหรือมู่เฉิน “” คุณหนูท่านจะกลับตำหนักแล้วหรือขอรับ “” ใช่ ว่าแต่เกิดอันใดขึ้น “” ตอนนี้เหล่าขุนนางต่างหมายจะเข้ามาเยี่ยมฝ่าบาทขอรับ “ตอนนี้มีเหล่าขุนนางประมาณหกเจ็ดคนยืนรออยู่หน้าตำหนักของจางหมิงเพื่อหวังจะเข้ามาดูอาการ” มีทางออกอื่นหรือไม่ “หนิงเซียนเองก็ไม่อยากปะทะขุนนางพวกนั้นในตอนนี้หรอกมู่เฉินได้ยินอย่างนั้นก็พยักหน้า ทางลับของตำหนักของฝ่าบาทย่อมมีอยู่แล้ว” ตามข้ามาขอรับ “หนิงเซียนเดินตามมู่เฉินออกไปทางลับที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของตำหนัก” ทางเดินไปทางนี้แล้วเลี้ยวซ้าย ท่านจะไปออกหลังน้ำตกใ
ทันทีที่นางเข้ามาในห้องบรรทมของจางหมิง สิ่งที่ทำให้นางขมวดคิ้วอย่างแรกก็คือกลิ่นของกำยานนางรู้สึกว่าในกลิ่นของกำยานนี้มีบางอย่างแอบแฝงอยู่ แต่นางปล่อยผ่านมองไปที่เตียงก็เห็นร่างอันคุ้นเคยนอนแน่นิ่งอยู่กับเตียง ผิวกายซีดขาวราวกับคนตายระหว่างนั้นนางก็ยืนรอเพราะตอนนี้กำลังมีหมอหลวงคอยตรวจอาการของจางหมิงอยู่“หมอหลวงอาการของฝ่าบาทเป็นเช่นไรบ้าง” หลังจากที่หมอหวังเหว่ยตรวจเสร็จแล้วก็เข้าไปถามหมอหลวงหันมาพบว่ามีหญิงสาวผู้หญิงยื่นจ้องมองมาที่เขาด้วยสายตาเรียบนิ่งก็ชะงักเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยตอบหวังเหว่ย “อาการฝ่าบาทคล้ายคนปกติ ชีพจรเต้นมั่นคงดูเหมือนคนแข็งแรงทั่วไปแต่ที่ข้าสงสัยคือผิวที่ซีดราวกับคนตายของฝ่าบาท ข้าคงต้องขอไปปรึกษาหารือกลับหมอหลวงคนอื่นๆเสียก่อน ท่านองครักษ์หวังเหว่ยท่านโปรดวางใจ” หมองหลวงเอ่ยตอบพลางเหลือบตาไปมองหญิงสาวที่ยืมอยู่ในห้องนี้อีกคน“เช่นนั้นก็ขอบคุณท่านมาก คุณหนูเชิญท่านตรวจดูอาการของฝ่าบาทได้เลย” หวังเหว่ยเอ่ยขอบคุณหมอก่อนจะหันมาบอกกับหนิงเซียน“ไม่ได้ ท่านหวังเหว่ยนางเป็นใครกล้าดีอย่างไรถึงให้นางมาจับตัวฝ่าบาทท่านไม่รู้หรือว่าตอนนี้ฝ่าบาทกำลังจะประชวรอยู่” หมอหลวง