บทที่ 6 ปะทะคารม ตอนต้น
คนเฝ้าประตูเหงื่อเย็นแตกท่วมแผ่นหลัง ฮูหยินน้อยเชียนเสวี่ยหนิงขึ้นชื่อเรื่องความร้ายกาจมาแต่ไหนแต่ไร สิ่งที่นางเพิ่งกล่าวออกมา คงจะไม่ใช่เพียงแค่ข่มขู่แน่นอน แต่หากพวกเขาปล่อยนางออกไป ก็จะมีความผิดฐานขัดคำสั่งเหรินซื่อจื่อ นายเหนือหัวที่พวกเขาขึ้นตรง ชีวิตบ่าวไพร่อย่างพวกเขาช่างแขวนอยู่บนเส้นด้ายจริงๆ “ฮูหยินน้อย โปรดเห็นใจด้วยเถิดขอรับ พวกข้าน้อยมิอาจขัดคำสั่งของนายท่านได้จริงๆ มิฉะนั้นพวกข้าน้อยคงโดนนายท่านเล่นงานเป็นแน่” สีหน้าของคนเฝ้าประตู ดูอย่างไรก็เหมือนหมาน้อย ที่กำลังส่งสายตาวิงวอนตอนขอกระดูกไก่ในมือ เสวี่ยหนิงเห็นแล้วใจอ่อนยวบ เกือบยกมือขึ้นมาลูบหัวพวกเขาอย่างลืมตัว… ทว่านางมาเพื่อเก็บคะแนนโหวตเรื่องความร้ายกาจ ไม่เคารพกตัญญูต่อพ่อแม่สามีสำหรับยกเป็นข้ออ้าง ในการใช้กฎเจ็ดขับ* หรือแปดขับอะไรนั่นแหละ เพื่อขับไล่ตัวนางออกจากจวนอันตงป๋อแห่งนี้ เมื่อตั้งใจมาเก็บคะแนน ก็ต้องได้คะแนนกลับไป! เสวี่ยหนิงรีบสวมบทนางร้ายอย่างในละคร เปลี่ยนมาเท้ายืนสะเอว ถลึงตา เบะปาก ตวาดเสียงดังฟังดูก้าวร้าวใส่คนเฝ้าประตู “พวกเจ้ากล้าขวางทางข้าอย่างนั้นรึ! ดี! ในเมื่อกล้ากำแหงกับข้าก็อย่าหาว่าข้าไม่เตือน!” จากนั้นจึงหมุนตัวกลับมาขยิบตาให้สาวใช้ เหมือนอย่างที่นัดกันไว้ระหว่างเดินมา “ซูลี่ ซูฮวา ลงมือ!” “เดี๋ยวพอข้าสั่งให้พวกเจ้าลงมือ พวกเจ้าตีหน้ายักษ์ ส่งเสียงข่มขวัญ เงื้อไม้สูงๆ ทำท่าเหมือนจะฟาดลงมาใส่หน้า สองคนนั้นต้องยกมือขึ้นมาปิดหน้าแน่ จากนั้นพวกเจ้าก็หวดก้นสองคนนั้นเร็วๆ ไปคนละสามที ไม่ต้องแรงมากนะเอาแค่พอคันๆ ตามด้วยออกแรงผลักให้ล้มก้นจ้ำเบ้าเลยนะ พอเสร็จแล้วค่อยสะบัดบ็อบเดินกลับมาหาข้า ตกลงนะ” “…” สาวใช้สองซู “อะไรคือ สะบัดบ็อบเจ้าคะ” เสวี่ยหนิงเลยทำท่าสะบัดบ็อบให้สองสาวดู หลังได้รับสัญญาณจากนายหญิง สาวใช้สองซูรีบปั้นหน้ายักษ์ถลึงตาแยกเขี้ยว ส่งเสียงข่มขวัญตามคำสั่งทันที “ย้ากกกกก! บังอาจขัดคำสั่งนายหญิงของพวกข้า อย่าอยู่เลย!” “ฮูหยินน้อย…อย่าทำแบบนี้เลยขอรับ ม่ายยย” คนเฝ้าประตูร้องเสียงหลง ยกมือแขนขึ้นปิดหน้าตามที่คาดการณ์ไว้ “นี่แน่ะ อยากกล้ากำแหงกับนายหญิงของข้า ไม่เจียมกะลาหัว!!!” ตุ๊บๆๆ พลั่ก “อ๊ากกก!!” คนเฝ้าประตูล้มก้นจ้ำเบ้า สาวใช้สองซูเดินสะบัดบ็อบกลับมาหานายหญิง เสวี่ยหนิงกลั้นขำจนไหล่สั่นหันไปกระซิบกระซาบกับสาวใช้ “พวกเจ้าสองคนทำดีมาก ครั้งหน้าเพิ่มเสียงระหว่างตีอีกหน่อย จะได้ดูเหมือนข้าโหดเหี้ยมอำมหิตกว่านี้อีกนิด ข้าแอบเห็นบ่าวของฮูหยินผู้เฒ่ามาด้อมๆมองๆพอดี เชื่อเถอะว่าตอนนี้เรื่องถึงหูมารดาของเหรินหมิงแล้ว ฮี่ๆๆๆ” เสียงหัวเราะชั่วร้ายค่อนไปทางชอบใจของเสวี่ยหนิงดังขึ้นครู่สั้นๆ สาวใช้สองซูกลั้นขำพยักหน้ารับเบาๆ พยายามรักษาสีหน้าดุร้ายตามที่นายหญิงสั่ง บ่าวตัวน้อยอีกคนที่ยังไม่ถูกเล่นงาน ยืนหน้าซีดขาวเพราะเห็นฤทธิ์เดชของไม้ตีสุนัขเต็มสองตา รีบขยับขาแจ้นไปเปิดประตูให้เสวี่ยหนิงอย่างไว หาไม่แล้วเขาคงกลายเป็นสุนัขถูกตีเหมือนคนเฝ้าประตู “เชิญขอรับฮูหยินน้อย เดินดีๆ นะขอรับ” พร้อมกล่าวอวยพรตามหลังอย่างมีมารยาท หญิงสาวทั้งสามเชิดคาง ถือไม้ตีสุนัขดุจคฑาศักดิ์สิทธิ์ สับขาออกจากจวนอันตงป๋อด้วยท่วงท่าสง่างาม ประหนึ่งนางพญาเดินอยู่บนพรมแดงตามที่เสวี่ยหนิงให้คำจำกัดความ แววตาของหญิงสาววาววับ ประกาศชัยชนะอย่างชัดเจน “ชิ อย่าหวังว่าจะกักขังหรือบงการชีวิตเสวี่ยหนิงคนนี้ได้หน่อยเลย” ช่วงระหว่างที่เสวี่ยหนิงและสาวใช้ ออกไปทำธุระนอกจวนอยู่นั้น สาวใช้จากเรือนเสียนสุ่ยก็รีบนำข่าวมาฟ้องนายของตน ฮูหยินผู้เฒ่าฝางยกมือทาบอก ลูกประคำในมือสั่นระริก เมื่อได้ยินว่าเชียนเสวี่ยหนิงสั่งให้สาวใช้ทุบตีบ่าวชายผู้มีหน้าที่เฝ้าประตู “โอย ข้าจะเป็นลม! อุตส่าห์คิดว่านางสำนึกได้แล้วเสียอีก ที่ไหนได้ยังคงร้ายกาจเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน” ราวยามต้นยามโหย่ว (17:00-18:59) ทั้งสามก็กลับถึงจวน พ่อบ้านเหอจิ้งมายืนรอเสวี่ยหนิงตามคำสั่งของเหรินหมิงอีกวัน “ฮูหยินน้อยขอรับ นายท่านเรียกไปพบขอรับ” “ข้าไม่ไป พ่อบ้านเหอช่วยบอกนายท่านด้วย ว่าถ้าอยากให้ข้าไปพบ ก็ต้องยอมมอบหนังสือหย่าให้ข้าเสียแต่โดยดี” กล่าวจบก็เดินกลับเรือนโดยไม่สนใจท่าทีของพ่อบ้านเหอ เหรินหมิงสีหน้ามืดครึ้มบดกรามแน่นจนขึ้นเป็นสัน เชียนเสวี่ยหนิงตั้งใจประกาศให้ทุกคนในจวนรับรู้ ว่านางกำลังต่อต้านเขาอย่างเปิดเผย ขนาดเรียกมาพบก็ยังไม่ยอมมา “ดื้อรั้นยิ่งนัก แล้วเราจะได้เห็นดีกัน!” ชายหนุ่มก้าวออกไปจากเรือนของตน ตรงไปยังเรือนอวี้หลิงของเชียนเสวี่ยหนิง ****************** *กฎเจ็ดขับ : เงื่อนไขในการหย่าร้างที่กำหนดไว้ในยุคจีนสมัยโบราณ คือ ภรรยาผู้นั้นต้องไร้บุตร, คบชู้, ไม่เชื่อฟังบิดามารดาสามี, พูดมาก,ลักเล็กขโมยน้อย, อิจฉาริษยา หรือเป็นโรคร้าย หากเข้าข่ายหนึ่งในเจ็ดลักษณะ ผู้เป็นสามีสามารถมอบหนังสือหย่า ขับไล่นางออกจากบ้านได้ทันทีบทที่ 15 ปลูกพริกหวานทำพูเเหมือนจะปลูกต้นรัก ตอนปลาย หญิงสาวหยุดมือ พูดตอบเสียงร่าเริง “ไม่เหนื่อยหรอก ข้าชอบปลูกผักมากเลยล่ะ” คนตัวโตไม่เอ่ยคำใดต่อ เพียงยกยิ้มอ่อนโยนก่อนจะคุกเข่าลงข้างๆนาง หยิบต้นกล้ามาหนึ่งต้น ใช้ช้อนปลูกขุดดินอย่างคนที่รู้ดีว่าต้องทำอย่างไร “ไม่น่าเชื่อว่าทหารเก่าอย่างเจ้าปลูกผักได้คล่องแคล่วขนาดนี้” เสวี่ยหนิงแอบมองอย่างแปลกใจ “ก็ไม่เท่านายหญิงหรอกขอรับ แต่ถ้าได้ปลูกข้างๆท่าน จะให้ปลูกทุกวันข้าก็ยินดี” มือที่กำลังจะกดดินของหญิงสาวชะงักค้าง หน้าร้อนผะผ่าวขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ “เจ้าพูดแบบนี้อีกแล้วนะ” บ่นพึมพำเบาราวเสียงกระซิบ พยายามเก็บอาการเก้อเขิน แต่พวงแก้มขึ้นสีระเรื่อจนปิดไม่มิด เว่ยลี่หยางเหลือบมองด้วยแววตาทอประกายยิ้มๆ “ข้าพูดความจริง นายหญิงรู้ไหม ตอนท่านจับต้นกล้าอย่างตั้งอกตั้งใจน่ะ ข้ารู้สึกริษยาต้นกล้าพวกนั้นที่ถูกท่านสัมผัสมาก” “พูดอะไรน่ะ! ข้าแค่ปลูกผักเอง” พวงแก้มที่แดงอยู่ก่อนแล้วยิ่งแดงขึ้นกว่าเก่า ซูฮวาที่นั่งยองๆปลูกพริกหวานอยู่ไม่ไกล ถึงกับเอามือปิดปากแอบร้อง “ว๊าย!” เบาๆแล้วรีบเบือนหน้าไปทางอื่น นางเขินแทนนายหญิงมาก! เว่ยลี่หยางรู้ส
บทที่ 15 ปลูกพริกหวานทำพูดเหมือนจะปลูกต้นรัก ตอนต้น หลางจื่อทำหน้าหมาหงอยหันมองพ่อจ๋าด้วยสีหน้าสุดสลด ประหนึ่งโลกทั้งใบกำลังจะแหลกสลาย ท่านอ๋องน้อยแห่งตำหนักหรงจวินผู้เย่อหยิ่ง ถูกสุนัขสาวตัวน้อยบดขยี้ศักดิ์ศรีไม่มีเหลือ มันสลัดขนแรงๆ อีกสองสามที จากนั้นเดินตัวเปียกชุ่มไปใต้ต้นเฟิงที่ใบหนาทึบ เงยหน้าจ้องตาหลิวอินที่แฝงตัวอยู่ในนั้น ก่อนเห่าสั่งการว่าให้พามันกลับบ้านไปอาบน้ำเดี๋ยวนี้! “โฮ่ว! โฮ่ว!” “เจ้า! ลงมา พาข้ากลับบ้านด่วน!” “…” หลิวอิน แล้วทำไมต้องเป็นข้าด้วย! จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ เว่ยลี่หยางเลยมีความคิดที่จะขอให้เสวี่ยหนิงและอวิ๋นเอ๋อร์ ช่วยดัดนิสัยดื้อรั้นเอาแต่ใจของหลางจื่อขึ้นมา หากมีอวิ๋นเอ๋อร์คอยควบคุมความประพฤติ หลางจื่อจะได้ไม่ก่อเรื่อง ตัวเขาจะได้มีเวลาคอยดูแลช่วยเหลือเสวี่ยหนิงอยู่ใกล้ๆ ได้อย่างเบาใจ…แต่คงต้องรออีกสักสองสามวัน รอให้หลางจื่ออารมณ์กลับมาเป็นปกติเสียก่อน เช้าตรู่วันถัดมา เสียงนกขับขานยามเช้า แสงแดดอ่อนส่องลอดหน้าต่างเข้ามาในห้องนอนของเว่ยลี่หยาง ชายหนุ่มขยับตัวลุกขึ้นบิดขี้เกียจยืดเส้นยืดสาย ล้างหน้าล้างตารับมื้อเช้าเตรียมออกไปทำสวนตามปกติ
บทที่ 14-2 ท่านอ๋องน้อยยอมสยบ ตอนปลาย เว่ยลี่หยางไปจนถึงองครักษ์เงาทุกคนดวงตาเบิกกว้าง อ้าปากค้าง ตะลึงลานกับภาพที่เห็น ท่านอ๋องน้อยยอมสยบ!!! ต่อสาวน้อยตัวฟูขาวจั๊วะเหมือนก้อนเมฆตัวนั้น!! “ระ เรื่องจริงใช่ไหม หลางจื่อยอมสยบต่ออวิ๋นเอ๋อร์ หรือข้าเมาแดด?” เจ้าของหมาพึมพำเบาๆ ขณะมองอวิ๋นเอ๋อร์เดินกลับมาอย่างสง่างามหางชูสูงเหมือนนางพญาตัวจิ๋ว เสวี่ยหนิงรับก้อนขาวฟูนุ่มขึ้นอุ้ม แล้วลูบหัวมันเบาๆเอ่ยชมเสียงหวาน “งู้ยย สุดยอด เก่งมากอวิ๋นเอ๋อร์ คราวหน้าเจ้าก็ช่วยดูพฤติกรรมของคนในสวนด้วยนะ โดยเฉพาะบางคนที่ชอบอู้งาน…แต่คอยมายืนแอบดูข้าแทน“ คนตัวโตสะดุ้งเล็กน้อย ยกมือเกาท้ายทอยอย่างเก้อเขิน ยิ้มแห้งๆเอ่ยแก้ตัว “ก็ข้ากลัวนายหญิงจะมีอันตราย หากข้าคลาดสายตาจากท่าน” “…” เสวี่ยหนิง “ไม่สิงข้าเสียเลยล่ะถ้าห่วงนักล่ะก็!” “หากทำได้จริงข้าทำแล้วขอรับนายหญิง” พูดจบก็ทำเฉไฉ เดินแบกท่อนไม้ไผ่ลงแปลงผักไปอย่างเนียนๆด้วยรอยยิ้มประดับมุมปาก ทิ้งร่างบางยืนอ้าปากค้างหาคำเถียงกลับไม่ทัน “เจ้าหมีบ้า ฝากไว้ก่อนเถอะ” ทางด้านหลางจื่อ เมื่อเห็นพ่อมาก็กระโจนพรวด! ทิ้งไม้ไผ่ที่แทะค้างไว้ แล้ววิ่งดุจพายุหมุนมาห
บทที่ 14 ท่านอ๋องน้อยยอมสยบ ตอนต้น กลับไปเย็นวันนั้น เสวี่ยหนิงตรงไปหามารดาที่กำลังฝึกไก่แจ้ตัวใหม่ เพราะไก่แจ้ตัวเดิมเริ่มอายุมาก เสียงขันตอนเช้าเลยไม่ไพเราะเพราะพริ้งสั่นสะเทือนแก้วหูเหมือนแต่ก่อน บนตักของเย่หลินในเวลานี้คือผู้ช่วยมือหนึ่ง ซึ่งกำลังจ้องไก่แจ้เขม็ง มองไปคล้ายผู้คุมกฎอย่างไรอย่างนั้น “ท่านแม่ อวิ๋นเอ๋อร์ ข้ากลับมาแล้วเจ้าค่ะ” เสวี่ยหนิงทิ้งตัวลงข้างมารดา ยื่นมือไปลูบหัวของเจ้าตัวขนฟูนุ่มสีขาวปลอด อวิ๋นเอ๋อร์ พริ้มตาขยับหัวถูไถมือบางอย่างเอาใจ ก่อนขยับลงจากตักของเย่หลินก้าวไปทิ้งตัวบนตักของเสวี่ยหนิงแทน พร้อมเงยขึ้นมองใบหน้างามด้วยสายตาคล้ายมีคำถามอยู่ในนั้น จมูกเล็กสูดกลิ่นฟุดฟิดทำท่าแยกเขี้ยวเล็กน้อย ส่งเสียง ฮื่อ ฮื่อ แผ่วเบา เย่หลินเห็นปฏิกิริยาของอวิ๋นเอ๋อร์จึงพอเดาได้ ว่ามันคงได้กลิ่นสุนัขตัวอื่นบนร่างกายของบุตรี “หนิงเอ๋อร์ไปเล่นกับสุนัขที่ไหนมาหรือ” “ท่านแม่ทราบได้อย่างไรเจ้าคะ” นางยังไม่ได้บอกสักคำ มารดากลับทราบเรื่องแล้ว สุดยอด! “แม่ดูหน้าอวิ๋นเอ๋อร์ก็รู้แล้ว มันฉลาดมากเจ้าก็รู้ คอยช่วยแม่ฝึกไก่แจ้ ม้าและลาทุกตัวในคอกจนเป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่มีใครกล้
บทที่ 13 ท่านอ๋องน้อยแห่งตำหนักหรงจวิน ตอนปลาย องครักษ์คนสนิทคิ้วกระตุก ท่าทางดูลังเล หากแต่ตัดสินใจพูดในสิ่งที่ตนคิดออกมา “หรือ…จะให้กระหม่อมพามันมาอยู่ด้วยกันที่นี่พะย่ะค่ะ” มือที่กำลังแกะกระดุมเสื้อหยุดชะงัก เริ่มทบทวนภาพที่อาจเกิดขึ้นในหัว ~หลางจื่อผู้สง่างามตัวโต ขนฟูราวราชสีห์ เดินเล่นอยู่กลางสวนผักพร้อมสายตาเย่อหยิ่งปราดมองคนงาน ราวต้องการบอกให้พวกเขาตั้งใจทำงานให้ดีๆ เหมือนตอนเดินตรวจแถวในกองทัพกับเขา และมีบางครั้งอาจเผลอไปกัดเชือกกั้นแผงผัก แถมเห่าไล่คนงานเพราะต้องการแย่งขนมเปี๊ยะ! กัดค้างแตงกวา ขุดดินหาไส้เดือน ลากขอนไม้มาแทะแทนของเล่น และทำเสียงครางฮือ ๆ ทุกครั้งที่เจ้าของเดินคุยกับคนอื่น เพียงแค่นึกภาพเว่ยลี่หยางรีบสั่นศีรษะ “อย่าเลย…ข้ายังไม่พร้อมให้ทั้งสวนอรุณรักและคนในหมู่บ้าน รู้ความจริงว่าหมาตัวนั้นคือ ท่านอ๋องน้อยแห่งตำหนักหรงจวิน” คนฟังกลั้นหัวเราะอย่างสุดขีด “พะย่ะค่ะ กระหม่อมจะกลับไปปลอบใจท่านอ๋องน้อยว่า จวิ้นอ๋องทรงมิได้ทอดทิ้งลูกรัก เพียงแต่ไปจีบสตรีผู้หนึ่งมาเป็นมารดาของท่านอ๋องน้อย” วันรุ่งขึ้น ณ สวนผักอรุณรัก เว่ยลี่หยางที่กำลังช่วยพานข่ายและคนงานอ
บทที่ 13 ท่านอ๋องน้อยแห่งตำหนักหรงจวิน ตอนต้น ห้าวันก่อน ต้าเชินคือหนึ่งในลูกน้องคนสนิทของเย่หลิน เขาชอบอยู่กับธรรมชาติ จึงอาสามาเป็นหัวหน้าคนงานให้เชียนเสวี่ยหนิง นอกจากดูแลความเป็นระเบียบเรียบร้อยของลูกน้องทุกคนแล้ว ต้าเชินยังมีหน้าที่คัดเลือกคนงานที่มาสมัครใหม่แทนเสวี่ยหนิงซึ่งติดธุระในวันนั้นอีกด้วย ในช่วงเช้าขณะที่เขาไปตั้งโต๊ะรับสมัครคนงานในหมู่บ้านหว่านเซิน ตามคำแนะนำของหัวหน้าหมู่บ้าน ซึ่งคุ้นเคยกับเย่หลินเป็นอย่างดีอยู่นั้น บุรุษสามคนท่าทางน่าเกรงขามก็เดินเข้ามาหา “ข้ามาสมัครเป็นคนงานของสวนอรุณรัก” บุรุษในชุดผ้าไหมสีดำเนื้อดีรูปแบบเรียบง่ายเอ่ยขึ้น ต้าเชินพิจารณาบุรุษรูปงามราวหลุดออกมาจากภาพวาด ด้วยแววตาเต็มไปด้วยความสงสัย ‘รูปร่างหน้าตามีสง่าราศีขนาดนี้ อยากมาเป็นคนงานในสวนผักเนี่ยนะ?‘ แต่ถึงกระนั้นก็ทำตามคำสั่งนายหญิงน้อย เรื่องที่ให้คนงานมีสิทธิ์เลือกทำในสิ่งที่ตนชอบและถนัด ผลงานจะได้ออกมาดี “พ่อหนุ่มทำอะไรเป็นบ้างล่ะ ชอบปลูกผักหรือปลูกดอกไม้มากกว่ากัน” ต้าเชินถามกลับอย่างเป็นมิตร “ข้าขอทำหน้าที่คุ้มกันนายหญิงเชียนเสวี่ยหนิงขณะทำงาน” ดวงตาคู่คมของเว่ยหลี่