“สวรรค์! หล่อนเห็นหรือเปล่า! หล่อนเห็นเหมือนที่ฉันเห็นใช่ไหม?!” หญิงคนหนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
จางซื่อพยักหน้าหงึก ๆ ดวงตาเป็นประกายระยับราวกับสุนัขจิ้งจอกเฒ่า
“เห็นสิ เห็นเต็มสองตาเลย! เจ้าเว่ยหลงกำลังอุ้มสหายหญิงยุวชนคนนั้นออกมาจากป่าลึก สองต่อสอง! แถมดูสภาพเธอสิ ผมเผ้ายุ่งเหยิง เสื้อผ้าก็ดูหลุดลุ่ยชอบกล”
ข่าวลือในหมู่บ้านเล็ก ๆ เดินทางได้เร็วยิ่งกว่าไฟลามทุ่งในฤดูแห้งแล้ง เพียงไม่ถึงสองชั่วโมงเรื่องราวก็ถูกส่งต่อไปปากต่อปาก และถูกปรุงแต่งจนผิดเพี้ยนไปจากความจริงลิบลับ
จากเว่ยหลงอุ้มยุวชนสาวที่บาดเจ็บ กลับกลายเป็น..
“ฉันได้ยินมาว่าเว่ยหลงกับยุวชนคนสวยนั่นแอบไปพลอดรักกันในป่า! แต่ถูกจางซื่อจับได้คาหนังคาเขาเลยทีเดียว!”
และในท้ายที่สุด คำพูดเหล่านั้นก็กลายเป็นคำพูดที่ร้ายแรงที่สุด..
“โอ้สวรรค์! พวกเขาว่ากันว่าเว่ยหลงกับยุวชนสาวชาวเมืองคนนั้นทำเรื่องบัดสีบัดเถลิงกันในป่า! หล่อนมันจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ แกล้งทำเป็นเจ็บขาเพื่อให้เขาอุ้มกลับมากลบเกลื่อนความผิด!”
และแน่นอนว่าข่าวนี้ย่อมต้องลอยเข้าหูของหลี่เหมยจนได้
สหายผู้หวังดีของเธอรีบวิ่งหน้าตาตื่นมาเล่าเรื่องที่ได้ยินมาให้ฟังด้วยสีหน้าเห็นอกเห็นใจ แต่แววตากลับปิดซ่อนความยินดีไว้ไม่มิด
เพล้ง!
ถ้วยชาในมือของหลี่เหมยร่วงหล่นแตกกระจายบนพื้น ใบหน้างามของเธอซีดเผือดสลับกับแดงก่ำด้วยโทสะ
“ไม่จริง! เป็นไปไม่ได้! พี่เว่ยหลงไม่ใช่คนแบบนั้น!” หล่อนกรีดร้องออกมาอย่างไม่อาจควบคุม “ต้องเป็นนังจิ้งจอกนั่น! นังจิ้งจอกหลินเสวี่ยหรงนั่นมันต้องเป็นฝ่ายยั่วยวนเขาก่อนแน่ ๆ! หล่อนมันไร้ยางอาย!”
และความเจ็บปวดจากรักที่ไม่สมหวังก็พลันแปรเปลี่ยนเป็นความเกลียดชัง
หลี่เหมยกลายเป็นหนึ่งในผู้ที่ช่วยสาดโคลนใส่หลินเสวี่ยหรงอย่างแข็งขันที่สุด เธอแต่งเติมเรื่องราว ใส่สีตีไข่จนภาพลักษณ์ของหลินเสวี่ยหรงในสายตาชาวบ้านนั้น กลายเป็นปีศาจจิ้งจอกที่มาเพื่อทำลายชายหนุ่มที่ดีที่สุดของหมู่บ้าน
ฝ่ายหลินเสวี่ยหรง หลังจากที่เว่ยหลงพาเธอมาส่งที่บ้านยุวชน เขาก็ทิ้งคำพูดไว้เพียงประโยคเดียว ก่อนจะหันหลังเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
“ไปหาหมอด้วย”
สายตาของเหล่ายุวชนที่มองมานั้นเต็มไปด้วยการเหยียดหยาม ความอิจฉา และการประณามหยามเหยียด บรรยากาศรอบตัวเธอเงียบเชียบและเย็นเยียบราวกับอยู่ในสุสาน ไม่มีใครพูดคุยกับเธออีก มีเพียงอวี๋ซินที่ยังคงแอบนำน้ำและอาหารมาให้ด้วยสีหน้าเป็นกังวล แต่ก็ไม่กล้าเอ่ยคำใดออกมามากนัก
ทว่าเธอกลับสงบนิ่งได้อย่างน่าประหลาด พลางทำความสะอาดบาดแผล และพันข้อเท้าของตนเองด้วยท่าทางใจเย็น ใบหน้างดงามนั้นเรียบเฉยจนอ่านไม่ออกว่ากำลังคิดสิ่งใดอยู่
แน่นอนว่าเธอไม่ใช่คนโง่ เธอย่อมรู้ดีว่าในยุคสมัยที่ให้ความสำคัญกับชื่อเสียงของสตรีเป็นที่สุดนี้ ข่าวลือแบบนี้สามารถทำลายเธอได้อย่างง่ายดาย และยังลากเอาอนาคตของทหารหนุ่มอย่างเว่ยหลงให้ตกต่ำลงไปด้วย
หลินเสวี่ยหรงทอดสายตามองออกไปนอกหน้าต่าง ดวงตาที่เคยเรียบเฉยพลันฉายแววเย็นชา และคมกริบราวกับใบมีด ในสมองของเธอไม่ได้มีความหวาดกลัวหรือสิ้นหวังแม้แต่น้อย หากแต่กำลังวิเคราะห์สถานการณ์อย่างรวดเร็ว
‘เรื่องนี้จะจบแบบธรรมดาไม่ได้เสียแล้ว’ เธอคิดในใจ พลางยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มหยัน ‘ในเมื่อพวกเธออยากจะเล่นละครเรื่องใหญ่เรื่องนี้กันนัก งั้นฉันก็จะขอร่วมวงเล่นด้วยก็แล้วกัน!’
…
เช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากพายุข่าวลือโหมกระหน่ำ
บรรยากาศในหมู่บ้านต้าซานก็หนักอึ้งราวกับมีเมฆดำทะมึนมาปกคลุม ทหารหนุ่มอย่างเว่ยหลงถูกเรียกตัวไปยังบ้านของผู้ใหญ่บ้านสือตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางดีนัก ไม่นานหลังจากนั้น เด็กหนุ่มคนหนึ่งก็ถูกส่งมารับตัวหลินเสวี่ยหรงให้ตามไปสมทบ
หนทางจากบ้านยุวชนไปยังบ้านผู้ใหญ่บ้านนั้นไม่ไกลนัก ทว่าเนื่องจากข้อเท้าที่บาดเจ็บ จึงทำให้การเดินเหินเป็นไปอย่างยากลำบาก เธอต้องใช้กิ่งไม้ที่พอจะหาได้มาทำเป็นไม้เท้าพยุงกาย ทุกย่างก้าวที่เธอเหยียบย่ำลงไปบนผืนดิน ล้วนอยู่ภายใต้สายตาของชาวบ้านที่จับจ้องมาเป็นตาเดียว สายตาเหล่านั้นมีทั้งความอยากรู้อยากเห็น การดูแคลน และการประณามหยามเหยียดอย่างไม่ปิดบัง
ทว่าผู้ที่ถูกจับจ้องกลับเชิดหน้าขึ้นสูง แผ่นหลังตั้งตรงสง่าราวกับต้นสนบนยอดเขา ใบหน้างามเรียบเฉยเย็นชา ไม่แสดงความรู้สึกอ่อนแอหรือหวาดกลัวออกมาแม้แต่น้อย ท่าทีทระนงองอาจของเธอกลับทำให้ชาวบ้านที่กำลังนินทาอยู่ต้องหุบปากลงด้วยความประหลาดใจ
เมื่อมาถึงบ้านของผู้ใหญ่บ้าน บรรยากาศภายในห้องโถงก็ตึงเครียดยิ่งกว่าภายนอก ผู้ใหญ่บ้านสือนั่งอยู่หลังโต๊ะไม้ตัวใหญ่ ใบหน้าของเขาถมึงทึงราวกับจอมยุทธ์ที่กำลังจะตัดสินคดีความ เว่ยหลงยืนตัวตรงแน่วอยู่ด้านข้าง กายสูงใหญ่ของเขาไม่ไหวติง แต่แววตากลับฉายแวบซับซ้อน
“มาแล้วเหรอ?” ผู้ใหญ่บ้านสือเอ่ยเสียงเรียบ พลางพยักพเยิดให้เธอนั่งลงบนเก้าอี้ที่ว่างอยู่
เมื่อหลินเสวี่ยหรงนั่งลงแล้ว เขาก็รีบเอ่ยเข้าประเด็นทันที
“พวกเธอรู้ใช่หรือเปล่าว่าตอนนี้ทั่วทั้งหมู่บ้านเขาลือกันไปถึงไหนต่อไหนแล้ว?”
“…”
เมื่อไม่ได้คำตอบ ผู้ใหญ่บ้านสือจึงหันไปทางเว่ยหลง
“เว่ยหลง! นายเป็นทหารของกองทัพ เป็นความภาคภูมิใจของหมู่บ้านเรา แต่ตอนนี้ชื่อเสียงของนายกำลังจะป่นปี้เพราะเรื่องนี้! หากเรื่องนี้ล่วงรู้ไปถึงหูผู้บังคับบัญชาของนาย นายคิดว่าผลที่ตามมาจะเป็นยังไง?!”
จากนั้นเขาก็ตวัดสายตาคมกริบมายังหลินเสวี่ยหรง
“และเธอ หลินจือชิง! แม้เธอจะมาจากเมืองใหญ่ แต่เมื่อมาอยู่ที่นี่ก็ต้องปฏิบัติตามกฎ ในยุคสมัยนี้ ชื่อเสียงของสตรีนั้นสำคัญยิ่งกว่าชีวิต! เธอจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน!”
ยังไม่ทันที่หลินเสวี่ยหรงจะได้เอ่ยคำใด เว่ยหลงก็ก้าวออกมาข้างหน้าหนึ่งก้าว เสียงของเขาทุ้มต่ำและมั่นคง
“ผู้ใหญ่บ้าน เป็นความผิดของผมเอง สหายหญิงหลินบาดเจ็บ ผมเพียงแค่ช่วยเหลือเธอในฐานะสหายร่วมชาติเท่านั้น เรื่องทั้งหมดไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านั้น”
การออกหน้ารับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียวของเขาทำให้หลินเสวี่ยหรงเหลือบมองแผ่นหลังนั้นด้วยแววตาประหลาดใจ
“ช่วยเหรอ?!” ผู้ใหญ่บ้านสือทุบโต๊ะอย่างรุนแรง จนถ้วยชาสะท้าน “แต่ในสายตาชาวบ้านมันไม่ใช่อย่างนั้นไง! ตอนนี้ปากคนยาวกว่าผ้าสิบ¹จั้งไปแล้ว! นายจะให้ฉันไปคอยอธิบายให้ทุกคนฟังเหรอว่ามันเป็นแค่อุบัติเหตุ? ใครจะเชื่อ!!!”
เขาถอนหายใจยาวอย่างเหนื่อยหน่าย ความโกรธเกรี้ยวเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นความอ่อนใจในชะตากรรม เขาจ้องมองหนุ่มสาวทั้งสองตรงหน้าเขม็ง ก่อนจะเอ่ยประโยคที่ชี้ขาดทุกสิ่ง
“หนทางที่จะดับไฟป่ากองนี้ได้ มีเพียงทางเดียวเท่านั้น” บรรยากาศในห้องพลันเงียบสงัดลงในบัดดล
ผู้ใหญ่บ้านสือจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของทั้งสองคน แล้วเอ่ยออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ
“คือการแต่งงาน”
คำว่าแต่งงานของผู้ใหญ่บ้านยังคงลอยค้างอยู่ในอากาศ มันทั้งหนักอึ้ง และบีบคั้นจนแทบหายใจไม่ออก บรรยากาศในห้องพลันเงียบสงัดลงในบัดดล มีเพียงเสียงลมหายใจของคนสามคนที่ยังคงยืนยันว่ากาลเวลายังไม่ได้หยุดนิ่ง
สายตาทุกคู่จับจ้องไปที่เว่ยหลงเป็นลำดับแรก เพราะเขาเปรียบเสมือนต้นเรื่องของเรื่องราวอื้อฉาวในครั้งนี้ ทหารหนุ่มผู้เคยมีใบหน้าเรียบเฉยดุจศิลาสลัก บัดนี้กลับปรากฏร่องรอยความขัดแย้งอย่างรุนแรงขึ้นในดวงตา กำปั้นของเขาที่แนบอยู่ข้างลำตัวกำแน่นจนขึ้นข้อขาว
ในใจของเขานั้นวุ่นวายสับสน เขาถูกตาข่ายที่ทอขึ้นจากเกียรติยศของทหาร และครรลองของสังคมที่เข้มงวดรัดรึงจนแทบขยับไม่ได้ การแต่งงานกับสตรีที่เขาแทบไม่รู้จักคนหนึ่ง ยุวชนสาวที่ดูบอบบางราวกับดอกไม้ในเรือนกระจก มันเปรียบเสมือนเส้นทางสู่หายนะสำหรับอนาคตของเขาชัด ๆ แต่การจะปล่อยให้เธอต้องมัวหมอง และชื่อเสียงของตนต้องด่างพร้อยเพราะความช่วยเหลือที่บริสุทธิ์ใจนั้น เป็นสิ่งที่จิตสำนึกของเขายอมรับไม่ได้
หลังจากที่เงียบไปเนิ่นนานราวกับหนึ่งชั่วชีวิต ในที่สุดเขาก็เค้นเสียงออกมาจากลำคออย่างยากลำบาก
“ผมตกลง”
สามคำสั้น ๆ ที่เปล่งออกมานั้นหนักแน่นราวกับคำสัตย์สาบาน แต่มันก็เป็นการยอมจำนนต่อหน้าที่ มิใช่ความปรีดา
เมื่อได้ยินคำตอบรับจากฝ่ายชาย ผู้ใหญ่บ้านสือก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก เขากับเว่ยหลงหันไปมองหลินเสวี่ยหรงพร้อมกัน ในใจคาดว่าคงจะได้เห็นภาพของหญิงสาวที่ร่ำไห้ฟูมฟายหรือแสดงท่าทีขัดขืนอย่างแน่นอน
ทว่าพวกเขากลับต้องผิดหวัง
หลินเสวี่ยหรงยังคงนั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยท่วงท่าสง่างาม ใบหน้าของเธอเรียบเฉยไร้ซึ่งหยาดน้ำตา ดวงตาหงส์คู่นั้นทอประกายล้ำลึกราวกับกำลังครุ่นคิดถึงปัญหาทางคณิตศาสตร์ที่ซับซ้อน มิใช่ชะตาชีวิตของตนเอง
ในสมองของเธอนั้นคือการคำนวณข้อดีข้อเสียอย่างรวดเร็ว ซึ่งข้อดีก็คือเธอจะได้รับทะเบียนบ้านในหมู่บ้านต้าซาน มีสถานะที่ถูกต้องตามกฎหมาย มีบ้านเป็นหลักแหล่งที่มั่นคงกว่าบ้านยุวชนร้อยเท่า มีครอบครัวเป็นฉากบังหน้าชั้นดีสำหรับการกระทำลับ ๆ ของเธอในอนาคต และที่สำคัญสามีในนามคนนี้ก็ดูเป็นคนมีเกียรติ ไม่น่าจะใช่พวกที่ชอบทุบตีทำร้ายภรรยา มันเสมือนกับทางลัดที่จะข้ามไปสู่ความมั่นคงที่เธอต้องการ ทว่าข้อเสียก็คือการสูญเสียอิสรภาพในการผูกมัดตนเองกับชายแปลกหน้า และความยุ่งยากของชีวิตสมรสที่ปราศจากความรัก
หลังจากที่เงียบไปชั่วครู่จนผู้ใหญ่บ้านสือเริ่มจะเอ่ยปากถาม เธอก็เงยหน้าขึ้นสบตากับเขาโดยตรงอย่างไม่หลบเลี่ยง น้ำเสียงของเธอสงบนิ่งและเยือกเย็น
“ผู้ใหญ่บ้านคะ ฉันมีเงื่อนไข”
คำพูดของเธอทำให้ชายทั้งสองในห้องต้องตะลึงงัน สตรีที่ตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ สมควรจะเป็นฝ่ายที่เรียกร้องเงื่อนไขได้ด้วยหรือ?
“เงื่อนไข? เงื่อนไขอะไร?” ผู้ใหญ่บ้านสือถามกลับด้วยความประหลาดใจ
“การแต่งงานนี้เป็นไปเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้า” หลินเสวี่ยหรงเอ่ยอย่างชัดถ้อยชัดคำ “ฉันตกลงจะแต่ง แต่มีข้อแม้ว่าหลังจากแต่งงานแล้ว ชีวิตของฉัน ฉันจะขอเป็นผู้ดูแลจัดการเอง ส่วนเขา.. สหายเว่ยหลง จะต้องไม่ก้าวก่ายการตัดสินใจส่วนตัวของฉัน และฉันก็จะไม่ก้าวก่ายเรื่องของเขา เราต่างคนต่างอยู่ ช่วยเหลือซึ่งกันและกันในฐานะสหายร่วมสถานการณ์ก็พอ”
นี่คือการเสนอสัญญาสมรสแต่ในนาม แนวคิดจากโลกอนาคตที่ถูกโยนเข้ามาในยุคสมัยที่เคร่งครัดประเพณีอย่างไม่เกรงกลัว!
ทั้งผู้ใหญ่บ้านสือ และเว่ยหลงต่างนิ่งอึ้งไปกับข้อเสนออันน่าทึ่งของเธอ พวกเขามองหญิงสาวตรงหน้าราวกับเพิ่งเคยเห็นเธอเป็นครั้งแรก ท่าทีที่สุขุมเยือกเย็น การใช้เหตุผลที่เฉียบขาด และข้อเรียกร้องที่อาจหาญของเธอนั้น.. ช่างไม่เหมือนสตรีที่พวกเขาเคยพบเจอมาก่อน
เว่ยหลงจ้องมองหลินเสวี่ยหรงด้วยแววตาที่เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ความจนใจเมื่อครู่ถูกแทนที่ด้วยความประหลาดใจ และความรู้สึกทึ่งอย่างยากจะอธิบายได้แวบหนึ่ง
วิสัยทัศน์ของเธอทำให้ทุกคนที่ได้ฟังต้องนิ่งอึ้งไปด้วยความทึ่ง พวกเขาคิดถึงแค่เพียงปากท้องในวันนี้ แต่เธอกลับมองการณ์ไกลไปถึงอนาคตของคนรุ่นต่อไปแน่นอนว่าข้อเสนอที่ยอดเยี่ยมแบบนี้ย่อมได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่ไม่นานนัก โรงเรียนหลังเก่าที่ทรุดโทรมก็ได้ถูกแทนที่ด้วยอาคารเรียนอิฐแดงสองชั้นที่แข็งแรงและสว่างไสว เด็ก ๆ ทุกคนมีโต๊ะเรียนและหนังสือเล่มใหม่ เสียงอ่านหนังสือที่ดังกังวานของพวกเขาในทุก ๆ เช้า นับเป็นเสียงอนาคตที่สดใสของหมู่บ้านต้าซานแต่การลงทุนที่สำคัญที่สุดของหลินเสวี่ยหรงนั้น คือน้องสาวสามีของเธอเอง“หลานเอ๋อร์” วันหนึ่งเธอเอ่ยขึ้นกับเว่ยเหอหลานที่บัดนี้ได้เติบโตขึ้นเป็นหญิงสาวที่งดงามและเฉลียวฉลาด “เธอเป็นเด็กที่ขยันหมั่นเพียร ตอนนี้ทางการได้เปิดการสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยอีกครั้งแล้ว เธออยากจะลองสอบเข้ามหาวิทยาลัยในเมืองหลวงดูหรือเปล่า?”แววตาของเว่ยเหอหลานเป็นประกายขึ้นมาด้วยความหวัง แต่ก็เจือปนไปด้วยความไม่มั่นใจ“ฉัน.. ฉันจะทำได้หรือคะพี่สะใภ้? การสอบแข่งขันนั้นยากมากนะ”“ทำไมจะไม่ได้?” หลินเสวี่ยหรงกล่าวให้กำลังใจอย่างหนักแน่น “ขอแค่เธอตั้งใจจริง เรื่องตำราเรียนและค
ความโกลาหลที่ถูกเตรียมการมาอย่างดีก็ได้เริ่มต้นขึ้น!เว่ยหลงผู้เคยตื่นตูม บัดนี้กลับมีสติและทำตามขั้นตอนที่หลี่ซินอี๋เคยซักซ้อมไว้เป็นอย่างดี เขารีบประคองภรรยาไปยังห้องนอนที่ถูกเตรียมไว้เป็นห้องคลอดโดยเฉพาะ ส่วนชุนฮวาก็รีบไปต้มน้ำและเตรียมผ้าสะอาด ในขณะที่เว่ยเหอหลานก็วิ่งหน้าตาตื่นไปตามหมอตำแยในหมู่บ้านมาเป็นผู้ช่วยเว่ยหลงถูกกันให้ออกมารออยู่หน้าห้องด้วยใจที่ร้อนรนราวกับไฟเผา เขาเดินวนไปวนมาอยู่หน้าประตูราวกับหนูติดจั่น ทุกครั้งที่ได้ยินเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของภรรยาดังเล็ดลอดออกมา หัวใจของเขาก็ราวกับถูกมีดกรีด เขารู้สึกไร้กำลังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในชีวิตภายในห้องคลอด สถานการณ์ก็ตึงเครียดไม่แพ้กัน การคลอดติดขัดเล็กน้อยทำให้หมอตำแยเริ่มหน้าซีด“แย่แล้ว! เด็กไม่ยอมกลับหัว!”“ทุกคนอยู่ในความสงบ!” เสียงที่สงบนิ่งและเปี่ยมไปด้วยอำนาจของหลี่ซินอี๋ดังขึ้นมา “พี่สะใภ้ฟังฉันนะ หายใจเข้าลึก ๆ ทำตามที่ฉันบอก”แพทย์สาวผู้มีความรู้ที่ทันสมัยกว่า ใช้เทคนิคการนวดและการจัดท่าทางช่วยให้หลินเสวี่ยหรงผ่อนคลายและทำให้ทารกกลับเข้าสู่ตำแหน่งที่ถูกต้องได้ในที่สุด“เบ่งอีกครั้งค่ะพี่สะใภ้! ฉันเห็นหั
ในการพบปะกันครั้งล่าสุดที่โรงน้ำชาผิงอัน บรรยากาศระหว่างคนทั้งสองจึงได้เปลี่ยนไป มันไม่ใช่การเจรจาซื้อขายระหว่างผู้ผลิตและผู้รับซื้อ แต่เป็นการประชุมทางธุรกิจที่จริงจัง“คุณลุงคะ ขอบคุณคุณลุงเสมอมาที่คอยช่วยเหลือและให้การสนับสนุนกิจการของหมู่บ้านของฉัน” หลินเสวี่ยหรงเริ่มต้นบทสนทนาด้วยการแสดงความขอบคุณอย่างจริงใจ “วันนี้ฉันมีข้อเสนอทางธุรกิจที่ใหญ่กว่าเดิมมานำเสนอ”เธอได้อธิบายถึงโครงการโรงงานแปรรูปอาหาร วิสัยทัศน์ และศักยภาพในการเติบโตของตลาดให้เขาฟังอย่างละเอียด ก่อนจะเข้าสู่ประเด็นสำคัญ“แต่โครงการนี้ใหญ่เกินกว่าที่หมู่บ้านของเราจะทำได้เพียงลำพัง ฉันจึงอยากจะเรียนเชิญคุณลุงมาร่วมเป็นหุ้นส่วนกับเราอย่างเป็นทางการค่ะ”พ่อค้าจ้าวผู้มีสายตาแหลมคมดุจสุนัขจิ้งจอก เมื่อได้ฟังข้อเสนอของเธอก็ยกยิ้มขึ้นที่มุมปาก เขารอคอยประโยคนี้จากเธอมานานแล้ว“แม่หนู ในที่สุดเธอก็เอ่ยปากเสียที” เขากล่าวอย่างอารมณ์ดี “ว่ามาสิ เธอต้องการจะแบ่งหุ้นส่วนกันยังไง?”นี่คือช่วงเวลาที่หลินเสวี่ยหรงจะได้แสดงทักษะการเจรจาธุรกิจจากศตวรรษที่ยี่สิบห้า ของเธอออกมาอย่างเต็มที่“ทางสหกรณ์หมู่บ้านต้าซานจะรับผิดชอบในส่วนของก
เธอเรียกประชุมทีมงานหลักอีกครั้งที่บ้านของตนเอง ในครั้งนี้มีพ่อค้าจ้าวเข้าร่วมด้วยในฐานะที่ปรึกษาด้านการตลาด“สหายทุกคนตอนนี้เรามีสินค้าที่ดีที่สุด แต่เราจะทำยังไงให้คนอื่นรู้ว่าสินค้าของเราแตกต่างและดีกว่าของคนอื่นอย่างไร?” เธอเริ่มต้นด้วยคำถามที่กระตุ้นความคิดทุกคนต่างมองหน้ากันด้วยความไม่เข้าใจ ของดีก็คือของดี จะต้องทำอะไรอีกเล่า?“เราต้องสร้างตราสินค้า หรือที่คนในเมืองใหญ่เรียกว่าแบรนด์ขึ้นมา” เธออธิบายแนวคิดที่ล้ำยุคนี้ “มันเป็นสัญลักษณ์ที่จะทำให้ทุกคนจดจำได้ว่าเห็ดที่ดีที่สุด มาจากที่ไหน”เธอเสนอแนวคิดเรื่องการออกแบบโลโก้ และบรรจุภัณฑ์ที่สวยงามและถูกสุขลักษณะ“โลโก้ของเราจะเป็นรูปภูเขาต้าซานที่มียอดเป็นรูปเห็ดที่กำลังงอกงาม” เธอร่างภาพคร่าว ๆ ให้ทุกคนดู “ส่วนเห็ดตากแห้งของเรา แทนที่จะขายแบบกองรวมกัน เราจะนำมันมาบรรจุในถุงกระดาษที่สะอาดและปิดผนึกอย่างดี บนถุงจะมีตราสินค้าของเราพิมพ์อยู่”พ่อค้าจ้าวผู้คร่ำหวอดในวงการค้าขายมาทั้งชีวิต เมื่อได้ฟังความคิดของเธอก็ถึงกับตาโตเป็นประกาย“แม่หนู! เธอช่างเป็นอัจฉริยะ! ฉันค้าขายมาทั้งชีวิต ยังไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน!” เขากล่าวด้วยความต
‘บ้านหลังนี้เคยเป็นทั้งกรงทองและขุมนรกของฉัน’ เธอคิดในใจ ‘แต่วันนี้ มันจะเป็นเพียงเวทีสำหรับละครฉากสุดท้ายเท่านั้น’เว่ยหลงเป็นผู้ที่เคาะประตูเมื่อประตูเปิดออก หญิงรับใช้ผู้หนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้น เธอมองหลินเสวี่ยหรงด้วยความตกตะลึงจนอ้าปากค้าง ก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปรายงานนายหญิงของตนไม่นานนัก ร่างของแม่เลี้ยงก็รีบวิ่งออกมาด้วยท่าทีที่เสแสร้ง “ใครมา อ๊ะ! หรงเอ๋อร์!” เธอทำท่าจะโผเข้ามาสวมกอดด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำตาจอมปลอม “เธอกลับมาแล้ว! ในที่สุดเธอก็กลับมาช่วยแม่กับน้อง!”แต่เธอก็ต้องชะงักงัน เมื่อได้เห็นหลินเสวี่ยหรงที่ยืนอยู่ตรงหน้าเด็กสาวที่เคยผอมแห้งและมีแววตาหวาดกลัวอยู่เสมอ บัดนี้กลับกลายเป็นสตรีที่สง่างามและเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ แม้เธอจะสวมเพียงเสื้อผ้าผ้าฝ้ายธรรมดา ๆ แต่มันกลับดูดีและสะอาดสะอ้าน ผิวพรรณของเธอเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวล และที่สำคัญที่สุดคือดวงตาของเธอ มันไม่ได้มีความหวาดกลัวหลงเหลืออยู่เลยแม้แต่น้อย มีเพียงความเย็นชาและเฉยเมยที่มองมายังเธอราวกับเป็นเพียงคนแปลกหน้าและที่ข้างกายของเธอยังมีบุรุษร่างสูงใหญ่ในเครื่องแบบทหารยืนค้ำตระหง่านอยู่ แววตาของเขาคมกริบและเย็นชา
“มันหนีไปแล้ว! รีบจับมันไว้!”เสียงตะโกนดังขึ้นพร้อมกับที่ชาวบ้านกรูกันไล่ตามไปทันที การวิ่งหนีของเขานั้นคือคำสารภาพที่ชัดเจนที่สุดทว่าคนขี้ขลาดที่ตื่นตระหนกจนเสียสติจะไปสู้แรงของเหล่าเกษตรกรที่ทำงานหนักมาทั้งชีวิต และทหารผู้ผ่านการฝึกฝนมาอย่างดีได้ยังไง?เพียงไม่นาน เว่ยหลงก็วิ่งตามไปทันและใช้เท้าเตะเข้าที่ข้อพับของหลี่กังจนเขาล้มหน้าคะมำลงไปกองกับพื้น ชาวบ้านคนอื่น ๆ รีบกรูกันเข้าไปจับตัวเขาไว้แล้วใช้เชือกมัดอย่างแน่นหนา“ปล่อยฉัน! ปล่อยฉัน!” เขาดิ้นรนอย่างน่าสมเพชชาวบ้านลากตัวหลี่กังกลับมาที่ลานหมู่บ้าน ท่ามกลางสายตาที่เคียดแค้นของทุกคนที่เขาพยายามจะทำร้าย“สารภาพมา! ทำไมนายถึงได้กล้าทำเรื่องเลวทรามแบบนี้?!” ผู้ใหญ่บ้านสือตวาดถามเมื่อจนมุมอย่างสิ้นเชิงแล้ว ความกล้าทั้งหมดของหลี่กังก็มลายหายไป เหลือไว้เพียงความหวาดกลัว“ฉะ ฉันผิดไปแล้ว! ได้โปรดไว้ชีวิตฉันด้วย!” เขาร้องไห้ฟูมฟายน้ำมูกน้ำตาไหล “ฉันแค่อิจฉา ฉันไม่ได้ตั้งใจจะฆ่าใคร ฉันแค่.. ฉันแค่อยากจะสั่งสอนนังหลินเสวี่ยหรงเท่านั้น!”แม้จะอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ เขาก็ยังคงพยายามจะป้ายความผิดให้ผู้อื่นขณะนั้นเอง หลินเสวี่ยหรงก็ได้เดิ