ป๊อก ป๊อก
เสียงค้อนเคาะลงแท่นจากผู้พิพากษาเมื่ออ่านคำตัดสินพิจารณาเสร็จ ปีกุนถึงกับเม้มปากเข้าหากันเพราะศาลยกฟ้อง
ศาลพิสูจน์จากกล้องวงจรปิดได้ว่าจำเลยได้ระมัดระวังขณะลงไปเก็บเหรียญแล้วและบริเวณนั้นมีไฟส่องสว่างมากพอที่จะทำให้โจทก์มองเห็นว่าจำเลยอยู่บนถนน อีกทั้งก่อนถึงบริเวณนั้นมีเส้นทางม้าลายรถที่สัญจรต้องชะลอเพื่อระมัดระวังคนที่ต้องข้ามถนน
“ลงถนนเพื่อไปเก็บเศษเหรียญเนี่ยนะ”
ธามวัฒน์วางแฟ้มเอกสารกระแทกโต๊ะอย่างแรงแล้วแค่นหัวเราะออกมา ชีวิตของอรกมลและลูกในท้องต้องมาจากไปเพราะเศษเงินเหรียญพวกนั้นนะเหรอ
ความแค้นและความเกลียดชังปะทุเข้ามาในจิตใจ เขาขบกรามแน่นจนขึ้นสันนูน ปลายนิ้วเคาะลงโต๊ะอย่างพิจารณา
บดินทร์เห็นความโกรธเกรี้ยวปรากฏบนใบหน้าเจ้านายจึงเกิดความลังเลว่าจะรายงานเรื่องต่อไปดีไหม แต่ทว่าธามวัฒน์ก็จับอาการนั้นได้
“มีอะไรจะพูดก็พูดมา”
“ผู้จัดการร้านกระเป๋าส่งใบลาออกล่วงหน้าของคุณปีกุนไปที่ยังฝ่ายHRแล้วนะครับ เธอเลือกที่จะลาออก”
“หึ”
ชายหนุ่มแค่นหัวเราะในลำคออีกครั้ง พอศาลตัดสินว่าตัวเองพ้นผิดแล้วอยากหนีเอาตัวรอดอย่างนั้นเหรอ
“แล้วเรื่องคนที่ขับรถชนที่ผมให้คุณไปจัดการ เรื่องไปถึงไหนแล้ว”
“ผมจัดการเรียบร้อยแล้วครับ น่าจะถูกไล่ออกแล้ว”
“ดี คุณมีอะไรจะไปทำก็ไปเถอะ” โบกมือไล่ บดินทร์ค่อมศีรษะเล็กน้อยแล้วเดินออกจากห้องไป
ไม่คิดเลยว่าเจ้านายผู้แสนใจดีจะกลับกลายมาเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้นได้ขนาดนี้
ธามวัฒน์เลือกเปิดดูประวัติของปีกุนใหม่อีกครั้งแล้วสายตาก็ไปสะดุดยังสถานที่เกิดของผู้หญิงคนนั้น
“สถานสงเคราะห์เด็กกำพร้าบ้านเติมรัก”
ชายหนุ่มรู้สึกคุ้นหูชื่อนี้มากเหมือนเคยได้ยินจากไหนสักที่ เร็วเท่าความคิดเขาจึงเข้าไปค้นข้อมูลผ่านออนไลน์แล้วเห็นรูปของแม่ครูรำไพเขาจึงได้คำตอบ มิน่าล่ะ วันนั้นที่โรงพยาบาลเขาถึงคุ้นหน้าหญิงสูงวัยคนนั้นนัก
หลังจากฟังคำตัดสินเสร็จแล้วยังเหลือเวลาอีกหลายชั่วโมงก่อนจะต้องไปเริ่มงานพาร์ทไทม์ในร้านอาหารช่วงค่ำ ปีกุนยังไม่รู้เลยว่าเธอต้องไปที่ไหนหรือทำอะไรต่อเพราะลางานประจำเอาไว้ทั้งวัน
คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าพาตัวเองมาอยู่บริเวณป้ายรถเมล์ตรงสถานที่เกิดเหตุได้อย่างไร ดวงตาหม่นมองไปยังร่องรอยคราบเลือด พลันน้ำตาก็รื้นขึ้นมาเธอได้แต่ยกมือขึ้นปิดปากกลั้นเสียงสะอื้นสุดกำลัง
“นั่นมันผู้หญิงในงานศพวันนั้นนี่” นภัสมองผ่านกระจกรถแล้วพึมพำออกมาทำให้คนขับรถส่วนตัวหันกลับไปถาม
“คุณผู้หญิงพูดกับผมหรือเปล่าครับ”
“เปล่าฉันหมายถึงผู้หญิงที่นั่งอยู่ป้ายรถเมล์เมื่อกี้” อยู่ ๆ ความสงสารและเวทนาผู้หญิงคนนั้นก็ผุดขึ้นมาในหัวใจ
“สมชายจอด!”
เท้าเหยียบเบรกรถกระทันหันโชคดีที่รถคันหลงหยุดได้ทันจึงถูกบีบแตรเตือนด้วยความไม่พอใจ นภัสจึงบ่นคนขับรถไปชุดใหญ่
“ก็คุณผู้หญิงบอกให้ผมจอดผมก็เหยียบเบรกสิครับ”
“พูดแล้วายังจะมาเถียง ถอยรถกลับไป”
“ถอยกลับไปไหนครับ” นภัสพ่นลมหายใจออก เธอรู้ว่าสมชายเป็นคนซื่อ ๆ แต่ไม่คิดว่าจะซื่อจนบื้อขนาดนี้
“ถอยกลับไปป้ายรถเมล์เมื่อกี้ไง” สมชายพยักหน้ารับแล้วรีบกดไฟฉุกเฉินเปลี่ยนเป็นเกียร์ถอยหลังทันที แต่ก็ไม่ลืมที่จะมองรถด้านหลังไปด้วยเพราะเกรงจะเกิดอุบัติเหตุ
ปลายรองเท้าแหลมสีแดงมาหยุดยืนตรงหน้าปีกุนเงยขึ้นมอง เธอเห็นผู้หญิงสูงวัยคนหนึ่งกำลังยื่นผ้าเช็ดหน้ามาให้ ช่างใจอยู่ครู่หนึ่งจึงรับมาซับน้ำตาแล้วนภัสก็เลือกเดินมาทรุดตัวนั่งลงด้านข้าง
“ขอบคุณนะคะ ว่าแต่คุณป้าเป็นใครเหรอคะ”
ความสงสัยนั้นทำให้เธอเอ่ยถามขึ้นมาเพราะคลับคล้ายคลาว่าเคยเห็นเธอที่ไหนมาก่อน
“ฉันเป็นเพื่อนสนิทของธมนต์น่ะ...”
“ธมนต์” ปีกุนกรอกดวงตาไปมาพยายามนึกว่าธมนต์คือใคร
“ธมนต์เป็นแม่ของธามวัฒน์น่ะ ฉันเคยเห็นหนูมาก่อนตอนงานศพ
ของ...” เว้นช่วงคำพูดเพราะกลัวว่าจะกระทบต่อจิตใจอีกฝ่าย
“งานศพของคุณอรกมลใช่ไหม” ปีกุนย้อนนึกกลับไปวันนั้นแล้วนึกหน้าของคุณป้าตรงหน้าขึ้นมาได้
“ใช่จ้ะ...ว่าแต่หนูมานั่งร้องไห้ตรงนี้ทำไมเหรอ เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า”
“เปล่าหรอกค่ะ กุนแค่รู้สึกเหนื่อยกับโชคชะตาตัวเองแล้วก็รู้สึกผิดต่อคุณอรกมลก็เท่านั้น” ดวงตาทอดมองไปยังร่องรอยอุบัติเหตุในวันนั้น
นภัสมองตามสายตาหม่นหม่องนั้นก็พอจะเดาออกว่าตรงนั้นน่าจะเป็นสถานที่เกิดเหตุจึงไม่ถามอะไรต่อ
“ป้าก็พอจะได้ยินเรื่องนี้มาจากธมนต์อยู่บ้าง แต่ทุกอย่างมันก็คืออุบัติเหตุไม่ใช่เหรอ”
“แต่ต้นเหตุมันก็มาจากกุนไม่ใช่เหรอคะ ถ้ากุนไม่วิ่งออกไปเก็บเหรียญคุณอรกมลคงไม่ลงมาช่วยแล้วต้องมาถูกรถชนเสียเอง คนที่สมควรจะตายไปน่าจะเป็นกุนมากกว่า” พูดแค่นั้นน้ำตาก็รื้นขึ้นมาจนต้องยกทิชชูขึ้นเช็ด
นภัสเอื้อมไปกุมมือของปีกุนด้วยความสงสารจับใจ ไม่รู้ว่าเป็นอะไรเธอถึงรู้สึกผูกพันแปลก ๆ
“อย่าไปคิดอย่างนั้นสิ อรกมลจะเสียใจเอาได้นะที่ช่วยชีวิตหนูเอาไว้แล้วหนูไม่เห็นค่าของมัน ปล่อยวางทุกอย่างแล้วคิดเสียว่ามันเป็นโชคชะตาที่ฟ้ากำหนดมาแบบนี้”
ปีกุนพยักหน้ารับน้อย ๆ แม้จะรู้ว่ามันอาจจะทำใจได้ยากหากไม่เจอกับตัวเอง แต่อย่างานั้นประโยคนั้นก็ปลอบใจอยากทำให้เธอฮึดใช้ชีวิตอยู่ต่อเพื่อสู้กับโชคชะตาตัวเอง
ไม่รู้ว่าทั้งสองต่างพูดคุยอะไรกันบ้างแต่กว่าจะรู้ตัวท้องฟ้าก็เริ่มมืดแล้วปีกุนจึงนึกขึ้นได้ว่าตัวเองจะต้องไปทำงานเสิร์ฟต่อ นภัสจึงอาสาจะไปส่ง
“ไม่ต้องหรอกค่ะ กุนเดินลัดซอยนี้เข้าไปก็ถึงแล้วค่ะ แล้วคุณป้าล่ะคะกลับยังไง” หญิงสาวเป็นห่วงคนสูงวัยแล้วชะเง้อมองซ้ายมองขวาเพื่อหาแท็กซี่สักคัน
“อย่าห่วงเลย คนขับรถจอดรอป้าอยู่ตรงโน้น”
ปีกุนมองตามนิ้วมือของนภัสจึงเห็นว่ารถหรูสีดำจอดเลยป้ายรถเมล์ไปไม่มากและตรงนั้นก็มีผู้ชายวัยกลางคนยืนรออยู่ เห็นอย่างนั้นเธอก็เบาใจจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง
“ถ้างั้นหนูขอตัวลานะคะ” ยกมือป้อมไหว้อย่างนอบน้อม
“เดี๋ยวสิหนู” คว้าแขนเอาไว้ทัน “ฉันชื่อนภัสนะแล้วหนูล่ะชื่อว่าอะไร”
นภัสรู้ว่าชื่อเล่นว่ากุนแต่ไม่รู้ว่าชื่อจริง ๆ ว่าอะไรกันแน่เธออยากทำความรู้จักกับหญิงสาวยิ่งนัก
“หนูชื่อปีกุนค่ะ”
“แล้วหนูพักอยู่ที่ไหน?” คำถามถัดมาทำเอาหญิงสาวขมวดคิ้วเข้าหากัน เพิ่งรู้จักกันแท้ ๆ ทำไมถึงมาถามที่อยู่กันแล้วล่ะ
สีหน้าลังเลนั้นนภัสจึงรู้ตัวว่าเสียมารยาทแล้วยิ้มแห้งก่อนจะปล่อยมือหญิงสาว “คุณป้าติดต่อหนูที่สถานสงเคราะห์เด็กกำพร้าบ้านเติมรักก็ได้ค่ะ”
“บ้านเติมรัก?”
“ใช่ค่ะ กุนเป็นเด็กกำพร้าค่ะเติบโตมาจากที่นั้น” หล่อนยิ้มอ่อนยกมือไหว้อีกครั้งก่อนจะเดินจากไป นภัสเองก็เดินไปขึ้นรถกลับบ้านเหมือนกัน
พีธีแต่งงานจัดขึ้นใหญ่โตสมเกียรติครอบครัวใหญ่ตระกูลดัง มีแขกเหรื่อมาร่วมงานกันหลายร้อยคนรวมถึงเพื่อนร่วมงานของปีกุนและกองทัพนักข่าวนับสิบสำนักปีกุนอยู่ในชุดเจ้าสาวสีมุกสั้นเปิดไหล่ยืนเคียงคู่ต้อนรับแขกอยู่หน้างาน บรรยากาศภายในงานชื่นมื่นอบอวลไปด้วยความอบอุ่นโดยมีสักขีพยานรักอย่างเด็กหญิงก่อเกิดวิ่งเล่นไปทั่วงาน“ได้เจอตัวสักทีนะครับ ภรรยาของคุณเพื่อน” ศิลาเอ่ยทักทายเมื่อเดินมาถึงทางเข้างาน ปีกุนมองสลับไปสลับมาระหว่างชายหนุ่มกับสามี“คุณคือ?”“ผมหมอศิลาครับ”“ออ คุณนี่เองที่ตรวจยืนยันความเป็นพ่อลูก” หญิงสาวหรี่ตาลงเพื่อคาดโทษแต่พอเห็นเจ้าตัวสีหน้าซีดก็หัวเราะออกมา “ล้อเล่นค่ะ”“ผมตกใจแทบแย่ ขนาดล้อเล่นยังหน้าดุเลยนะครับ มึงระวังตัวเถอะเตรียมถูกเชือดได้เลย”ศิลาแกล้งยกนิ้วปาดบริเวณลำคอเพื่อข่มขู่เพื่อนแล้วขอตัวเดินเข้างานไปทักทายเพื่อนคนอื่นที่มาร่วมงานนี้เหมือนกันปีกุนเห็นตวิศและแม่ครูรำไพเดินมาแต่ไกล ๆ ก็รีบยกมือขึ้นโบกทักทายด้วยความดีใจ“แม่นึกว่าจะมาไม่ทันเสียแล้ว คนก็เยอะ รถก็ติดแถมไอ้ตาลยังเกือบไปมีเรื่องกับเขาบนท้องถนนอีก”มาถึงแม่ครูก็เริ่มบ่นตามประสาคนแก่พลางหันไปค้อนตวิศาที่
“คราวนี้ทีกูบ้างล่ะ” มันเยาะเย้ยแล้วชี้ปืนไปหา “อีเด็กนี่เหรอที่กูเอามันไปทิ้ง ตายยากนักนะมึง”“มึงอย่าทำอะไรลูกกูนะ” นภัสเป็นห่วงปีกุนธีธัชเริ่มเห็นตำรวจทยอยเข้ามาจึงรู้ตัวแล้วว่าคงไม่รอด ไม่ว่าจะเรื่องลักพาตัว ฆ่าคนอื่นหรือแม้จะเป็นเรื่องยักยอกเงินบริษัท“ในเมื่อกูไม่รอด ก็ขอเอาลูกมึงไปด้วยเพื่อให้มึงอยู่กับความตรอมใจเหมือนที่ผ่านมาก็แล้วกัน”ธีธัชหันปลายกระบอกปืนไปยังปีกุนแล้วกดไกปืน นภัสร้องเสียงหลง“อย่า!”ธามวัฒน์ดึงร่างอวบมากอดเอาไว้แล้วหันตัวเองไปรับกระสุนนั้นแทน ร่างสูงสะดุ้งเฮือก หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นติดต่อกันหลายนัดตำรวจวิสามัญธีธัชจนเสียชีวิตทันที“กรี๊ดดดด คุณธาม”ธามวัฒน์รู้สึกเจ็บแปลบบริเวณหัวไหล่ เลือดสีแดงสดซึมผ่านเสื้อเชิ้ตสีขาว ร่างสูงทรุดฮวบลงกับพื้นโชคดีที่ปีกุนเอาแขนรองศีรษะเอาไว้ทัน“กุน คุณเป็นอะไรไหม...” ชายหนุ่มเอ่ยถาม“ฉัน...ไม่เป็นอะไรค่ะ” เธอส่ายหน้ารัว สติเริ่มไม่มีเมื่อเห็นว่าเขารับกระสุนแทนตนเอง นภัสเองก็ทำตัวไม่ถูกได้แต่ตะโกนให้คนเรียกรถพยาบาล“กุนครับ ใจเย็น ๆ ผมไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวรถโรงพยาบาลก็มา”ยกมือเปื้อนเลือดอีกข้างลูบแก้มเธอเพื่อเร
นภัสแทบไม่อยากกลับจากบ้านหลังนั้นเลยเพราะอยากใช้ชีวิตอยู่กับลูกสาวให้นาน แต่เพราะธีธัชตามกลับไปเซ็นเอกสารด่วนที่บ้านเธอจึงจำใจต้องไปและคิดว่าจะเอาเรื่องนี้มาบอกด้วยตัวเองด้วยเมื่อรถเคลื่อนเข้ามาจอดตัวบ้านขณะก้าวเท้าลงจากรถเสียงแจ้งเตือนจากแอปพลิแคชันดังขึ้น มือล้วงกระเป๋าหยิบออกมาดูใบหน้าเหี่ยวย่นเปลี่ยนเป็นโกรธเกรี้ยวทันทีแต่ไม่ได้โวยวายอะไร“สมชาย”“ครับ คุณหญิง”“แกอย่าเพิ่งบอกใครเรื่องที่ฉันเจอลูกสาวแล้วนะ”“แม้แต่คุณธีธัชก็ไม่ให้ผมบอกเหรอครับ”“ใช่ คนนี้ยิ่งให้รู้ไม่ได้” ดวงตาทอประกายกล้าโหดเหี้ยม มือกำแน่นจนเล็บจิกเข้าเนื้อ นภัสไม่รู้เลยว่าธีธัชเดินมาได้ยินทุกอย่างความกลัวเรื่องเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนคืบคลานเข้ามาในจิตใจ“กลับมาแล้วค่ะ”ปรับน้ำเสียงให้หวานขึ้นแล้วเดินไปย่อตัวลงนั่งบนโซฟาฝั่งตรงข้าม ธีธัชรู้ดีถึงความเสแสร้งนั้นแต่ก็เล่นตามน้ำไปก่อน“คุณมีเอกสารอะไรให้ฉันเซ็นเหรอคะ”ชายสูงวัยเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มเอาเอกสารที่ดัดแปลงการเงินออกมาให้นภัสดูบอกว่าเป็นเรื่องด่วนเขาจะได้เอาไปให้ฝ่ายการเงินและเร่งดำเนินการโครงการขยายสาขาร้านอาหารต่อนภัสรับแฟ้มนั้นมาไล่สายตาดูอย่างถี่ถ้วนก็รู้
วันนี้พยากรณ์อากาศแจ้งว่าอากาศจะร้อนพุ่งขึ้นถึง 45 องศาเซลเซียสปีกุนก็ไม่คิดว่ามันจะร้อนได้มากมายขนาดนี้ เสื้อแขนสั้นถลกขึ้นไปอยู่บนหัวไหล่“คุณป้าร้อนไหมคะ”“นิดหน่อยจ้ะ”“ถ้าอย่างนั้นรอแป๊บนะคะ เดี๋ยวกุนไปเอาพัดลมตั้งโต๊ะมาเปิดให้” กำลังจะอ้าปากบอกว่าไม่เป็นไรหันมาอีกทีร่างอวบเดินไว ๆ ออกไปจากห้องครัวเสียแล้ว ไม่นานก็เดินกลับมาพร้อมกับพัดลมตัวใหญ่ปีกุนจัดแจงเสียบปลั๊กเรียบร้อยก้มลงกดเปิดสวิตซ์ให้เรียบร้อย จังหวะเงยตัวขึ้นนภัสหันไปมอง ฉับพลันดวงตาก็เปลี่ยนเป็นประกายวาวเมื่อเห็นสร้อยบนคอของปีกุนมีดสับมะละกอวางลงถาดแล้วก้าวเข้าไปประชิดตัวหญิงสาวทันที“สร้อย” มือสั่นเทาชี้ไปยังจี้สร้อยซึ่งเป็นรูปหงส์คู่“สร้อยของกุนทำไมเหรอคะ” ปีกุนจับไปยังสร้อยคอตัวเองแล้วมีสีหน้าประหลาดใจ“ป้าขอดูใกล้ ๆ ได้ไหม” ปีกุนถอดสร้อยคอยื่นให้ไม่ผิดเลยสร้อยคอหงส์คู่มีเส้นเดียวในโลกเธอสั่งทำเป็นพิเศษเพื่อสวมให้กับลูกสาวเพียงคนเดียวของเธอ เงยหน้ามองดวงตาคลอหน่วยไปด้วยหยดน้ำ“คุณป้าร้องไห้ทำไมเหรอคะ” นภัสไม่ได้ตอบคำถามแต่เลือกถามกลับเสียงสั่น“หนูกุนไปเอาสร้อยเส้นนี้มาจากไหนเหรอ”“แม่ครูบอกว่ามันเป็นสร้อยติดตั
รุ่งสางของวันใหม่ปีกุนย่องเบาออกมาจากห้องของธามวัฒน์เพราะกลัวว่าคนในบ้านจะมาเห็น เธอปิดประตูแผ่วเบาพอหันหลังกลับต้องตกใจสุดขีด“คุณป้า”ธมนต์ยืนกอดอกมองรอยยิ้มมุมปากยกขึ้นเล็กน้อยแต่ก็ไม่เกินงามที่จับได้ว่าเธอเข้าไปนอนในห้องลูกชายท่าน ปกติท่านตื่นเช้าทุกวันอยู่แล้วแต่ไม่คิดเลยว่าวันนี้จะมาแจ็คพ๊อตเจอกันหน้าห้อง“คือว่าเมื่อคืนคุณธามมีไข้ หนูก็เลยอยู่เฝ้า...”ปีกุนแก้ตัวเป็นพัลวันธมนต์ส่ายหน้าไปมากำลังจะก้าวเท้าเดินแต่หยุดลงแล้วหันไปหาปีกุนอีกครั้ง“เลิกเรียกฉันว่าคุณป้าสักที ฉันอนุญาตให้เธอเรียกแม่ได้”“ทะ...ทำไมเหรอคะ” ช้อนตาขึ้นมองหญิงสูงวัย“ไหน ๆ เมื่อคืนก็นอนด้วยกันแล้วก็เปลี่ยนสถานะไปเลยก็แล้วกัน” ว่าจบธมนต์ก็เดินจากไปปล่อยให้หญิงสาวอ้าปากค้างได้แต่ร้องตะโกนตามหลัง“มันไม่ใช่อย่างนั้นนะคะ”คุณธาม นะ คุณธาม ทำให้คนอื่นเข้าใจผิดจนได้หญิงสาวพ่นลมหายใจออกมา เดินตรงไปยังห้องลูกสาว หลังจากนั้นหลายชั่วโมงคนป่วยหนักเมื่อคืนก็ตามยังห้องลูกสาวแถมยังแสดงความรักต่อหน้าอีกต่างหาก“หยุดค่ะ อย่ามารุ่มร่ามต่อหน้าลูกสิคะ” แกะมือออกจากอ้อมแขนเด็กน้อยยืนมองพ่อกับแม่ตาปริบ ๆ สลับไปมา“มามี้ขา อะไ
ใบหน้าอวบก้มลงไปใกล้เขามากขึ้นไม่คิดเลยว่าจะได้มีโอกาสมานั่งจ้องหน้าเขาอย่างนี้ นิ้วมือป้อมเขี่ยปลายเส้นผม “ฝันดีนะคะ”คนถูกบอกฝันดีลืมตาโพลงขึ้นมาทำเอาร่างอวบผงะแต่มือหนาคว้าเอาไว้และออกแรงดึงเธอให้มานอนอยู่ในอ้อมกอดเขาได้อย่างง่ายดาย“คุณธาม! คุณไม่ได้หลับเหรอคะ” ขืนตัวออกจากวงแขนแต่ยิ่งดิ้นเขาก็ยิ่งรัดแน่นขึ้น “ปล่อยค่ะฉันหายใจไม่ออก”“ไม่ปล่อย ถ้าปล่อยคุณก็หนีกลับห้องสิ”“คุณป่วยจริงหรือเปล่าคะ ทำไมแรงเยอะขนาดนี้เนี่ย” ดิ้นคลุกคลักไปมา ธามวัฒน์กระชับวงแขนมากขึ้น“ถ้าไม่ป่วยจริงตัวจะร้อนเหรอ จนคุณต้องมาแก้ผ้าผมเช็ดตัวให้หรือไง”“พูดจาน่าเกลียด ฉันแค่ถอดเสื้อให้คุณเท่านั้นค่ะ”“แต่ผมอยากให้คุณถอดทั้งบน ทั้งล่าง” ใบหน้ากะลิ้มกะเหลี่ยเข้ามาใกล้พลางก้มลงดมหัวไหล่ ปีกุนหยุดดิ้นเอียงหน้ามองเขาดวงตาดุดันและแข็งกร้าวเมื่อก่อนไม่มีอีกแล้วมันเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้“ขอโทษ” เสียงยานคางเอื่อย ๆ ข้างหู เขาขอโทษเธออีกแล้ว“คุณขอโทษกุนอีกแล้วนะคะ”“ที่ผมขอโทษเพราะผมรู้สึกผิดกับคุณจริง ๆ ผมทำเรื่องทุกอย่างเลวร้ายกับคุณเพราะความแค้นจนคุณเกือบ...”เขาเว้นวรรคไม่พูดต่อแต่เลือกใช้นิ้ว