บทที่ 14
แม่สื่อแม่ชัก
ออกจากเหลาสุราก็เดินตรงไปยังร้านขายหมูของต้าเป่าทันที ที่ร้านขายหมูตอนนี้วุ่นวายมากเพราะใกล้จะถึงงานเทศกาลตวนอู่แล้ว ผู้คนจึงออกจากบ้านมาจับจ่ายซื้อของไปทำบ๊ะจ่างกันมากมายเต็มตลาดไปหมด กว่าที่ฟางหนิงฮวาจะเบียดฝ่าฝูงชนเข้าไปในร้านขายหมูได้ก็เล่นเอาเหงื่อตกเช่นกัน
เทศกาลตวนอู่หรือเทศกาลบ๊ะจ่างเป็นเทศกาลสำคัญ ซึ่งจัดขึ้นในวันที่ 5 เดือน 5 บรรยากาศของเทศกาลอบอวลไปด้วยกลิ่นไอของวัฒนธรรมและประเพณี ผู้คนจะเริ่มเตรียมตัวกันตั้งแต่เช้าตรู่ หญิงสาวช่วยกันห่อบ๊ะจ่างด้วยใบไผ่หรือใบหญ้าเรียวยาว ภายในห่อข้าวเหนียวสอดไส้ด้วยหมูแดง ถั่ว หรือไข่แดงเค็ม กลิ่นหอมของบ๊ะจ่างลอยคลุ้งไปทั่วลานบ้าน
ชายฉกรรจ์จะนำเรือมังกรออกมาเพื่อเตรียมแข่งในแม่น้ำ เสียงกลองกระหึ่มกึกก้อง ผสมกับเสียงร้องของชาวบ้านที่มารวมตัวกันริมฝั่งน้ำ เด็กๆ สวมถุงหอมปักลายสวยงาม แขวนไว้ที่เอวเพื่อป้องกันสิ่งชั่วร้าย
เทศกาลนี้จัดขึ้นเพื่อระลึกถึงผู้จงรักภักดีอย่าง "ชวีหยวน" ขุนนางผู้ยอมพลีชีพตนในแม่น้ำมิโหลวเพื่อแสดงความรักต่อแผ่นดิน ความศรัทธาอันแรงกล้าและบรรยากาศอันอบอุ่นของเทศกาลนี้ ทำให้มันเป็นหนึ่งในประเพณีที่ฝังรากลึกในใจของผู้คนช้านาน
"นี่ร้านเจ้าวุ่นวายถึงเพียงนี้ มีคนช่วยขายแค่ไม่กี่คนจะทันหรือ" ฟางหนิงฮวาพูดพลางคว้าผ้ากันเปื้อนมาใส่เตรียมจะไปช่วยสหายขายหมูที่หน้าเขียง
ที่หน้าเขียงมีเพียงแค่ต้าเป่ากับมารดาของเขาสองคนเท่านั้นที่ทำหน้าที่หั่นหมูและชั่ง ส่วนบิดาของเขาต้องวิ่งวุ่นไปมาเพื่อขนเนื้อหมูที่เก็บไว้ในบ้านทยอยออกมาขาย ส่วนหน้าที่คนร้อยเชือกใส่หมูนั้นยังว่างอยู่เพราะต้าเป่าทำไม่ทันนางเลยคิดจะไปช่วยเขาทำตรงนั้นแทน
"ข้าต้องรบกวนเจ้าแล้วละหนิงฮวา เดี๋ยวข้าเลี้ยงเซาปิ่งเป็นการตอบแทนก็แล้วกันนะ" ต้าเป่าตะโกนบอก
ฟางหนิงฮวาเดินเข้าไปด้านหลังเขียงหมูรับหมูที่ต้าเป่าหั่นชั่งน้ำหนักแล้วมาร้อยเชือกใส่เข้าไป "ข้าไม่กินเซาปิ่ง เจ้าเตรียมตัวไปเลี้ยงข้าที่เหลาสุราซ่งเฮ่อจะดีกว่า"
"นี่เจ้าดื่มสุราแล้วอย่างนั้นหรือ จริงด้วย…ข้าได้กลิ่นนสุราจากเจ้า" ต้าเป่าพูดอย่างไม่เชื่อสายตา
"ดื่มมาเล็กน้อยเท่านั้น รีบทำงานเถอะ" ฟางหนิงฮวากล่าวจากนั้นทั้งสองจึงเร่งทำงานเพื่อระบายลูกค้าออกจากร้านให้เร็วที่สุด แต่ทว่าลูกค้าที่ต่อแถวซื้อหมูนั้นก็ยาวเหยียดไม่ทีท่าว่าจะหมดสักที ในที่สุดพวกเขาก็ต้องคอตกกลับไปเพราะว่าหมูที่ร้านถูกขายจนหมดเกลี้ยง กลายเป็นว่าต้องไปหาซื้อที่ร้านอื่นแทน
เมื่อจัดการขายหมูจนหมดแล้วสหายทั้งสองจึงมีเวลาพูดคุยกันเสียที ฟางหนิงฮวามองดูต้าเป่าอย่างประหลาดใจจนในที่สุดก็ถึงกับต้องเอ่ยชมออกมา "ไม่เลวนี่ ชั่วระยะเวลาเพียงเดือนเดียวเจ้าก็ผอมลงถึงเพียงนี้แล้ว ข้าเพิ่งจะรู้นะเนี่ยว่าเจ้าเป็นคนที่มีความมุ่งมั่นมาก"
"ย่อมแน่อยู่แล้ว เจ้ารู้จักข้าน้อยไป คนอย่างต้าเป่าถ้าหากจะทำอะไรต้องทำให้สำเร็จ" ต้าเป่ากล่าวอย่างภาคภูมิใจ
ตลอดละยะเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมาเขาลดน้ำหนักลงมาได้กว่ายี่สิบชั่งแล้ว ดูหล่อเหลาขึ้นเป็นกอง ดูไปแล้วเขาเองก็หน้าตาดีไม่น้อย หากว่าลดลงอีกสักยี่สิบชั่งรับรองว่าหญิงสาวในเมืองถู่หยางต้องมองเขาจนเหลียวหลังเป็นแน่ ทั้งเขายังเป็นลูกพ่อค้าที่ครอบครัวค่อนข้างมีฐานะ หากหญิงใดเห็นเข้าแล้วละก็มีหรือที่จะไม่คิดจับเขา
"ว่าแต่เจ้าเถอะ อธิบายมาที่ละเรื่องเลย" ต้าเป่าเค้นถาม
ประเด็นแรกก็คือเรื่องที่นางดื่มสุรา เขาค่อนข้างไม่เห็นด้วยที่นางออกมาดื่มสุราข้างนอกทั้งยังถือไหสุราเดินไปเดินมาในเมืองอีก ภาพนี้ทำเอาสหายสนิทของเขากลายเป็นหญิงขี้เมาไปอย่างไรอย่างนั้น ส่วนเรื่องที่สองก็คือนางมีเรื่องอันใดถึงได้มาหาเขาถึงทีร้าน
"อธิบายอะไร ข้ามิได้ทำผิดสักหน่อย" ฟางหนิงฮวาว่า
"ก็เรื่องที่เจ้าดื่มสุราอย่างไรเล่า" ต้าเป้ากล่าวเสียงไม่สบอารมณ์
ฟางหนิงฮวาเดินไปแตะที่ไหล่ของเขาเบา ๆ สองสามที "ต้าเป่านะต้าเป่า เจ้าเองก็เติบโตเป็นหนุ่มแล้วควรที่จะเลิกคร่ำครึเสียที ต่อไปในภายภาคหน้าก็จำเป็นต้องดื่มสุราไม่วันใดก็วันหนึ่ง ส่วนข้านั้นเพียงอยากจะรู้ว่ารสชาติของสุราเมืองถู่หยางนี้เป็นเช่นไรจึงได้ไปลองมาก็เท่านั้น ไหนี้ก็เป็นของท่านพ่อข้า"
ต้าเป่าทอดถอนใจอย่างเอือมระอา ในที่สุดก็ต้องยอมรับว่าสหายบัดนี้ได้เปลี่ยนไปแล้ว เขาไม่เคยคิดเลยว่าฟางหนิงฮวาที่เคยอ่อนแอขี้โรคมาบัดนี้เมื่อร่างกายดีขึ้นจะใช่ชีวิตอย่างไม่เกรงใจชีวิตใหม่ที่สวรรค์ให้มาถึงเพียงนี้
"ช่างเถอะ ว่าแต่เจ้ามาหาข้ามีเรื่องอันใด ท่านอาฝากอะไรมาให้ท่านพ่อหรือไม่" ต้าเป่าถาม
"ไม่มี" ฟางหนิงฮวาตอบ
ยิ่งคุยกันเขายิ่งประหลาดใจ ปกติแล้วหากว่าบิดาของนางไม่มีเรื่องอันใดก็ใช่ว่านางจะมาเยือนที่ร้านขายหมูได้ง่าย ๆ แต่วันนี้นางกลับตอบว่าไม่มีอะไรเสียอย่างนั้น หรือว่านางจะเมาจนเพี้ยนไปแล้ว ต้าเป่าทำหน้าเหมือนกับว่ามีคำถามเขียนอยู่บนหน้าผาก
"เจ้าจะงุนงงอะไรกัน ที่ข้ามาวันนี้ก็เพื่อเจ้าเลยนะ ข้าจะมาช่วยเจ้าจีบสาวอย่างไรเล่า" ฟางหนิงฮวากล่าวแล้วก็ทำท่าพยักเพยิดไปทางร้านขายผลไม้แห้งฝั่งตรงข้าม
ที่ร้านฝั่งตรงข้ามนั้นเสี่ยวเจียงกำลังนำผลไม้แห้งที่สั่งซื้อมาใหม่เทลงในกระบะอย่างขะมักเขม้น ต้าเป่ามองแล้วก็อดที่จะยิ้มขึ้นมาไม่ได้ ทว่าความประหลาดใจในตัวของสหายก็ยังไม่หมดไป เขาหันกลับมาพูดกับฟางหนิงฮวาอีกครั้ง "เจ้าเมาแล้วแน่ ๆ เมาก็กลับบ้านไปนอนเถอะ"
"ข้าเมาที่ไหนกันเล่า เจ้าชักจะดูถูกข้าเกินไปแล้ว เดี๋ยวข้าจะพิสูจน์ให้เจ้าดูว่าไม่ได้เมา มิหนำซ้ำยังจะทำภารกิจสำเร็จอีกด้วย" ฟางหนิงฮวากล่าวจบก็ไม่รอช้า นางคว้าเอากล่องใส่ซาลาเปาแล้วเดินข้ามถนนไปยังร้านขายผลไม้แห้งฝั่งตรงข้ามทันที
ต้าเป่ายกมือจะห้ามไว้แต่ว่ากว่าเขาจะเปิดปากพูดได้ก็ช้าไปเสียแล้ว ฟางหนิงฮวาถึงหน้าร้านผลไม้เป็นที่เรียบร้อย
"เจ้าชื่อเสี่ยวเจียงใช่หรือไม่" ฟางหนิงฮวายืนอยู่หน้าร้านกล่าวทักทายหญิงสาวที่กำลังจัดผลไม้แห้งที่วางขายอยู่
โชคดีที่วันนี่บิดามารดาของนางไม่อยู่ เสี่ยวเจียงอยู่กับเด็กที่ช่วยขายของอีกสองคน ฟางหนิงฮวาสอดส่องสายตาดูในร้านแล้วเห็นว่าทางสะดวกจึงได้กล้าเดินเข้าไปในร้าน
เสี่ยวเจียงยิ้มให้นางอย่างอ่อนโยนจากนั้นจึงถามว่า "เจ้ามาหาซื้อผลไม้แห้งหรือ"
ฟางหนิงฮวายื่นกล่องซาลาเปาให้กับนางแล้วยิ้มตอบเช่นกัน "เปล่าหรอก ข้าจะมาผูกมิตรกับเจ้าน่ะ ที่เมืองนี้นอกจากต้าเป่าแล้วข้าก็ไม่มีสหายคนอื่นเลย เพราะที่ผ่านมามัวแต่ป่วยอยู่แต่ในบ้าน ข้าเคยมาหาต้าเป่าและเห็นเจ้าอยู่บ่อยครั้งจึงอยากเป็นสหายกับเจ้า เจ้าคงไม่รังเกียจข้าหรอกใช่หรือไม่"
"ไม่รังเกียจหรอก เจ้าเป็นสหายของเขามิใช่หรือ" เสี่ยวเจียงถาม ความจริงแล้วเสี่ยวเจียงเองก็แอบมองต้าเป่ามาตั้งแต่เล็กเหมือนกัน แต่ทว่าพวกเขาต่างคนต่างอยู่บิดามารดาไม่สนิทกันเลยไม่ได้เล่นด้วยกัน เมื่อมีสหายของต้าเป่ามาสานสัมพันธ์ด้วยนางเองก็ดีใจไม่น้อย
จากนั้นทั้งสองก็พูดคุยแลกเปลี่ยนกัน ฟางหนิงฮวาทำหน้าที่เป็นแม่สื่อแม่ชักให้ต้าเป่า หลังจากวันนั้นนางก็ไปตีสนิทกับเสี่ยวเจียง พูดคุยกับนางทุกวันจนในที่สุดก็เป็นสหายกัน แต่ละวันฟางหนิงฮวาก็จะเล่าเรื่องดี ๆ ของต้าเป่าให้เสี่ยวเจียงฟังทั้งยังพูดกลาย ๆ ว่าดูเหมือนต้าเป่าจะชอบเสี่ยวเจียงด้วย เสี่ยงเจียงในตอนนี้ก็เริ่มจะใจอ่อนแล้ว
วันหนึ่งที่ร้านของต้าเป่าทำหมูน้ำค้างไว้จำนวนมากจึงเรียกให้ฟางหนิงฮวามาเอาไปกิน ฟางหนิงฮวาจึงเสนอว่าให้เอาหมูน้ำค้างไปให้เสี่ยวเจียงด้วย ฟางหนิงฮวาเป็นคนเอาไปให้เองและบอกว่าหมู่น้ำค้างนี้ต้าเป่าทำด้วยตนเองและเขาอยากให้เสี่ยวเจียงลองชิม
เสี่ยวเจียงอยากขอบคุณต้าเป่าเพราะเขาฝากของมาหลายครั้งแล้ว ทั้งสองจึงมองสบตากับคนละฝั่งถนนทำเอาแม่สื่ออย่างฟางหนิงฮวายิ้มจนหน้าบาน
บทที่ 14 แม่สื่อแม่ชัก ออกจากเหลาสุราก็เดินตรงไปยังร้านขายหมูของต้าเป่าทันที ที่ร้านขายหมูตอนนี้วุ่นวายมากเพราะใกล้จะถึงงานเทศกาลตวนอู่แล้ว ผู้คนจึงออกจากบ้านมาจับจ่ายซื้อของไปทำบ๊ะจ่างกันมากมายเต็มตลาดไปหมด กว่าที่ฟางหนิงฮวาจะเบียดฝ่าฝูงชนเข้าไปในร้านขายหมูได้ก็เล่นเอาเหงื่อตกเช่นกัน เทศกาลตวนอู่หรือเทศกาลบ๊ะจ่างเป็นเทศกาลสำคัญ ซึ่งจัดขึ้นในวันที่ 5 เดือน 5 บรรยากาศของเทศกาลอบอวลไปด้วยกลิ่นไอของวัฒนธรรมและประเพณี ผู้คนจะเริ่มเตรียมตัวกันตั้งแต่เช้าตรู่ หญิงสาวช่วยกันห่อบ๊ะจ่างด้วยใบไผ่หรือใบหญ้าเรียวยาว ภายในห่อข้าวเหนียวสอดไส้ด้วยหมูแดง ถั่ว หรือไข่แดงเค็ม กลิ่นหอมของบ๊ะจ่างลอยคลุ้งไปทั่วลานบ้านชายฉกรรจ์จะนำเรือมังกรออกมาเพื่อเตรียมแข่งในแม่น้ำ เสียงกลองกระหึ่มกึกก้อง ผสมกับเสียงร
บทที่ 13 สุราที่นี่ก็ไม่เท่าไร หนึ่งเดือนผ่านไปฟางหนิงฮวาก็เริ่มคุ้นชินกับการใช้ชีวิตในเมืองถู่หยางแล้ว ถึงแม้ว่าจะคิดถึงที่ที่จากมาอยู่บ้างแต่ว่าที่นั่นก็ไม่ได้ทำให้หนักใจอะไร คนที่คิดถึงก็เห็นจะมีแค่เสี่ยวปิงกับคนที่ร้านอาหารเท่านั้น แต่ถึงอย่างไรพวกเขาย่อมต้องมีชีวิตของตนเองต่อไป ถึงนางไม่จากตายก็ต้องมีวันใดวันหนึ่งจากเป็นอยู่ดี การที่ได้มาเกิดใหม่ที่นี่ก็ดีไม่น้อย นางมีทั้งพ่อแม่ทั้งอารองที่รักและคอยดูแลนาง เมื่อเทียบกับชาติที่แล้วที่ไม่มีญาติเลยแม้แต่คนเดียวนั้นก็ทำให้รู้สึกอบอุ่นกว่ามาก การได้อยู่กันพร้อมหน้าครอบครัวเป็นอะไรที่มีความสุขยิ่งซึ่งนางไม่เคยสัมผัสมาก่อนชีวิตที่นี่ก็เรียบง่ายไม่ต้องทำงานแข่งกับเวลาหรือว่าแข่งขันกันเพื่อความก้าวหน้า อาจจะมีบ้างในคนระดับสูงแต่ไม่ใช่บุตรสาวร้านขายซาลาเปาเช่นนาง งานที่ต้องทำก
บทที่ 12 ข่าวดีของเมืองถู่หยางที่มาพร้อมกับซิกแพค ข่าวของท่านเจ้าเมืองถูกติดประกาศตามพื้นที่ต่าง ๆ รอบเมืองถู่หยาง ชาวเมืองต่างก็มาดูประกาศกันอย่างตื่นเต้น ในเมื่อประกาศจากจวนเจ้าเมืองยืนยันเป็นที่แน่ชัดว่าท่านเจ้าเมืองของพวกเขาฟื้นแล้วทุกคนต่างก็ดีใจมาก ถึงขั้นจัดฉลองกันใหญ่ โดยเฉพาะบรรดาหญิงสาวที่ชื่นชอบท่านเจ้าเมือง พวกนางดีใจจนถึงกับน้ำตาไหล ต่างจับมือกันอย่างปลาบปลื้ม บ้างกราบไหว้ฟ้าดินไม่หยุดพร่ำพูดว่าขอบคุณสวรรค์ที่เมตตา พวกนางยังคงไปยืนออกันอยู่ที่หน้าประตูจวนเจ้าเมืองเช่นเคย คราวนี้เหมือนว่าพวกนางจะรวมตัวกันเยอะกว่าเดิมเสียอีก ของเยี่ยมต่าง ๆ ถูกนำมาให้เหล่าองครักษ์ขนกลับเข้าจวนไปนับไม่ถ้วน แต่ถึงอย่างไรพวกนางก็ยังคงไม่ได้เข้าไปเยี่ยมท่านเจ้าเมืองอยู่ดีเพ
บทที่ 11ท่านเจ้าเมืองฟื้นแล้วเมื่อลืมตาขึ้นมาหยางจื้อเจ๋อก็พบกับแสงสว่างอีกครั้งแต่เป็นแสงสว่างที่ส่องผ่านม่านหน้าต่างเข้ามาในห้องที่นอนอยู่ เขากวาดตามองไปรอบห้องช้า ๆ ไม่สามารถหันหน้าได้ถนัดเนื่องจากรู้สึกเจ็บปวดที่ต้นคออยู่ไม่น้อย ห้องที่นอนอยู่นั้นมองแล้วรู้สึกไม่คุ้นตาเป็นอย่างยิ่ง ทุกอย่างภายในห้องดูเหมือนจะไม่ใช่โลกปัจจุบันที่เขาเคยอยู่ ทั้งรูปแบบการตกแต่งห้องที่แปลกตา ข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ ดูแล้วนะจะเหมือนจวนของชนชั้นสูงในยุคโบราณมากกว่า แต่ที่แปลกกว่านั้นก็คือเหตุใดอยู่ ๆ เขามีมีอาการเหมือนคนได้รับบาดเจ็บ หรือว่าจะเป็นเพราะเหตุการณ์รถชน พอคิดดูอีกครั้งก็รู้สึกว่ามันไม่น่าจะเป็นไปได้เพราะว่าเขาเองก็ตายไปแล้วและร่างก็ถูกฝังไปเมื่อสักครู่นี้ซึ่งเขาเห็นมันด้วยตาของตัวเองหยางจื้อเจ๋อพยายามยามยันตัวเองให้ลุกขึ้นนั่งแต่ทว่าความ
ย้อนกลับไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หยางจื้อเจ๋อที่ประสบอุบัติเหตุรถเสียหลักพุ่งเข้าชนต้นไม้ข้างทาง เขาเสียชีวิตบนรถฉุกเฉินระหว่างที่นำตัวส่งโรงพยาบาล วิญญาณของเขาออกจากร่างแล้วนั่งมองตนเองนอนอยู่ในรถอย่างสิ้นหวัง เขาเพิ่งอายุเพียงแค่สามสิบต้น ๆ กำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นและใกล้ถึงจุดที่เรียกว่าประสบความสำเร็จในชีวิต อีกไม่กี่ปีข้างหน้าก็จะถอนตัวจากเบื้องหน้าแล้วมาทำเบื้องหลังเป็นผู้กำกับอย่างเต็มตัว ทว่าไม่รู้เพราะเหตุใดสวรรค์ถึงไม่ให้เขามีโอกาสนั้น พยาบาลที่อยู่ในรถฉุกเฉินต่างก็พยายามช่วยชีวิตเขาอย่างเต็มที่ แต่ในที่สุดก็สายไปเสียแล้ว เมื่อเสียงของเครื่องวัดสัญญาณชีพในรถพยาบาลดังยาวเป็นสัญญาณบอกว่าผู้ป่วยได้หมดลมหายใจ เมื่อร่างของเขาถึงที่โรงพยาบาลได้ไม่นาน พ่อกับแม่ของเขาก็บินตรงมาจากต่างเมืองเพื่อมาดูอาการของลูกชาย พวกเขามีลูกชายเพียงคนเดียวและคาดหวังว่าเขาผู้นี้จะเป็นผู้สืบท
เมื่อทำหน้าที่ของตนเองเสร็จเรียบร้อยแล้วฟางหนิงฮวาก็กลับมาที่ร้านอย่างสบายใจ หลังจากนั้นจึงทำหน้าที่ปั้นแป้งซาลาเปาต่อ ร้านนี้ไม่ได้ขายดีเพียงแค่ช่วงเช้าหรือว่าช่วงที่ผู้คนพักกินข้าวกันเท่านั้นแต่ทว่าขายดีทั้งวัน เพราะเมืองถู่หยางนั้นมีผู้คนมากมาย แต่ละคนทำงานไม่เหมือนกันเวลาพักกินข้าวบางครั้งก็ไม่ตรงกัน ดังนั้นซาลาของร้านสกุลฟางจึงขายได้ทั้งวัน ที่ร้านไม่ได้มีเพียงแค่ซาลาเปาอย่างเดียวยังมีหมั่นโถวขายด้วย ฟางหนิงฮวาไม่คิดว่าสวรรค์จะเข้าข้างตนเองถึงเพียงนี้ ชาติที่แล้วได้ทำงานที่ตัวเองรักนั่นก็คือการเป็นเชฟ พอตายแล้วกลับมาเกิดใหม่ยังได้เกิดเป็นบุตรสาวร้านขายซาลาเปาอีก ช่างมีความสุขจริง ๆ นางคิดเล่น ๆ ว่าในภายภาคหน้าหากคุ้นเคยกับเมืองนี้และรู้เรื่องลู่ทางการทำมาหากินแล้วก็อยากจะขยายร้านซาลาเปาให้เป็นร้านอาหารที่โด่งดังที่สุดในเมืองถู่หยางพูดถึงร้านอาหารแล้วที่เมือ