Share

ลูกเจ็บนะขอรับ!

last update Terakhir Diperbarui: 2025-08-29 15:49:43

เมื่อเห็นว่าหลี่เหมยไปคว้ามีดพร้าออกมาง้างสูง แม่สื่อเฉินไม่รอช้า นางรีบหันหลังกลับแล้ววิ่งหนีไปอย่างไม่คิดชีวิต นางรีบปีนขึ้นไปบนเกวียนที่จอดรออยู่ไม่ไกล แล้วรีบขับออกไปจากบริเวณนั้นอย่างรวดเร็วราวกับมีภูตผีปีศาจวิ่งไล่ตามหลังมา

หลี่เหมยยืนมองตามเกวียนที่ลับหายไปในทิศทางที่มุ่งหน้าเข้าสู่ตัวเมือง ก่อนจะหันหลังกลับเข้าไปในบ้าน ในขณะที่ความรู้สึกของนางในตอนนี้กำลังพรั่งพรูออกมาอย่างไม่มีหยุดหย่อน

"เฮ้อ...ดูเหมือนว่าปัญหาจะไม่ได้มีเพียงแค่แม่สื่อคนเดียวเสียแล้ว" เธอพึมพำกับตัวเองเบา ๆ

ในขณะที่หลี่เหมยกำลังคิดหาทางออกให้กับปัญหาที่ถาโถมเข้ามา นางก็รู้สึกได้ถึงสายตาที่กำลังจ้องมองนางอยู่จากด้านในบ้าน เมื่อเธอหันกลับไปดูก็เห็นว่าลูก ๆ และหลาน ๆ ของนางกำลังยืนมองนางอยู่ที่หน้าประตูด้วยสีหน้าตื่นตะลึง ไม่เชื่อสายตาในสิ่งที่พวกเขาเพิ่งจะเห็นไป

หลี่ซานเป็นคนแรกที่เดินเข้ามาหานางอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ

"ท่านแม่...ท่านไม่เป็นอะไรใช่ไหมขอรับ"

หลี่เหมยส่ายศีรษะเล็กน้อย

"ข้าไม่เป็นไร"

"แล้ว...แม่สื่อคนนั้น...ท่านไล่นางไปจริง ๆ หรือขอรับ" หลี่ซานยังคงไม่แน่ใจในสิ่งที่เกิดขึ้น

"อืม...ข้าไล่นางไปแล้ว นางคงจะไม่กลับมาที่นี่อีกแล้ว"

คำพูดของหลี่เหมยทำให้ทุกคนในครอบครัวต่างก็ดีใจจนแทบจะลืมหายใจ พวกเขาพากันโผเข้ามากอดหลี่เหมยด้วยความดีใจ

หลี่หลิน ลูกสาวคนเล็กโผเข้ามากอดมารดาเอาไว้แน่น น้ำตาที่เคยไหลอาบแก้มด้วยความหวาดกลัว ตอนนี้กลับกลายเป็นน้ำตาแห่งความดีใจ

"ท่านแม่! ข้าดีใจเหลือเกิน! ข้าขอบคุณท่านแม่เจ้าค่ะ! ขอบคุณที่ท่านไม่ขายข้ากับหลานทั้งสอง! ขอบคุณท่านแม่เจ้าค่ะ!"

หลี่ซางจื้อและหลี่ซางหยวน ลูกชายทั้งสองของหลี่ซานก็พากันเข้ามากอดขาของหลี่เหมยด้วยความรักใคร่ แม้ท่านย่าจะไม่เคยเล่นหรือพูดดี ๆ กับพวกเขา แต่อย่างน้อยวันนี้ท่านย่าก็ไม่ได้ขายพวกเขาออกไป นับว่าเป็นบุญคุณยิ่งใหญ่

ในขณะที่ทุกคนกำลังแสดงความดีใจอยู่นั้น หลี่เหมยก็รู้สึกถึงความอบอุ่นที่แผ่ซ่านเข้ามาในหัวใจ ความอบอุ่นที่เธอไม่เคยรู้สึกมานานในช่วงเวลาที่อยู่ในยุคปัจจุบัน นางรู้สึกเหมือนว่ามีบางสิ่งบางอย่างที่ขาดหายไปในชีวิตของนาง กำลังกลับคืนมาอีกครั้ง...

หลี่เหมยตัดสินใจที่จะทำทุกอย่างเพื่อครอบครัวนี้ เพื่อให้ทุกคนมีความสุข และเพื่อให้นางได้กลับไปยังโลกเดิมของเธออีกครั้ง

แต่นางก็ยังไม่รู้เลยว่าการทำให้ครอบครัวนี้มีความสุขและรุ่งโรจน์นั้นจะต้องทำอย่างไร แล้วนางจะต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหนกว่าจะได้กลับบ้าน...

ท่ามกลางความเงียบสงัดที่ปกคลุมบ้านดินหลังน้อย หลี่เหมยเดินกลับเข้ามาด้วยท่าทางที่ดูเหนื่อยล้าเกินกว่าจะเป็นคนเพิ่งฟื้นไข้ นางรู้สึกปวดหัวตุบ ๆ ราวกับศีรษะจะแยกออกจากกันได้ทุกเมื่อ 

แต่แล้วเสียงที่คุ้นเคยก็ดังขึ้นมาในท้องของนาง "โครก..." เสียงนั้นดังขึ้นอย่างน่าอับอายจนแม้แต่นางเองยังต้องหน้าแดงด้วยความเขินอาย

"ที่บ้านมีอะไรกินบ้าง?" 

หลี่เหมยหันไปมองหน้าลูก ๆ ที่ยืนอ้ำอึ้งอยู่ตรงหน้าด้วยสายตาที่แสดงถึงความหิวโหย พวกเขาต่างเงียบกริบ ไม่มีใครกล้าตอบคำถามของมารดา หลี่เหมยนึกขึ้นได้ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา หลี่เหมยคนเดิมจะนำอาหารแห้งออกมาจากในห้องนอนของตัวเองเท่านั้น นางจึงไม่รอช้าที่จะสั่งการทันที

"เอาอย่างนี้ พวกเจ้าไปก่อไฟต้มน้ำก่อน เดี๋ยวแม่จะไปเอาเสบียงออกมาให้"

คำสั่งของหลี่เหมยทำให้ทุกคนต่างตกตะลึงไปชั่วครู่ พวกเขาไม่เคยได้ยินคำพูดที่อ่อนโยนและมีเหตุผลเช่นนี้จากปากของมารดามาก่อน แต่เมื่อเห็นสีหน้าที่จริงจังของหลี่เหมยแล้ว พวกเขาก็รีบรับคำสั่งอย่างว่าง่ายทันที

"ขอรับท่านแม่/เจ้าค่ะท่านแม่!"

ทุกคนต่างแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตนเองอย่างรวดเร็ว หลี่ซานและหลี่ซุนรีบไปหาเก็บฟืนที่กองอยู่ข้างบ้านเพื่อนำมาใช้ก่อไฟ หลี่หลินรีบเข้าไปในห้องครัวเล็ก ๆ เพื่อเตรียมหม้อและกระทะสำหรับต้มน้ำ ส่วนเสี่ยวม่ายก็รีบไปจัดแจงตากเสื้อผ้าที่ซักไว้พาดไปตามราวไม้ไผ่ในรั้วบ้าน

ในขณะที่ทุกคนกำลังยุ่งวุ่นวายอยู่นั้น หลี่หลง ลูกชายคนรองก็เดินออกมาจากห้องนอนของตัวเองด้วยท่าทางที่หยิ่งยโส มือของเขาถือเสื้อผ้าที่สกปรกอยู่หลายชุด ก่อนจะโยนกองเสื้อผ้าเหล่านั้นลงบนพื้นตรงหน้าเสี่ยวม่ายที่กำลังจะเดินเข้าไปในบ้าน

"นี่! พี่สะใภ้เอาเสื้อผ้าของข้าไปซักให้สะอาดด้วย!"

คำสั่งของหลี่หลงทำให้เสี่ยวม่ายหยุดชะงักไปชั่วครู่ นางเงยหน้าขึ้นมองหลี่หลงด้วยสายตาที่เหนื่อยอ่อน แต่ก็ไม่ได้โต้แย้งอะไร นางกำลังจะก้มลงไปเก็บเสื้อผ้าเหล่านั้น แต่แล้วเสียงที่เด็ดขาดของหลี่เหมยก็ดังขึ้นเสียก่อน

"หยุด!"

หลี่เหมยหันไปมองหลี่หลงด้วยสายตาที่แข็งกร้าว ราวกับจะแผดเผาให้เขากลายเป็นเถ้าถ่านได้ในทันที 

"เสี่ยวม่ายเจ้านั่งลง ส่วนเสื้อผ้าพวกนั้นเจ้าเอาไปซักเอง!"

คำสั่งของหลี่เหมยทำให้หลี่หลงถึงกับยืนนิ่งด้วยความตกตะลึง ใบหน้าหล่อเหลาที่เคยประดับด้วยรอยยิ้มอันเจ้าเล่ห์ ตอนนี้กลับเต็มไปด้วยความงุนงงและไม่เข้าใจ ปกติแล้วเขาก็ให้พี่สะใภ้ซักผ้าให้แบบนี้มาตลอด แล้วทำไมวันนี้แม่ถึงได้เปลี่ยนไป

"ท่านแม่ ท่านหมายความว่ายังไง?" หลี่หลงถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจ

"ข้าหมายความว่า ต่อไปนี้ห้ามเจ้าใช้งานพี่สะใภ้ของเจ้าอีก ทุกอย่างเจ้าต้องทำด้วยตัวเอง" 

หลี่เหมยตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาไร้ความรู้สึก

คำตอบของหลี่เหมยทำให้หลี่หลงถึงกับระเบิดอารมณ์ออกมาอย่างควบคุมไม่ได้ เขาไม่เคยถูกมารดาตำหนิเช่นนี้มาก่อน

"ทำไมถึงเป็นแบบนั้นขอรับ! นางเป็นผู้หญิง! มีหน้าที่ปรนนิบัติผู้ชาย! อีกอย่างข้าเป็นคนเรียนหนังสือ! ข้ามีงานที่ต้องทำมากมาย! จะเอาเวลาที่ไหนไปซักผ้า!" หลี่หลงเถียงกลับอย่างเห็นแก่ตัว

หลี่เหมยได้ยินดังนั้นก็โมโหจนเลือดในกายพลุ่งพล่าน หญิงแกร่งในศตวรรษที่ 21 อย่างนางไม่เคยยอมให้ใครมาดูถูกผู้หญิงได้ถึงเพียงนี้! นางจึงไม่รอช้าที่จะหยิบไม้เรียวที่วางอยู่ข้างประตูขึ้นมาถือไว้ในมือ แล้วเดินเข้าไปหาหลี่หลงด้วยท่าทางที่น่าเกรงขาม

"หุบปากของเจ้าเดี๋ยวนี้! อาจารย์คนไหนสอนให้เจ้าพูดจาดูถูกผู้หญิงแบบนี้!"

เพี๊ยะ    เพี๊ยะ

หลี่เหมยไม่พูดเปล่า นางยกไม้เรียวในมือขึ้นแล้วฟาดลงบนแผ่นหลังของหลี่หลงอย่างแรง หลี่หลงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด เขาวิ่งหนีมารดาไปรอบ ๆ บ้านด้วยความตกใจ

"โอ๊ย ท่านแม่! ท่านตีลูกทำไมขอรับ!"

"ตีเพราะเจ้าสมควรถูกตี! พี่ชายน้องชายของเจ้าต้องทำนา ออกไปหาของป่ามาแลกเงินอย่างยากลำบาก! พวกเขาหาเงินส่งเจ้าไปเรียนหนังสือเพื่อให้เจ้าได้ดิบได้ดี! แต่ดูสิ! สิ่งที่เจ้าเอามาตอบแทนพวกเขาก็คือคำพูดที่ดูถูกและเหยียดหยามเช่นนี้หรือ! อาจารย์ที่สอนเจ้าคงจะสอนให้เจ้าเป็นคนขี้เกียจสันหลังยาว! เอาเปรียบคนอื่นใช่หรือไม่? ถ้าเป็นแบบนั้นก็ไม่ต้องไปเรียนอีกต่อไป!"

หลี่เหมยพูดออกมาอย่างเด็ดขาด นางไล่ตีหลี่หลงไม่หยุด

"โอยยย! ท่านแม่! ลูกเจ็บนะขอรับ!" 

หลี่หลงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด เขาวิ่งเข้าไปหลบหลังหลี่ซานด้วยความหวาดกลัว

หลี่เหมยมองไปยังลูกชายคนโตและพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น 

"หลี่ซาน! ปล่อยให้มันออกมา! วันนี้ข้าจะสั่งสอนให้มันเป็นคนดีให้ได้!"

หลี่ซานมองหน้ามารดาด้วยความลังเล เขาไม่เคยเห็นมารดาโมโหให้น้องชายคนรองถึงเพียงนี้มาก่อน

"ท่านแม่ใจเย็น ๆ ก่อนเถิดขอรับ"

"ข้าจะใจเย็นได้อย่างไร! ดูสิ่งที่มันพูดออกมาสิ! มันดูถูกความยากลำบากของพวกเจ้า! เจ้าจะยืนเฉย ๆ ให้มันทำแบบนี้หรือ!"

คำพูดของหลี่เหมยทำให้หลี่ซานถึงกับหน้าแดงด้วยความตื้นตัน เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามารดาของเขาจะพูดปกป้องเขาและน้องชายคนที่สามได้ถึงเพียงนี้

หลี่เหมยหันไปมองหลี่หลงอีกครั้ง แล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เด็ดขาด

"ฟังให้ดีนะหลี่หลง! พี่ชายของเจ้าทำงานหนักแค่ไหน เจ้าไม่เคยรู้!"

"..."

"พี่สะใภ้ของเจ้าดูแลปรนนิบัติเจ้ามานานแค่ไหน เจ้าก็ไม่เคยเห็น!"

"..."

"น้องชายของเจ้าขึ้นเขาหาของป่ามาแลกเงินลำบากแค่ไหน เจ้าก็ไม่เป็นห่วงเขา!"

"..."

"น้องสาวของเจ้าทำงานบ้านหนักแค่ไหน เจ้าก็ไม่เคยใส่ใจ! ซ้ำยังมองพวกนางอย่างด้อยค่า กล่าววาจาว่าสตรีต่ำต้อยไร้ประโยชน์"

"..."

"ทุกคนในบ้านนี้ต่างก็ทำงานอย่างหนักเพื่อหาเงินมาให้เจ้าไปเรียนหนังสือ! มีแค่เจ้าคนเดียวที่เรียนหนังสือแล้วบอกว่าตัวเองลำบาก! ถ้าเจ้ายังคิดแบบนี้ต่อไปอีก ข้าจะไม่ยอมควักเงินแม้แต่อีแปะเดียวให้เจ้าอีกต่อไป!"

"..."

"ต่อจากนี้ไป! เจ้าจะไม่มีโอกาสได้เรียนอีกแล้ว! ข้าจะให้เจ้าไปช่วยพี่ชายของเจ้าทำนา! ดูสิว่าสิ่งที่พวกเขาทำ กับการเรียนของเจ้า อะไรกันแน่ที่เรียกว่าลำบากกว่ากัน!"

คำพูดของหลี่เหมยทำให้หลี่หลงถึงกับหน้าซีดเผือดด้วยความตกใจและโมโห เขาไม่เคยคิดเลยว่ามารดาจะทำเช่นนี้กับเขา 

"ท่านแม่! ท่านทำแบบนี้กับลูกไม่ได้นะขอรับ!" หลี่หลงตวาดลั่น

หลี่เหมยไม่สนใจคำพูดของเขาเลยแม้แต่น้อย นางมองหน้าเขาด้วยสายตาที่เย็นชา ก่อนจะหันหลังกลับเดินเข้าไปในห้องนอนของตัวเองเพื่อไปดูเสบียงอาหารที่เหลืออยู่

เมื่อเข้ามาในห้องนอน 

หลี่เหมยก็จัดการลงกลอนประตูห้องทันที เพื่อป้องกันไม่ให้ใครเข้ามาขัดจังหวะนางได้ แล้วนางก็เริ่มสำรวจข้าวของที่อยู่ในห้องนี้อย่างละเอียด นางจำได้ว่าในความทรงจำของร่างเดิมเก็บเงินไว้ใต้ที่นอน นางจึงรีบเปิดที่นอนขึ้นดู ก็พบว่ามีห่อผ้าที่ถูกซ่อนเอาไว้อย่างมิดชิด นางรีบแกะห่อผ้านั้นออกดูก็พบว่ามีเงินอยู่ 5 ตำลึง

"มีแค่ 5 ตำลึงเองเหรอ" หลี่เหมยพึมพำกับตัวเองด้วยความผิดหวัง

นางนึกขึ้นได้ว่าในความทรงจำของร่างเดิม นางตั้งใจจะขายลูกสาวกับหลานชายเพื่อแลกกับเงิน 10 ตำลึง เพื่อนำเงินส่วนที่เหลือไปให้ครอบครัวเดิมของนาง 

หลี่เหมยคนใหม่รู้สึกโกรธเคืองเจ้าของร่างนี้อยู่ไม่น้อย นางจึงรีบเก็บเงิน 5 ตำลึงนั้นลงที่เดิม ก่อนจะหันไปดูที่ไหเก็บเสบียงที่วางอยู่ข้างเตียง

นางเดินไปเปิดฝาไหออกดูก็พบว่ามีข้าวฟ่างเหลืออยู่น้อยมาก ไม่น่าจะถึง 5 จินด้วยซ้ำ นางมองไปที่ตะกร้าที่วางอยู่ข้าง ๆ ก็เห็นว่ามีไข่อยู่แค่ 6 ฟองเท่านั้น ส่วนในห้องครัวก็มีแค่แป้งและเกลืออีกเล็กน้อย

"นี่คือสภาพที่แท้จริงของครอบครัวนี้สินะ ถ้าเป็นแบบนี้ทุกคนคงจะอดตายกันหมด" 

หลี่เหมยถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน หลี่เหมยจึงตัดสินใจที่จะลองใช้มิติที่นางได้มาดู นางนึกถึงคำพูดของเสียงลึกลับที่บอกว่านางสามารถใช้มิติแห่งนี้ได้

"ต้องทำยังไงนะ" หลี่เหมยพึมพำกับตัวเอง 

"ฉันอยากได้ข้าวสาร ไข่ น้ำมัน เกลือ น้ำตาล ซีอิ๊ว สาหร่าย"

ในขณะที่นางนึกถึงสิ่งของเหล่านั้นอย่างตั้งใจ พริบตาเดียวสิ่งของทั้งหมดที่นางต้องการก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าอย่างน่าอัศจรรย์ใจ

"ว้าว!" 

หลี่เหมยร้องออกมาด้วยความตกใจ นางไม่คิดเลยว่ามันจะเป็นไปได้จริง ๆ นางรีบเทข้าวสารที่เพิ่งได้มาใส่ลงไปในไหเก็บข้าวสารจนเต็ม ก่อนจะนำไข่และสิ่งของอื่น ๆ ไปจัดเก็บไว้ในห้องนอนเล็ก ๆ ของบ้าน นางไม่ลืมที่จะเก็บถุงพลาสติกที่ใช้บรรจุสิ่งของเหล่านั้นกลับเข้าไปในมิติอีกครั้งเพื่อป้องกันไม่ให้ใครสงสัย

"ใจจริงก็อยากจะเอาเนื้อออกมาบำรุงเด็ก ๆ เสียหน่อย แต่ถ้าทำแบบนั้นคงถูกสงสัยแน่ ๆ ไว้ค่อยออกไปเดินดูที่ตลาดแล้วกันว่ามีทางไหนพอจะหาเงินได้บ้าง"

หลี่เหมยยิ้มออกมาด้วยความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความหวัง นางมองไปที่ไหเก็บข้าวสารที่เต็มจนล้นด้วยความดีใจ นางรู้แล้วว่านางจะสามารถทำอะไรได้บ้างเพื่อครอบครัวนี้ นางจะใช้ความรู้ความสามารถทั้งหมดที่มีเพื่อทำให้ครอบครัวของนางมีความสุขและรุ่งโรจน์ให้ได้

Lanjutkan membaca buku ini secara gratis
Pindai kode untuk mengunduh Aplikasi

Bab terbaru

  • ทะลุนิยายมาเป็นคุณแม่ลูกสี่ นำพาครอบครัวสู่ความรุ่งโรจน์   จบบริบูรณ์

    การสูญเสียที่ไม่อาจยอมรับได้ทำให้หลี่เหมยเลือกที่จะจบชีวิตตัวเองลงด้วยอาการตรอมใจ แต่ในห้วงเวลาสุดท้ายของการจากไป จิตใจของเธอกลับสงบและเต็มไปด้วยความรักที่บริสุทธิ์ การยอมสละทุกสิ่งในชีวิตเพื่อช่วยเหลือเด็กกำพร้า ทำให้เธอได้สร้างบุญกุศลอันยิ่งใหญ่ ที่ได้กลายเป็นสะพานเชื่อมให้เธอกลับไปสู่จุดจุดเดิมที่ห้วงคะนึงโหยหาอีกครั้งประตูสู่โลกใบเก่าในห้วงเวลาที่ลมหายใจสุดท้ายกำลังจะสิ้นสุดลง วิญญาณของหลี่เหมยพลันหลุดลอยออกมาจากร่างที่ผ่ายผอม เธอพบว่าตัวเองยืนอยู่ในสถานที่อันว่างเปล่าที่เต็มไปด้วยหมอกควันสีขาวเย็นยะเยือก รอบกายไม่มีสิ่งใด นอกจากความเงียบงันและอุณหภูมิที่หนาวเหน็บ ทันใดนั้นเอง เสียงลึกลับที่เคยพาเธอมายังโลกแห่งนิยายในครั้งแรก ก็ดังขึ้นอีกครั้ง"หลี่เหมย... เจ้าได้สร้างบุญกุศลอันยิ่งใหญ่ด้วยการสละทรัพย์สินทั้งหมด เพื่อช่วยเหลือเด็กกำพร้าได้นับร้อยชีวิต ความดีงามของเจ้าได้กลายเป็นแสงสว่างนำทางให้แก่ดวงวิญญาณของเจ้า และด้วยความรักที่บริสุทธิ์ที่เจ้ามีต่อครอบครัว บุญกุศลนี้จึงได้ตอบแทนเจ้า"หลี่เหมยเงียบฟังอย่างตั้งใจ หัวใจของเธอเต้นระรัวด้วยความหวังที่ริบหรี่"เราจะให้โอกาสเจ้าอี

  • ทะลุนิยายมาเป็นคุณแม่ลูกสี่ นำพาครอบครัวสู่ความรุ่งโรจน์   ความคิดถึง

    เสียงเครื่องวัดชีพจรในห้องคนป่วยดัง "ติ๊ด…ติ๊ด…ติ๊ด…" เนิ่นนานกว่าหนึ่งปีเต็ม ที่ร่างของหลี่เหมยนอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงในโรงพยาบาลแห่งนี้ สีหน้าของเธอนั้นสงบราวกับคนที่หลับใหลไปในห้วงนิทราอันยาวนานข้างกายของหลี่เหมย มีเพียงป้าหลัว หญิงวัยกลางคนที่จงรักภักดี คอยดูแลเธออย่างใกล้ชิดไม่เคยห่างกาย ถึงจะมีพยาบาลพิเศษคอยดูแลเรื่องต่าง ๆ แต่ป้าหลัวก็จะคอยพูดคุยกับร่างที่ไร้การตอบสนองนั้นด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความหวัง ราวกับเชื่อมั่นว่าสักวันหนึ่งเจ้านายของตนจะกลับมากระทั่งเช้าวันหนึ่ง แสงตะวันสีทองอ่อน ๆ สาดส่องลอดผ่านผ้าม่านบาง ๆ เข้ามาในห้อง ดวงตาที่ปิดสนิทของหลี่เหมยค่อย ๆ กะพริบขึ้นอย่างเชื่องช้า นิ้วมือเรียวเล็กขยับสั่นไหวเล็กน้อย ราวกับกำลังไขว่คว้าจับต้องบางสิ่ง ป้าหลัวที่นั่งหลับอยู่ข้างเตียงสะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยความตกใจ เมื่อเห็นการเปลี่ยนแปลงนั้น ดวงตาของเธอเบิกกว้างด้วยความยินดี ก่อนจะรีบคว้ามือของเจ้านายเอาไว้แน่น"คุณหลี่! คุณหลี่ฟื้นแล้วหรือคะ!" เสียงของป้าหลัวสั่นเครือด้วยความตื้นตันใจและดีใจจนแทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ทันทีที่ได้รับแจ้งผ่านสัญญาณ พยาบาลและแพทย์ก็รีบเข้ามาตรวจ

  • ทะลุนิยายมาเป็นคุณแม่ลูกสี่ นำพาครอบครัวสู่ความรุ่งโรจน์   คำอำลา

    เสียงสะอื้นแผ่วเบาของเด็ก ๆ ทั้งสามดังลอดออกมาจากเรือนนอนที่เงียบสงัด ราวกับสายลมเศร้าที่กำลังร่ำร้องปลุกปลอบวิญญาณของผู้เป็นย่าให้ตื่นขึ้นมา ทว่า...ความเงียบวังเวงกลับเป็นสิ่งเดียวที่โอบล้อมอยู่เซียวติ้งเซิงก้าวเข้ามาด้วยฝีเท้าหนักอึ้ง ใจที่เคยแข็งแกร่งยิ่งกว่าหินผากำลังแหลกสลายอย่างไม่อาจต้าน ดวงตาคมของเขาเบิกกว้าง ก่อนจะพร่ามัวด้วยหยาดน้ำตาเมื่อเห็นภาพตรงหน้าหลี่เหมยนอนนิ่งบนเตียง ผิวซีดขาวเย็นชืดประหนึ่งหยกที่ไร้ชีวิตชีวา มีร่างเล็กจ้อยของซางหนิงอิงซบอยู่กลางอก มือเล็ก ๆ ตบเบา ๆ ราวกับจะปลุกให้ท่านย่าลืมตา ซางจื้อคุกเข่าอยู่ข้างเตียง กอบกุมมือที่เย็นเฉียบไว้แน่น ดวงตาบวมช้ำด้วยน้ำตา ซางหยวนนอนข้างน้องสาวสะอื้นจนตัวสั่นไม่ยอมห่างไปไหน"ท่านย่า...ตื่นเถอะขอรับ...อาจื้ออยู่ตรงนี้แล้ว...ได้โปรดอย่าทิ้งพวกเราไป...""ต้านย่า...ต้านย่ากลับมาก่อน...ฮึก...อย่าไปนะ..."หัวใจของเซียวติ้งเซิงแทบแตกสลาย เขาก้าวเข้าไปอย่างโซซัดโซเซ ก่อนทรุดนั่งลงข้างเตียง มือใหญ่สั่นเทาขณะประคองร่างบอบบางของหลี่เหมยขึ้นมากอดแนบอก ความเย็นชืดนั้นแทงทะลุเข้าถึงกระดูก"อาเหมย...เหตุใดเจ้าจึงจากไปเช่นนี้ ข้าตั้งใ

  • ทะลุนิยายมาเป็นคุณแม่ลูกสี่ นำพาครอบครัวสู่ความรุ่งโรจน์   ท่านย่าไม่รักหยวนหยวนแล้วหรือขอรับ!

    ยามเย็นของวันนั้น แสงอาทิตย์ค่อย ๆ ลาลับทิวเขา สาดทาบเป็นสีทองเรื่อไปทั่วทุ่งนา เสียงจิ้งหรีดเริ่มขับขานทำนองแห่งรัตติกาล กลิ่นหอมจากครัวเล็ก ๆ ของจวนสกุลหลี่ก็ลอยอบอวลไปทั่วทุกห้องบนโต๊ะไม้เรียบง่ายกลางเรือน มีอาหารเรียงรายครบครัน ทั้ง ปลาช่อนทอดสามรส ผัดหน่อไม้ น้ำแกงรากบัวตุ๋นกระดูกหมู กลิ่นหอมอบอวล ชวนให้น้ำลายสอ ทั้งหมดนั้นคืออาหารที่ครั้งหนึ่งหลี่เหมยเคยทำให้ลูก ๆ ลิ้มรส และบัดนี้ถูกถ่ายทอดไปสู่มือหลี่หลินกับเสี่ยวม่าย ที่ตั้งใจปรุงรสราวกับได้รำลึกความหลัง นางทอดสายตามองอาหารตรงหน้าแล้วหัวใจสั่นสะท้าน เหมือนทุกอย่างย้อนคืนกลับสู่วันเก่า ช่วงเวลาแรกที่นางเข้ามาอยู่ในร่างนี้"โอ้โห กับข้าวพวกนี้ทำให้ลูกคิดถึงบ้านหลังเก่าของเรานะขอรับท่านแม่ ลูกยังจำวันที่เราไปสับหน่อไผ่แล้วก็จับงูมาขายได้ขึ้นใจเลย" หลี่ซุนเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นอาหารตรงหน้า"จริงด้วย วันที่พวกเราขึ้นเขาไปเก็บรากบัว ไปจับปลาช่อนตัวใหญ่ ก็เหมือนเพิ่งผ่านไปไม่นาน แม้กระทั่งวันที่พวกเราวิ่งหนีเสือครั้งนั้นลูกก็ยังจำได้ขึ้นใจ" หลี่ซานเอ่ยขึ้นบ้างเมื่อนึกถึงเรื่องราวเก่า ๆ"แม่ก็คิดถึง ช่วงเวลานั้นแม่มีความสุขมากเลยนะ"ห

  • ทะลุนิยายมาเป็นคุณแม่ลูกสี่ นำพาครอบครัวสู่ความรุ่งโรจน์   ลูกจะไม่ทำให้ท่านแม่ผิดหวัง

    หลายเดือนต่อมา หลังจากที่หลี่เหมยและครอบครัวได้ตั้งรกรากในเมืองเทียนฉางอย่างมั่นคง นางก็เริ่มครุ่นคิดถึงเรื่องที่อยู่อาศัยอย่างจริงจังตั้งแต่แรกนางหมายใจว่าจะซื้อบ้านที่เหมาะแก่การอยู่อาศัยพร้อมหน้าพร้อมตา แต่เมื่อดูอยู่หลายแห่งก็ยังไม่ถูกใจ บ้างก็แคบเกินไป บ้างก็ทรุดโทรมเสียจนต้องซ่อมใหม่หมดสิ้น ใช้เงินมากกว่าที่นางตั้งใจไว้เสียอีกพอฮูหยินผู้เฒ่าเซียวรู้จึงได้บอกให้นางมาดูจวนที่อยู่ติดกัน จวนนี้มีการจัดสรรพื้นที่อย่างเป็นสัดส่วน จวนประเภทนี้สะท้อนให้เห็นถึงรสนิยมและความมั่งคั่งของผู้เป็นเจ้าของ โดยมีรูปแบบจตุรนิเวศ ซึ่งเป็นการสร้างอาคารสี่หลังล้อมรอบลานกว้างไว้ตรงกลาง จวนประเภทนี้เหมาะสำหรับครอบครัวใหญ่ที่อาศัยอยู่ร่วมกัน เนื่องจากที่นี่เป็นเมืองรอง ไม่ใช่เมืองหลวง ราคาจึงอยู่ที่ 2000 ตำลึง เท่าที่หลี่เหมยหาข้อมูลมา ทว่าจวนหลังนี้นางกลับซื้อได้เพียง 1000 ตำลึงเท่านั้น ช่างโชคดียิ่งนักแต่สิ่งที่นางไม่รู้ก็คือเซียวติ้งเซิงคือผู้อยู่เบื้องหลัง หลายเดือนมานี้เขาไม่ยอมไปทำการค้าต่างแคว้นนาน ๆ เหมือนเคย ไปก็เพียงใกล้ ๆ 1 สัปดาห์ก็รีบกลับมา แถมยังชอบหาของฝากมาให้ลูกหลานของนางอยู่ตลอดบ

  • ทะลุนิยายมาเป็นคุณแม่ลูกสี่ นำพาครอบครัวสู่ความรุ่งโรจน์   จุดจบของสกุลหวัง

    ณ ตรอกเล็ก ๆ ที่อยู่ไม่ไกลจากร้านเต้าหู้สกุลหลี่ บรรยากาศอับชื้นและเย็นยะเยือก หวังเฟยฮวา สตรีผู้ซึ่งมีใบหน้าเต็มไปด้วยความริษยา พูดคุยอย่างออกรสกับญาติผู้น้อง ที่นางจ้างมาเพื่อแสดงละคร "พวกเจ้าสองคนต้องแสดงให้แนบเนียน อย่าให้พวกมันจับพิรุธได้รู้หรือไม่""ข้ารู้แล้วน่าพี่หญิง ว่าแต่ถ้าข้าทำสำเร็จ เมื่อได้เงินมาแล้ว 100 ตำลึงต้องเป็นของข้าตามที่ตกลงกันไว้นะ" เจิ้งฉือญาติห่าง ๆ ของนางกล่าวย้ำชัดถึงข้อตกลงอีกครั้ง"ข้ารู้แล้ว หากทำสำเร็จ เงินก็อยู่ในมือพวกเจ้ามิใช่หรือ พวกเจ้าก็หักไว้เลย 100 ตำลึง ส่วนที่เหลือค่อยเอามาให้ข้า ขอเพียงได้มาจ่ายหนี้พนันให้อาจงก็พอ เรื่องอื่น ๆ ค่อยว่ากันอีกทีหลังจากนี้"หวังเฟยฮวาตอบด้วยน้ำเสียงที่ไม่สบอารมณ์ พูดจบสองสามีภรรยา เจิ้งฉือและเจิ้งหว่านหรู ก็เริ่มการแสดงที่ซักซ้อมกันมาอย่างดี เจิ้งฉือล้มตัวลงนอนในเปลหาม ส่วนเจิ้งหว่านหรูก็รีบเอาผ้าคลุมสีขาวปิดหน้าสามีเอาไว้ แล้วสั่งให้ลูกชายทั้งสองของพวกเขาหามผู้เป็นพ่อเดินตรงไปที่หน้าร้านเต้าหู้สกุลหลี่"ช่วยด้วย...ช่วยด้วยเจ้าค่ะ" เจิ้งหว่านหรูร้องห่มร้องไห้ "...""มาดูความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของเ

Bab Lainnya
Jelajahi dan baca novel bagus secara gratis
Akses gratis ke berbagai novel bagus di aplikasi GoodNovel. Unduh buku yang kamu suka dan baca di mana saja & kapan saja.
Baca buku gratis di Aplikasi
Pindai kode untuk membaca di Aplikasi
DMCA.com Protection Status