Share

ท่านไม่เป็นอะไรใช่ไหมขอรับ

last update Terakhir Diperbarui: 2025-08-29 15:47:08

หลี่เหมยเป็นคนเห็นแก่ตัวมาตั้งแต่ต้น รากนิสัยนี้ไม่ได้งอกขึ้นมาเพราะโชคชะตาพลิกผัน หากแต่ถูกเพาะบ่มจากการสั่งสอนของครอบครัวเดิมตั้งแต่วัยเยาว์ 

บ้านเดิมของนางมีพี่น้องสามคน พี่ชายคนโต หวังต้า เป็นบุรุษเจ้าเล่ห์ เห็นแก่ตัวเกินผู้ใด รู้จักใช้ปากหวานและน้ำคำอ้างบุญคุณหลอกกินแรงคนอื่น ส่วนพี่ชายคนรอง หวังเอ้อ เป็นคนซื่อจนเกือบจะโง่งม มักถูกพ่อแม่และพี่ชายคนโตข่มเหงใช้งาน

แม่ของนาง หวังเฉียน เป็นหญิงปากหวานแต่ใจคด นางชำนาญนักในศิลปะแห่งการบีบคั้นลูกหลาน ยามเอ่ยปากสั่ง หลี่เหมยมักถูกแม่กล่าวถ้อยคำเจือพิษที่แฝงความกดดันไว้เต็มเปี่ยม

"พี่เจ้ากำลังลำบาก หากเขาขาดเพียงหมูสามชั้นกับเหล้าดีอีกนิด จะมีแรงทำงานได้อย่างไร" 

"พี่เจ้าอุตส่าห์ส่งเจ้ามาเป็นสะใภ้บ้านหลี่ หากไม่ตอบแทนเขา คนจะว่าบ้านเราสอนไร้คุณธรรม"

ไม่เพียงเท่านั้น พี่ชายคนโตมักใช้สิ่งล่อใจแบบแยบคายมาผูกใจน้องสาว บ้างก็เป็นคำยกยอว่าหลี่เหมยเป็นที่พึ่งของบ้านเดิม เป็นน้องสาวที่กตัญญูยิ่งกว่าผู้ใด 

บ้างก็ใช้ของเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นผ้าผืนงามจากในเมือง อ้างว่ามีเพียงชิ้นเดียวในตลาด มอบให้หลี่เหมยเพื่อหว่านล้อมให้นางรู้สึกว่าตนเป็นคนสำคัญ

ยิ่งกว่านั้น ในความคิดแบบคนโบราณที่บิดเบี้ยวและเจ้าเล่ห์ การเอาเงินทองกลับไปให้บ้านเดิม ไม่เพียงถือเป็น "ความกตัญญู" แต่ยังเป็นการซื้อที่ยืนในใจพ่อแม่และพี่น้อง 

เพื่อให้ตนมีบ้านเดิมคอยเป็นเกราะป้องกันหากเกิดเรื่องในบ้านสามี หลี่เหมยจึงเชื่อว่าการทำให้บ้านเดิมพึงพอใจจะเป็นประโยชน์ต่อตัวเองในระยะยาว แม้ต้องแลกกับการตัดปากตัดท้องลูก ๆ ก็หาได้ลังเลไม่

ในสายตาของนาง สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่การเอาเปรียบ แต่เป็น "การวางรากฐาน" ให้ตนเองอยู่รอดในยุคสมัยอันโหดร้าย และด้วยเหตุผลอันคดงอเช่นนี้ หลี่เหมยจึงไม่เคยรู้สึกผิดที่ขนข้าวสาร และเสบียงอาหารที่มี ไปจนถึงเงินทอง กลับไปให้บ้านเดิมครั้งแล้วครั้งเล่า ขณะที่ลูก ๆ ของตนต้องทนกินรำข้าวเพียงวันละถ้วย จนผอมแห้งแทบจะไม่มีแรงออกไปทำงาน

"ปวด..อึก ปวกหัว หยุดสักที!"

หลี่เหมยรู้สึกราวกับศีรษะกำลังจะระเบิดเป็นเสี่ยง ๆ ความเจ็บปวดจากการหลอมรวมความทรงจำของร่างเดิมยังคงรุมเร้าไม่จางหาย 

ความทรงจำที่หลั่งไหลเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง ทำให้นางได้รับรู้ถึงสิ่งที่ร่างนี้ต้องเผชิญ มันไม่ได้ทำให้เธอสงสารร่างนี้เสียทีเดียว แต่ก็พอจะเข้าใจได้ว่าเหตุใดหญิงคนนี้ถึงได้มีจิตใจที่บิดเบี้ยวได้ถึงเพียงนี้ 

ทว่าความเข้าใจก็ไม่ได้หมายถึงการให้อภัย เพราะการกระทำที่เลวทรามนั้นไม่สามารถถูกชดเชยด้วยความเจ็บปวดในอดีตได้ หลี่เหมยในร่างใหม่รู้สึกโกรธเคืองเจ้าของร่างคนเก่าที่จากไปแล้ว แต่ยังคงทิ้งปัญหาใหญ่หลวงไว้ให้นางต้องสะสาง

ในขณะที่หลี่เหมยกำลังกรีดร้องอยู่ในใจอยู่นั้น เสียงหนึ่งก็ดังมาจากหน้าบ้าน เสียงแหลมบาดหูของหญิงวัยกลางคนดังขึ้นอย่างไม่เกรงใจใคร

"หลี่เหมย! หลี่เหมย! แม่นางหลี่! ข้ามาตามนัดแล้ว! เจ้ารีบเอาคนออกมาเร็วเข้า! ข้าต้องรีบเอาคนไปส่งให้นายท่านจ้งในเมืองนะ!"

เสียงนั้นเปรียบเสมือนดั่งสายฟ้าที่ฟาดลงกลางใจของทุกคนที่อยู่ภายในห้อง เด็ก ๆ ทุกคนต่างก็หันไปมองหน้ากันด้วยความหวาดกลัว ก่อนจะพากันทรุดตัวลงคุกเข่าต่อหน้าหลี่เหมยในทันที

หลี่ซาน ลูกชายคนโตเป็นคนแรกที่เอ่ยปากออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ 

"ท่านแม่ขอรับ! ได้โปรดอย่าทำเช่นนั้นเลย! ลูกจะทำงานให้หนักขึ้น จะหาเงินมาให้ท่านแม่ให้มากกว่าเดิม ได้โปรดอย่าขายน้องสาวกับลูกของลูกเลยนะขอรับ!"

หลี่หลง ลูกชายคนรองที่ปกติไม่เคยสนใจเรื่องใด ๆ ก็เอ่ยปากออกมาด้วยน้ำเสียงที่ผิดแผกไปจากเดิมเล็กน้อย ถึงเขาจะเป็นคนที่เห็นแก่ตัว แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นที่อยากจะขายพี่น้องสายเลือดเดียวกัน

"ท่านแม่! หากท่านทำเช่นนี้ พี่ใหญ่คงไม่ให้อภัยท่านแล้วนะขอรับ!"

หลี่ซุน ลูกชายคนที่สามที่ไม่ค่อยจะพูดจาอะไรก็ทำเพียงแค่ก้มหน้าลงกับพื้นอย่างเงียบ ๆ แต่ไหล่ที่สั่นเทาของเขานั้นแสดงให้เห็นถึงความหวาดกลัวที่อยู่ในใจ

หลี่หลิน ลูกสาวคนเล็กที่กำลังจะถูกขายออกไป เป็นคนถัดมาที่เอ่ยปากขอร้องมารดาด้วยน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม 

"ท่านแม่! ได้โปรดอย่าขายลูกเลยนะเจ้าคะ! ลูกจะกินให้น้อยลง จะทำงานให้มากขึ้น ลูกจะไม่บ่นเรื่องความอดอยากอีกแล้ว ได้โปรดอย่าทำเช่นนั้นเลยนะเจ้าคะ! ลูกกลัว..."

เด็กสาวคุกเข่าลงกับพื้นอย่างหมดสิ้นเรี่ยวแรง ใบหน้าที่ขาวซีดของนางดูราวกับจะไม่มีเลือดฝาด ดวงตากลมโตที่เคยสดใสตอนนี้กลับเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นและสิ้นหวัง 

หลี่เหมยมองภาพนั้นด้วยความรู้สึกที่บีบรัดหัวใจ ในความทรงจำของร่างเดิม หลี่หลินเป็นเด็กสาวที่ใสซื่อและอ่อนโยนที่สุดในบรรดาพี่น้องทั้งหมด แต่กลับเป็นนางที่ต้องถูกมารดาใจยักษ์ หมายจะนำไปขายเพื่อแลกกับเงินไม่กี่ตำลึง

เสียงร้องไห้ของหลี่ซางจื้อและหลี่ซางหยวน ลูกชายทั้งสองของหลี่ซานดังขึ้นไม่หยุด หลี่ซางจื้อในวัยหกขวบคุกเข่าลงกับพื้นจนตัวสั่นเทา เขาร้องไห้จนตัวโยนด้วยความกลัว ส่วนหลี่ซางหยวนที่อายุเพียงสี่ขวบนั้นร้องไห้อย่างไม่เข้าใจในเรื่องราวทั้งหมด ได้แต่เพียงมองพี่ชายของตนเองด้วยความหวาดกลัว

ภาพตรงหน้าทำให้หลี่เหมยอดเวทนาไม่ได้ นางมองหน้าของเด็ก ๆ แต่ละคนด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย หลี่ซานดูเป็นคนซื่อสัตย์และขยันขันแข็งอย่างที่ความทรงจำของร่างเดิมได้บอกเอาไว้ 

ส่วนหลี่หลงนั้นดูดีอย่างที่ว่าจริง ๆ แต่แววตาที่เจ้าเล่ห์และเห็นแก่ตัวก็ฉายออกมาอย่างชัดเจน ทว่าการร้องขอเมื่อครู่ทำให้นางรู้สึกว่าเด็กคนนี้ยังพอขัดเกลาได้ หลี่ซุนดูเงียบขรึมและเก็บตัว ส่วนหลี่หลินนั้นเป็นเด็กสาวที่ใสซื่อบริสุทธิ์อย่างที่คิดจริง ๆ

หลี่เหมยพยายามลุกขึ้นจากเตียงด้วยท่าทางที่อ่อนแรงและไม่คุ้นชินกับร่างกายใหม่นี้ นางรู้สึกปวดหัวจนแทบจะทรงตัวไม่อยู่ แต่เมื่อเห็นสายตาที่อ้อนวอนของเด็ก ๆ นางก็รวบรวมแรงทั้งหมดที่มีเพื่อที่จะลุกขึ้นให้ได้

"ปล่อยข้าก่อน"

คำพูดของหลี่เหมยทำให้ทุกคนต่างก็เงียบเสียงลงในทันที พวกเขาคิดว่าหลี่เหมยคงจะไล่ตะเพิดพวกเขาแล้ว หลี่เหมยจึงพยายามลุกขึ้นเดินออกไปจากห้อง แต่นั่นกลับทำให้ลูก ๆ ของนางยิ่งตกใจและหวาดกลัวขึ้นไปอีก หลี่ซานรีบเข้ามาโอบกอดขาของมารดาเอาไว้แน่น

"ท่านแม่! ได้โปรดเถิดขอรับ! อย่าทำเช่นนี้เลย! ลูกขอร้อง! ลูกจะยอมทำทุกอย่างเพื่อหาเงินมาให้ท่านแม่"

"ท่านแม่! ได้โปรดเถิดเจ้าค่ะ!" 

หลี่หลินก็รีบเข้ามากอดขาอีกข้างหนึ่งของหลี่เหมยเอาไว้เช่นกัน เด็กสาวร้องไห้จนตัวโยนด้วยความหวาดกลัว

หลี่เหมยรู้สึกหงุดหงิดในใจ ร่างของเธอที่เพิ่งจะฟื้นขึ้นมายังไม่ทันจะหายดี แต่ก็กลับต้องมาเจอเหตุการณ์ที่บีบคั้นหัวใจเช่นนี้ นางจึงพูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่อ่อนแรงแต่แฝงไว้ด้วยความเด็ดขาด

"ปล่อยข้าก่อน ไม่อย่างนั้นข้าจะไปไล่แม่สื่อได้ยังไง"

ทุกคนต่างก็หยุดร้องไห้และเงยหน้าขึ้นมองหลี่เหมยด้วยความตกใจและไม่เชื่อหูตัวเอง พวกเขาไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้ยินคำพูดเช่นนี้จากปากของมารดาใจยักษ์ ผู้ซึ่งอยากได้เงินทองมากกว่าชีวิตของลูกหลาน

"ทะ...ท่านแม่จะทำอะไรหรือขอรับ" หลี่ซานถามอย่างตะกุกตะกัก

หลี่เหมยไม่ได้ตอบคำถามนั้น นางเพียงแค่จ้องมองไปที่ใบหน้าของลูกชายคนโตที่เต็มไปด้วยความทุกข์ระทม ก่อนจะพยายามดึงขาของตัวเองออกจากอ้อมกอดของเขาและของหลี่หลิน

ทุกคนยอมปล่อยมือจากหลี่เหมยอย่างว่าง่ายด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ทั้งมีความหวัง ทั้งกลัว และไม่แน่ใจในท่าทีของมารดา พวกเขาปล่อยให้หลี่เหมยเดินออกไปจากห้องเพียงลำพัง

ทันทีที่พ้นสายตาของเด็ก ๆ หลี่เหมยก็แทบจะทรุดตัวลงกับพื้น นางต้องใช้มือยันกำแพงเอาไว้เพื่อพยุงตัวเองไม่ให้ล้มลง ความเจ็บปวดที่ศีรษะยังคงไม่จางหาย แต่นางก็ต้องฝืนทนเอาไว้ หลี่เหมยในร่างใหม่รู้สึกโกรธเคืองร่างเดิมอย่างถึงที่สุด ตายไปแล้วก็ยังทิ้งเรื่องเลวร้ายไว้ให้นางต้องมาจัดการอีก

"ให้ตายเถอะ! นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน! ฉันต้องมาทำเรื่องที่ฉันไม่เคยคิดจะทำ! นังแม่ตัวดีเอ๊ย! ตายไปแล้วก็ยังทิ้งเรื่องบ้า ๆ บอ ๆ ไว้ให้ฉันต้องมาสะสางอีก"

หลี่เหมยเดินออกมาจากบ้านช้า ๆ ในขณะที่ความทรงจำของร่างเดิมก็ยังคงไหลวนเวียนอยู่ในหัวไม่หยุดหย่อน บ้านหลังนี้เป็นบ้านที่เก่าและทรุดโทรม มีขนาดเล็กเกินกว่าจะเรียกว่าบ้านได้ 

มันเป็นเพียงบ้านดินที่ถูกก่อขึ้นมาอย่างหยาบ ๆ บนพื้นที่ซึ่งเต็มไปด้วยหญ้ารกชัฏและเศษกิ่งไม้แห้ง บ้านหลังนี้ไม่สามารถป้องกันแดดฝนได้ดีเท่าที่ควร และยังดูอึดอัดจนน่าขนลุก

หลี่เหมยเดินออกมาจนถึงหน้าบ้านก็พบกับหญิงวัยกลางคนรูปร่างอ้วนท้วนที่กำลังยืนรออยู่ นางแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่ดูดีกว่าคนในหมู่บ้านคนอื่น ๆ บนใบหน้าของนางประดับไปด้วยรอยยิ้มที่แสดงถึงความดีใจอย่างชัดเจน

"อ้าว! หลี่เหมย! ข้าคิดว่าเจ้าจะไม่อยู่เสียแล้ว! รีบเอาตัวเด็กสาวกับหลานชายออกมาได้แล้ว ข้าจะได้รีบไปส่ง"

หญิงคนนั้นคือแม่สื่อเฉิน ผู้ซึ่งทำอาชีพนี้มานานหลายปี อาชีพของนางคือการหาซื้อเด็กสาวในหมู่บ้านชนบทที่ยากจนไปขายให้ผู้มีอำนาจในเมืองเพื่อแลกกับเงินทองจำนวนมาก

หลี่เหมยในร่างใหม่รู้สึกขยะแขยงแม่สื่อเฉินจากใจจริง นางก้าวเข้าไปหาแม่สื่อเฉินช้า ๆ ก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาและเด็ดขาด

"แม่สื่อเฉิน! ข้าเปลี่ยนใจแล้ว! ข้าไม่ขายลูกสาวกับหลานแล้ว!"

คำพูดของหลี่เหมยทำให้แม่สื่อเฉินถึงกับยิ้มไม่ออก ใบหน้าของนางเปลี่ยนจากยิ้มแย้มเป็นบึ้งตึงในทันที

"อะไรกัน! หลี่เหมย! เจ้าพูดอะไรออกมา! เจ้าบอกจะขายลูกสาวกับหลานชายให้ข้าเพื่อแลกกับเงินสิบตำลึง เจ้าอย่ามาตระบัดสัตย์นะ!"

แม่สื่อเฉินพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ดังขึ้นเรื่อย ๆ นางไม่คิดว่าหลี่เหมยจะกล้าพูดแบบนี้ออกมา ทั้งที่ก่อนหน้านี้ก็ตกลงกันได้แล้ว

"ข้าบอกว่าข้าไม่ขายก็คือไม่ขาย! เจ้ากลับไปซะ!"

หลี่เหมยพูดออกมาอย่างหนักแน่น ดวงตาของนางที่เคยเป็นประกายแห่งความเมตตาและอ่อนโยนในชาติก่อน ตอนนี้กลับกลายเป็นดวงตาที่แข็งกร้าวและเต็มไปด้วยความไม่พอใจ

"ไม่ได้! ข้ามาถึงที่นี่แล้ว! เจ้าต้องขายให้ข้า! หากเจ้าไม่ขาย ข้าจะเอาเรื่องนี้ไปบอกกับนายท่านจ้ง! เจ้าคงรู้ดีว่าหากนายท่านจ้งรู้ว่าเจ้าไม่รักษาคำพูด จะเกิดอะไรขึ้นกับครอบครัวของเจ้าบ้าง!" แม่สื่อเฉินเริ่มข่มขู่

หลี่เหมยในร่างใหม่ไม่รู้สึกกลัวเลยแม้แต่น้อย เธอมองหน้าของแม่สื่อเฉินอย่างไม่เกรงกลัว แล้วพูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มต่ำและเย็นชาจนน่าขนลุก

"ถ้าเช่นนั้นก็ลองดู! ข้าจะรอดูว่าใครจะตายก่อนกัน! ข้าจะบอกให้นะว่าหากเจ้ายังไม่ไปจากที่นี่ ข้าไม่รับประกันความปลอดภัยของเจ้า!"

แม่สื่อเฉินตกใจจนแทบจะยืนไม่ติดพื้น นางไม่เคยเห็นหลี่เหมยคนเดิมแสดงท่าทีเช่นนี้มาก่อน หลี่เหมยในตอนนี้ดูเหมือนคนละคนกับหลี่เหมยที่นางรู้จัก หลี่เหมยคนเดิมนั้นเป็นเห็นแก่ตัวไม่สนใจลูกหลาน แต่หลี่เหมยที่ยืนอยู่ตรงหน้าในตอนนี้กลับดูน่าเกรงขามและเต็มไปด้วยความมั่นใจจนน่ากลัว

"หนึ่ง!" หลี่เหมยเริ่มนับถอยหลัง

แม่สื่อเฉินเริ่มตัวสั่นด้วยความกลัว นางมองหน้าของหลี่เหมยอย่างไม่แน่ใจว่าจะทำเช่นไรต่อไปดี

"สอง!"

"สิ่งล่อใจแบบแยบคาย" หมายถึง การใช้ของหรือเหตุผลที่ดูเหมือนจะสมเหตุสมผลหรือมีคุณค่าทางจิตใจ เพื่อหลอกล่อหรือบงการคนให้ทำในสิ่งที่ตนต้องการ โดยไม่ใช้การบังคับตรง ๆ แต่ใช้วิธีให้คนรู้สึกว่า “อยากทำเอง” หรือ “ควรทำ”

หญ้ารกชัฏ หมายถึง พื้นที่ที่มีหญ้าหรือพืชคลุมดินขึ้นหนาทึบ ปกคลุมจนแน่นเป็นพุ่มสูงและรก ไม่เป็นระเบียบ ดูแลยาก และมักจะขวางทางการเดินหรือการมองเห็น

Lanjutkan membaca buku ini secara gratis
Pindai kode untuk mengunduh Aplikasi

Bab terbaru

  • ทะลุนิยายมาเป็นคุณแม่ลูกสี่ นำพาครอบครัวสู่ความรุ่งโรจน์   จบบริบูรณ์

    การสูญเสียที่ไม่อาจยอมรับได้ทำให้หลี่เหมยเลือกที่จะจบชีวิตตัวเองลงด้วยอาการตรอมใจ แต่ในห้วงเวลาสุดท้ายของการจากไป จิตใจของเธอกลับสงบและเต็มไปด้วยความรักที่บริสุทธิ์ การยอมสละทุกสิ่งในชีวิตเพื่อช่วยเหลือเด็กกำพร้า ทำให้เธอได้สร้างบุญกุศลอันยิ่งใหญ่ ที่ได้กลายเป็นสะพานเชื่อมให้เธอกลับไปสู่จุดจุดเดิมที่ห้วงคะนึงโหยหาอีกครั้งประตูสู่โลกใบเก่าในห้วงเวลาที่ลมหายใจสุดท้ายกำลังจะสิ้นสุดลง วิญญาณของหลี่เหมยพลันหลุดลอยออกมาจากร่างที่ผ่ายผอม เธอพบว่าตัวเองยืนอยู่ในสถานที่อันว่างเปล่าที่เต็มไปด้วยหมอกควันสีขาวเย็นยะเยือก รอบกายไม่มีสิ่งใด นอกจากความเงียบงันและอุณหภูมิที่หนาวเหน็บ ทันใดนั้นเอง เสียงลึกลับที่เคยพาเธอมายังโลกแห่งนิยายในครั้งแรก ก็ดังขึ้นอีกครั้ง"หลี่เหมย... เจ้าได้สร้างบุญกุศลอันยิ่งใหญ่ด้วยการสละทรัพย์สินทั้งหมด เพื่อช่วยเหลือเด็กกำพร้าได้นับร้อยชีวิต ความดีงามของเจ้าได้กลายเป็นแสงสว่างนำทางให้แก่ดวงวิญญาณของเจ้า และด้วยความรักที่บริสุทธิ์ที่เจ้ามีต่อครอบครัว บุญกุศลนี้จึงได้ตอบแทนเจ้า"หลี่เหมยเงียบฟังอย่างตั้งใจ หัวใจของเธอเต้นระรัวด้วยความหวังที่ริบหรี่"เราจะให้โอกาสเจ้าอี

  • ทะลุนิยายมาเป็นคุณแม่ลูกสี่ นำพาครอบครัวสู่ความรุ่งโรจน์   ความคิดถึง

    เสียงเครื่องวัดชีพจรในห้องคนป่วยดัง "ติ๊ด…ติ๊ด…ติ๊ด…" เนิ่นนานกว่าหนึ่งปีเต็ม ที่ร่างของหลี่เหมยนอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงในโรงพยาบาลแห่งนี้ สีหน้าของเธอนั้นสงบราวกับคนที่หลับใหลไปในห้วงนิทราอันยาวนานข้างกายของหลี่เหมย มีเพียงป้าหลัว หญิงวัยกลางคนที่จงรักภักดี คอยดูแลเธออย่างใกล้ชิดไม่เคยห่างกาย ถึงจะมีพยาบาลพิเศษคอยดูแลเรื่องต่าง ๆ แต่ป้าหลัวก็จะคอยพูดคุยกับร่างที่ไร้การตอบสนองนั้นด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความหวัง ราวกับเชื่อมั่นว่าสักวันหนึ่งเจ้านายของตนจะกลับมากระทั่งเช้าวันหนึ่ง แสงตะวันสีทองอ่อน ๆ สาดส่องลอดผ่านผ้าม่านบาง ๆ เข้ามาในห้อง ดวงตาที่ปิดสนิทของหลี่เหมยค่อย ๆ กะพริบขึ้นอย่างเชื่องช้า นิ้วมือเรียวเล็กขยับสั่นไหวเล็กน้อย ราวกับกำลังไขว่คว้าจับต้องบางสิ่ง ป้าหลัวที่นั่งหลับอยู่ข้างเตียงสะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยความตกใจ เมื่อเห็นการเปลี่ยนแปลงนั้น ดวงตาของเธอเบิกกว้างด้วยความยินดี ก่อนจะรีบคว้ามือของเจ้านายเอาไว้แน่น"คุณหลี่! คุณหลี่ฟื้นแล้วหรือคะ!" เสียงของป้าหลัวสั่นเครือด้วยความตื้นตันใจและดีใจจนแทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ทันทีที่ได้รับแจ้งผ่านสัญญาณ พยาบาลและแพทย์ก็รีบเข้ามาตรวจ

  • ทะลุนิยายมาเป็นคุณแม่ลูกสี่ นำพาครอบครัวสู่ความรุ่งโรจน์   คำอำลา

    เสียงสะอื้นแผ่วเบาของเด็ก ๆ ทั้งสามดังลอดออกมาจากเรือนนอนที่เงียบสงัด ราวกับสายลมเศร้าที่กำลังร่ำร้องปลุกปลอบวิญญาณของผู้เป็นย่าให้ตื่นขึ้นมา ทว่า...ความเงียบวังเวงกลับเป็นสิ่งเดียวที่โอบล้อมอยู่เซียวติ้งเซิงก้าวเข้ามาด้วยฝีเท้าหนักอึ้ง ใจที่เคยแข็งแกร่งยิ่งกว่าหินผากำลังแหลกสลายอย่างไม่อาจต้าน ดวงตาคมของเขาเบิกกว้าง ก่อนจะพร่ามัวด้วยหยาดน้ำตาเมื่อเห็นภาพตรงหน้าหลี่เหมยนอนนิ่งบนเตียง ผิวซีดขาวเย็นชืดประหนึ่งหยกที่ไร้ชีวิตชีวา มีร่างเล็กจ้อยของซางหนิงอิงซบอยู่กลางอก มือเล็ก ๆ ตบเบา ๆ ราวกับจะปลุกให้ท่านย่าลืมตา ซางจื้อคุกเข่าอยู่ข้างเตียง กอบกุมมือที่เย็นเฉียบไว้แน่น ดวงตาบวมช้ำด้วยน้ำตา ซางหยวนนอนข้างน้องสาวสะอื้นจนตัวสั่นไม่ยอมห่างไปไหน"ท่านย่า...ตื่นเถอะขอรับ...อาจื้ออยู่ตรงนี้แล้ว...ได้โปรดอย่าทิ้งพวกเราไป...""ต้านย่า...ต้านย่ากลับมาก่อน...ฮึก...อย่าไปนะ..."หัวใจของเซียวติ้งเซิงแทบแตกสลาย เขาก้าวเข้าไปอย่างโซซัดโซเซ ก่อนทรุดนั่งลงข้างเตียง มือใหญ่สั่นเทาขณะประคองร่างบอบบางของหลี่เหมยขึ้นมากอดแนบอก ความเย็นชืดนั้นแทงทะลุเข้าถึงกระดูก"อาเหมย...เหตุใดเจ้าจึงจากไปเช่นนี้ ข้าตั้งใ

  • ทะลุนิยายมาเป็นคุณแม่ลูกสี่ นำพาครอบครัวสู่ความรุ่งโรจน์   ท่านย่าไม่รักหยวนหยวนแล้วหรือขอรับ!

    ยามเย็นของวันนั้น แสงอาทิตย์ค่อย ๆ ลาลับทิวเขา สาดทาบเป็นสีทองเรื่อไปทั่วทุ่งนา เสียงจิ้งหรีดเริ่มขับขานทำนองแห่งรัตติกาล กลิ่นหอมจากครัวเล็ก ๆ ของจวนสกุลหลี่ก็ลอยอบอวลไปทั่วทุกห้องบนโต๊ะไม้เรียบง่ายกลางเรือน มีอาหารเรียงรายครบครัน ทั้ง ปลาช่อนทอดสามรส ผัดหน่อไม้ น้ำแกงรากบัวตุ๋นกระดูกหมู กลิ่นหอมอบอวล ชวนให้น้ำลายสอ ทั้งหมดนั้นคืออาหารที่ครั้งหนึ่งหลี่เหมยเคยทำให้ลูก ๆ ลิ้มรส และบัดนี้ถูกถ่ายทอดไปสู่มือหลี่หลินกับเสี่ยวม่าย ที่ตั้งใจปรุงรสราวกับได้รำลึกความหลัง นางทอดสายตามองอาหารตรงหน้าแล้วหัวใจสั่นสะท้าน เหมือนทุกอย่างย้อนคืนกลับสู่วันเก่า ช่วงเวลาแรกที่นางเข้ามาอยู่ในร่างนี้"โอ้โห กับข้าวพวกนี้ทำให้ลูกคิดถึงบ้านหลังเก่าของเรานะขอรับท่านแม่ ลูกยังจำวันที่เราไปสับหน่อไผ่แล้วก็จับงูมาขายได้ขึ้นใจเลย" หลี่ซุนเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นอาหารตรงหน้า"จริงด้วย วันที่พวกเราขึ้นเขาไปเก็บรากบัว ไปจับปลาช่อนตัวใหญ่ ก็เหมือนเพิ่งผ่านไปไม่นาน แม้กระทั่งวันที่พวกเราวิ่งหนีเสือครั้งนั้นลูกก็ยังจำได้ขึ้นใจ" หลี่ซานเอ่ยขึ้นบ้างเมื่อนึกถึงเรื่องราวเก่า ๆ"แม่ก็คิดถึง ช่วงเวลานั้นแม่มีความสุขมากเลยนะ"ห

  • ทะลุนิยายมาเป็นคุณแม่ลูกสี่ นำพาครอบครัวสู่ความรุ่งโรจน์   ลูกจะไม่ทำให้ท่านแม่ผิดหวัง

    หลายเดือนต่อมา หลังจากที่หลี่เหมยและครอบครัวได้ตั้งรกรากในเมืองเทียนฉางอย่างมั่นคง นางก็เริ่มครุ่นคิดถึงเรื่องที่อยู่อาศัยอย่างจริงจังตั้งแต่แรกนางหมายใจว่าจะซื้อบ้านที่เหมาะแก่การอยู่อาศัยพร้อมหน้าพร้อมตา แต่เมื่อดูอยู่หลายแห่งก็ยังไม่ถูกใจ บ้างก็แคบเกินไป บ้างก็ทรุดโทรมเสียจนต้องซ่อมใหม่หมดสิ้น ใช้เงินมากกว่าที่นางตั้งใจไว้เสียอีกพอฮูหยินผู้เฒ่าเซียวรู้จึงได้บอกให้นางมาดูจวนที่อยู่ติดกัน จวนนี้มีการจัดสรรพื้นที่อย่างเป็นสัดส่วน จวนประเภทนี้สะท้อนให้เห็นถึงรสนิยมและความมั่งคั่งของผู้เป็นเจ้าของ โดยมีรูปแบบจตุรนิเวศ ซึ่งเป็นการสร้างอาคารสี่หลังล้อมรอบลานกว้างไว้ตรงกลาง จวนประเภทนี้เหมาะสำหรับครอบครัวใหญ่ที่อาศัยอยู่ร่วมกัน เนื่องจากที่นี่เป็นเมืองรอง ไม่ใช่เมืองหลวง ราคาจึงอยู่ที่ 2000 ตำลึง เท่าที่หลี่เหมยหาข้อมูลมา ทว่าจวนหลังนี้นางกลับซื้อได้เพียง 1000 ตำลึงเท่านั้น ช่างโชคดียิ่งนักแต่สิ่งที่นางไม่รู้ก็คือเซียวติ้งเซิงคือผู้อยู่เบื้องหลัง หลายเดือนมานี้เขาไม่ยอมไปทำการค้าต่างแคว้นนาน ๆ เหมือนเคย ไปก็เพียงใกล้ ๆ 1 สัปดาห์ก็รีบกลับมา แถมยังชอบหาของฝากมาให้ลูกหลานของนางอยู่ตลอดบ

  • ทะลุนิยายมาเป็นคุณแม่ลูกสี่ นำพาครอบครัวสู่ความรุ่งโรจน์   จุดจบของสกุลหวัง

    ณ ตรอกเล็ก ๆ ที่อยู่ไม่ไกลจากร้านเต้าหู้สกุลหลี่ บรรยากาศอับชื้นและเย็นยะเยือก หวังเฟยฮวา สตรีผู้ซึ่งมีใบหน้าเต็มไปด้วยความริษยา พูดคุยอย่างออกรสกับญาติผู้น้อง ที่นางจ้างมาเพื่อแสดงละคร "พวกเจ้าสองคนต้องแสดงให้แนบเนียน อย่าให้พวกมันจับพิรุธได้รู้หรือไม่""ข้ารู้แล้วน่าพี่หญิง ว่าแต่ถ้าข้าทำสำเร็จ เมื่อได้เงินมาแล้ว 100 ตำลึงต้องเป็นของข้าตามที่ตกลงกันไว้นะ" เจิ้งฉือญาติห่าง ๆ ของนางกล่าวย้ำชัดถึงข้อตกลงอีกครั้ง"ข้ารู้แล้ว หากทำสำเร็จ เงินก็อยู่ในมือพวกเจ้ามิใช่หรือ พวกเจ้าก็หักไว้เลย 100 ตำลึง ส่วนที่เหลือค่อยเอามาให้ข้า ขอเพียงได้มาจ่ายหนี้พนันให้อาจงก็พอ เรื่องอื่น ๆ ค่อยว่ากันอีกทีหลังจากนี้"หวังเฟยฮวาตอบด้วยน้ำเสียงที่ไม่สบอารมณ์ พูดจบสองสามีภรรยา เจิ้งฉือและเจิ้งหว่านหรู ก็เริ่มการแสดงที่ซักซ้อมกันมาอย่างดี เจิ้งฉือล้มตัวลงนอนในเปลหาม ส่วนเจิ้งหว่านหรูก็รีบเอาผ้าคลุมสีขาวปิดหน้าสามีเอาไว้ แล้วสั่งให้ลูกชายทั้งสองของพวกเขาหามผู้เป็นพ่อเดินตรงไปที่หน้าร้านเต้าหู้สกุลหลี่"ช่วยด้วย...ช่วยด้วยเจ้าค่ะ" เจิ้งหว่านหรูร้องห่มร้องไห้ "...""มาดูความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของเ

Bab Lainnya
Jelajahi dan baca novel bagus secara gratis
Akses gratis ke berbagai novel bagus di aplikasi GoodNovel. Unduh buku yang kamu suka dan baca di mana saja & kapan saja.
Baca buku gratis di Aplikasi
Pindai kode untuk membaca di Aplikasi
DMCA.com Protection Status