แชร์

05 พบหน้าแม่สามี

ผู้เขียน: ต้นไม้แห้ง
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-08-09 22:23:24

หลังจากที่ข้อตกลงอันน่าประหลาดใจถูกกำหนดขึ้นในห้องของผู้ใหญ่บ้านแล้ว บรรยากาศก็ยิ่งน่ากระอักกระอ่วนใจยิ่งกว่าเดิม ผู้ใหญ่บ้านสือผู้ผ่านร้อนผ่านหนาวมาค่อนชีวิตยังอดจะลอบมองหลินเสวี่ยหรงด้วยแววตาทึ่ง ๆ ไม่ได้ เขากระแอมไอเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยขึ้น

“อะแฮ่ม! ในเมื่อตกลงกันแล้ว เว่ยหลง นายก็พาหลินจือชิงกลับไปแจ้งให้แม่ของนายให้รับทราบเถอะ”

การเดินทางจากบ้านผู้ใหญ่บ้านไปยังบ้านตระกูลเว่ยนั้นสั้นเสียยิ่งกว่าก้านธูป แต่สำหรับคนทั้งสองแล้วมันกลับยาวนานนัก เว่ยหลงเดินนำหน้าด้วยแผ่นหลังที่ตั้งตรง ไม่เอ่ยคำใดออกมาแม้แต่ครึ่งคำ

ส่วนหลินเสวี่ยหรงก็เดินตามหลังอย่างเงียบ ๆ พลางพยุงร่างที่บาดเจ็บของตนไปทีละก้าว สายตาของชาวบ้านที่มองมาในครานี้เปลี่ยนจากความสงสัยใคร่รู้ไปเป็นความตกตะลึง

ข่าวการแต่งงานคงจะแพร่สะพัดไปแล้ว

ไม่นานนัก พวกเขาก็มาหยุดอยู่หน้าบ้านดินหลังเดิมที่เธอเคยเห็นชายหนุ่มผู้นี้จามฟืนอยู่ มันเป็นบ้านที่แม้จะเก่าแก่แต่ก็แสดงให้เห็นถึงการดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดี สะอาดสะอ้านและเป็นระเบียบเรียบร้อย

เว่ยหลงผลักประตูไม้ที่ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดเข้าไป

“แม่ ผมกลับมาแล้ว”

หญิงชราผู้หนึ่งเดินออกมาจากส่วนที่เป็นห้องครัว หล่อนมีอายุราวห้าสิบปี ผมสีดำขลับแซมด้วยเส้นผมสีเงินประปราย ใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอยจากความเหนื่อยยากตรากตรำ แต่ดวงตาของหล่อนกลับยังคงสุกใสและฉายแววฉลาดเฉียบแหลม มือที่หยาบกร้านจากการทำงานหนักกำลังเช็ดอยู่กับผ้ากันเปื้อน หล่อนคือมารดาของเว่ยหลง

ทันใดนั้น สายตาของเธอก็จับจ้องมายังหลินเสวี่ยหรงผู้เป็นแขกที่ไม่ได้รับเชิญ ร่างของเธอชะงักไปเล็กน้อย

“แม่” เว่ยหลงเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ยากลำบากยิ่งนัก “นี่คือสหายหญิงหลินเสวี่ยหรง เธอจะมาเป็นภรรยาของผม”

คำประกาศนั้นทำให้ร่างของหญิงชราแข็งทื่อไปชั่วขณะ เธอไม่ได้กรีดร้องหรือโวยวาย ทำเพียงสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ แล้วใช้สายตาที่ผ่านโลกมามากมายคู่นั้นสำรวจหลินเสวี่ยหรงตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า เป็นการพินิจพิเคราะห์ที่ลึกซึ้งและไร้ซึ่งการปิดบัง

‘งดงาม งดงามราวกับเซียนในภาพวาด’ เธอคิดในใจ ‘แต่ผิวที่ขาวผ่องแบบนี้จะทนแดดทนลมได้ยังไง? ไหนจะมือที่เรียวงามราวกับลำเทียนคู่นั้นอีก จะฝืนจับจอบจับเสียมไหวเหรอ? เธอจะมาเป็นภรรยาที่ดีของเว่ยหลง หรือจะเป็นภาระกันแน่?’

ขณะเดียวกันนั้น เด็กหญิงตัวเล็กผอมบางคนหนึ่งก็โผล่หน้าออกมาจากด้านหลังมารดา เว่ยเหอหลาน น้องสาวของเว่ยหลง ดวงตากลมโตของเธอเบิกกว้างด้วยความอยากรู้อยากเห็น จ้องมองพี่สาวยุวชนที่สวยราวกับตุ๊กตากระเบื้องเคลือบด้วยความประหลาดใจระคนหวาดระแวง

หลินเสวี่ยหรงรู้ดีว่าตนกำลังถูกพิพากษาด้วยสายตา เธอไม่ได้หลบตาหรือแสดงท่าทีประหม่า กลับกัน เธอสบตากับแม่สามีโดยตรง ก่อนจะก้มศีรษะลงเล็กน้อยตามมารยาท

“สวัสดีค่ะคุณป้า” น้ำเสียงของเธอสงบนิ่งและชัดเจน เป็นความสุภาพที่ไม่ได้เจือปนด้วยการประจบประแจง

ชุนฮวายังคงจ้องมองหญิงสาวที่ลูกชายบอกว่าจะให้มาเป็นภรรยานิ่ง ก่อนจะเอ่ยถามด้วยคำถามที่ตรงไปตรงมาที่สุด

“มาจากเมืองใหญ่ เคยทำงานในไร่นาหรือเปล่า?”

หลินเสวี่ยหรงยิ้มบาง ๆ ตอบกลับไปอย่างซื่อตรงแต่ก็แฝงไว้ด้วยความมั่นใจ “ยังไม่เคยทำค่ะ แต่ฉันสามารถเรียนรู้ได้”

คำตอบของเธอทำให้แววตาของชุนฮวาปรากฏร่องรอยความประหลาดใจขึ้นมาแวบหนึ่ง เธอคาดหวังคำตอบที่เป็นการโอ้อวดหรือเปล่าก็การปฏิเสธ แต่คำตอบนี้กลับแสดงให้เห็นถึงความถ่อมตัว และความมุ่งมั่นในเวลาเดียวกัน

หลังจากเงียบไปอีกอึดใจใหญ่ ในที่สุดชุนฮวาก็เบือนหน้าหนีแล้วเอ่ยขึ้นเรียบ ๆ

“ข้างนอกลมแรง เข้ามาในบ้านก่อนเถอะ”

***

เพื่อดับไฟข่าวลือให้มอดลงโดยเร็วที่สุด ผู้ใหญ่บ้านสือจึงจัดการเรื่องการแต่งงานในวันรุ่งขึ้นทันที มันเป็นงานวิวาห์ที่ปราศจากขบวนแห่ขันหมาก ไม่มีชุดสีแดงมงคล ไม่มีแม้แต่เสียงประทัดขับไล่สิ่งชั่วร้าย เป็นเพียงพิธีการอันเรียบง่าย

บนโต๊ะไม้ตัวเดิม ผู้ใหญ่บ้านสือเปิดสมุดทะเบียนเล่มหนาขึ้น เสียงพู่กันที่จดจารชื่อของคนทั้งสองลงไปบนกระดาษนั้นดังเสียดแทงความเงียบ เขาให้คนทั้งสองประทับลายนิ้วมือใน¹ตั่งนั้งสีแดงสดข้างชื่อของตน เป็นอันเสร็จสิ้นขั้นตอนการเป็นสามีภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย

“นับจากนี้ไป พวกเธอทั้งสองคือสามีภรรยากันแล้ว” ผู้ใหญ่บ้านสือเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “จงช่วยเหลือเกื้อกูลกัน สร้างคุณประโยชน์ให้แก่ส่วนรวม และอย่าได้สร้างเรื่องวุ่นวายให้หมู่บ้านอีก”

ไม่มีคำอวยพรให้รักกันจนแก่เฒ่า มีเพียงคำกำชับเตือนถึงหน้าที่และความรับผิดชอบ

ชุนฮวาที่เดินทางมาเป็นพยานด้วย ได้หยิบห่อกระดาษสีแดงที่เก่าจนซีดออกมาจากแขนเสื้ออย่างเชื่องช้า ภายในมีลูกอมแข็ง ๆ อยู่เพียงไม่กี่เม็ด ซึ่งถือเป็นของหรูหราอย่างยิ่งในยุคสมัยนี้

“นี่ถือเป็นของมงคล” เธอยื่นส่งให้บุตรชายและสะใภ้คนใหม่คนละเม็ด มันคือความพยายามเล็ก ๆ ของหัวอกคนเป็นแม่ ที่อยากจะทำให้การแต่งงานอันเกิดจากความจำเป็นนี้ดูเหมือนงานมงคลขึ้นมาบ้างแม้เพียงน้อยนิด

หลินเสวี่ยหรงรับลูกอมเม็ดนั้นมาด้วยท่าทีสุภาพ เธอเข้าใจในความปรารถนาดีของหญิงชรา จึงแกะมันเข้าปากอย่างว่าง่าย รสหวานที่แผ่ซ่านในโพรงปากนั้นช่างขัดกับความขมขื่นของสถานการณ์เสียจริง

ขณะที่ทั้งหมดกำลังจะเดินออกจากที่ทำการหมู่บ้านนั้นเอง สายตาคู่หนึ่งก็จับจ้องมองมาด้วยแรงอาฆาตจากมุมไกล

หลี่เหมยยืนซ่อนตัวอยู่หลัง²ต้นไหวยักษ์ เธอมองภาพของเว่ยหลงและหลินเสวี่ยหรงที่เดินเคียงกันออกมาด้วยหัวใจที่แหลกสลาย ใบหน้างามซีดขาวราวกับคนตาย สองมือกำแน่นจนเล็บจิกเข้าเนื้อ ความหวังทั้งหมดของเธอพังทลายลงในวันนี้

“หลินเสวี่ยหรง ฉันจะไม่มีวันยอมให้เธอได้อยู่อย่างมีความสุขแน่!” เธอกัดฟันกรอด เสียงนั้นเบาราวกระซิบแต่กลับเต็มไปด้วยความอาฆาตมาดร้าย

พิธีการส่วนสุดท้ายคือการที่หลินเสวี่ยหรงต้องย้ายข้าวของของตนออกจากบ้านยุวชนไปยังบ้านตระกูลเว่ยอย่างเป็นทางการ

เธอเดินกลับไปยังบ้านยุวชนพร้อมกับเว่ยหลงที่เดินตามมาอย่างเงียบ ๆ เพื่อช่วยขนของ สายตาของทุกคนที่มองมาในครานี้เต็มไปด้วยความรู้สึกที่หลากหลายซับซ้อน

สมบัติพัสถานของหลินเสวี่ยหรงนั้นมีเพียงน้อยนิด หีบไม้ใบเล็กที่ใส่เสื้อผ้าเก่า ๆ ไม่กี่ชุด เงินสามร้อยหยวนและคูปองปันส่วนที่แม่เลี้ยงโยนให้มา.. นั่นคือทั้งหมดที่เธอมี

อวี๋ซินเดินเข้ามาหาด้วยสีหน้าเป็นห่วง

“หรงหรง ดูแลตัวเองดี ๆ นะ” เธอกำมือของหลินเสวี่ยหรงไว้แน่น เป็นการส่งกำลังใจอย่างเงียบ ๆ

ส่วนกลุ่มของชิงเหอนั้นยืนกอดอกมองด้วยรอยยิ้มเยาะเย้ย

“เหอะ! ในที่สุดก็ขายตัวเองเพื่อหาที่พักพิงได้สำเร็จสินะ!”

หลินเสวี่ยหรงไม่ได้ตอบโต้เธอแม้แต่ครึ่งคำ เธอเพียงหันไปพยักหน้าให้อวี๋ซิน ก่อนจะหันไปหาเว่ยหลง “ของของฉันมีเท่านี้”

เว่ยหลงไม่พูดพร่ำทำเพลง เขาก้มลงยกหีบไม้ใบนั้นขึ้นมาอย่างง่ายดาย แล้วเดินนำหน้าเธอกลับไปยังบ้านของเขา

หลินเสวี่ยหรงหันกลับไปมองบ้านยุวชนเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะเดินตามแผ่นหลังกว้างนั้นไป

หลังจากมื้อค่ำอันเงียบงันและน่าอึดอัดผ่านพ้นไป ชุนฮวาและเว่ยเหอหลานก็แยกย้ายไปพักผ่อนที่ห้องของตน ทิ้งให้คู่บ่าวสาวเผชิญหน้ากับค่ำคืนแรกของชีวิตสมรสตามลำพัง

ห้องนอนของเว่ยหลงนั้นสะท้อนตัวตนของเขาได้อย่างชัดเจน มันเล็กและเรียบง่าย มีเพียงเตียงดินก่อที่ปูด้วยฟางแห้งและเสื่อทอ โต๊ะไม้ตัวเล็กหนึ่งตัว และหีบไม้สำหรับเก็บเสื้อผ้าอีกหนึ่งใบ ทุกอย่างสะอาดสะอ้านและจัดวางอย่างเป็นระเบียบ แต่ก็แฝงไว้ด้วยความไร้ชีวิตชีวา แสงจากตะเกียงน้ำมันเพียงดวงเดียวที่จุดอยู่บนโต๊ะ สั่นไหวไปมาทำให้เงาของคนทั้งสองที่ยืนอยู่คนละมุมห้องเต้นระริกไปบนผนังดิน

นี่คือห้องหอของพวกเขา..

บรรยากาศภายในห้องหนักอึ้งเสียจนแทบจะจับต้องได้ ความเงียบนั้นดังเสียยิ่งกว่าเสียงกลองศึก พวกเขาทั้งสองต่างหลีกเลี่ยงที่จะสบตากัน ราวกับมีกำแพงที่มองไม่เห็นกั้นขวางอยู่

หลินเสวี่ยหรงยืนนิ่งอยู่ข้างประตู ในใจนั้นตื่นตัวและเตรียมพร้อมรับมือกับทุกสถานการณ์ เธอพร้อมที่จะสู้จนสุดกำลังหากบุรุษผู้นี้คิดจะใช้สิทธิ์ของความเป็นสามีล่วงเกินเธอ

ฝ่ายเว่ยหลงเองก็ไม่ได้รู้สึกดีไปกว่ากัน เขายืนนิ่งอยู่ข้างเตียงราวกับรูปปั้นหิน ความรู้สึกผิดชอบชั่วดี และเกียรติยศของลูกผู้ชายกำลังต่อสู้กันอย่างรุนแรงในใจ เขาเหลือบมองสตรีที่งดงามราวกับภาพฝัน ซึ่งบัดนี้คือภรรยาของเขาตามกฎหมาย

เขารู้ดีว่าค่ำคืนนี้สมควรจะเกิดสิ่งใดขึ้น แต่เมื่อนึกถึงข้อตกลงและแววตาที่ไม่ยอมแพ้ของเธอ เขาก็ไม่อาจทำใจบังคับขืนใจเธอได้

ในที่สุด เขาก็เป็นฝ่ายทำลายความเงียบอันน่าทรมานนี้

“อะแฮ่ม!” เขาไอกระแอมออกมาเบา ๆ เสียงนั้นดังผิดปกติในความเงียบสงัด

เว่ยหลงเดินไปเปิดหีบไม้ของตน หยิบเอาผ้าห่มผืนบาง และที่นอนซึ่งทำจากฟางอัดออกมาหนึ่งผืน เขาไม่ได้มองหน้าเธอตรง ๆ แต่กลับก้มหน้ามองพื้นขณะที่เอ่ยขึ้น

“ห้องนี้มีเตียงเดียว เธอก็นอนบนนั้นไป” เขาพยักพเยิดไปยังเตียงดิน ก่อนจะนำที่นอนฟางผืนนั้นไปปูลงบนพื้นเย็น ๆ ที่มุมห้อง “ฉันจะนอนตรงนี้”

หลินเสวี่ยหรงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยด้วยความประหลาดใจ

เมื่อเห็นว่าเธอยังคงนิ่งเงียบ เว่ยหลงจึงรวบรวมความกล้าเงยหน้าขึ้นสบตากับเธอเป็นครั้งแรกในห้องนี้ แววตาของเขายังคงสุขุมเช่นเคย แต่ก็เจือไว้ด้วยความจริงใจที่หาได้ยากยิ่ง

“เรื่องของเรามันกะทันหัน” เขาเอ่ยตะกุกตะกักเล็กน้อย “เราค่อย ๆ ใช้เวลาทำความรู้จักกันไปก่อน”

ความตึงเครียดที่เกาะกุมร่างของหลินเสวี่ยหรงมาตลอดทั้งวันพลันคลายลงในทันที เธอคาดหวังว่าจะต้องต่อสู้ แต่เขากลับเลือกที่จะถอย เธอมองลึกเข้าไปในดวงตาของชายหนุ่ม ก็เห็นถึงความอึดอัดใจ ความรับผิดชอบ และเกียรติยศของลูกผู้ชายที่ฉายชัดอยู่ในนั้น เป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึกว่าบุรุษเถรตรงผู้นี้ก็ไม่ได้เลวร้ายเสียทีเดียว

เธอซ่อนความโล่งใจไว้ภายใต้ใบหน้าที่เรียบเฉย ก่อนจะเอ่ยตอบรับด้วยคำเพียงพยางค์เดียว

“ดี”

จากนั้นก็เสริมขึ้นอีกประโยค “ฉันก็คิดแบบนั้น”

เว่ยหลงเดินไปดับตะเกียงน้ำมัน ความมืดเข้าปกคลุมห้องทั้งห้องในทันที เหลือเพียงแสงจันทร์สลัว ๆ ที่ส่องลอดผ่านช่องหน้าต่างเข้ามาเท่านั้น

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • ทะลุมิติทั้งทีขอเป็นเศรษฐีนียุค 70   32 ภาพครอบครัวที่สมบูรณ์

    วิสัยทัศน์ของเธอทำให้ทุกคนที่ได้ฟังต้องนิ่งอึ้งไปด้วยความทึ่ง พวกเขาคิดถึงแค่เพียงปากท้องในวันนี้ แต่เธอกลับมองการณ์ไกลไปถึงอนาคตของคนรุ่นต่อไปแน่นอนว่าข้อเสนอที่ยอดเยี่ยมแบบนี้ย่อมได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่ไม่นานนัก โรงเรียนหลังเก่าที่ทรุดโทรมก็ได้ถูกแทนที่ด้วยอาคารเรียนอิฐแดงสองชั้นที่แข็งแรงและสว่างไสว เด็ก ๆ ทุกคนมีโต๊ะเรียนและหนังสือเล่มใหม่ เสียงอ่านหนังสือที่ดังกังวานของพวกเขาในทุก ๆ เช้า นับเป็นเสียงอนาคตที่สดใสของหมู่บ้านต้าซานแต่การลงทุนที่สำคัญที่สุดของหลินเสวี่ยหรงนั้น คือน้องสาวสามีของเธอเอง“หลานเอ๋อร์” วันหนึ่งเธอเอ่ยขึ้นกับเว่ยเหอหลานที่บัดนี้ได้เติบโตขึ้นเป็นหญิงสาวที่งดงามและเฉลียวฉลาด “เธอเป็นเด็กที่ขยันหมั่นเพียร ตอนนี้ทางการได้เปิดการสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยอีกครั้งแล้ว เธออยากจะลองสอบเข้ามหาวิทยาลัยในเมืองหลวงดูหรือเปล่า?”แววตาของเว่ยเหอหลานเป็นประกายขึ้นมาด้วยความหวัง แต่ก็เจือปนไปด้วยความไม่มั่นใจ“ฉัน.. ฉันจะทำได้หรือคะพี่สะใภ้? การสอบแข่งขันนั้นยากมากนะ”“ทำไมจะไม่ได้?” หลินเสวี่ยหรงกล่าวให้กำลังใจอย่างหนักแน่น “ขอแค่เธอตั้งใจจริง เรื่องตำราเรียนและค

  • ทะลุมิติทั้งทีขอเป็นเศรษฐีนียุค 70   31 กำเนิดทายาท

    ความโกลาหลที่ถูกเตรียมการมาอย่างดีก็ได้เริ่มต้นขึ้น!เว่ยหลงผู้เคยตื่นตูม บัดนี้กลับมีสติและทำตามขั้นตอนที่หลี่ซินอี๋เคยซักซ้อมไว้เป็นอย่างดี เขารีบประคองภรรยาไปยังห้องนอนที่ถูกเตรียมไว้เป็นห้องคลอดโดยเฉพาะ ส่วนชุนฮวาก็รีบไปต้มน้ำและเตรียมผ้าสะอาด ในขณะที่เว่ยเหอหลานก็วิ่งหน้าตาตื่นไปตามหมอตำแยในหมู่บ้านมาเป็นผู้ช่วยเว่ยหลงถูกกันให้ออกมารออยู่หน้าห้องด้วยใจที่ร้อนรนราวกับไฟเผา เขาเดินวนไปวนมาอยู่หน้าประตูราวกับหนูติดจั่น ทุกครั้งที่ได้ยินเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของภรรยาดังเล็ดลอดออกมา หัวใจของเขาก็ราวกับถูกมีดกรีด เขารู้สึกไร้กำลังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในชีวิตภายในห้องคลอด สถานการณ์ก็ตึงเครียดไม่แพ้กัน การคลอดติดขัดเล็กน้อยทำให้หมอตำแยเริ่มหน้าซีด“แย่แล้ว! เด็กไม่ยอมกลับหัว!”“ทุกคนอยู่ในความสงบ!” เสียงที่สงบนิ่งและเปี่ยมไปด้วยอำนาจของหลี่ซินอี๋ดังขึ้นมา “พี่สะใภ้ฟังฉันนะ หายใจเข้าลึก ๆ ทำตามที่ฉันบอก”แพทย์สาวผู้มีความรู้ที่ทันสมัยกว่า ใช้เทคนิคการนวดและการจัดท่าทางช่วยให้หลินเสวี่ยหรงผ่อนคลายและทำให้ทารกกลับเข้าสู่ตำแหน่งที่ถูกต้องได้ในที่สุด“เบ่งอีกครั้งค่ะพี่สะใภ้! ฉันเห็นหั

  • ทะลุมิติทั้งทีขอเป็นเศรษฐีนียุค 70   30 ว่าที่คุณพ่อมือใหม่

    ในการพบปะกันครั้งล่าสุดที่โรงน้ำชาผิงอัน บรรยากาศระหว่างคนทั้งสองจึงได้เปลี่ยนไป มันไม่ใช่การเจรจาซื้อขายระหว่างผู้ผลิตและผู้รับซื้อ แต่เป็นการประชุมทางธุรกิจที่จริงจัง“คุณลุงคะ ขอบคุณคุณลุงเสมอมาที่คอยช่วยเหลือและให้การสนับสนุนกิจการของหมู่บ้านของฉัน” หลินเสวี่ยหรงเริ่มต้นบทสนทนาด้วยการแสดงความขอบคุณอย่างจริงใจ “วันนี้ฉันมีข้อเสนอทางธุรกิจที่ใหญ่กว่าเดิมมานำเสนอ”เธอได้อธิบายถึงโครงการโรงงานแปรรูปอาหาร วิสัยทัศน์ และศักยภาพในการเติบโตของตลาดให้เขาฟังอย่างละเอียด ก่อนจะเข้าสู่ประเด็นสำคัญ“แต่โครงการนี้ใหญ่เกินกว่าที่หมู่บ้านของเราจะทำได้เพียงลำพัง ฉันจึงอยากจะเรียนเชิญคุณลุงมาร่วมเป็นหุ้นส่วนกับเราอย่างเป็นทางการค่ะ”พ่อค้าจ้าวผู้มีสายตาแหลมคมดุจสุนัขจิ้งจอก เมื่อได้ฟังข้อเสนอของเธอก็ยกยิ้มขึ้นที่มุมปาก เขารอคอยประโยคนี้จากเธอมานานแล้ว“แม่หนู ในที่สุดเธอก็เอ่ยปากเสียที” เขากล่าวอย่างอารมณ์ดี “ว่ามาสิ เธอต้องการจะแบ่งหุ้นส่วนกันยังไง?”นี่คือช่วงเวลาที่หลินเสวี่ยหรงจะได้แสดงทักษะการเจรจาธุรกิจจากศตวรรษที่ยี่สิบห้า ของเธอออกมาอย่างเต็มที่“ทางสหกรณ์หมู่บ้านต้าซานจะรับผิดชอบในส่วนของก

  • ทะลุมิติทั้งทีขอเป็นเศรษฐีนียุค 70   29 งานมงคลสมรส

    เธอเรียกประชุมทีมงานหลักอีกครั้งที่บ้านของตนเอง ในครั้งนี้มีพ่อค้าจ้าวเข้าร่วมด้วยในฐานะที่ปรึกษาด้านการตลาด“สหายทุกคนตอนนี้เรามีสินค้าที่ดีที่สุด แต่เราจะทำยังไงให้คนอื่นรู้ว่าสินค้าของเราแตกต่างและดีกว่าของคนอื่นอย่างไร?” เธอเริ่มต้นด้วยคำถามที่กระตุ้นความคิดทุกคนต่างมองหน้ากันด้วยความไม่เข้าใจ ของดีก็คือของดี จะต้องทำอะไรอีกเล่า?“เราต้องสร้างตราสินค้า หรือที่คนในเมืองใหญ่เรียกว่าแบรนด์ขึ้นมา” เธออธิบายแนวคิดที่ล้ำยุคนี้ “มันเป็นสัญลักษณ์ที่จะทำให้ทุกคนจดจำได้ว่าเห็ดที่ดีที่สุด มาจากที่ไหน”เธอเสนอแนวคิดเรื่องการออกแบบโลโก้ และบรรจุภัณฑ์ที่สวยงามและถูกสุขลักษณะ“โลโก้ของเราจะเป็นรูปภูเขาต้าซานที่มียอดเป็นรูปเห็ดที่กำลังงอกงาม” เธอร่างภาพคร่าว ๆ ให้ทุกคนดู “ส่วนเห็ดตากแห้งของเรา แทนที่จะขายแบบกองรวมกัน เราจะนำมันมาบรรจุในถุงกระดาษที่สะอาดและปิดผนึกอย่างดี บนถุงจะมีตราสินค้าของเราพิมพ์อยู่”พ่อค้าจ้าวผู้คร่ำหวอดในวงการค้าขายมาทั้งชีวิต เมื่อได้ฟังความคิดของเธอก็ถึงกับตาโตเป็นประกาย“แม่หนู! เธอช่างเป็นอัจฉริยะ! ฉันค้าขายมาทั้งชีวิต ยังไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน!” เขากล่าวด้วยความต

  • ทะลุมิติทั้งทีขอเป็นเศรษฐีนียุค 70   28 การเผชิญหน้าครั้งสุดท้าย

    ‘บ้านหลังนี้เคยเป็นทั้งกรงทองและขุมนรกของฉัน’ เธอคิดในใจ ‘แต่วันนี้ มันจะเป็นเพียงเวทีสำหรับละครฉากสุดท้ายเท่านั้น’เว่ยหลงเป็นผู้ที่เคาะประตูเมื่อประตูเปิดออก หญิงรับใช้ผู้หนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้น เธอมองหลินเสวี่ยหรงด้วยความตกตะลึงจนอ้าปากค้าง ก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปรายงานนายหญิงของตนไม่นานนัก ร่างของแม่เลี้ยงก็รีบวิ่งออกมาด้วยท่าทีที่เสแสร้ง “ใครมา อ๊ะ! หรงเอ๋อร์!” เธอทำท่าจะโผเข้ามาสวมกอดด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำตาจอมปลอม “เธอกลับมาแล้ว! ในที่สุดเธอก็กลับมาช่วยแม่กับน้อง!”แต่เธอก็ต้องชะงักงัน เมื่อได้เห็นหลินเสวี่ยหรงที่ยืนอยู่ตรงหน้าเด็กสาวที่เคยผอมแห้งและมีแววตาหวาดกลัวอยู่เสมอ บัดนี้กลับกลายเป็นสตรีที่สง่างามและเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ แม้เธอจะสวมเพียงเสื้อผ้าผ้าฝ้ายธรรมดา ๆ แต่มันกลับดูดีและสะอาดสะอ้าน ผิวพรรณของเธอเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวล และที่สำคัญที่สุดคือดวงตาของเธอ มันไม่ได้มีความหวาดกลัวหลงเหลืออยู่เลยแม้แต่น้อย มีเพียงความเย็นชาและเฉยเมยที่มองมายังเธอราวกับเป็นเพียงคนแปลกหน้าและที่ข้างกายของเธอยังมีบุรุษร่างสูงใหญ่ในเครื่องแบบทหารยืนค้ำตระหง่านอยู่ แววตาของเขาคมกริบและเย็นชา

  • ทะลุมิติทั้งทีขอเป็นเศรษฐีนียุค 70   27 จดหมายจากเมืองใหญ่

    “มันหนีไปแล้ว! รีบจับมันไว้!”เสียงตะโกนดังขึ้นพร้อมกับที่ชาวบ้านกรูกันไล่ตามไปทันที การวิ่งหนีของเขานั้นคือคำสารภาพที่ชัดเจนที่สุดทว่าคนขี้ขลาดที่ตื่นตระหนกจนเสียสติจะไปสู้แรงของเหล่าเกษตรกรที่ทำงานหนักมาทั้งชีวิต และทหารผู้ผ่านการฝึกฝนมาอย่างดีได้ยังไง?เพียงไม่นาน เว่ยหลงก็วิ่งตามไปทันและใช้เท้าเตะเข้าที่ข้อพับของหลี่กังจนเขาล้มหน้าคะมำลงไปกองกับพื้น ชาวบ้านคนอื่น ๆ รีบกรูกันเข้าไปจับตัวเขาไว้แล้วใช้เชือกมัดอย่างแน่นหนา“ปล่อยฉัน! ปล่อยฉัน!” เขาดิ้นรนอย่างน่าสมเพชชาวบ้านลากตัวหลี่กังกลับมาที่ลานหมู่บ้าน ท่ามกลางสายตาที่เคียดแค้นของทุกคนที่เขาพยายามจะทำร้าย“สารภาพมา! ทำไมนายถึงได้กล้าทำเรื่องเลวทรามแบบนี้?!” ผู้ใหญ่บ้านสือตวาดถามเมื่อจนมุมอย่างสิ้นเชิงแล้ว ความกล้าทั้งหมดของหลี่กังก็มลายหายไป เหลือไว้เพียงความหวาดกลัว“ฉะ ฉันผิดไปแล้ว! ได้โปรดไว้ชีวิตฉันด้วย!” เขาร้องไห้ฟูมฟายน้ำมูกน้ำตาไหล “ฉันแค่อิจฉา ฉันไม่ได้ตั้งใจจะฆ่าใคร ฉันแค่.. ฉันแค่อยากจะสั่งสอนนังหลินเสวี่ยหรงเท่านั้น!”แม้จะอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ เขาก็ยังคงพยายามจะป้ายความผิดให้ผู้อื่นขณะนั้นเอง หลินเสวี่ยหรงก็ได้เดิ

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status