LOGINนภัสเดินฮัมเพลงเข้าบ้านอย่างอารมณ์ดีจนธีธัชซึ่งเป็นสามีนั่งอยู่ในห้องรับแขกเอ่ยทักขึ้นมา
“ทำไมวันนี้คุณกลับค่ำจังเลยครับ” วางแทบเลตในมือลงบนโต๊ะ
“คุณยังนั่งอยู่ข้างล่างอยู่เหรอคะ ฉันนึกว่าขึ้นข้างบนไปแล้ว” ย่อตัวนั่งลงฝั่งตรงข้าม
เอื้อมไปหยิบแก้วเล็กเทกาน้ำชาลงก่อนจะยกขึ้นดื่ม เธอรู้สึกกระหายน้ำตั้งแต่อยู่บนรถแล้วแต่ไม่อยากแวะร้านสะดวกซื้อจึงอดทนจนมาถึงบ้าน
“ยังหรอกนั่งดูข่าวในแทบเลตแล้วก็รู้คุณนั่นแหละ ว่าแต่ไปไหนมาเหรอถึงได้กลับมาเอาป่านนี้” ถามย้ำอีกครั้ง
ปกติแล้วนภัสจะกลับบ้านตรงเวลาตลอดหากไปติดธุระที่จะต้องกลับบ้านดึกดื่นคนเป็นเมียจะโทรมาบอกก่อนหรือไม่ก็จะแจ้งให้รู้ล่วงหน้า
“เผอิญฉันเจอผู้หญิงคนหนึ่งน่ะค่ะ ก็เลยอยู่คุยกันยาว”
“ใครเหรอ ถึงทำให้คุณอยู่คุยด้วยได้นานขนาดนั้น แถมยังทำให้อารมณ์ดีจนเดินฮัมเพลงเข้ามาในบ้านได้อีกต่างหาก”
“เธอชื่อปีกุนค่ะ รู้สึกว่าจะเป็นผู้หญิงที่โตมาจากบ้านเติมรัก”
“บ้านเติมรักเหรอ?”พึมพำออกมาอีกครั้ง ใบหน้าถอดสีขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินชื่อนี้
“ทำไมเหรอคะ? คุณเคยได้ยินชื่อนี้เหรอ”
“เปล่าจ้ะ แล้วนี่ คุณกินอะไรมาหรือยัง” ยิ้มกลบเกลื่อนและเปลี่ยนเรื่องคุยทันที
“ยังเลยค่ะ แล้วคุณล่ะคะ”
“ผมจะกินก่อนคุณได้ยังไง ก็ต้องรอทานพร้อมคุณสิ”
“ปากหวานจริงเชียว ไปค่ะ” โอบเอวคนเป็นสามีแล้วเดินไปห้องอาหารพร้อมกัน
นภัสแต่งงานกับธีธัชเพราะถูกพ่อกับแม่บังคับทั้งที่ตัวเองมีคนรักอยู่แล้วและตั้งท้องลูกด้วยกัน แต่ความโชคร้ายก็เกิดกับคนรักเก่าป่วยเป็นโรคร้ายและตายไปเสียก่อน
นภัสถูกพ่อกับแม่ใส่ตะกร้าล้างน้ำเพื่อให้แต่งงานกับธีธัชซึ่งมีฐานะค่อนข้างดีแต่หารู้ไม่ว่ามันเป็นแค่เปลือกนอกเท่านั้น แต่งงานกันมาได้ไม่นานลูกสาวของเธอกับคนรักเก่าก็มาหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
ครั้งนั้นนภัสแทบขาดใจ ร่างกายสูบผอมได้แต่กอดรูปถ่ายและร้องไห้หลับไปทุกคืนและซ้ำร้ายยิ่งกว่านั้นเมื่อพ่อกับแม่ก็มาเกิดอุบัติเหตุตายพร้อมกันทั้งสองคน
ยามนั้นทุกอย่างถาโถมเข้ามาจนเธอแทบเป็นบ้าแต่ก็ได้สามีคนปัจจุบันที่อยู่เคียงข้างกันและคอยปลอบโยนเธอ ความใกล้ชิดและเขาได้พิสูจน์ว่ารักเธอจริงไม่ได้หวังเงินทอง นภัสจึงเปิดใจยอมรับเขามาเป็นสามี
ตวิศายกมือนวดสันจมูกหลังจากสรุปยอดขายของวันเสร็จและส่งเข้าระบบส่วนกลางเสร็จแล้ว หลายวันมานี้มีแต่เรื่องให้เครียดไม่ว่าจะเป็นเรื่องงานหรือว่าเรื่องของเพื่อนรักก็ตาม
หัวไหล่ตึงถูกบีบนวดจากมือหนัก ๆ เงยขึ้นมองจึงเห็นรอยยิ้มของปีกุนซึ่งกำลังลงน้ำหนักมือเพื่อนวดคลายเส้นให้เธออยู่
“เออ ๆ ตรงนั้นแหละ ขอหนัก ๆ เลย” ชี้บริเวณหัวไหล่ใกล้ต้นคอ
“เป็นไง สบายขึ้นไหม”
“สุด ๆ” ตวิศาบอกด้วยใบหน้าเคลิบเคลิ้มก่อนจะนึกขึ้นได้ว่ามันยังอยู่ในเวลางานจึงรีบบอกให้เพื่อนหยุด
“เก็บทุกอย่างหมดแล้วใช่ไหม”
“อือ หมดแล้ว กุนให้พวกน้องมันไปเตรียมตัวกลับแล้วล่ะ เพราะเหลือเวลาอีกแค่สามนาทีก็เลิกงานแล้ว”
เหลือบมองนาฬิกาปลายเข็มสั้นอยู่ตรงเลขสิบส่วนเข็มยาวเคลื่อนไปอยู่ใกล้เคียงกับเลขสิบสอง
“วันนี้กุนไม่ได้ไปทำงานที่ร้านเหล้าใช่ไหม เห็นบอกเราเมื่อวานว่าหยุด”
“อืม ใช่”
“งั้นคืนนี้เราไปค้างกับแม่ครูกันนะ ไม่ได้ไปมาหลายเดือนแล้ว” พยักหน้ารับเห็นด้วย อีกทั้งตั้งแต่เกิดเรื่องเธอก็ไม่ได้เข้าไปหาแม่ครูเลย
...ไม่รู้ว่าป่านนี้เป็นยังไงบ้าง
บ้านเติมรักตั้งอยู่ย่านชานเมืองในซอยลึกพื้นที่แห่งนี้มีความกว้างประมาณสิบไร่เท่านั้น แบ่งแยกเป็นสี่ส่วนคือ หอนอน โรงครัว ห้องอาบน้ำแล้วก็แปลงผักสวนครัว
ทุกอย่างถูกแบ่งเป็นสัดส่วนชัดเจนเพื่อง่ายต่อการดูแลอาคารหอนอนถูกแบ่งเป็นชายหญิงเพื่อป้องกันปัญหาชู้สาว ส่วนแปลงผักก็ปลูกหลากหลายเพื่อเก็บไปประกอบอาหารเพื่อลดค่าใช้จ่าย
สองสาวเดินหอบหิ้วของกินเต็มสองไม้สองมือมาหยุดอยู่ประตูทางเข้าทั่วทั้งบริเวณมืดสนิท แทบไม่มีแสงสว่างเสียด้วยซ้ำ
“เพิ่งสี่ทุ่มกว่าเอง ทำไมบ้านเติมรักถึงปิดไฟหมดแล้วล่ะกุน”
“นั่นนะสิ ปกติกว่าจะปิดไฟหรือทำอะไรเสร็จก็เที่ยงคืนไม่ใช่เหรอ” ทั้งคู่หันมองหน้ากันแล้วยักไหล่ขึ้นเพราะไม่รู้ถึงสาเหตุที่ไฟฟ้าดับ
“แม่ครู แม่ครูคะ นอนหรือยัง” ตวิศาตะโกนเสียงดัง
“ตาล ตะโกนทำไมเผื่อ ๆ ถ้าน้องหลับกันอยู่ล่ะทำยังไง”
“ไม่น่าหลับ ดูนั่น” ชี้ไปยังหน้าต่างอาคาร “เงาแสงเทียนไสวขนาดนั้นคงหลับหรอก”
“ใช่ ไม่หลับ” สองสาวสะดุ้งโหยงเมื่อเสียงแหบของรำไพดังขึ้น
“แม่ครู!”
“เออ ข้าเอง แหกปากเสียงดังลั่นเลยนะ สอนไม่เคยจำเรื่องมารยาทหญิง แล้วแบบนี้เมื่อไรจะได้ผัว” ยกมือเขกหัวตวิศาไปหนึ่งที
“โอ้ย เจ็บนะแม่ครู”
“ไม่มีก็ไม่เห็นเป็นไร เกาะแม่ครูกินสบายกว่า”
“นี่แกเป็นคนหรือเห็บหมา”
“โอ้ ประโยคนี้แรงนะเนี่ยแต่ไม่เจ็บหรอก มีเจ็บกว่านี้ไหม” ทำหน้าล้อเลียน
“มีแต่ไม่ใช่คำพูดนะ แต่เป็นมะเงกข้า”
ไม่ได้แค่พูดแต่ยกมือขึ้นเหนือหัวตวิศา หญิงสาวไม่อยากกินมะเหงกบ่อยจึงวิ่งไปหลบอยู่หลังเพื่อน
ปีกุนหัวเราะออกมาเบา ๆ ในรอบหลายสัปดาห์เลยก็ว่าได้เมื่อเห็นคู่รักคู่มวยระหว่างแม่ครูกับตวิศาซึ่งมักจะเห็นอยู่บ่อยครั้งตั้งแต่เด็กจนโต
ของกินถูกนำมาแจกจ่ายให้กับเด็ก ๆ ท่ามกลางแสงเทียน บางคนทนความร้อนไม่ได้ก็ยกพัดขึ้นมาวีเพื่อคลายร้อน
“ว่าแต่วันนี้ไฟดับเหรอคะ” ปีกุนเอ่ยถาม
“เปล่าหรอก เดือนนี้แม่ค้างค่าไฟเขาน่ะ เจ้าหน้าที่เลยมายกหม้อแปลงไปแล้ว หากมีเงินไปจ่ายเขาถึงจะยกหม้อมาติดให้ใหม่”
“เอ้า ไหนแม่ครูเคยบอกว่ามีผู้ใจดีเขาจ่ายให้ทุกเดือนมาหลายสิบปีแล้วไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมเดือนนี้เขาถึงยังไม่จ่ายให้” ตวิศาย่นคิ้ว
รำไพหลุบตาลงต่ำได้แต่เอ่ออ่าจนปีกุนต้องถามซ้ำขึ้นมาอีกครั้ง
“มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่คะ แม่ครูบอกพวกเราได้นะ”
รำไพเริ่มลำบากใจแต่ก็เพื่อชีวิตของเด็กในปกครองอีกหลายชีวิตจึงเลือกที่จะบอกความจริงเพื่อหาทางออกร่วมกัน
“ทางนั้นเขาโทรมาบอกว่าจะไม่จ่ายให้แล้ว”
“อ้าว ทำไมล่ะคะ แล้วทำไมไม่บอกล่วงหน้าแล้วแบบนี้เราจะไปหาเงินตั้งหลายหมื่นมาจากไหนทัน ถ้ารอเงินช่วยจากรัฐบาลก็รู้ ๆ กันอยู่ขอยากกว่าขอทานตามสะพานลอยอีก” ตวิศาบ่นขึ้นมาเสียงดัง
“เขาได้บอกสาเหตุไหมคะว่าเป็นเพราะอะไร” ปีกุนถามเสียงเบา
รำไพพยักหน้าแต่ก็ไม่กล้าพูดว่าเป็นเพราะอะไร แต่พอโดนสองสาวจ้องหน้ากดดันเพื่อรอคำตอบจึงยอมบอก “เป็นเพราะปีกุน”
“เพราะหนูเหรอคะ?” เลิกคิ้วขึ้นสูง ชี้นิ้วเข้าหาตัวเองแล้วปะติดปะต่อเรื่องราวได้
“คุณธามวัฒน์คือผู้ใจบุญคนนั้นใช่ไหมคะ” รำไพพยักหน้ารับ
ร่างอวบห่อไหล่คอตกลงทันที ตวิศาเองก็เพิ่งรู้เรื่องนี้เหมือนกันว่า
ผู้ใจดีที่อุปถัมภ์บ้านเติมรักมาตลอด แน่นอนว่าเขาต้องตัดขาดเพราะปัญหากับปีกุนอย่างแน่นอน
“เป็นเพราะกุนน้อง ๆ ถึงต้องมาลำบาก” ใบหน้าอวบอิ่มหันกลับไปมองกลุ่มเด็ก ๆ ที่กำลังนั่งกินขนม
“อย่าโทษตัวเองเลยนะกุน เรื่องนั้นแม่ว่ากุนเองก็ไม่ได้ผิดมันเป็นอุบัติเหตุ ส่วนคุณธามเองก็เป็นสิทธิ์ของเขาที่จะไม่ช่วยเหลือเรา มันไม่มีอะไรยั่งยืนหรอกนะ”
“แต่ว่า...”
“ไม่เอาไม่มีแต่ พรุ่งนี้เราค่อยหาทางออกร่วมกัน ไปนอนกันดีกว่ามันดึกมากแล้ว” แม่ครูรำไพรีบตัดบททันทีซึ่งตวิศาก็เห็นด้วย
ท่ามกลางความมืดมิดดวงตากลมของปีกุนยังข่มไม่ลงเพราะยังคิดว้าวุ่นอยู่กับเรื่องเมื่อครู เธอจะทำให้ทุกคนมาเดือดร้อนเรื่องตนเองไม่ได้ต้องไปคุยกับคุณธามให้รู้เรื่อง ต่อให้ต้องแลกด้วยอะไรเธอก็ยอมแม้ว่าเขาอยากได้ชีวิตเธอก็ตาม...
พีธีแต่งงานจัดขึ้นใหญ่โตสมเกียรติครอบครัวใหญ่ตระกูลดัง มีแขกเหรื่อมาร่วมงานกันหลายร้อยคนรวมถึงเพื่อนร่วมงานของปีกุนและกองทัพนักข่าวนับสิบสำนักปีกุนอยู่ในชุดเจ้าสาวสีมุกสั้นเปิดไหล่ยืนเคียงคู่ต้อนรับแขกอยู่หน้างาน บรรยากาศภายในงานชื่นมื่นอบอวลไปด้วยความอบอุ่นโดยมีสักขีพยานรักอย่างเด็กหญิงก่อเกิดวิ่งเล่นไปทั่วงาน“ได้เจอตัวสักทีนะครับ ภรรยาของคุณเพื่อน” ศิลาเอ่ยทักทายเมื่อเดินมาถึงทางเข้างาน ปีกุนมองสลับไปสลับมาระหว่างชายหนุ่มกับสามี“คุณคือ?”“ผมหมอศิลาครับ”“ออ คุณนี่เองที่ตรวจยืนยันความเป็นพ่อลูก” หญิงสาวหรี่ตาลงเพื่อคาดโทษแต่พอเห็นเจ้าตัวสีหน้าซีดก็หัวเราะออกมา “ล้อเล่นค่ะ”“ผมตกใจแทบแย่ ขนาดล้อเล่นยังหน้าดุเลยนะครับ มึงระวังตัวเถอะเตรียมถูกเชือดได้เลย”ศิลาแกล้งยกนิ้วปาดบริเวณลำคอเพื่อข่มขู่เพื่อนแล้วขอตัวเดินเข้างานไปทักทายเพื่อนคนอื่นที่มาร่วมงานนี้เหมือนกันปีกุนเห็นตวิศและแม่ครูรำไพเดินมาแต่ไกล ๆ ก็รีบยกมือขึ้นโบกทักทายด้วยความดีใจ“แม่นึกว่าจะมาไม่ทันเสียแล้ว คนก็เยอะ รถก็ติดแถมไอ้ตาลยังเกือบไปมีเรื่องกับเขาบนท้องถนนอีก”มาถึงแม่ครูก็เริ่มบ่นตามประสาคนแก่พลางหันไปค้อนตวิศาที่
“คราวนี้ทีกูบ้างล่ะ” มันเยาะเย้ยแล้วชี้ปืนไปหา “อีเด็กนี่เหรอที่กูเอามันไปทิ้ง ตายยากนักนะมึง”“มึงอย่าทำอะไรลูกกูนะ” นภัสเป็นห่วงปีกุนธีธัชเริ่มเห็นตำรวจทยอยเข้ามาจึงรู้ตัวแล้วว่าคงไม่รอด ไม่ว่าจะเรื่องลักพาตัว ฆ่าคนอื่นหรือแม้จะเป็นเรื่องยักยอกเงินบริษัท“ในเมื่อกูไม่รอด ก็ขอเอาลูกมึงไปด้วยเพื่อให้มึงอยู่กับความตรอมใจเหมือนที่ผ่านมาก็แล้วกัน”ธีธัชหันปลายกระบอกปืนไปยังปีกุนแล้วกดไกปืน นภัสร้องเสียงหลง“อย่า!”ธามวัฒน์ดึงร่างอวบมากอดเอาไว้แล้วหันตัวเองไปรับกระสุนนั้นแทน ร่างสูงสะดุ้งเฮือก หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นติดต่อกันหลายนัดตำรวจวิสามัญธีธัชจนเสียชีวิตทันที“กรี๊ดดดด คุณธาม”ธามวัฒน์รู้สึกเจ็บแปลบบริเวณหัวไหล่ เลือดสีแดงสดซึมผ่านเสื้อเชิ้ตสีขาว ร่างสูงทรุดฮวบลงกับพื้นโชคดีที่ปีกุนเอาแขนรองศีรษะเอาไว้ทัน“กุน คุณเป็นอะไรไหม...” ชายหนุ่มเอ่ยถาม“ฉัน...ไม่เป็นอะไรค่ะ” เธอส่ายหน้ารัว สติเริ่มไม่มีเมื่อเห็นว่าเขารับกระสุนแทนตนเอง นภัสเองก็ทำตัวไม่ถูกได้แต่ตะโกนให้คนเรียกรถพยาบาล“กุนครับ ใจเย็น ๆ ผมไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวรถโรงพยาบาลก็มา”ยกมือเปื้อนเลือดอีกข้างลูบแก้มเธอเพื่อเร
นภัสแทบไม่อยากกลับจากบ้านหลังนั้นเลยเพราะอยากใช้ชีวิตอยู่กับลูกสาวให้นาน แต่เพราะธีธัชตามกลับไปเซ็นเอกสารด่วนที่บ้านเธอจึงจำใจต้องไปและคิดว่าจะเอาเรื่องนี้มาบอกด้วยตัวเองด้วยเมื่อรถเคลื่อนเข้ามาจอดตัวบ้านขณะก้าวเท้าลงจากรถเสียงแจ้งเตือนจากแอปพลิแคชันดังขึ้น มือล้วงกระเป๋าหยิบออกมาดูใบหน้าเหี่ยวย่นเปลี่ยนเป็นโกรธเกรี้ยวทันทีแต่ไม่ได้โวยวายอะไร“สมชาย”“ครับ คุณหญิง”“แกอย่าเพิ่งบอกใครเรื่องที่ฉันเจอลูกสาวแล้วนะ”“แม้แต่คุณธีธัชก็ไม่ให้ผมบอกเหรอครับ”“ใช่ คนนี้ยิ่งให้รู้ไม่ได้” ดวงตาทอประกายกล้าโหดเหี้ยม มือกำแน่นจนเล็บจิกเข้าเนื้อ นภัสไม่รู้เลยว่าธีธัชเดินมาได้ยินทุกอย่างความกลัวเรื่องเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนคืบคลานเข้ามาในจิตใจ“กลับมาแล้วค่ะ”ปรับน้ำเสียงให้หวานขึ้นแล้วเดินไปย่อตัวลงนั่งบนโซฟาฝั่งตรงข้าม ธีธัชรู้ดีถึงความเสแสร้งนั้นแต่ก็เล่นตามน้ำไปก่อน“คุณมีเอกสารอะไรให้ฉันเซ็นเหรอคะ”ชายสูงวัยเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มเอาเอกสารที่ดัดแปลงการเงินออกมาให้นภัสดูบอกว่าเป็นเรื่องด่วนเขาจะได้เอาไปให้ฝ่ายการเงินและเร่งดำเนินการโครงการขยายสาขาร้านอาหารต่อนภัสรับแฟ้มนั้นมาไล่สายตาดูอย่างถี่ถ้วนก็รู้
วันนี้พยากรณ์อากาศแจ้งว่าอากาศจะร้อนพุ่งขึ้นถึง 45 องศาเซลเซียสปีกุนก็ไม่คิดว่ามันจะร้อนได้มากมายขนาดนี้ เสื้อแขนสั้นถลกขึ้นไปอยู่บนหัวไหล่“คุณป้าร้อนไหมคะ”“นิดหน่อยจ้ะ”“ถ้าอย่างนั้นรอแป๊บนะคะ เดี๋ยวกุนไปเอาพัดลมตั้งโต๊ะมาเปิดให้” กำลังจะอ้าปากบอกว่าไม่เป็นไรหันมาอีกทีร่างอวบเดินไว ๆ ออกไปจากห้องครัวเสียแล้ว ไม่นานก็เดินกลับมาพร้อมกับพัดลมตัวใหญ่ปีกุนจัดแจงเสียบปลั๊กเรียบร้อยก้มลงกดเปิดสวิตซ์ให้เรียบร้อย จังหวะเงยตัวขึ้นนภัสหันไปมอง ฉับพลันดวงตาก็เปลี่ยนเป็นประกายวาวเมื่อเห็นสร้อยบนคอของปีกุนมีดสับมะละกอวางลงถาดแล้วก้าวเข้าไปประชิดตัวหญิงสาวทันที“สร้อย” มือสั่นเทาชี้ไปยังจี้สร้อยซึ่งเป็นรูปหงส์คู่“สร้อยของกุนทำไมเหรอคะ” ปีกุนจับไปยังสร้อยคอตัวเองแล้วมีสีหน้าประหลาดใจ“ป้าขอดูใกล้ ๆ ได้ไหม” ปีกุนถอดสร้อยคอยื่นให้ไม่ผิดเลยสร้อยคอหงส์คู่มีเส้นเดียวในโลกเธอสั่งทำเป็นพิเศษเพื่อสวมให้กับลูกสาวเพียงคนเดียวของเธอ เงยหน้ามองดวงตาคลอหน่วยไปด้วยหยดน้ำ“คุณป้าร้องไห้ทำไมเหรอคะ” นภัสไม่ได้ตอบคำถามแต่เลือกถามกลับเสียงสั่น“หนูกุนไปเอาสร้อยเส้นนี้มาจากไหนเหรอ”“แม่ครูบอกว่ามันเป็นสร้อยติดตั
รุ่งสางของวันใหม่ปีกุนย่องเบาออกมาจากห้องของธามวัฒน์เพราะกลัวว่าคนในบ้านจะมาเห็น เธอปิดประตูแผ่วเบาพอหันหลังกลับต้องตกใจสุดขีด“คุณป้า”ธมนต์ยืนกอดอกมองรอยยิ้มมุมปากยกขึ้นเล็กน้อยแต่ก็ไม่เกินงามที่จับได้ว่าเธอเข้าไปนอนในห้องลูกชายท่าน ปกติท่านตื่นเช้าทุกวันอยู่แล้วแต่ไม่คิดเลยว่าวันนี้จะมาแจ็คพ๊อตเจอกันหน้าห้อง“คือว่าเมื่อคืนคุณธามมีไข้ หนูก็เลยอยู่เฝ้า...”ปีกุนแก้ตัวเป็นพัลวันธมนต์ส่ายหน้าไปมากำลังจะก้าวเท้าเดินแต่หยุดลงแล้วหันไปหาปีกุนอีกครั้ง“เลิกเรียกฉันว่าคุณป้าสักที ฉันอนุญาตให้เธอเรียกแม่ได้”“ทะ...ทำไมเหรอคะ” ช้อนตาขึ้นมองหญิงสูงวัย“ไหน ๆ เมื่อคืนก็นอนด้วยกันแล้วก็เปลี่ยนสถานะไปเลยก็แล้วกัน” ว่าจบธมนต์ก็เดินจากไปปล่อยให้หญิงสาวอ้าปากค้างได้แต่ร้องตะโกนตามหลัง“มันไม่ใช่อย่างนั้นนะคะ”คุณธาม นะ คุณธาม ทำให้คนอื่นเข้าใจผิดจนได้หญิงสาวพ่นลมหายใจออกมา เดินตรงไปยังห้องลูกสาว หลังจากนั้นหลายชั่วโมงคนป่วยหนักเมื่อคืนก็ตามยังห้องลูกสาวแถมยังแสดงความรักต่อหน้าอีกต่างหาก“หยุดค่ะ อย่ามารุ่มร่ามต่อหน้าลูกสิคะ” แกะมือออกจากอ้อมแขนเด็กน้อยยืนมองพ่อกับแม่ตาปริบ ๆ สลับไปมา“มามี้ขา อะไ
ใบหน้าอวบก้มลงไปใกล้เขามากขึ้นไม่คิดเลยว่าจะได้มีโอกาสมานั่งจ้องหน้าเขาอย่างนี้ นิ้วมือป้อมเขี่ยปลายเส้นผม “ฝันดีนะคะ”คนถูกบอกฝันดีลืมตาโพลงขึ้นมาทำเอาร่างอวบผงะแต่มือหนาคว้าเอาไว้และออกแรงดึงเธอให้มานอนอยู่ในอ้อมกอดเขาได้อย่างง่ายดาย“คุณธาม! คุณไม่ได้หลับเหรอคะ” ขืนตัวออกจากวงแขนแต่ยิ่งดิ้นเขาก็ยิ่งรัดแน่นขึ้น “ปล่อยค่ะฉันหายใจไม่ออก”“ไม่ปล่อย ถ้าปล่อยคุณก็หนีกลับห้องสิ”“คุณป่วยจริงหรือเปล่าคะ ทำไมแรงเยอะขนาดนี้เนี่ย” ดิ้นคลุกคลักไปมา ธามวัฒน์กระชับวงแขนมากขึ้น“ถ้าไม่ป่วยจริงตัวจะร้อนเหรอ จนคุณต้องมาแก้ผ้าผมเช็ดตัวให้หรือไง”“พูดจาน่าเกลียด ฉันแค่ถอดเสื้อให้คุณเท่านั้นค่ะ”“แต่ผมอยากให้คุณถอดทั้งบน ทั้งล่าง” ใบหน้ากะลิ้มกะเหลี่ยเข้ามาใกล้พลางก้มลงดมหัวไหล่ ปีกุนหยุดดิ้นเอียงหน้ามองเขาดวงตาดุดันและแข็งกร้าวเมื่อก่อนไม่มีอีกแล้วมันเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้“ขอโทษ” เสียงยานคางเอื่อย ๆ ข้างหู เขาขอโทษเธออีกแล้ว“คุณขอโทษกุนอีกแล้วนะคะ”“ที่ผมขอโทษเพราะผมรู้สึกผิดกับคุณจริง ๆ ผมทำเรื่องทุกอย่างเลวร้ายกับคุณเพราะความแค้นจนคุณเกือบ...”เขาเว้นวรรคไม่พูดต่อแต่เลือกใช้นิ้ว







