หลายวันต่อมา ชื่อเสียงของหลินเสวี่ยหรงก็เริ่มเป็นที่รับรู้ในหมู่ยุวชนด้วยกัน แม้กลุ่มของชิงเหอจะยังคงคอยแขวะอยู่เสมอ แต่ก็ไม่มีใครกล้าดูแคลนเธออย่างเปิดเผยอีก
หลินเสวี่ยหรงยังคงเลือกใช้ชีวิตอย่างสงบเสงี่ยม ไม่โอ้อวด และยังคงออกไปสำรวจป่าเป็นกิจวัตร ซึ่งเป็นข้ออ้างชั้นดีในการเข้าไปจัดการฟาร์มในมิติและนำของเล็ก ๆ น้อย ๆ ออกมา
บ่ายวันหนึ่งขณะที่เธอกำลังเดินสำรวจอยู่บริเวณชายป่าซึ่งใกล้กับเขตที่อยู่อาศัยของชาวบ้าน ทว่าเสียงขวานจามไม้ที่ดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอก็ดึงดูดความสนใจของเธอ
เมื่อมองลอดผ่านแนวพุ่มไม้เข้าไป เธอก็เห็นแผ่นหลังกว้างของบุรุษผู้หนึ่ง เขากำลังจามฟืนอยู่ข้างบ้านดินหลังหนึ่งที่แม้จะเก่าแก่แต่ก็ดูแลปัดกวาดอย่างสะอาดสะอ้าน ร่างของเขาสูงใหญ่กำยำ ทุกครั้งที่เหวี่ยงขวานลงมา มัดกล้ามบนแผ่นหลังและท่อนแขนก็ขยับเคลื่อนอย่างทรงพลัง และเปี่ยมด้วยประสิทธิภาพ ท่าทางเถรตรงแน่วแน่ราวกับทหารที่กำลังฝึกซ้อม
บนเสาไม้ข้าง ๆ กันนั้น มีเสื้อคลุมทหารสีเขียวมะกอกพาดไว้อย่างเป็นระเบียบ บ่งบอกสถานะของเขาของได้อย่างชัดเจน
‘ทหารนี่’ หลินเสวี่ยหรงประเมินในใจด้วยสายตาเรียบเฉย ‘แข็งแรงดี แต่ดูท่าทางจะเถรตรงเป็นท่อนไม้’
ในสายตาของเธอ บุรุษผู้นี้ก็ไม่ต่างจากผลผลิตของยุคสมัยที่ถูกหล่อหลอมด้วยระเบียบวินัยอันเข้มงวด แข็งแกร่ง มีความรับผิดชอบ แต่ก็น่าเบื่อและไร้ซึ่งความยืดหยุ่น เขาเป็นเพียงอีกหนึ่งองค์ประกอบของหมู่บ้านต้าซานแห่งนี้เท่านั้น ยังไม่ทันที่เธอจะหันหลังกลับ ก็มีร่างระหงของหญิงสาวผู้หนึ่งเดินตรงไปยังลานบ้านนั้น
หล่อนคือ หลี่เหมย หญิงสาวที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นดอกไม้งามแห่งต้าซาน หล่อนมีรูปโฉมสะสวยหมดจดตามมาตรฐานของยุคสมัย ผิวสีน้ำผึ้ง ดวงตากลมโต และมีลักยิ้มบุ๋มที่แก้ม แต่ในแววตาของเธอนั้นกลับแฝงไว้ด้วยความรู้สึกอยากครอบครองอย่างชัดเจน
“พี่เว่ยหลง เหนื่อยไหมคะ?” น้ำเสียงของหลี่เหมยหวานหยดย้อยราวกับเคลือบด้วยน้ำผึ้ง “เหมยเอ๋อร์เอาน้ำเย็น ๆ มาให้”
บุรุษผู้นั้นหยุดการเคลื่อนไหว หันกลับมาเผยให้เห็นใบหน้าหล่อเหลาคมคาย แม้จะเปรอะเปื้อนไปด้วยหยาดเหงื่อ แต่ดวงตาของเขากลับสุขุมและลุ่มลึก
“ขอบใจ” เขาตอบรับด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำแต่สั้นห้วน ก่อนจะรับกระบอกน้ำมาดื่มโดยไม่ได้แสดงอารมณ์อื่นใดบนใบหน้า
ทว่าหลี่เหมยกลับไม่ยอมจากไปง่าย ๆ เธอยังคงยืนอยู่ใกล้ ๆ เอื้อมมือหยิบผ้าเช็ดหน้าที่ซ่อนไว้ในแขนเสื้อขึ้นมา
“ดูสิคะ เหงื่อออกเต็มไปหมดเลย เดี๋ยวเหมยเอ๋อร์เช็ดให้นะ”
เว่ยหลงขยับตัวถอยหลังไปก้าวหนึ่งอย่างเป็นธรรมชาติเพื่อรักษาระยะห่าง
“ไม่เป็นไร ฉันทำเองได้” เขาตอบปฏิเสธอย่างสุภาพแต่มั่นคง ทำให้มือของหลี่เหมยต้องชะงักค้างอยู่กลางอากาศ
หลินเสวี่ยหรงที่แอบมองดูบทละครรักใคร่ฉากนี้อยู่ไกล ๆ อดจะยกมุมปากขึ้นอย่างขบขันไม่ได้ ช่างเป็นภาพที่เห็นได้ดาษดื่นเสียนี่กระไร
‘บุรุษผู้เป็นที่หมายปองของสาวงาม ช่างเป็นเรื่องราวที่น่าเบื่อหน่ายซ้ำซาก’
เธอส่ายศีรษะเบา ๆ ก่อนจะหันหลังเดินจากไปอย่างเงียบเชียบ
สายฝนที่โปรยปรายลงมาเมื่อคืนก่อนได้ชะล้างฝุ่นผงในอากาศไปจนหมดสิ้น แต่ก็ทิ้งความชื้นแฉะ และเส้นทางที่ลื่นผิดปกติไว้เบื้องหลัง หลินเสวี่ยหรงตั้งใจจะเข้าป่าให้ลึกกว่าเดิมในวันนี้ ด้วยหวังว่าจะได้หาสถานที่อันเป็นส่วนตัว เพื่อเข้าไปจัดการฟาร์มในมิติได้นานขึ้นอีกสักหน่อย
เธอเดินลึกเข้าไปในป่าทึบอย่างระมัดระวัง บรรยากาศรอบกายชื้น และอบอวลไปด้วยกลิ่นดินกลิ่นใบไม้ เสียงหยาดน้ำที่เกาะอยู่ตามใบไม้หยดลงบนพื้นเป็นระยะ ๆ ราวกับเสียงนาฬิกาของธรรมชาติ
ขณะที่กำลังปีนป่ายเนินดินที่ค่อนข้างสูงชันและเปียกลื่นอยู่นั้น หายนะก็มาเยือนโดยไม่คาดฝัน
“ว้าย!”
เท้าข้างหนึ่งของเธอเหยียบลงบนแผ่นหินที่ปกคลุมไปด้วยมอสสีเขียวชอุ่มซึ่งมองเห็นได้ยาก ร่างกายที่ยังไม่คุ้นชินกับความอ่อนแอของเจ้าของร่างคนเดิม จึงเสียการทรงตัวในทันที หลินเสวี่ยหรงรู้สึกราวกับโลกทั้งใบหมุนคว้าง ก่อนที่ร่างของเธอจะไถลลื่นลงจากเนินดินนั้นอย่างรวดเร็ว แม้มันจะไม่ใช่หน้าผาสูงชัน แต่การกระแทกกับพื้นดินแข็ง ๆ และรากไม้ที่ระเกะระกะก็ทำให้เธอเจ็บจนจุก
ตุบ!
ทว่าความเจ็บปวดที่รุนแรงที่สุดกลับพุ่งขึ้นมาจากข้อเท้าขวา มันเป็นความเจ็บปวดที่แหลมลึกราวกับมีเหล็กร้อนแดงทิ่มแทงอยู่ข้างใน
“อึก..” เธอกัดริมฝีปากแน่น พยายามจะยันกายลุกขึ้น แต่ทันทีที่น้ำหนักทิ้งลงบนเท้าขวา ความเจ็บปวดระลอกใหม่ก็ซัดเข้ามาจนเธอต้องทรุดกายลงกับพื้นอีกครั้ง ใบหน้าขาวผ่องซีดเผือดไร้สีเลือด ข้อเท้าของเธอบวมเป่งขึ้นมาอย่างรวดเร็วจนน่ากลัว
‘บัดซบเอ๊ย! ร่างกายนี้มันอ่อนแอเกินไปแล้ว!’
หลินเสวี่ยหรงสบถในใจด้วยความขัดเคือง ความเจ็บปวดทางกายนั้นเทียบไม่ได้เลยกับความหงุดหงิดที่ต้องมาตกอยู่ในสภาพน่าสมเพชแบบนี้ เธอพยายามใช้ความรู้ปฐมพยาบาลจากชาติก่อนเพื่อประเมินอาการ แต่ก็ทำได้เพียงรู้ว่าข้อเท้าของเธอแพลงอย่างรุนแรง และไม่มีทางจะเดินกลับหมู่บ้านด้วยตนเองได้แน่นอน
เธอนั่งนิ่งอยู่บนพื้นดินที่เย็นชื้น ความรู้สึกโดดเดี่ยว และอับจนหนทางเริ่มคืบคลานเข้ามาในจิตใจเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ทะลุมิติมา ความเจ็บปวดทำให้เผลอส่งเสียงครางออกมาเบา ๆ ด้วยความลืมตัว
ทันใดนั้น เสียงฝีเท้าหนัก ๆ ที่กำลังเหยียบย่ำใบไม้แห้งก็ดังขึ้นจากด้านบนของเนินดิน
หลินเสวี่ยหรงเงยหน้าขึ้นอย่างตื่นตระหนก ร่างสูงใหญ่ของใครคนหนึ่งปรากฏขึ้นย้อนแสงอาทิตย์ที่ส่องลอดลงมา เขาถือปืนยาวสำหรับล่าสัตว์ไว้ในมือ และมีกระต่ายป่าสองตัวห้อยอยู่ที่เอว ท่าทางของเขาองอาจและเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายของอันตราย
เมื่อเขาเดินลงมาใกล้ขึ้น หลินเสวี่ยหรงก็จำได้ในทันที.. เขาคือ เว่ยหลง ทหารหนุ่มที่เธอเคยปรามาสไว้ในใจว่าเป็นพวกเถรตรงน่าเบื่อ!
ฝ่ายเว่ยหลงเองก็ประหลาดใจไม่น้อยที่มาพบยุวชนสาวชาวเมืองผู้นี้ในป่าลึกเพียงลำพัง ในสภาพที่ดูอเนจอนาถแบบนี้ ดวงตาคมกริบของเขากวาดมองสถานการณ์อย่างรวดเร็ว ก่อนจะหยุดลงที่ข้อเท้าซึ่งบวมเป่งผิดรูปของเธอ
“สหายหญิง เกิดอะไรขึ้น?” น้ำเสียงของเขาทุ้มต่ำและราบเรียบ แต่แฝงไว้ด้วยอำนาจที่ทำให้คนฟังต้องตอบตามความจริง
หลินเสวี่ยหรงสะบัดหน้าหนีความเจ็บปวด ก่อนจะตอบเสียงห้วน
“ฉันลื่นล้ม ข้อเท้าคงจะแพลง” เธอบอกเล่าข้อเท็จจริง ไม่ได้มีท่าทีอ่อนแอ หรือร้องขอความช่วยเหลือแม้แต่น้อย
เว่ยหลงขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาวางปืนและซากกระต่ายลง ก่อนจะย่อกายลงตรงหน้าเธอโดยไม่เอ่ยคำใดอีก มือใหญ่ที่หยาบกร้านจากการฝึกฝนและทำงานหนักยื่นออกมา แตะลงบนข้อเท้าของเธออย่างแผ่วเบาเพื่อประเมินอาการ
หลินเสวี่ยหรงสะดุ้งเฮือกกับสัมผัสที่ไม่คาดคิดนั้น ความร้อนจากฝ่ามือของเขาดูเหมือนจะส่งผ่านทะลุผิวหนังเข้ามาถึงกระดูก แต่การเคลื่อนไหวของเขานั้นกลับมั่นคงและเป็นมืออาชีพ ไม่ได้มีเจตนาล่วงเกินแม้แต่น้อย
“ดูท่าจะหนักอยู่” เขาเอ่ยขึ้นหลังจากตรวจดูอยู่ครู่หนึ่ง “เธอเดินเองไม่ไหวแน่”
หลินเสวี่ยหรงเม้มปากแน่น เธอรู้ดีกว่าใครว่าเขาพูดความจริง
เว่ยหลงลุกขึ้นยืนเต็มความสูงอีกครั้ง ดวงตาของเขาทอดมองไปยังเส้นทางขรุขระที่ทอดยาวกลับสู่หมู่บ้าน ก่อนจะหันกลับมามองใบหน้าซีดขาวของหญิงสาวที่นั่งอยู่บนพื้น คิ้วเข้มของเขาขมวดเข้าหากันอย่างครุ่นคิด
ความเงียบเข้าปกคลุมระหว่างคนทั้งสอง มีเพียงเสียงลมหายใจและเสียงของพงไพรที่ขับขานอยู่รอบกาย เว่ยหลงขมวดคิ้วมุ่น ชั่งน้ำหนักระหว่างเกียรติยศและมนุษยธรรม การทิ้งสหายร่วมชาติที่บาดเจ็บไว้ในป่าลึกเพียงลำพังนั้นเป็นสิ่งที่จิตสำนึกของทหารอย่างเขายอมรับไม่ได้โดยเด็ดขาด
สุดท้าย เขาก็ตัดสินใจได้
“ฉันจะพาเธอกลับหมู่บ้าน” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น เป็นประโยคบอกเล่าไม่ใช่คำถาม
“ฉันเดินเองได้!” หลินเสวี่ยหรงแย้งกลับตามสัญชาตญาณของความหยิ่งทระนง แม้จะรู้ดีว่ามันเป็นไปไม่ได้ก็ตาม
เว่ยหลงไม่เสียเวลาโต้เถียงกับเธอ เขาย่อตัวลงอีกครั้ง สอดแขนข้างหนึ่งเข้าที่ใต้ข้อพับเข่าของเธอ ส่วนแขนอีกข้างช้อนเข้าที่กลางหลังอย่างมั่นคง ก่อนจะออกแรงยกร่างของเธอขึ้นมาแนบกับแผงอกอย่างง่ายดายราวกับกำลังยกปุยนุ่น
“ว้าย! นายจะทำอะไร! ปล่อยฉันนะ!”
หลินเสวี่ยหรงร้องเสียงหลงด้วยความตกใจระคนตื่นตระหนก นี่เป็นครั้งแรกในรอบสองชาติภพที่เธอต้องมาตกอยู่ในอ้อมแขนของบุรุษเพศอย่างใกล้ชิดถึงขนาดนี้
เธอพยายามดิ้นรนขัดขืน แต่เรี่ยวแรงอันน้อยนิดของเธอก็ไม่ต่างอะไรกับลูกแมวที่พยายามจะต่อกรกับพญาเสือโคร่ง อ้อมแขนของเขาราวกับคีมเหล็กที่รัดร่างเธอไว้อย่างแน่นหนาจนไม่อาจขยับเขยื้อนได้ กลิ่นอายบุรุษเพศอันแปลกประหลาดที่ผสมปนเปกันระหว่างกลิ่นเหงื่อ กลิ่นดิน และกลิ่นแดด ลอยเข้าปะทะจมูกอย่างจังจนเธอต้องเผลอกลั้นหายใจ ใบหน้างามแดงซ่านด้วยโทสะและความอัปยศ
ฝ่ายเว่ยหลงเองก็รู้สึกถึงความอึดอัดไม่ต่างกัน ร่างในอ้อมแขนของเขานั้นช่างบอบบาง เบาหวิวจนน่าใจหาย ความนุ่มนิ่มและไออุ่นที่ส่งผ่านอาภรณ์เนื้อหยาบเข้ามานั้น เป็นสัมผัสที่เขาไม่คุ้นเคยอย่างยิ่ง
เขารู้สึกได้ถึงจังหวะหัวใจของเธอที่เต้นรัวราวกับกลองศึกอยู่ชิดกับแผงอกของตน ทหารหนุ่มทำได้เพียงเกร็งร่างให้แข็งทื่อราวกับท่อนไม้ สายตาจับจ้องไปเบื้องหน้าอย่างแน่วแน่ พยายามสะกดความรู้สึกปั่นป่วนในใจเอาไว้
“อยู่นิ่ง ๆ” เขาเอ่ยเสียงเข้ม “หากเธอยังดิ้นไม่หยุด เราสองคนได้ตกลงไปนอนกองกับพื้นด้วยกันแน่”
คำขู่ของเขาได้ผลชะงัด หลินเสวี่ยหรงหยุดดิ้นในทันที เธอหลับตาลงแน่น ไม่ยอมมองหน้าเขาและไม่ยอมมองสิ่งใดทั้งสิ้น ทำได้เพียงปล่อยให้เขาอุ้มเธอเดินฝ่าพงไพรไปอย่างเงียบงัน
เวลาผ่านไปเนิ่นนานเท่าไหร่ก็สุดจะรู้ได้ ในที่สุดเว่ยหลงก็พาเธอมาจนถึงชายป่าซึ่งเป็นเขตติดต่อกับทุ่งนาท้ายหมู่บ้าน แสงแดดที่สาดส่องลงมาทำให้เธอต้องหยีตาลงเล็กน้อย
และในจังหวะนั้นเอง โชคชะตาก็เล่นตลกอย่างร้ายกาจที่สุด
กลุ่มหญิงวัยกลางคนของหมู่บ้านกลุ่มหนึ่งที่กำลังเดินกลับจากการเก็บฟืนผ่านมาเห็นภาพนั้นพอดี
ทุกคนหยุดชะงักราวกับถูกสาปให้เป็นหิน ปากอ้าตาค้าง ตะกร้าในมือแทบร่วงหล่นลงพื้น ภาพของทหารหนุ่มผู้เป็นที่หมายปองของสาว ๆ ทั้งหมู่บ้าน กำลังอุ้มยุวชนสาวชาวเมืองผู้เลอโฉมออกมาจากป่าลึกในท่าทางที่แสนจะใกล้ชิดสนิทสนม มันช่างเป็นภาพที่ชวนให้จินตนาการเตลิดไปไกลเสียเหลือเกิน!
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ จางซื่อ หญิงชาวบ้านผู้เป็นหัวโจกด้านการกระจายข่าวสารของหมู่บ้าน ดวงตาของเธอเบิกกว้าง ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นความตื่นเต้นยินดีจนเปล่งประกายวาววับราวกับหมาป่าที่เจอเหยื่อชิ้นโอชะ
เว่ยหลงเห็นสายตาเหล่านั้นก็รู้ได้ในทันทีว่าหายนะมาเยือนแล้ว ใบหน้าคมคายของเขาเคร่งขรึมลงในบัดดล
เว่ยหลงไม่ได้เอ่ยคำใดกับกลุ่มหญิงชาวบ้านที่ยืนตะลึงงันอยู่ เขาเพียงตวัดสายตาเย็นชาคมกริบมองพวกหล่อนแวบหนึ่ง ซึ่งเป็นผลให้ทุกคนหุบปากฉับลงในทันที ก่อนที่เขาจะก้าวเดินต่อไปด้วยใบหน้าเคร่งขรึม อุ้มร่างในอ้อมแขนมุ่งตรงไปยังบ้านยุวชนอย่างรวดเร็ว
ทว่าทันทีที่แผ่นหลังกว้างของเขาพ้นไปได้ไม่ไกล คำพูดมากมายก็ระเบิดขึ้น
วิสัยทัศน์ของเธอทำให้ทุกคนที่ได้ฟังต้องนิ่งอึ้งไปด้วยความทึ่ง พวกเขาคิดถึงแค่เพียงปากท้องในวันนี้ แต่เธอกลับมองการณ์ไกลไปถึงอนาคตของคนรุ่นต่อไปแน่นอนว่าข้อเสนอที่ยอดเยี่ยมแบบนี้ย่อมได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่ไม่นานนัก โรงเรียนหลังเก่าที่ทรุดโทรมก็ได้ถูกแทนที่ด้วยอาคารเรียนอิฐแดงสองชั้นที่แข็งแรงและสว่างไสว เด็ก ๆ ทุกคนมีโต๊ะเรียนและหนังสือเล่มใหม่ เสียงอ่านหนังสือที่ดังกังวานของพวกเขาในทุก ๆ เช้า นับเป็นเสียงอนาคตที่สดใสของหมู่บ้านต้าซานแต่การลงทุนที่สำคัญที่สุดของหลินเสวี่ยหรงนั้น คือน้องสาวสามีของเธอเอง“หลานเอ๋อร์” วันหนึ่งเธอเอ่ยขึ้นกับเว่ยเหอหลานที่บัดนี้ได้เติบโตขึ้นเป็นหญิงสาวที่งดงามและเฉลียวฉลาด “เธอเป็นเด็กที่ขยันหมั่นเพียร ตอนนี้ทางการได้เปิดการสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยอีกครั้งแล้ว เธออยากจะลองสอบเข้ามหาวิทยาลัยในเมืองหลวงดูหรือเปล่า?”แววตาของเว่ยเหอหลานเป็นประกายขึ้นมาด้วยความหวัง แต่ก็เจือปนไปด้วยความไม่มั่นใจ“ฉัน.. ฉันจะทำได้หรือคะพี่สะใภ้? การสอบแข่งขันนั้นยากมากนะ”“ทำไมจะไม่ได้?” หลินเสวี่ยหรงกล่าวให้กำลังใจอย่างหนักแน่น “ขอแค่เธอตั้งใจจริง เรื่องตำราเรียนและค
ความโกลาหลที่ถูกเตรียมการมาอย่างดีก็ได้เริ่มต้นขึ้น!เว่ยหลงผู้เคยตื่นตูม บัดนี้กลับมีสติและทำตามขั้นตอนที่หลี่ซินอี๋เคยซักซ้อมไว้เป็นอย่างดี เขารีบประคองภรรยาไปยังห้องนอนที่ถูกเตรียมไว้เป็นห้องคลอดโดยเฉพาะ ส่วนชุนฮวาก็รีบไปต้มน้ำและเตรียมผ้าสะอาด ในขณะที่เว่ยเหอหลานก็วิ่งหน้าตาตื่นไปตามหมอตำแยในหมู่บ้านมาเป็นผู้ช่วยเว่ยหลงถูกกันให้ออกมารออยู่หน้าห้องด้วยใจที่ร้อนรนราวกับไฟเผา เขาเดินวนไปวนมาอยู่หน้าประตูราวกับหนูติดจั่น ทุกครั้งที่ได้ยินเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของภรรยาดังเล็ดลอดออกมา หัวใจของเขาก็ราวกับถูกมีดกรีด เขารู้สึกไร้กำลังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในชีวิตภายในห้องคลอด สถานการณ์ก็ตึงเครียดไม่แพ้กัน การคลอดติดขัดเล็กน้อยทำให้หมอตำแยเริ่มหน้าซีด“แย่แล้ว! เด็กไม่ยอมกลับหัว!”“ทุกคนอยู่ในความสงบ!” เสียงที่สงบนิ่งและเปี่ยมไปด้วยอำนาจของหลี่ซินอี๋ดังขึ้นมา “พี่สะใภ้ฟังฉันนะ หายใจเข้าลึก ๆ ทำตามที่ฉันบอก”แพทย์สาวผู้มีความรู้ที่ทันสมัยกว่า ใช้เทคนิคการนวดและการจัดท่าทางช่วยให้หลินเสวี่ยหรงผ่อนคลายและทำให้ทารกกลับเข้าสู่ตำแหน่งที่ถูกต้องได้ในที่สุด“เบ่งอีกครั้งค่ะพี่สะใภ้! ฉันเห็นหั
ในการพบปะกันครั้งล่าสุดที่โรงน้ำชาผิงอัน บรรยากาศระหว่างคนทั้งสองจึงได้เปลี่ยนไป มันไม่ใช่การเจรจาซื้อขายระหว่างผู้ผลิตและผู้รับซื้อ แต่เป็นการประชุมทางธุรกิจที่จริงจัง“คุณลุงคะ ขอบคุณคุณลุงเสมอมาที่คอยช่วยเหลือและให้การสนับสนุนกิจการของหมู่บ้านของฉัน” หลินเสวี่ยหรงเริ่มต้นบทสนทนาด้วยการแสดงความขอบคุณอย่างจริงใจ “วันนี้ฉันมีข้อเสนอทางธุรกิจที่ใหญ่กว่าเดิมมานำเสนอ”เธอได้อธิบายถึงโครงการโรงงานแปรรูปอาหาร วิสัยทัศน์ และศักยภาพในการเติบโตของตลาดให้เขาฟังอย่างละเอียด ก่อนจะเข้าสู่ประเด็นสำคัญ“แต่โครงการนี้ใหญ่เกินกว่าที่หมู่บ้านของเราจะทำได้เพียงลำพัง ฉันจึงอยากจะเรียนเชิญคุณลุงมาร่วมเป็นหุ้นส่วนกับเราอย่างเป็นทางการค่ะ”พ่อค้าจ้าวผู้มีสายตาแหลมคมดุจสุนัขจิ้งจอก เมื่อได้ฟังข้อเสนอของเธอก็ยกยิ้มขึ้นที่มุมปาก เขารอคอยประโยคนี้จากเธอมานานแล้ว“แม่หนู ในที่สุดเธอก็เอ่ยปากเสียที” เขากล่าวอย่างอารมณ์ดี “ว่ามาสิ เธอต้องการจะแบ่งหุ้นส่วนกันยังไง?”นี่คือช่วงเวลาที่หลินเสวี่ยหรงจะได้แสดงทักษะการเจรจาธุรกิจจากศตวรรษที่ยี่สิบห้า ของเธอออกมาอย่างเต็มที่“ทางสหกรณ์หมู่บ้านต้าซานจะรับผิดชอบในส่วนของก
เธอเรียกประชุมทีมงานหลักอีกครั้งที่บ้านของตนเอง ในครั้งนี้มีพ่อค้าจ้าวเข้าร่วมด้วยในฐานะที่ปรึกษาด้านการตลาด“สหายทุกคนตอนนี้เรามีสินค้าที่ดีที่สุด แต่เราจะทำยังไงให้คนอื่นรู้ว่าสินค้าของเราแตกต่างและดีกว่าของคนอื่นอย่างไร?” เธอเริ่มต้นด้วยคำถามที่กระตุ้นความคิดทุกคนต่างมองหน้ากันด้วยความไม่เข้าใจ ของดีก็คือของดี จะต้องทำอะไรอีกเล่า?“เราต้องสร้างตราสินค้า หรือที่คนในเมืองใหญ่เรียกว่าแบรนด์ขึ้นมา” เธออธิบายแนวคิดที่ล้ำยุคนี้ “มันเป็นสัญลักษณ์ที่จะทำให้ทุกคนจดจำได้ว่าเห็ดที่ดีที่สุด มาจากที่ไหน”เธอเสนอแนวคิดเรื่องการออกแบบโลโก้ และบรรจุภัณฑ์ที่สวยงามและถูกสุขลักษณะ“โลโก้ของเราจะเป็นรูปภูเขาต้าซานที่มียอดเป็นรูปเห็ดที่กำลังงอกงาม” เธอร่างภาพคร่าว ๆ ให้ทุกคนดู “ส่วนเห็ดตากแห้งของเรา แทนที่จะขายแบบกองรวมกัน เราจะนำมันมาบรรจุในถุงกระดาษที่สะอาดและปิดผนึกอย่างดี บนถุงจะมีตราสินค้าของเราพิมพ์อยู่”พ่อค้าจ้าวผู้คร่ำหวอดในวงการค้าขายมาทั้งชีวิต เมื่อได้ฟังความคิดของเธอก็ถึงกับตาโตเป็นประกาย“แม่หนู! เธอช่างเป็นอัจฉริยะ! ฉันค้าขายมาทั้งชีวิต ยังไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน!” เขากล่าวด้วยความต
‘บ้านหลังนี้เคยเป็นทั้งกรงทองและขุมนรกของฉัน’ เธอคิดในใจ ‘แต่วันนี้ มันจะเป็นเพียงเวทีสำหรับละครฉากสุดท้ายเท่านั้น’เว่ยหลงเป็นผู้ที่เคาะประตูเมื่อประตูเปิดออก หญิงรับใช้ผู้หนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้น เธอมองหลินเสวี่ยหรงด้วยความตกตะลึงจนอ้าปากค้าง ก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปรายงานนายหญิงของตนไม่นานนัก ร่างของแม่เลี้ยงก็รีบวิ่งออกมาด้วยท่าทีที่เสแสร้ง “ใครมา อ๊ะ! หรงเอ๋อร์!” เธอทำท่าจะโผเข้ามาสวมกอดด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำตาจอมปลอม “เธอกลับมาแล้ว! ในที่สุดเธอก็กลับมาช่วยแม่กับน้อง!”แต่เธอก็ต้องชะงักงัน เมื่อได้เห็นหลินเสวี่ยหรงที่ยืนอยู่ตรงหน้าเด็กสาวที่เคยผอมแห้งและมีแววตาหวาดกลัวอยู่เสมอ บัดนี้กลับกลายเป็นสตรีที่สง่างามและเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ แม้เธอจะสวมเพียงเสื้อผ้าผ้าฝ้ายธรรมดา ๆ แต่มันกลับดูดีและสะอาดสะอ้าน ผิวพรรณของเธอเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวล และที่สำคัญที่สุดคือดวงตาของเธอ มันไม่ได้มีความหวาดกลัวหลงเหลืออยู่เลยแม้แต่น้อย มีเพียงความเย็นชาและเฉยเมยที่มองมายังเธอราวกับเป็นเพียงคนแปลกหน้าและที่ข้างกายของเธอยังมีบุรุษร่างสูงใหญ่ในเครื่องแบบทหารยืนค้ำตระหง่านอยู่ แววตาของเขาคมกริบและเย็นชา
“มันหนีไปแล้ว! รีบจับมันไว้!”เสียงตะโกนดังขึ้นพร้อมกับที่ชาวบ้านกรูกันไล่ตามไปทันที การวิ่งหนีของเขานั้นคือคำสารภาพที่ชัดเจนที่สุดทว่าคนขี้ขลาดที่ตื่นตระหนกจนเสียสติจะไปสู้แรงของเหล่าเกษตรกรที่ทำงานหนักมาทั้งชีวิต และทหารผู้ผ่านการฝึกฝนมาอย่างดีได้ยังไง?เพียงไม่นาน เว่ยหลงก็วิ่งตามไปทันและใช้เท้าเตะเข้าที่ข้อพับของหลี่กังจนเขาล้มหน้าคะมำลงไปกองกับพื้น ชาวบ้านคนอื่น ๆ รีบกรูกันเข้าไปจับตัวเขาไว้แล้วใช้เชือกมัดอย่างแน่นหนา“ปล่อยฉัน! ปล่อยฉัน!” เขาดิ้นรนอย่างน่าสมเพชชาวบ้านลากตัวหลี่กังกลับมาที่ลานหมู่บ้าน ท่ามกลางสายตาที่เคียดแค้นของทุกคนที่เขาพยายามจะทำร้าย“สารภาพมา! ทำไมนายถึงได้กล้าทำเรื่องเลวทรามแบบนี้?!” ผู้ใหญ่บ้านสือตวาดถามเมื่อจนมุมอย่างสิ้นเชิงแล้ว ความกล้าทั้งหมดของหลี่กังก็มลายหายไป เหลือไว้เพียงความหวาดกลัว“ฉะ ฉันผิดไปแล้ว! ได้โปรดไว้ชีวิตฉันด้วย!” เขาร้องไห้ฟูมฟายน้ำมูกน้ำตาไหล “ฉันแค่อิจฉา ฉันไม่ได้ตั้งใจจะฆ่าใคร ฉันแค่.. ฉันแค่อยากจะสั่งสอนนังหลินเสวี่ยหรงเท่านั้น!”แม้จะอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ เขาก็ยังคงพยายามจะป้ายความผิดให้ผู้อื่นขณะนั้นเอง หลินเสวี่ยหรงก็ได้เดิ