ช่วงเช้าของวันตวิศาตื่นขึ้นมาไม่เห็นปีกุนนอนอยู่ด้านข้าง เหลือบดูมองนาฬิกาเห็นว่าเพิ่งเจ็ดโมงเช้าเท่านั้น
“เปี๊ยก แม่ครูกับพี่กุนไปไหน”
เดินลงมาจากหอนอนเห็นเด็กชายตัวอ้วนกำลังถือจอบวิ่งผ่านไปจึงร้องตะโกนถาม ฝีเท้าเบรกกะทันหันทำเอาหัวแทบคะมำ
“โธ่ พี่ตาลร้องเรียกซะเกือบทำฉันหน้าทิ่ม” เด็กชายตัวน้อยหันมาบ่นอุบ ตวิศาจึงยกมือขึ้นโบก
“เออ ๆ ขอโทษ”
“แม่ครูอยู่ในสวนผักกำลังเก็บผักมาทำมื้อเช้า ส่วนพี่กุนฉันตื่นมาก็ไม่เห็นแล้ว มีอะไรจะถามอีกไหมจ๊ะ ฉันจะได้เอาจอบไปให้แม่ครู”
“ไม่มีอะไรแล้ว จะไปไหนก็ไปเถอะ” โบกมือไล่แล้วล้วงโทรศัพท์ออกมากดโทรหาปีกุน
แต่กดโทรไปเท่าไรอีกฝ่ายก็ไม่ยอมรับสายสักที ‘หายไปไหนของแก’เรียวคิ้วบางย่นเข้าหากันรู้สึกเป็นห่วงเพื่อนขึ้นมาทันที
คนที่ตวิศาเป็นห่วงไม่ได้หายไปไหนเธอรีบตื่นขึ้นมาก่อนไก่โห่ ไม่สิ ต้องเรียกว่าไม่ได้ข่มตาหลับเลยทั้งคืนต่างหากเพื่อมาถึงที่ทำงานก่อนเวลาเริ่มงานตั้งสองชั่วโมง
เธอไม่ได้ขยันขนาดที่ว่ามาเข้างานก่อนเวลาหรอกแต่เธอต้องการมาพบกับธามวัฒน์เพื่อมาขอร้องเขาก็เท่านั้น
ลิฟต์เคลื่อนตัวมายังชั้นสูงสุดของห้างสรรพสินค้าชื่อดังย่านใจกลางเมือง ซึ่งเป็นชั้นออฟฟิศซึ่งมีไว้สำหรับให้ผู้บริหารและแผนกบริหารงานต่างๆ
เวลาห้างเปิดคือเวลาทำงานของพนักงานหน้าร้านภายในบริเวณห้างฯแต่เวลาทำงานของชั้นออฟฟิศจะเริ่มก่อนหนึ่งชั่วโมงซึ่งเป็นเวลาทั่วไปสำของมนุษย์เงินเดือน
ปีกุนสูดหายใจเข้าเต็มปอดเมื่อเสียงลิฟต์แจ้งเตือนว่าเธอมาถึงชั้นที่ต้องการแล้ว เธอรู้ว่าท่านประธานอยู่ชั้นนี้เพราะเคยขึ้นมาครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้วและทำให้รู้ว่าผู้ชายที่เคยช่วยชีวิตเธอคือเจ้าของที่นี่
สายตาพนักงานหนุ่มหล่อสาวสวยต่างหันมาจับจ้องร่างอ้วน ดวงตากลมหลุบมองพื้นไม่กล้าสบตาผู้คนบนนี้ โดยปกติเธอก็ไม่มีความมั่นใจในรูปร่างอยู่แล้ว พอมาเกิดเรื่องนี้ขึ้นมากลายเป็นว่าความมั่นใจติดลบแถมยังทำให้เธอไม่กล้าพูดคุยกับคนอื่นเลย
“ไม่ทราบว่ามาติดต่อเรื่องอะไรเหรอครับ” ชายสวมเสื้อเชิ้ตสีขาว กางเกงสแล็คสีดำเดินเข้ามาสอบถามเมื่อเห็นว่าผู้มาเยือนมีท่าทีเก้ ๆ กัง ๆ
“ฉันมาพบท่านประธานค่ะ ไม่ทราบว่าท่านเข้ามาหรือยังคะ”
คิ้วเข้มของพนักงานหนุ่มย่นเข้าหากันเมื่อทราบจุดประสงค์ของผู้
มาเยือน “ท่านประธานเหรอครับ?”
“ใช่ค่ะ ฉันมีเรื่องสำคัญจะคุยกับท่าน ไม่ทราบว่าต้องไปทางไหนคะ”
พนักงานชายเหลือบตามองร่างอวบตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าแล้วยิ่งขมวดคิ้วมากขึ้นกว่าเดิมเสียอีก ดูจากยูนิฟอร์มของคนตรงหน้าแล้วก็เป็นเพียงแค่พนักงานขายธรรมดาเท่านั้นแล้วเหตุใดถึงกล้ามาขอพบท่านประธานเป็นการส่วนตัว
“นัดกับคุณเลขาฯ ไว้หรือเปล่าครับ”
“เปล่าค่ะ” ส่ายหน้ารัว
จะให้นัดได้อย่างไรแค่หน้าเธอคุณธามวัฒน์ยังไม่อยากจะมองเลย เขาเกลียดเธอยิ่งกว่าพวกสัตว์เลื้อยคลานเสียอีก แต่เธอก็มีเหตุจำเป็นที่จะต้องมาพบเขา
“ถ้าไม่ได้นัดไว้เกรงว่าจะเข้าพบไม่ได้ครับ”
“แล้วฉันต้องทำยังไงถึงจะพบท่านได้คะ ขอแบบด่วนที่สุดเลยค่ะ” ใบหน้าอวบอิ่มอ้อนวอน
“เออ...เรื่องนั้นต้องถามคุณบดินทร์แล้วครับ” พนักงานชายชี้ไปยังร่างสูงกำยำในชุดสูทสีดำ กำลังถือแฟ้มเดินมาทางนี้พอดี
ชายหนุ่มมองเห็นเจ้าของร่างอ้วนท้วนมาแต่ไกลแล้วจึงเดินเลยมา
ทางนี้ก่อนทั้งที่ห้องทำงานเจ้านายอยู่ลึกเข้าไปอีกฝั่ง
ปีกุนจำเขาได้เป็นอย่างดีเพราะเห็นติดสอยห้อยตามคุณธามวัฒน์แทบจะตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ยามนี้เธอทิ้งความอายทั้งหมดทิ้งไปแล้วถลาเข้าไปคว้าข้อมือใหญ่
“คุณช่วยพาฉันไปพบคุณธามวัฒน์หน่อยได้ไหมคะ ฉันมีเรื่องต้องคุยกับเขาค่ะ” เธอบอกเสียงเว้าวอน
บดินทร์พอจะเดาออกว่าเธอมาหาเจ้านายเขาเรื่องอะไรจึงเกิดความสงสารและใจอ่อนขึ้นมา
“เชิญคุณปีกุนทางนี้ครับ”
บดินทร์ผายมือไปอีกฝั่งแล้วเป็นฝ่ายเดินนำหน้า พนักงานฝ่ายบริหารต่างรีบหันมองหน้ากันด้วยความใคร่อยากรู้ การนินทากาเลเป็นเรื่องปกติของมนุษย์พอคล้อยหลังทั้งคู่เดินไปทั้งหมดก็รีบสุมหัวคุยกันทันที
“คุณรอผมอยู่ตรงนี้นะ เดี๋ยวผมเข้าไปแจ้งคุณธามให้ว่าคุณมาขอพบ”
ปีกุนรีบพยักหน้างึกๆ บดินทร์หันกลับไปเคาะประตูห้องทำงาน ได้ยินเสียงเอ่ยอนุญาตเขาก็รีบเข้าไปด้านในทันที
เวลาผ่านไปไม่นานบดินทร์ก็กลับออกมาด้วยสีหน้าลำบากใจซึ่งเธอก็พอจะเดาออกว่าคำตอบเป็นอย่างไรจึงชิงพูดขึ้นเองเสียก่อน
“คุณธามไม่ให้ฉันเข้าพบใช่ไหมคะ” บดินทร์พยักหน้ารับ
“ถ้าอย่างนั้นคุณช่วยไปบอกเขาหน่อยนะคะ ว่าฉันจะนั่งคุกเข่าอยู่
ตรงนี้จนกว่าเขาจะยอมให้ฉันเข้าพบ”เธอเดินไปชิดผนังแล้วย่อตัวนั่งคุกเข่าก้มหน้า
แม้ว่าบดินทร์จะห้ามอย่างไรเธอก็ไม่ฟังเขาจึงต้องเดินกลับเข้าไปบอกคนเป็นเจ้านายด้วยความอ่อนใจ
“คุกเข่าอยู่หน้าห้องอย่างนั้นเหรอ” ย่นคิ้วเข้มเข้าหากันกระตุกยิ้มปาก
“ผู้หญิงคนนั้นคิดว่าตัวเองเป็นนางเอกหนังจีนหรือไง ดี! ปล่อยให้นั่งอยู่อย่างงั้นแหละ ส่วนนายมีอะไรไปทำก็ไปเถอะ” โบกมือไล่ก่อนจะก้มหน้าทำงานต่อ
บดินทร์ยืนลังเลอยู่ครู่หนึ่งแต่พอเห็นสายตาพิฆาตเงยขึ้นมามองอีกครั้ง ไม่รอช้าค่อมศีรษะให้แล้วก็เดินออกจากห้องไป
คล้อยหลังเลขาฯ คนสนิทมือหนาก็คว้าไปยังสมาร์ตโฟนเครื่องสวยขึ้นมาเปิดดูกล้องวงจรปิดดูผ่านมือถือ เขาเห็นปีกุนนั่งอยู่ในท่าคุกเข่าอย่างที่บดินทร์บอกจริงด้วย
มองไปมองมาก็เหมือนมีคนเอาโอ่งมังกรมาตั้งไว้เหมือนกันนะเนี่ย...
พีธีแต่งงานจัดขึ้นใหญ่โตสมเกียรติครอบครัวใหญ่ตระกูลดัง มีแขกเหรื่อมาร่วมงานกันหลายร้อยคนรวมถึงเพื่อนร่วมงานของปีกุนและกองทัพนักข่าวนับสิบสำนักปีกุนอยู่ในชุดเจ้าสาวสีมุกสั้นเปิดไหล่ยืนเคียงคู่ต้อนรับแขกอยู่หน้างาน บรรยากาศภายในงานชื่นมื่นอบอวลไปด้วยความอบอุ่นโดยมีสักขีพยานรักอย่างเด็กหญิงก่อเกิดวิ่งเล่นไปทั่วงาน“ได้เจอตัวสักทีนะครับ ภรรยาของคุณเพื่อน” ศิลาเอ่ยทักทายเมื่อเดินมาถึงทางเข้างาน ปีกุนมองสลับไปสลับมาระหว่างชายหนุ่มกับสามี“คุณคือ?”“ผมหมอศิลาครับ”“ออ คุณนี่เองที่ตรวจยืนยันความเป็นพ่อลูก” หญิงสาวหรี่ตาลงเพื่อคาดโทษแต่พอเห็นเจ้าตัวสีหน้าซีดก็หัวเราะออกมา “ล้อเล่นค่ะ”“ผมตกใจแทบแย่ ขนาดล้อเล่นยังหน้าดุเลยนะครับ มึงระวังตัวเถอะเตรียมถูกเชือดได้เลย”ศิลาแกล้งยกนิ้วปาดบริเวณลำคอเพื่อข่มขู่เพื่อนแล้วขอตัวเดินเข้างานไปทักทายเพื่อนคนอื่นที่มาร่วมงานนี้เหมือนกันปีกุนเห็นตวิศและแม่ครูรำไพเดินมาแต่ไกล ๆ ก็รีบยกมือขึ้นโบกทักทายด้วยความดีใจ“แม่นึกว่าจะมาไม่ทันเสียแล้ว คนก็เยอะ รถก็ติดแถมไอ้ตาลยังเกือบไปมีเรื่องกับเขาบนท้องถนนอีก”มาถึงแม่ครูก็เริ่มบ่นตามประสาคนแก่พลางหันไปค้อนตวิศาที่
“คราวนี้ทีกูบ้างล่ะ” มันเยาะเย้ยแล้วชี้ปืนไปหา “อีเด็กนี่เหรอที่กูเอามันไปทิ้ง ตายยากนักนะมึง”“มึงอย่าทำอะไรลูกกูนะ” นภัสเป็นห่วงปีกุนธีธัชเริ่มเห็นตำรวจทยอยเข้ามาจึงรู้ตัวแล้วว่าคงไม่รอด ไม่ว่าจะเรื่องลักพาตัว ฆ่าคนอื่นหรือแม้จะเป็นเรื่องยักยอกเงินบริษัท“ในเมื่อกูไม่รอด ก็ขอเอาลูกมึงไปด้วยเพื่อให้มึงอยู่กับความตรอมใจเหมือนที่ผ่านมาก็แล้วกัน”ธีธัชหันปลายกระบอกปืนไปยังปีกุนแล้วกดไกปืน นภัสร้องเสียงหลง“อย่า!”ธามวัฒน์ดึงร่างอวบมากอดเอาไว้แล้วหันตัวเองไปรับกระสุนนั้นแทน ร่างสูงสะดุ้งเฮือก หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นติดต่อกันหลายนัดตำรวจวิสามัญธีธัชจนเสียชีวิตทันที“กรี๊ดดดด คุณธาม”ธามวัฒน์รู้สึกเจ็บแปลบบริเวณหัวไหล่ เลือดสีแดงสดซึมผ่านเสื้อเชิ้ตสีขาว ร่างสูงทรุดฮวบลงกับพื้นโชคดีที่ปีกุนเอาแขนรองศีรษะเอาไว้ทัน“กุน คุณเป็นอะไรไหม...” ชายหนุ่มเอ่ยถาม“ฉัน...ไม่เป็นอะไรค่ะ” เธอส่ายหน้ารัว สติเริ่มไม่มีเมื่อเห็นว่าเขารับกระสุนแทนตนเอง นภัสเองก็ทำตัวไม่ถูกได้แต่ตะโกนให้คนเรียกรถพยาบาล“กุนครับ ใจเย็น ๆ ผมไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวรถโรงพยาบาลก็มา”ยกมือเปื้อนเลือดอีกข้างลูบแก้มเธอเพื่อเร
นภัสแทบไม่อยากกลับจากบ้านหลังนั้นเลยเพราะอยากใช้ชีวิตอยู่กับลูกสาวให้นาน แต่เพราะธีธัชตามกลับไปเซ็นเอกสารด่วนที่บ้านเธอจึงจำใจต้องไปและคิดว่าจะเอาเรื่องนี้มาบอกด้วยตัวเองด้วยเมื่อรถเคลื่อนเข้ามาจอดตัวบ้านขณะก้าวเท้าลงจากรถเสียงแจ้งเตือนจากแอปพลิแคชันดังขึ้น มือล้วงกระเป๋าหยิบออกมาดูใบหน้าเหี่ยวย่นเปลี่ยนเป็นโกรธเกรี้ยวทันทีแต่ไม่ได้โวยวายอะไร“สมชาย”“ครับ คุณหญิง”“แกอย่าเพิ่งบอกใครเรื่องที่ฉันเจอลูกสาวแล้วนะ”“แม้แต่คุณธีธัชก็ไม่ให้ผมบอกเหรอครับ”“ใช่ คนนี้ยิ่งให้รู้ไม่ได้” ดวงตาทอประกายกล้าโหดเหี้ยม มือกำแน่นจนเล็บจิกเข้าเนื้อ นภัสไม่รู้เลยว่าธีธัชเดินมาได้ยินทุกอย่างความกลัวเรื่องเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนคืบคลานเข้ามาในจิตใจ“กลับมาแล้วค่ะ”ปรับน้ำเสียงให้หวานขึ้นแล้วเดินไปย่อตัวลงนั่งบนโซฟาฝั่งตรงข้าม ธีธัชรู้ดีถึงความเสแสร้งนั้นแต่ก็เล่นตามน้ำไปก่อน“คุณมีเอกสารอะไรให้ฉันเซ็นเหรอคะ”ชายสูงวัยเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มเอาเอกสารที่ดัดแปลงการเงินออกมาให้นภัสดูบอกว่าเป็นเรื่องด่วนเขาจะได้เอาไปให้ฝ่ายการเงินและเร่งดำเนินการโครงการขยายสาขาร้านอาหารต่อนภัสรับแฟ้มนั้นมาไล่สายตาดูอย่างถี่ถ้วนก็รู้
วันนี้พยากรณ์อากาศแจ้งว่าอากาศจะร้อนพุ่งขึ้นถึง 45 องศาเซลเซียสปีกุนก็ไม่คิดว่ามันจะร้อนได้มากมายขนาดนี้ เสื้อแขนสั้นถลกขึ้นไปอยู่บนหัวไหล่“คุณป้าร้อนไหมคะ”“นิดหน่อยจ้ะ”“ถ้าอย่างนั้นรอแป๊บนะคะ เดี๋ยวกุนไปเอาพัดลมตั้งโต๊ะมาเปิดให้” กำลังจะอ้าปากบอกว่าไม่เป็นไรหันมาอีกทีร่างอวบเดินไว ๆ ออกไปจากห้องครัวเสียแล้ว ไม่นานก็เดินกลับมาพร้อมกับพัดลมตัวใหญ่ปีกุนจัดแจงเสียบปลั๊กเรียบร้อยก้มลงกดเปิดสวิตซ์ให้เรียบร้อย จังหวะเงยตัวขึ้นนภัสหันไปมอง ฉับพลันดวงตาก็เปลี่ยนเป็นประกายวาวเมื่อเห็นสร้อยบนคอของปีกุนมีดสับมะละกอวางลงถาดแล้วก้าวเข้าไปประชิดตัวหญิงสาวทันที“สร้อย” มือสั่นเทาชี้ไปยังจี้สร้อยซึ่งเป็นรูปหงส์คู่“สร้อยของกุนทำไมเหรอคะ” ปีกุนจับไปยังสร้อยคอตัวเองแล้วมีสีหน้าประหลาดใจ“ป้าขอดูใกล้ ๆ ได้ไหม” ปีกุนถอดสร้อยคอยื่นให้ไม่ผิดเลยสร้อยคอหงส์คู่มีเส้นเดียวในโลกเธอสั่งทำเป็นพิเศษเพื่อสวมให้กับลูกสาวเพียงคนเดียวของเธอ เงยหน้ามองดวงตาคลอหน่วยไปด้วยหยดน้ำ“คุณป้าร้องไห้ทำไมเหรอคะ” นภัสไม่ได้ตอบคำถามแต่เลือกถามกลับเสียงสั่น“หนูกุนไปเอาสร้อยเส้นนี้มาจากไหนเหรอ”“แม่ครูบอกว่ามันเป็นสร้อยติดตั
รุ่งสางของวันใหม่ปีกุนย่องเบาออกมาจากห้องของธามวัฒน์เพราะกลัวว่าคนในบ้านจะมาเห็น เธอปิดประตูแผ่วเบาพอหันหลังกลับต้องตกใจสุดขีด“คุณป้า”ธมนต์ยืนกอดอกมองรอยยิ้มมุมปากยกขึ้นเล็กน้อยแต่ก็ไม่เกินงามที่จับได้ว่าเธอเข้าไปนอนในห้องลูกชายท่าน ปกติท่านตื่นเช้าทุกวันอยู่แล้วแต่ไม่คิดเลยว่าวันนี้จะมาแจ็คพ๊อตเจอกันหน้าห้อง“คือว่าเมื่อคืนคุณธามมีไข้ หนูก็เลยอยู่เฝ้า...”ปีกุนแก้ตัวเป็นพัลวันธมนต์ส่ายหน้าไปมากำลังจะก้าวเท้าเดินแต่หยุดลงแล้วหันไปหาปีกุนอีกครั้ง“เลิกเรียกฉันว่าคุณป้าสักที ฉันอนุญาตให้เธอเรียกแม่ได้”“ทะ...ทำไมเหรอคะ” ช้อนตาขึ้นมองหญิงสูงวัย“ไหน ๆ เมื่อคืนก็นอนด้วยกันแล้วก็เปลี่ยนสถานะไปเลยก็แล้วกัน” ว่าจบธมนต์ก็เดินจากไปปล่อยให้หญิงสาวอ้าปากค้างได้แต่ร้องตะโกนตามหลัง“มันไม่ใช่อย่างนั้นนะคะ”คุณธาม นะ คุณธาม ทำให้คนอื่นเข้าใจผิดจนได้หญิงสาวพ่นลมหายใจออกมา เดินตรงไปยังห้องลูกสาว หลังจากนั้นหลายชั่วโมงคนป่วยหนักเมื่อคืนก็ตามยังห้องลูกสาวแถมยังแสดงความรักต่อหน้าอีกต่างหาก“หยุดค่ะ อย่ามารุ่มร่ามต่อหน้าลูกสิคะ” แกะมือออกจากอ้อมแขนเด็กน้อยยืนมองพ่อกับแม่ตาปริบ ๆ สลับไปมา“มามี้ขา อะไ
ใบหน้าอวบก้มลงไปใกล้เขามากขึ้นไม่คิดเลยว่าจะได้มีโอกาสมานั่งจ้องหน้าเขาอย่างนี้ นิ้วมือป้อมเขี่ยปลายเส้นผม “ฝันดีนะคะ”คนถูกบอกฝันดีลืมตาโพลงขึ้นมาทำเอาร่างอวบผงะแต่มือหนาคว้าเอาไว้และออกแรงดึงเธอให้มานอนอยู่ในอ้อมกอดเขาได้อย่างง่ายดาย“คุณธาม! คุณไม่ได้หลับเหรอคะ” ขืนตัวออกจากวงแขนแต่ยิ่งดิ้นเขาก็ยิ่งรัดแน่นขึ้น “ปล่อยค่ะฉันหายใจไม่ออก”“ไม่ปล่อย ถ้าปล่อยคุณก็หนีกลับห้องสิ”“คุณป่วยจริงหรือเปล่าคะ ทำไมแรงเยอะขนาดนี้เนี่ย” ดิ้นคลุกคลักไปมา ธามวัฒน์กระชับวงแขนมากขึ้น“ถ้าไม่ป่วยจริงตัวจะร้อนเหรอ จนคุณต้องมาแก้ผ้าผมเช็ดตัวให้หรือไง”“พูดจาน่าเกลียด ฉันแค่ถอดเสื้อให้คุณเท่านั้นค่ะ”“แต่ผมอยากให้คุณถอดทั้งบน ทั้งล่าง” ใบหน้ากะลิ้มกะเหลี่ยเข้ามาใกล้พลางก้มลงดมหัวไหล่ ปีกุนหยุดดิ้นเอียงหน้ามองเขาดวงตาดุดันและแข็งกร้าวเมื่อก่อนไม่มีอีกแล้วมันเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้“ขอโทษ” เสียงยานคางเอื่อย ๆ ข้างหู เขาขอโทษเธออีกแล้ว“คุณขอโทษกุนอีกแล้วนะคะ”“ที่ผมขอโทษเพราะผมรู้สึกผิดกับคุณจริง ๆ ผมทำเรื่องทุกอย่างเลวร้ายกับคุณเพราะความแค้นจนคุณเกือบ...”เขาเว้นวรรคไม่พูดต่อแต่เลือกใช้นิ้ว