บทที่ 4 แล้วนั่นแผ่นอกหรือกำแพงกันแน่พ่อคุณ ตอนต้น
คล้อยหลังซ่งเจียวเจียว เหรินหมิงที่ไม่เคยเห็นเชียนเสวี่ยหนิงร่ำไห้มาก่อนถึงกับทำสิ่งใดไม่ถูก เพราะปกติเขาเคยเห็นแต่นางทำซ่งเจียวเจียวเสียน้ำตาเกือบทุกครั้งยามพบหน้ากัน ใบหน้ามึนตึงก่อนหน้านี้อ่อนลงหลายส่วน เหรินหมิงกำลังจะเอ่ยปากปลอบใจภรรยาที่กำลังซับน้ำตาบนพวงแก้ม ทว่าร่างบางกลับหันไปเจรจากับหลงจู๊ของร้านเสียก่อน “ฮึก หลงจู๊เจ้าคะ ข้าคงไม่มีอารมณ์ซื้อภาพวาดอักษรชิ้นนี้แล้ว ฮึก ขอท่านโปรดอภัยที่ข้าเสียมารยาทด้วย” เสวี่ยหนิงกล่าวคำเจือเสียงสะอื้น พาให้หลงจู๊ที่ยังเป็นบุรุษวัยฉกรรจ์ปวดใจไม่น้อย ถึงแม้เชียนเสวี่ยหนิงจะเป็นสตรีร้ายกาจ หากแต่ความงามของหญิงสาวไม่ด้อยไปกว่าซ่งเจียวเจียวเลยสักนิด ยิ่งยามที่ใบหน้าปราศจากแป้งชาดแต่งแต้ม ความงามแท้จริงยิ่งเปล่งประกาย ดวงตากลมโตที่เคยดื้อรั้นถือดี มาบัดนี้หม่นหมองจนน่าสงสาร หลงจู๊มองย้อนไปถึงเรื่องราวในอดีต หลายครั้งที่เชียนเสวี่ยหนิงและซ่งเจียวเจียวพบกันที่นี่ ส่วนใหญ่จะเป็นซ่งเจียวเจียวเดินเข้าไปทักทายอีกฝ่ายก่อนเป็นประจำ ทั้งที่รู้ว่าเชียนเสวี่ยหนิงไม่ชอบหน้าตน…เหมือนดังเช่นในวันนี้ ‘อ้า หรือว่าที่แท้คุณหนูซ่งเข้าไปยั่วยุอารมณ์เหรินฮูหยินน้อยก่อน ถึงได้โดนอีกฝ่ายตอบโต้กลับด้วยถ้อยคำรุนแรงเสียทุกครั้งไป แต่จะว่าไป สตรีดีๆที่ไหนจะเข้าไปข้องแวะกับสามีคนอื่น ทั้งยังไปไหนมาไหนด้วยกันอีกด้วย เห็นทีว่าเรื่องนี้มีเบื้องหน้าเบื้องหลังไม่ธรรมดา‘ เมื่อตรองได้ดังนั้นหลงจู๊จึงยกยิ้มให้หญิงสาวอย่างอ่อนโยน ทั้งกล่าวว่าไม่เป็นอะไรเขาเข้าใจ ขอนางอย่าคิดมาก หากชอบภาพวาดอักษรนี้จริงๆ เขาจะเก็บไว้ให้ก่อน หากอีกสามวันนางไม่กลับมาดูอีกครั้ง เขาถึงจะนำออกมาแสดงไว้ดังเดิม เสวี่ยหนิงค้อมศีรษะเล็กน้อยอย่างสุภาพ แสดงความขอบคุณอย่างจริงใจ จากนั้นจึงก้าวออกไปจากร้านโดยไม่สนใจเหรินหมิงที่ยืนอ้าปากค้างอยู่ หญิงสาวเดินตรงไปยังที่จอดรถม้าจากนั้นจึงสั่งสารถีให้พานางไปยังเหลาอาหารต่อไป “พานข่าย ไปเหลาหงส์ฟ้า” นางเสียพลังงานจากการร้องไห้ไปไม่น้อย ต้องไปกินทดแทนเสียหน่อย เห็นทีว่าเจ้าของร่างคงรักสามีไร้ใจผู้นั้นมาก พอได้เห็นเขากับซ่งเจียวเจียวอยู่ด้วยกันตำตาแบบนี้ ความรู้สึกสะเทือนใจถึงได้เอ่อท้น จนกลั่นเป็นหยาดน้ำตาออกมาโดยไม่ต้องเสแสร้ง หรือใช้ตัวช่วยใดๆ ช่างน่าเห็นใจเสียจริงเชียนเสวี่ยหนิง ฝ่ายเหรินหมิงที่ถูกทิ้งอยู่ในร้านตำรา ยืนทอดถอนใจให้กับสถานการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น จากนั้นจึงเดินไปเจรจาบางอย่างกับหลงจู๊… เหลาอาหารหงส์ฟ้า ในห้องอาหารส่วนตัวชั้นสอง เสวี่ยหนิงทำสิ่งที่นางตั้งใจไว้จริงๆ นั่นคือการกินทดแทนพลังงานที่เสียไปจากการร้องไห้ อาหารสิบอย่างถูกสั่งมาขึ้นโต๊ะ เรียกได้ว่ามีครบทั้งหมูเห็ดเป็ดไก่ปลาและผัก เสี่ยวเอ้อร์ที่ยกอาหารมา แอบเหลือบมองหญิงสาวอย่างสงสัย ตัวเล็กแค่นี้จะกินเข้าไปหมดได้อย่างไร สาวใช้สองซูเห็นสายตาของเสี่ยวเอ้อร์ ก็พอคาดเดาความคิดอีกฝ่ายออก ซูฮวาจึงก้าวไปกระซิบก่อนที่เขาจะออกไปจากห้องว่า “หมดหรือไม่เดี๋ยวเจ้าก็รู้เอง” และเมื่อประตูปิดลง “มาๆนั่งลง เดี๋ยวเย็นหมดแล้วจะไม่อร่อย” เสวี่ยหนิงส่งเสียงเรียกสาวใช้ให้รีบนั่งลงกินข้าวด้วยกัน นางทำแบบนี้ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาในร่างของเชียนเสวี่ยหนิง จะให้นั่งกินคนเดียวมันไม่อร่อย ต้องแย่งกันกินถึงจะเจริญอาหาร คราแรกพวกนางก็ไม่กล้านั่งกินอาหารร่วมโต๊ะกับเจ้านาย แต่เป็นเพราะโดนขู่ด้วยประโยคประกาศิตที่ว่า “ในเมื่อเป็นสาวใช้ที่ดี ย่อมต้องทำตามคำสั่งของเจ้านาย ใครกล้าขัดใจ เดี๋ยวแม่สั่งวิดพื้นตามด้วยกระโดดกบรอบจวน!” แค่ลองทำท่าวิดพื้นพอเป็นประสบการณ์อย่างเดียว พวกนางยังตัวระบมไปสามวัน ขืนเจอท่ากระโดดกบร่วมด้วย มีหวังไม่ต้องลุกขึ้นมาจากที่นอนกันพอดี สองเค่อต่อมาอาหารสิบอย่างบนโต๊ะก็หมดเกลี้ยง เสวี่ยหนิงและสาวใช้สองซูนั่งลูบพุงอย่างสบายใจ เมื่อเห็นว่านายของตนอารมณ์ดีขึ้นมากแล้ว ซูลี่จึงเอ่ยปากถาม “นายหญิงเจ้าคะ เรื่องในวันนี้ ท่านคิดว่าจะไม่เป็นอะไรแน่หรือเจ้าคะ” นึกถึงสีหน้าเหรินซื่อจื่อแล้ว นางอดกังวลไม่ได้ “เจ้าจะกลัวไปไย ข้าไม่ได้ทำสิ่งใดผิดเสียหน่อย เหรินซื่อจื่อกับคนรักของเขา อยากเข้ามาหาเรื่องข้าก่อนทำไม อยากเขวี้ยงหินใส่คนอื่นก่อน แล้วหวังว่าคนอื่นจะโยนดอกไม้กลับไปให้อย่างนั้นหรือ ฝันไปเถอะ!” คนอย่างเสวี่ยหนิงไม่มีทางยอมให้ใครหน้าไหนรังแกอยู่แล้ว ถึงนางจะไม่ใช่คนดีอะไร แต่นางก็ไม่เคยทำร้ายใครก่อน หลังจากยื่นถุงเงินให้สาวใช้ไปจ่ายค่าอาหาร เสวี่ยหนิงก็เดินตัวปลิวอย่างร่าเริงตรงไปยังประตูทางออก และในชั่วขณะนั้นเอง หางตาเผอิญเหลือบไปเห็นขนมหวาน ที่ตั้งอยู่บนโต๊ะของลูกค้าโต๊ะหนึ่งเข้า หญิงสาวจึงหยุดมองและพิจารณารูปร่างหน้าตาของขนมชิ้นนั้น ความคิดในเรื่องวิธีส่งเสริมการขายผักของนางพลันผุดขึ้นในหัว “รู้แล้วว่าจะดึงดูดลูกค้าอย่างไร” ร่างบางดีดนิ้วอย่างชอบใจ ก่อนหันกลับมาเพื่อที่จะเดินต่อ แต่ทว่า… ปึ้กกก!! “อ๊ะ” เสวี่ยหนิงหน้ากระแทกเข้าแผ่นอกแน่นปึ้กในชุดผ้าไหมสีดำของคนผู้หนึ่ง แรงปะทะทำนางกระเด้งถอยหลัง เกือบล้มก้นจ้ำเบ้า หากแต่ถูกลำแขนแกร่งรวบเอวช่วยไว้ได้ก่อนตอนพิเศษ ตัวป่วนแห่งตำหนักหรงจวิน ตอนปลาย ส่วนทางด้ายเว่ยเฉินฮ่าว “ท่านยายขอรับ แส้หนังที่ท่านยายมอบให้ พี่หลางจื่อแอบเอาไปแทะเล่นจนขาดแล้วขอรับ ฮ่าวเอ๋อร์ไม่กล้าบอกท่านแม่ กลัวพี่หลางจื่ออดกินหูหมู” “…” เย่หลิน โถ พ่อทูนหัวของยาย “รอยายกลับถึงจวนแล้วจะส่งแส้อันใหม่มาให้นะเด็กดี” จากนั้นสามคนยายหลาน ก็จับจูงกันไปยังลานฝึกยุทธ์ด้านหลัง เพื่อฝึกการปามีดบินและซัดเข็มเงิน เว่ยลี่หยางทำได้เพียงยืนหน้ากระตุก แต่มิอาจกล่าวคำใด ให้เป็นการกระทบกระเทือนจิตใจแม่ยายที่แสนดีของตน ขอเพียงนางไม่พาลูกๆคนใดคนหนึ่งของเขา ไปตำหนักจันทราอันเร้นลับเป็นใช้ได้ จะสอนปามีดบิน ซัดเข็มเงิน ใช้แส้ หรือแม้แต่วิชาตัวเบาอันล้ำเลิศ เขาย่อมไม่ขัดขวาง ช่วงบ่ายวันหนึ่งในฤดูคิมหันต์ที่อากาศร้อนอบอ้าวอย่างถึงที่สุด เสวี่ยหนิงเดินตามหาบุตรทั้งสามของตนไปทั่วตำหนัก แต่หาเท่าไหร่ก็หาไม่พบ ผู้เป็นมารดาเริ่มสังหรณ์ใจไม่ดี กลัวว่าจะมีคนคิดร้ายมาลักตัวลูกๆของนางไป ผ่านไปครู่หนึ่งหลิวอินก็มารายงานด้วยสีหน้าพิลึกพิลั่น “เรียนพระชายา กระหม่อมหาตัวทายาทของจวนอ๋องพบแล้วพะย่ะค่ะ” “เด็กๆอยู่ที่ไหน ท่านพี่รีบบอกพระชายามาเร็ว อย
ตอนพิเศษ ตัวป่วนแห่งตำหนักหรงจวิน ตอนต้น ณ ลานฝึกยุทธ์ท้ายตำหนักหรงจวิน เว่ยเทียนฉี มองพี่สาวฝาแฝดที่กำลังฟาดฟันดาบไม้กับหุ่นฟาง ส่งเสียงร้อง ย๊าก! ย๊าก! ย๊าก! ดังลั่น ช่างไม่มีความเป็นกุลสตรีเอาเสียเลย เป็นถึงจวิ้นจู่ผู้สูงศักดิ์แต่กลับประพฤติตัวราวม้าดีดกระโหลก หากท่านทวดไทเฮาทราบเรื่อง มีหวังเว่ยลี่จวินได้ถูกเรียกตัวเข้าวัง ไปอบรมกิริยามารยาทตามแบบฉบับเชื้อพระวงศ์เป็นรอบที่เท่าไหร่ก็มิอาจนับได้… เฮ้อ! ไฉนเขาถึงเกิดวันเดียวกันกับนางได้ล่ะเนี่ย ต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ๆ! หลังจากทอดถอนใจเรื่องของพี่สาวจบ ท่านอ๋องน้อยก็ดึงสายตากลับไปมองน้องชายผู้อ่อนหวานของตน ครั้นเห็นว่าเว่ยเฉินฮ่าวกำลังทำสิ่งใด ผู้เป็นพี่ชายมุมปากกระตุกไม่หยุด ท่านชายน้อยผู้งดงาม กำลังตั้งท่าขุดดินอยู่ข้างกำแพง โดยมีนางกำนัลทั้งสองเป็นผู้ช่วย ทั้งสามสุมหัวปรึกษากันว่า วันนี้จะต้องขุดช่องหมาลอดให้มีขนาดเท่ากับตัวเว่ยเฉินฮ่าว ห้ามเล็กหรือใหญ่ไปกว่านี้ เพราะเขากลัวว่าพี่หลางจื่อจะแอบมุดออกไปเที่ยว! “…” เว่ยเทียนฉี ให้ตายสิ! พี่ชายอย่างเขาเห็นแล้วอยากกุมขมับ เพียงแค่ได้ฟังเรื่องราวการพบรักของเสด็จพ่อและเสด็จ
ตอนพิเศษ เมื่อสวรรค์ให้โอกาส /4 นักเลงทั้งสามเงียบงันไปชั่วครู่ หน้าตาเลิ่กลั่กพยายามหาข้อแก้ตัว “อ๋อ ขะ ข้า…ข้าจำผิดน่ะ มิใช่เมื่อวาน แต่เป็น…เมื่อวันก่อน! ใช่แล้วเมื่อวันก่อน!” คราวนี้สุ่ยเจียวเจียวยิ้มเย็น นิ้วเรียวพลิกบันทึกไปอีกหน้า “วันก่อนอย่างนั้นรึ? ขออภัยเถิด ที่ร้านทำ ไส้ลูกบัวขายไปสองร้อยชิ้น ไม่มีถั่วแดงเช่นกันเจ้าค่ะ” เสียงฮือฮาเริ่มดังมาจากกลุ่มชาวบ้านที่มามุงดู “โอ้โห…ว่าแล้วเชียว! ที่แท้มาก่อกวนนี่เอง” “หน็อยแน่ ปล่อยไก่กลางตลาดเลยนะนั่น” นักเลงทั้งสามคนหน้าแดงก่ำ พวกเขาไม่รู้นี่ว่าร้านเล่อสุ่ยขายเซาปิ่งในแต่วันมีไส้ต่างกันไป ถูกจ้างมาให้ก่อกวนก็ทำตามหน้าที่ ไม่คิดว่าจะพลาดท่าเผลอปล่อยไก่ออกมาเยี่ยงนี้ “ข้า เอ่อ ข้าอาจจะจำผิดร้านก็เป็นได้! ช่างเถิด! ไม่เอาเรื่องแล้ว!” ชาวบ้านบางคนเริ่มโห่ไล่หลัง นักเลงทั้งสามคนหน้าซีดเป็นไก่ต้ม วิ่งหนีหายไปในพริบตา ทิ้งไก่ตัวใหญ่หน้าแหกไว้หน้าร้านน้ำชาเล่อสุ่ย สุ่ยเจียวเจียวหันมายิ้มแย้มกับลูกค้าและคนที่มามุงดู…คิดว่าเล่นงานนางแบบนี้ แล้วจะลอยนวลไปง่ายๆ อย่างนั้นหรือ ในเมื่อมีคนกล้ามาหาเรื่องนางก่อนถึงที่ แล้วเรื่องอะไรที่นาง
ตอนพิเศษ เมื่อสวรรค์ให้โอกาส /3 ซ่งจงเจิ้งใบหน้าดำคล้ำ เขวี้ยงจอกชาลงบนพื้น ทั้งร่างสั่นสะท้านด้วยโทสะสูงเสียดฟ้า เขาชี้มือสั่นเทามาที่บุตรี บริภาษนางเสียงดังว่าไร้หัวคิดและไร้ประโยชน์เหมือนมารดาไม่มีผิด ซ่งเจียวเจียวที่ยังคุกเข่าอยู่บนพื้นกัดริมฝีปากด้านในจนเลือดซิบ นางตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่า ต้องออกไปจวนสกุลซ่งให้ได้ ชีวิตใหม่ที่สวรรค์มอบให้ครั้งนี้ นางจะไม่มีวันทำมันพังอีกเป็นอันขาด “ขอใต้เท้าซ่งโปรดเมตตาข้าด้วยเจ้าค่ะ” ซ่งเจียวเจียวโขกศีรษะอ้อนวอนบิดา “ขอใต้เท้าโปรดเมตตาคุณหนูเถิดเจ้าค่ะ” เสี่ยวหมี่รีบคุกเข่าอ้อนวอนอีกแรง เรื่องนี้รู้ไปถึงหูของเนี่ยซื่อ นางรีบมาช่วยเกลี้ยกล่อมสามี ให้ตัดชื่อซ่งเจียวเจียวออกจากตระกูลอย่างไม่รีรอ “ท่านพี่เจ้าคะ ในเมื่อคุณหนูใหญ่หาได้เคารพเชื่อฟังท่านดั่งในคำสอนคุณธรรมสตรี ยังไม่รวมเรื่องที่นางทั้งหัวรั้น อละมักก่อเรื่องให้ท่านปวดหัวอยู่เป็นประจำ สกุลซ่งต้องเสียชื่อเสียงเพราะนางก็ตั้งหลายหนแล้วนะเจ้าคะ เนื้อร้ายหากปล่อยไว้ในอนาคตก็ยิ่งจะลุกลาม มิสู้ตัดทิ้งเสียแต่เนิ่นๆ จะเป็นการดีกว่า!” หากซ่งเจียวเจียวถูกตัดชื่อออกไปจริง ต่อไปซินเอ๋อร์ของนางก็
ตัวนางเองมีฝีมือในเรื่องการออกแบบตัดเย็บเสื้อผ้า แม้แต่ฮูหยินรองที่ปกติไม่ถูกกันยังเอ่ยปากชมยามเห็นชุดที่นางใส่ เพราะคิดว่านางไปสั่งตัดมาจากข้างนอก สองวันต่อมาซ่งเจียวเจียวได้สั่งสารถีให้พานางไปยังเมืองเหอผิงซึ่งเดินทางด้วยรถม้าราวชั่วยามกว่าๆ นางต้องการมาดูสถานที่ ศึกษาข้อมูลและหลักเกณฑ์การเปิดร้านของเมืองเหอผิง หลังจากเสร็จธุระจึงไปหามื้อกลางวันกินยังร้านอาหารที่อยู่ไม่ไกล เพียงแต่ขณะที่กำลังเจรจากับหลงจู๊ของร้านอาหารเพื่อถามหาห้องส่วนตัวอยู่นั้น ได้มีชายหนุ่มสามคนที่เดินผ่านหน้าร้านอาหารแห่งนี้สายตาพลันสะดุดเข้ากับความงามของซ่งเจียวเจียวเข้าพอดี คนที่ลักษณะดูแล้วน่าจะเป็นหัวหน้าเดินอาดๆตรงมาหานางด้วยท่าทางอวดดีกึ่งลวนลาม “คุณหนูท่านนี้ช่างงดงามดุจนางเซียนข้าไม่เคยเห็นท่านที่เมืองเหอผิงมาก่อน ในเมื่อมีวาสนาได้พบกันไม่ทราบว่าคุณหนูพอจะให้เกียรติข้าได้เลี้ยงอาหารท่านในวันนี้จะได้หรือไม่” พูดจบก็ยกมือขึ้นมาหมายจะสัมผัสมือของซ่งเจียวเจียวทว่าหญิงสาวขยับเท้าก้าวถอยหลังหนีได้ทัน หลงจู๊ผู้ดูแลร้านลอบกลอกตามองบน เมื่อเห็นหน้าเทพโรคระบาดแห่งเมืองเหอผิง ‘นางน่ะหน้าตางดงาม แต่เจ้านี่สิ
ตอนพิเศษ เมื่อสวรรค์ให้โอกาส “ข้าจะฆ่าเจ้านังสารเลว” ตวนอ๋องคำรามลั่นก้องรถม้าที่กำลังดิ่งลงเหว แข่งกับเสียงหัวเราะบ้าคลั่งอย่างคนเสียสติของซ่งเจียวเจียว “ฮ่าๆๆๆลงนรกไปพร้อมกับข้าเสียเถิดเจ้าคนชั่วช้า!” ทุกอย่างรอบตัวหมุนคว้างก่อนจะเกิดแรงกระแทกหนักหน่วง ยามที่รถม้ากระทบหินก้อนใหญ่ก้นเหวตัวรถแตกเป็นเสี่ยงๆเสียงเนื้อไม้แตกหักกรีดผ่านอากาศ แรงเหวี่ยงกระชากให้ร่างกายของซ่งเจียวเจียวกระเด็นออกมาจากรถม้า ลอยไปกระแทกหินก้อนใหญ่อีกก้อนนางเจ็บปลาบไปทั่วทั้งร่างกระอักเลือดออกมามากมาย ก่อนที่แสงสุดท้ายในดวงตาจะดับลง ชีวิตที่เต็มไปด้วยความเคืองแค้นริษยาเกลียดชังทำทุกอย่างเพื่อเอาชนะของซ่งเจียวเจียว…บัดนี้ได้สิ้นสุด ซ่งเจียวเจียวเดินอย่างเหม่อลอยไร้จุดหมายรอบกายเต็มได้ด้วยม่านหมอกสีขาวและความเงียบงัน ใบหน้าของนางเฉยชาราวกับไร้ซึ่งอารมณ์ทว่าปากกลับพร่ำบ่นว่าสวรรค์ช่างอยุติธรรม นางเดินอยู่ในหมอกขาวนั้นนานเท่าไหร่มิอาจทราบได้ ทว่าจู่ๆก็เกิดแสงสว่างวาบขึ้นเบื้องหน้าพร้อมการปรากฏของชายชรา ทั้งเรือนผมหนวดเครารวมถึงชุดล้วนเป็นสีขาวบริสุทธิ์ดุจหิมะแรก เขาเอ่ยวาจากับซ่งเจียวเจียวด้วยน้ำเสีย