บทที่ 3 คนนี้สามีข้าเหรอ ตอนต้น
ภายในรถม้าของเสวี่ยหนิง สาวใช้สองซูมองหน้ากันไปมา ทั้งคู่ข้องใจว่านายหญิงของตนไปหัดพูดภาษาของชาวโพ้นทะเลมาจากที่ไหน ต่างสื่อสารผ่านทางสายตาว่า ‘เจ้าถามสิ เจ้ารู้จักพูดมากกว่า’ ซูลี่พยักเพยิดให้ซูฮวาถาม ‘เจ้านั่นแหละถาม เจ้าอายุมากกว่าข้า’ ซูฮวาส่ายหัวน้อยๆกลับมา พร้อมบุ้ยใบ้ไปทางนายหญิง ทั้งสองเกี่ยงกันไปเกี่ยงกันมาตกลงกันไม่ได้เสียที จนท้ายที่สุดผู้เป็นนายอ่านสายตาและท่าทางของสาวใช้ออก เลยช่วยไขข้อข้องใจด้วยคำตอบที่ทำให้ทั้งสองซูถึงกับนิ่งอึ้ง “ข้าไปหัดมาจากในฝันตอนที่สลบไป จบนะ ห้ามสงสัยต่อ ตรรกะเรื่องเหนือธรรมชาติข้าไม่เชี่ยวชาญ อธิบายให้พวกเจ้าฟังไม่ได้” ขืนบอกความจริงว่าพูดได้มาตั้งแต่ชาติที่แล้ว มีหวังสองสาวได้แตกตื่นเป็นแน่ “…” สาวใช้สองซู เอ่อ ช่วงสายวันถัดมา รถม้าของเสวี่ยหนิงก็มาจอดหน้าร้านขายตำราร้านใหญ่ของเมืองหลวง วันนี้หญิงสาวแต่งกายทะมัดทะแมงคล้ายบุรุษ จึงก้าวลงจากรถม้าก่อน โดยไม่ต้องรอให้สาวใช้ช่วยประคองเหมือนทุกครั้ง ร่างบางเอามือไพล่หลังเดินตรงเข้าร้านอย่างอารมณ์ดี ครั้นหลงจู๊เห็นหน้านางพลันหน้าเผือดสี แอบอุทานในใจด้วยความกังวล ‘ไอหยา วันนี้มันวันอะไรกันเนี่ย ทั้งคุณหนูซ่ง เหรินซื่อจื่อ เหรินฮูหยินน้อย ต่างก็มาที่ร้านในเวลาไล่เลี่ยกันแบบนี้ จะเกิดเรื่องเหมือนทุกครั้งอีกหรือเปล่าเนี่ย’ “หลงจู๊ ข้าอยากมาสั่งทำพู่กันชนิดพิเศษ ไม่ทราบว่าต้องคุยกับใครหรือเจ้าคะ” เสวี่ยหนิงเอ่ยถามหลงจู๊อย่างสุภาพ ทำคนฟังเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ เชียนเสวี่ยหนิงเคยพูดจาสุภาพอ่อนหวานกับลูกจ้างทั่วไปเป็นด้วยหรือ พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตกหรืออย่างไร “เหรินฮูหยินน้อย เชิญทางนี้ขอรับ” หลงจู๊ผายมือเชิญหญิงสาวไปยังโต๊ะด้านใน ก่อนเรียกผู้รับผิดชอบเรื่องการสั่งสินค้ามาเจรจากับนาง ใช้เวลาราวสองเค่อเสวี่ยหนิงก็สั่งทำพู่กันในแบบที่นางต้องการเสร็จ ระหว่างที่กำลังจะเดินออกจากร้าน หญิงสาวเหลือบไปเห็นภาพวาดอักษร ฝีพู่กันงดงามพลิ้วไหวทว่าทรงพลังแขวนแสดงอยู่ จึงหยุดมองด้วยความสนใจ “จิ๊ๆๆ ฝีพู่กันสุดยอดเลยอ่ะ แบบนี้เรียกปรมาจารย์ได้เลยน่ะเนี่ย หลงจู๊ ไม่ทราบว่าใครเป็นเจ้าของภาพวาดอักษรนี้หรือเจ้าคะ แล้วราคาเท่าไหร่หรือ” “ต้องขอโทษฮูหยินน้อยด้วยขอรับ ข้าน้อยมิอาจบอกชื่อเจ้าของภาพนี้ได้ เพราะเจ้าตัวขอให้ปิดบังชื่อแซ่ไว้เป็นความลับ ส่วนเรื่องราคานั้นขายอยู่ที่สองร้อยตำลึงขอรับ” หลงจู๊ตอบกลับมาตามความจริง คนฟังหน้านิ่วคิ้วขมวด เพราะตกใจในราคาภาพ แต่ด้วยความชอบในงานศิลปะแขนงนี้เป็นการส่วนตัว หญิงสาวจึงเริ่มต่อรองราคา “มันแพงขนาดนี้เลยหรือเจ้าคะ สองร้อยตำลึงเชียวหรือ ลดเหลือสักห้าสิบตำลึงได้ไหมเจ้าคะ” เสวี่ยหนิงจ้องตาหลงจู๊อย่างมาดหมายในขณะเอ่ยปากต่อรองราคา ช่วยลดให้นางสักร้อยห้าสิบตำลึงเถอะ สองร้อยมันแพงไป “ไอหยา! ราคานี้ไม่ได้จริงๆขอรับ” หลงจู๊สะดุ้งกับราคาที่ได้ยินรีบตอบกลับมาอย่างไว ระหว่างที่เสวี่ยหนิงกำลังต่อราคาภาพวาดอักษรอย่างเมามันอยู่นั้น เผอิญว่าเป็นจังหวะเดียวกันกับที่เหรินหมิง เดินลงมาจากชั้นสองพร้อมซ่งเจียวเจียวพอดี สายตาพลันเหลือบมาเห็นซูลี่และซูฮวายืนอยู่ด้านหลังเสวี่ยหนิง ที่กำลังเจรจากับหลงจู๊ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ชายหนุ่มรีบก้าวลงบันไดมา เพราะเข้าใจว่าอีกฝ่ายคงกำลังข่มขู่หลงจู๊ เพื่อให้บอกว่าเขาหรือซ่งเจียวเจียวมาที่นี่หรือเปล่าเหมือนดั่งเช่นที่ผ่านมา นางคงต้องการมาหาเรื่องซ่งเจียวเจียว และกล่าวหาว่าแอบเป็นชู้กับเขาเหมือนทุกครั้งไป คิดได้ดังนั้นเหรินหมิงจึงตรงเข้าไปหาภรรยาด้วยสีหน้าเย็นชา “เชียนเสวี่ยหนิง! เจ้ามาทำอะไรที่นี่” เหรินหมิงเอ่ยถามเสียงลอดไรฟัน แววตาที่มองนางบ่งชัดว่าไม่พอใจ เสวี่ยหนิงคิ้วกระตุก ที่จู่ๆ ก็ถูกขัดจังหวะการต่อราคาภาพวาด นางหันขวับมาหาเจ้าของเสียง ครั้นได้เห็นว่าเป็นบุรุษหน้าตาดีแต่งตัวดีคนหนึ่ง หากแต่น้ำเสียงและสายตาที่ใช้มองนางกลับไม่เป็นมิตรเลยสักนิด หรือจะเป็นโจทก์เก่าของร่างนี้อีกคน “ขอโทษทีเถอะต้าเกอ* คนมาร้านขายตำราและเครื่องเขียน ย่อมต้องมาซื้อตำราหรือของที่มีขายอยู่ในร้านสิเจ้าคะ จะให้มาซื้อขนมจีบซาลาเปาที่นี่หรือ ถามอะไรแปลกๆ แล้วนี่ท่านเป็นใครหรือเจ้าคะ ถึงได้เดินมาหาข้าถึงที่ ไม่ทราบว่ามีธุระอะไรกับข้าหรือเปล่าเจ้าคะ” เอ่ยถามร่างสูงตรงหน้าเสร็จ ก็หันไปหาสาวใช้ที่กำลังดึงหลังเสื้อนางยิกๆ “อะไร ซูฮวา ดึงเสื้อข้าทำไม มีอะไรก็พูดมา” “นายหญิงเจ้าคะ ท่านผู้นี้คือ เหรินซื่อจื่อ สามีท่านเจ้าค่ะ” ซูฮวากระซิบบอกนายหญิงของตนด้วยท่าทางลำบากใจ “ห๊า! คนนี้สามีข้าเหรอ? เจ้าแน่ใจนะซูฮวาว่าไม่ได้จำผิด” เพราะตั้งแต่ฟื้นขึ้นมาในร่างนี้ เสวี่ยหนิงก็ไม่เคยพบหน้าเหรินหมิงเลยสักครั้ง กอปรกับการที่ไม่มีความทรงจำของเชียนเสวี่ยหนิงหลงเหลือสักนิด ทำให้นางไม่รู้ว่าอีกฝ่ายหน้าตาเป็นอย่างไร ทางด้านตัวนางเองก็มัวแต่ยุ่งอยู่กับแผนการชีวิตหลังหย่าขาด ตั้งใจเอาไว้ว่าพรุ่งนี้จะชวนสาวใช้ออกไปส่องดูหน้าอีกฝ่ายอยู่เหมือนกัน แต่ที่ไหนได้… พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มา ตายยากจริงๆ เหรินหมิงที่โดนเสวี่ยหนิง ยอกย้อนกลับมาอย่างไม่ทันตั้งตัว พลันชะงักค้าง ทว่าก่อนที่จะได้อ้าปากต่อว่าอีกฝ่าย ร่างของหญิงสาวหน้าตางดงามอ่อนหวานน่าทะนุถนอมในชุดสีขาว ได้ก้าวมายืนอยู่ด้านหลังเขาของเสียก่อน ******************* *ต้าเกอ : พี่ชายบทที่ 13 ท่านอ๋องน้อยแห่งตำหนักหรงจวิน ตอนปลาย องครักษ์คนสนิทคิ้วกระตุก ท่าทางดูลังเล หากแต่ตัดสินใจพูดในสิ่งที่ตนคิดออกมา “หรือ…จะให้กระหม่อมพามันมาอยู่ด้วยกันที่นี่พะย่ะค่ะ” มือที่กำลังแกะกระดุมเสื้อหยุดชะงัก เริ่มทบทวนภาพที่อาจเกิดขึ้นในหัว ~หลางจื่อผู้สง่างามตัวโต ขนฟูราวราชสีห์ เดินเล่นอยู่กลางสวนผักพร้อมสายตาเย่อหยิ่งปราดมองคนงาน ราวต้องการบอกให้พวกเขาตั้งใจทำงานให้ดีๆ เหมือนตอนเดินตรวจแถวในกองทัพกับเขา และมีบางครั้งอาจเผลอไปกัดเชือกกั้นแผงผัก แถมเห่าไล่คนงานเพราะต้องการแย่งขนมเปี๊ยะ! กัดค้างแตงกวา ขุดดินหาไส้เดือน ลากขอนไม้มาแทะแทนของเล่น และทำเสียงครางฮือ ๆ ทุกครั้งที่เจ้าของเดินคุยกับคนอื่น เพียงแค่นึกภาพเว่ยลี่หยางรีบสั่นศีรษะ “อย่าเลย…ข้ายังไม่พร้อมให้ทั้งสวนอรุณรักและคนในหมู่บ้าน รู้ความจริงว่าหมาตัวนั้นคือ ท่านอ๋องน้อยแห่งตำหนักหรงจวิน” คนฟังกลั้นหัวเราะอย่างสุดขีด “พะย่ะค่ะ กระหม่อมจะกลับไปปลอบใจท่านอ๋องน้อยว่า จวิ้นอ๋องทรงมิได้ทอดทิ้งลูกรัก เพียงแต่ไปจีบสตรีผู้หนึ่งมาเป็นมารดาของท่านอ๋องน้อย” วันรุ่งขึ้น ณ สวนผักอรุณรัก เว่ยลี่หยางที่กำลังช่วยพานข่ายและคนงานอ
บทที่ 13 ท่านอ๋องน้อยแห่งตำหนักหรงจวิน ตอนต้น ห้าวันก่อน ต้าเชินคือหนึ่งในลูกน้องคนสนิทของเย่หลิน เขาชอบอยู่กับธรรมชาติ จึงอาสามาเป็นหัวหน้าคนงานให้เชียนเสวี่ยหนิง นอกจากดูแลความเป็นระเบียบเรียบร้อยของลูกน้องทุกคนแล้ว ต้าเชินยังมีหน้าที่คัดเลือกคนงานที่มาสมัครใหม่แทนเสวี่ยหนิงซึ่งติดธุระในวันนั้นอีกด้วย ในช่วงเช้าขณะที่เขาไปตั้งโต๊ะรับสมัครคนงานในหมู่บ้านหว่านเซิน ตามคำแนะนำของหัวหน้าหมู่บ้าน ซึ่งคุ้นเคยกับเย่หลินเป็นอย่างดีอยู่นั้น บุรุษสามคนท่าทางน่าเกรงขามก็เดินเข้ามาหา “ข้ามาสมัครเป็นคนงานของสวนอรุณรัก” บุรุษในชุดผ้าไหมสีดำเนื้อดีรูปแบบเรียบง่ายเอ่ยขึ้น ต้าเชินพิจารณาบุรุษรูปงามราวหลุดออกมาจากภาพวาด ด้วยแววตาเต็มไปด้วยความสงสัย ‘รูปร่างหน้าตามีสง่าราศีขนาดนี้ อยากมาเป็นคนงานในสวนผักเนี่ยนะ?‘ แต่ถึงกระนั้นก็ทำตามคำสั่งนายหญิงน้อย เรื่องที่ให้คนงานมีสิทธิ์เลือกทำในสิ่งที่ตนชอบและถนัด ผลงานจะได้ออกมาดี “พ่อหนุ่มทำอะไรเป็นบ้างล่ะ ชอบปลูกผักหรือปลูกดอกไม้มากกว่ากัน” ต้าเชินถามกลับอย่างเป็นมิตร “ข้าขอทำหน้าที่คุ้มกันนายหญิงเชียนเสวี่ยหนิงขณะทำงาน” ดวงตาคู่คมของเว่ยหลี่
บทที่ 12 พบชายในฝันกลางแปลงผัก ตอนปลาย ซูลี่กับซูฮวาหัวเราะคิกอย่างชอบใจ เมื่อได้ยินชื่อของคนงานหนุ่มที่เพิ่งมาใหม่ “ในเมื่อแนะนำตัวกับข้าเรียบร้อยแล้ว เช่นนั้นก็กลับไปทำงานของพี่ชายต่อเถอะ” เสวี่ยหนิงพยักหน้ารับทราบต่อการมารายงานตัวของหยางหยาง “งานของข้า คือการมาปลูกผักใกล้ๆนายหญิงขอรับ หัวหน้าคนงานกลัวว่านายหญิงจะหักโหมจนลมจับ ล้มหน้าคะมำอยู่กลางแปลงผัก เลยส่งข้ามาคอยดูแลท่านขอรับ” เว่ยลี่หยางรายงานหน้าที่ของตนกับหญิงสาวเสียงเข้ม มือก็หยิบต้นกล้าคะน้ามาลงดินอย่างชำนาญ พยายามกลั้นเสียงหัวเราะจนไหล่สั่น หากแต่… กร๊ากกก!! อุ๊บ! ทั้งสาวใช้สองซู ทั้งพานข่ายหลุดขำ ยกมืออุดปากกันแทบไม่ทัน (*_*‘) เสวี่ยหนิงมุมปากกระตุกยิกๆ พ่อล่ำบึ้กหยางหยางนี่กวนใช้ได้เลยนะ! “หึ หึ! รอข้าไปถามท่านลุงต้าเชินก่อนเถอะพ่อหยางหยาง หากไม่จริงเจ้าโดนไล่ออกแน่!!” เสวี่ยหนิงเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน เอ่ยเสียงลอดไรฟันกลับมา รู้สึกอยากกลายร่างเป็นจระเข้ตะหงิดๆ เว่ยลี่หยางกระตุกยิ้มมุมปากรวดเร็วก่อนจางหายไปจนไม่มีใครทันสังเกตเห็น ช่วงพักเที่ยง บรรดาเกษตรกรของสวนอรุณรัก ต่างมานั่งกินข้าวอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ริมแปลงผั
บทที่ 12 พบชายในฝันกลางแปลงผัก ตอนต้น จวนสกุลเชียนตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองหลวง อยู่ห่างจากประตูทางออกทิศเหนือราวสิบลี้ ซึ่งง่ายต่อการเดินทางไปยังหมู่บ้านหว่านเซินของเสวี่ยหนิง นางจึงตัดสินใจกลับมาพักอยู่กับมารดาระหว่างรอบ้านของนางสร้างเสร็จ ระหว่างนี้จึงเริ่มวางแผนจ้างคนงานสำหรับเรือกสวนไร่นาของนางอย่างจริงจัง ในขณะที่กำลังเขียนป้ายประกาศรับคนงานอยู่นั้น เย่หลินก็ถือจานขนมเข้ามาให้พอดี “หนิงเอ๋อร์ เจ้าต้องการคนงานเริ่มต้นจำนวนเท่าไหร่หรือ หากไม่มากเกินยี่สิบคน เจ้าพาพวกเด็กๆ ของแม่ไปช่วยงานก่อนได้นะ แม่ได้คนมาใหม่จำนวนหนึ่ง ดัดนิสัยแล้วเรียบร้อย ไม่ต้องเป็นห่วงว่าเด็กๆ พวกนั้นจะดื้อรั้นไม่เชื่อฟัง” (0.0!) สุดยอด!!! เสวี่ยหนิงแอบอุทานในใจ หันไปกอดเอวมารดาอย่างออดอ้อน “ยังคงเป็นท่านแม่ที่ดีกับข้าและรักข้าที่สุด” “เด็กโง่ ถ้าแม่ไม่รักเจ้า แล้วจะให้แม่รักใครที่ไหน” เย่หลินลูบหัวทุยของบุตรีอย่างรักใคร่ ตั้งแต่หนิงเอ๋อร์ของนางฟื้นขึ้นมาจากการวิ่งเอาหัวโหม่งเสาครานั้นก็เปลี่ยนไปจริงๆ แบบนี้นางค่อยวางใจหน่อย “ถ้าเช่นนั้น พรุ่งนี้เช้าพวกเราพาเด็กๆ ของท่านแม่ของเดิ
บทที่ 11 มารดาของนางเป็นมาเฟียเจ้าข้าเอ้ย ตอนปลาย “โฮ นายหญิงใหญ่ อาอวี่สำนึกผิดแล้วขอรับ นายหญิงใหญ่ตีข้าเถิด แต่อย่าส่งข้ากลับไปตลาดค้าทาสเลยนะขอรับ” ชายหนุ่มที่ชื่ออาอวี่ ปรี่เข้ามากอดขาของเย่หลินร้องไห้คร่ำครวญสำนึกผิด เขาไม่อยากกลับไปที่ตลาดค้าทาสอีก “สำนึกผิดแล้วแน่นะ” เย่หลินถามเสียงเย็น “ฮึก สำนึกผิดแล้วจริงๆ ขอรับ” อาอวี่พยักหน้ารัวเป็นไก่จิกข้าวสารทั้งน้ำตา “ดี ถ้าเช่นนั้นไปขอโทษอาเฟิงเสีย แล้วต่อไปห้ามล้อเลียนเรื่องความชอบส่วนตัวของผู้อื่นอีกเข้าใจหรือไม่” เย่หลินหรี่ตามองลูกหมาตัวน้อย ที่เกาะแข้งเกาะขานางร้องห่มร้องไห้ด้วยแววตาคมปลาบ “ขอรับนายหญิงใหญ่” หลังจากรับปากเย่หลินเป็นมั่นเหมาะ ชายหนุ่มจึงหันไปขอโทษสหายทันที “อาเฟิงข้าขอโทษ อย่าโกรธข้าเลยนะ” ครั้นเรื่องราวยุติลงได้ด้วยดี เย่หลินจึงหันมาถามอาเฟิงบ้าง “อาเฟิง เจ้าบอกข้ามาที ไฉนอาอวี่ถึงมาล้อเจ้าเรื่องนี้ได้” “เรียนนายหญิงใหญ่ เพราะข้าชอบปลูกและดูแลไม้ดอกขอรับ” อาเฟิงบอกความชอบของตนออกมาอย่างไม่ปิดบัง การได้ปลูกและดูแลไม้ดอกช่วยให้จิตใจของเขาสงบและผ่อนคลาย เย่หลินยกยิ้มอย่างพอใจ ดูท่าว่านางหาคนงานที่ดีให้บุต
บทที่ 11 มารดาของนางเป็นมาเฟียเจ้าข้าเอ้ย ตอนต้น หลังหย่าร้าง เสวี่ยหนิงยังคงพักอยู่ในจวนอันตงป๋ออีกหลายวัน เพื่อรอให้หน้าหายบวม ระหว่างนี้นางได้ส่งซูลี่ไปแจ้ง เย่หลิน มารดาของเชียนเสวี่ยหนิงเรื่องที่นางหย่าร้างกับเหรินหมิงแล้ว เย่หลินประหลาดใจไม่น้อยที่บุตรีตัดสินใจหย่าหลังแต่งงานได้ไม่ถึงปี ทั้งที่ก่อนหน้านี้นางเคยท้วงติงว่าเหรินหมิงพึงใจซ่งเจียวเจียวอยู่ ทว่าเชียนเสวี่ยหนิงกลับดื้อรั้น วางแผนตกน้ำในงานเลี้ยงน้ำชาของจวนสกุลโกว จนเหรินซื่อจื่อที่ลงไปช่วยเหลือต้องแต่งบุตรีของนางเข้าจวนอย่างจำใจ สุดท้ายก็ไปกันไม่รอดจนได้ “เฮ้อ! สิ่งที่ข้ากังวลเกิดขึ้นจริงๆสินะ ซูลี่ แล้วคุณหนูของเจ้าคิดจะทำอย่างไรต่อนางได้บอกเจ้าหรือไม่” “นายหญิงกำลังสร้างบ้านอยู่บนที่ดินในหมู่บ้านหว่านเซิน ตั้งใจจะทำสวนปลูกผักรูปแบบผสมผสาน พร้อมสร้างมินิรีสอร์ทที่นั่นเจ้าค่ะ นายหญิงใหญ่” พรวดดด! แค่กๆๆ เย่หลินสำลักน้ำชายามได้ยินว่าบุตรีจะไปทำสวน หนิงเอ๋อร์ของนางไม่เคยจับแม้กระทั่งไม้กวาด แล้วจะไปทำสวนปลูกผักเนี่ยนะ! หลังหายจากอาการสำลัก จึงถามไถ่ซูลี่อีกครั้งเพื่อความแน่ใจ “หนิงเอ๋อร์ของข้าจะไปทำสวน แล้วจ