บทที่ 13
สุราที่นี่ก็ไม่เท่าไร
หนึ่งเดือนผ่านไปฟางหนิงฮวาก็เริ่มคุ้นชินกับการใช้ชีวิตในเมืองถู่หยางแล้ว ถึงแม้ว่าจะคิดถึงที่ที่จากมาอยู่บ้างแต่ว่าที่นั่นก็ไม่ได้ทำให้หนักใจอะไร คนที่คิดถึงก็เห็นจะมีแค่เสี่ยวปิงกับคนที่ร้านอาหารเท่านั้น แต่ถึงอย่างไรพวกเขาย่อมต้องมีชีวิตของตนเองต่อไป ถึงนางไม่จากตายก็ต้องมีวันใดวันหนึ่งจากเป็นอยู่ดี
การที่ได้มาเกิดใหม่ที่นี่ก็ดีไม่น้อย นางมีทั้งพ่อแม่ทั้งอารองที่รักและคอยดูแลนาง เมื่อเทียบกับชาติที่แล้วที่ไม่มีญาติเลยแม้แต่คนเดียวนั้นก็ทำให้รู้สึกอบอุ่นกว่ามาก การได้อยู่กันพร้อมหน้าครอบครัวเป็นอะไรที่มีความสุขยิ่งซึ่งนางไม่เคยสัมผัสมาก่อน
ชีวิตที่นี่ก็เรียบง่ายไม่ต้องทำงานแข่งกับเวลาหรือว่าแข่งขันกันเพื่อความก้าวหน้า อาจจะมีบ้างในคนระดับสูงแต่ไม่ใช่บุตรสาวร้านขายซาลาเปาเช่นนาง งานที่ต้องทำก็มีไม่มากเพียงแค่ตื่นเช้ามาปั้นแป้งซาลาเปาแล้วก็เอาซาลาเปาไปส่งเท่านั้น ส่วนตอนบ่ายว่าง ๆ อยากจะไปเที่ยวเล่นที่ไหนก็สามารถไปได้
ซึ่งภายในระยะเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมานี้ฟางหนิงฮวาก็ไปมาแทบทุกที่ในเมืองถู่หยางแล้ว ทุกซอกทุกมุมของตลาด สถานที่สำคัญอย่างจวนเจ้าเมือง จวนว่าการ โรงน้ำชา เขตนอกเมืองอย่างเช่นป่า น้ำตก แม่น้ำใกล้ ๆ นางไปสำรวจมาจนพอใจแล้ว ยกเว้นก็แต่เหลาสุรากับหอนางโลมเท่านั้นที่ยังไม่ได้เข้า
เช้าวันนี้ฟางหนิงฮวาก็ทำหน้าที่ของตนเองตามปกติ หลังจากไปส่งซาลาให้จวนเจ้าเมืองเป็นที่สุดท้ายก็ตรงดิ่งกลับร้านทันที กลับมาก็มานั่งปั้นแป้งซาลาเปาต่อ แต่ไม่จำเป็นต้องรีบเร่งปั้นนักเพราะเมื่อเช้านางปั้นไปแล้วสามร้อยลูก
"หนิงฮวา วันนี้ไม่ไปเที่ยวเล่นที่ไหนหรือ หรือว่าเบื่อเมืองถู่หยางแล้ว" ฟางตวนเอ่ยถาม เพราะปกติแล้วเห็นบุตรสาวออกไปทุกบ่าย
ที่ผ่านมานี้บิดามารดาของฟางหนิงฮวารู้สึกดีใจขึ้นมาไม่น้อยที่บุตรสาวเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น ทั้งสุขภาพร่างกายแข็งแรงขึ้นราวกับว่าหายเป็นปกติแล้ว ทั้งยังรู้จักออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกพบปะผู้คนซึ่งก่อนหน้านี้เจ้าของร่างเดิมไม่เคยทำเลย นางเพียงอยู่แต่ในบ้านรักษาตัวเท่านั้น เมื่อเห็บบุตรสาวเป็นเช่นนี้ทั้งสองคนก็ยิ่งอยากสนับสนุน
"ข้ากำลังคิดอยู่ว่าจะไปที่เหลาสุราดีหรือไม่ ข้ายังไม่เคยได้ลิ้มรสชาติของสุราเลย" ฟางหนิงฮวากล่าว ใช่แล้วเจ้าของร่างเดิมตั้งแต่เกิดมาก็ยังไม่เคยได้ดื่มสุราเลยสักจอก อีกทั้งตั้งแต่ตนเองทะลุมิติมาเกิดที่นี่เดือนกว่าแล้วก็ยังไม่มีเครื่องดื่มแอลกฮอล์ตกถึงท้องเลยสักแอะ จะว่าไปแล้วก็คิดถึงเบียร์ขึ้นมาแต่ทว่าที่เมืองถู่หยางแห่งนี้คงไม่มีเบียร์ขายหรอกกระมัง หากเป็นสุราขึ้นชื่อของเมืองนี้แล้วละก็อาจจะพอแทนกันได้
ฟางตวนได้ยินบุตรสาวพูดก็นึกเปรี้ยวปากขึ้นมาเช่นกัน รีบควักเงินในตะกร้ามานับหนึ่งตำลึงแล้วยื่นให้บุตรสาว "เจ้าเอาเงินนี้ไป พอดื่มเสร็จแล้วก็ซื้อมาฝากพ่อสักไหล่ะ"
"ท่านพ่ออยากได้สุราแบบใด" ฟางหนิงฮวาถามด้วยความตื่นเต้น นางรู้สึกดีมากที่บิดาดมารดาในยุคนี้ไม่ขัดขวางการดื่มสุราของบุตรมิหนำซ้ำยังให้เงินอีกต่างห่าง หากว่าเป็นยุคที่นางจากมาเด็กวัยมัธยมปลายเท่านางจะขออนุญาตไปดื่มสุรานั้นคงไม่ใช่เรื่องง่าย
"เจ้าชิมแล้วอันไหนอร่อยก็เอาตามเจ้าว่าเลย" ฟางตวนกล่าว
"ขอบคุณเจ้าค่ะท่านพ่อ อ้อ…ข้าดื่มสุราแล้วว่าจะแวะไปหาต้าเป่าสักหน่อย จะเอาซาลาเปาไปช่วยเขาผูกสัมพันธ์กับสาวน่ะ" ฟางหนิงฮวาพูด
มารดาของนางได้ยินแล้วก็ยิ้มออกมาพลางถามว่า "ต้าเป่ามีหญิงในดวงใจแล้วอย่างนั้นหรือ เป็นผู้ใดกัน"
"เป็นเสี่ยวเจียงบุตรสาวร้านขายผลไม้แห้งฝั่งตรงข้ามเจ้าค่ะ รับรองว่าข้าต้องช่วยสหายให้สมหวังให้จงได้ ข้าไปก่อนนะเจ้าคะ" ฟางหนิงฮวากล่าวจบก็วิ่งออกจากร้านไป
เหลาสุราซ่งเฮ่อของเมืองถู่หยางแห่งนี้ใหญ่โตมโหราฬยิ่ง เป็นอาคารสองชั้นขนาดใหญ่ มีโต๊ะมากมาย เท่าที่สังเกตดูน่าจะรับลูกค้าได้มากที่สุดราวครั้งละสองร้อยคน สถานที่แห่งนี้ยังเคยเป็นที่จัดเลี้ยงของเหล่าทหารเมืองถู่หยางอยู่บ่อย ๆ และที่สำคัญท่านเจ้าเมืองก็ชมชอบที่จะมาดื่มสุราที่เหลาสุราซ่งเฮ่อแห่งนี้ด้วย
นอกจากเหล่าทหารแล้วเหลาสุราแห่งนี้ก็เป็นที่นิยมของเหล่าคุณชายไม่แพ้กัน รวมทั้งเหล่าคหบดีพ่อค้าแม่แค้ที่เดินทางผ่านเมืองถู่หยาง ด้านข้างของเหลาสุราเป็นโรงเตี้ยมซึ่งเป็นของเหลาสุราเอง กล่าวได้ว่าหากเมาแล้วกลับบ้านไม่ไหวก็นอนค้างมันที่โรงเตี้ยมเสียเลย
นอกจากเหลาสุราซ่งเฮ่อแห่งนี้แล้วก็ยังมีเหลาสุราอีกหลายแห่งแต่ฟางหนิงฮวาจะเก็บไว้ไปวันหลัง วันนี้ขอลิ้มรสสุราที่เขาว่าดีที่สุดในเมืองถู่หยางก่อน
"แม่นาง มากี่คนขอรับ" เสี่ยวเอ้อที่หน้าร้านทักทายด้วยน้ำเสียงที่สดใส เขามักจะทำเช่นนี้เสมอเมื่อเห็นลูกค้าเข้าร้าน เพราะว่าหากว่าเขาดูแลดีก็อาจจะได้เงินพิเศษจากลูกค้า
"ข้ามาคนเดียว" ว่าแล้วฟางหนิงฮวาก็เดินอาด ๆ เข้าไปในเหลาสุรา นางเดินวนอยู่ครู่หนึ่งกว่าจะได้ที่นั่งที่ถูกใจ เดิมทีคิดว่าจะไปที่ชั้นสองแต่ทว่าช่วงนี้ยังเป็นช่วงกลางวันบนชั้นสองอาจจะไม่ครึกครื้น นางจึงเลือกที่นั่งที่มุมหนึ่งของชั้นล่างแทน
เสี่ยวเอ้อเดินมาเช็ด ๆ ถู ๆ ที่โต๊ะเล็กน้อยก่อนจะผายมือเชิญให้ฟางหนิงฮวาไปนั่ง "เชิญแม่นางนั่งขอรับ ท่านจะดื่มสุราอะไรหรือ"
"ข้ายังไม่เคยดื่มสุราที่นี่มาก่อน เจ้ามีสุราอะไรแนะนำบ้าง" ฟางหนิงฮวาถามอย่างสนใจ
"แม่นางเคยดื่มสุรามาก่อนหรือไม่ขอรับ ข้าจะได้จัดระดับความแรงให้ได้" เสี่ยวเอ้อถามกลับ
"ย่อมเคยอยู่แล้ว ตอนที่ข้าอยูเมืองอื่นข้าดื่มมาแล้วเกือบทุกชนิด เอาที่แรงที่สุดที่เหลาสุราของเจ้ามีมาก็แล้วกัน" ฟางหนิงฮวากล่าวอย่างอวดโอ่ ทำเอาเหล่าคุณชายที่นั่งโต๊ะฝั่งตรงข้ามมองมาด้วยความสนใจ
เมื่อชาติที่แล้วฟางหนิงฮวาถือได้ว่าเป็นบุคคลอันตรายสำหรับคู่แข่งที่คิดอยากจะดวลสุรากับนางเลยทีเดียว เป็นผู้ที่คอแข็งที่สุดในร้านอาหารแล้วก็ว่าได้ ไม่ว่าจะเป็นสุราชนิดไหน กี่ดีกรีก็ไม่สามารถสยบนางได้ พอมาที่นี่นางจึงมั่นใจว่าสุราที่นี่คงไม่แรงเกินไปสำหรับนาง
เสี่ยวเอ้อวิ่งกลับมาพร้อมกับไหสุราสีดำใบหนึ่งแล้วเมล็ดถั่วหลายชนิดอีกจาน เขาวางมันลงบนโต๊ะแล้วบอกข่าวดีกับนาง "นี่เป็นสุราไห่เผิงร้อนแรงที่สุดในร้าน เถ้าแก่บอกว่าหากแม่นางดื่มสุรานี่จนหมดไหภายในเวลาหนึ่งเค่อได้จะไม่คิดเงินขอรับ เพียงแต่แม่นางต้องลงนามว่าเป็นหนึ่งในผู้เข้าร่วมกิจกรรมท้าดื่มสุราไห่เผิงเท่านั้น"
สิ้นคำกล่าวของเสี่ยวเอ้อคนในร้านต่างก็ปรบมือเสียงดังเกรียวกราวให้กำลังใจฟางหนิงฮวาที่กำลังจะดื่มสุราไหนั้น ฟางหนิงฮวาถึงกับยิ้มกริ่มคิดว่าตนจะได้ดื่มสุราโดยไม่ต้องจ่ายเงินแล้ว จากนั้นก็ลงนามของตนเองต่อจากผู้ที่เคยมาท้าดื่มก่อนหน้านี้
สุราจอกแล้วจอกเล่าผ่านลำคอของฟางหนิงฮวา เวลาผ่านไปไม่ถึงหนึ่งเค่อสุราไหนนั้นที่เสี่ยวเอ้อยกมาก็ถูกดื่มจนหมด สีหน้าของผู้ดื่มไม่ปรากฏอะไรทั้งสิ้น ฟางหนิงฮวายังคงนั่งแกะเมล็ดฟักทองหน้าตาเฉยราวกับว่าฤทธิ์ของสุราไม่ได้ต่างจากน้ำเปล่าเลย เหล่าคุณชายที่มองอยู่ถึงกับอึ้งไปไม่คิดว่าในเมืองถู่หยางจะมีหญิงสาวที่ดื่มสุราได้เก่งถึงเพียง จากนั้นก็เริ่มมีผู้อยากจะดวลสุรากับนางบ้าง
"เอามาอีกไห" ฟางหนิงฮวากล่าว
เสี่ยวเอ้อรีบเอาสุรามาให้อีกแต่ทว่าคราวนี้นางไม่ได้เปิดดื่ม เพียงแต่จ่ายเงินให้กับเสี่ยวเอ้อแล้วหยิบไหสุราเตรียมออกจากร้าน
"แม่นาง…เจ้าจะไปแล้วหรือ" เสียงนุ่มทุ้มดังมาจากโต๊ะของเหล่าคุณชายที่นั่งอยู่ตรงข้าม เจ้าของเสียงเป็นคุณชายจวนคหบดีแห่งหนึ่งรูปร่างหน้าตาหล่อเหลา เขาแอบมองฟางหนิงฮวาตั้งแต่ที่นางเข้ามาในร้านแล้ว สำหรับเขาหญิงสาวที่เข้ามาดื่มสุราคนเดียวนั้นน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง
ฟางหนิงฮวาหันมายิ้มให้เขา ด้วยความที่เขาหน้าตาดีนางจึงค่อนข้างเป็นมิตรด้วย "เจ้าค่ะ ข้าต้องนำสุรากลับไปให้ท่านพ่อ"
"หากว่าคราวหน้าข้าอยากจะดวลสุรากับเจ้าสามารถไปตามหาเจ้าได้ที่ใด" คุณชายท่านนั้นถาม
"ท่านสามารถไปหาข้าได้ที่ร้านขายซาลาเปาในตลาด ข้าต้องขอตัวก่อน" กล่าวจบฟางหนิงฮวาก็หมุนตัวเดินจากไปทิ้งให้คุณชายผู้นั้นยืนยิ้มอยู่ครู่ใหญ่
จนในที่สุดสหายของเขาก็ถึงกับต้องกระตุกแขนเสื้อให้เขาลงมานั่ง "เจ้าชอบนางเข้าแล้วล่ะสิ หวังว่านางคงไม่แต่งงานออกเรือนไปก่อนแล้วนะ"
"ฮูหยินที่ไหนจะออกมานั่งดื่มสุราผู้เดียวเล่า ข้าว่านางต้องยังไม่มีสามีเป็นแน่" คุณชายอีกคนกล่าว
บทที่ 14 แม่สื่อแม่ชัก ออกจากเหลาสุราก็เดินตรงไปยังร้านขายหมูของต้าเป่าทันที ที่ร้านขายหมูตอนนี้วุ่นวายมากเพราะใกล้จะถึงงานเทศกาลตวนอู่แล้ว ผู้คนจึงออกจากบ้านมาจับจ่ายซื้อของไปทำบ๊ะจ่างกันมากมายเต็มตลาดไปหมด กว่าที่ฟางหนิงฮวาจะเบียดฝ่าฝูงชนเข้าไปในร้านขายหมูได้ก็เล่นเอาเหงื่อตกเช่นกัน เทศกาลตวนอู่หรือเทศกาลบ๊ะจ่างเป็นเทศกาลสำคัญ ซึ่งจัดขึ้นในวันที่ 5 เดือน 5 บรรยากาศของเทศกาลอบอวลไปด้วยกลิ่นไอของวัฒนธรรมและประเพณี ผู้คนจะเริ่มเตรียมตัวกันตั้งแต่เช้าตรู่ หญิงสาวช่วยกันห่อบ๊ะจ่างด้วยใบไผ่หรือใบหญ้าเรียวยาว ภายในห่อข้าวเหนียวสอดไส้ด้วยหมูแดง ถั่ว หรือไข่แดงเค็ม กลิ่นหอมของบ๊ะจ่างลอยคลุ้งไปทั่วลานบ้านชายฉกรรจ์จะนำเรือมังกรออกมาเพื่อเตรียมแข่งในแม่น้ำ เสียงกลองกระหึ่มกึกก้อง ผสมกับเสียงร
บทที่ 13 สุราที่นี่ก็ไม่เท่าไร หนึ่งเดือนผ่านไปฟางหนิงฮวาก็เริ่มคุ้นชินกับการใช้ชีวิตในเมืองถู่หยางแล้ว ถึงแม้ว่าจะคิดถึงที่ที่จากมาอยู่บ้างแต่ว่าที่นั่นก็ไม่ได้ทำให้หนักใจอะไร คนที่คิดถึงก็เห็นจะมีแค่เสี่ยวปิงกับคนที่ร้านอาหารเท่านั้น แต่ถึงอย่างไรพวกเขาย่อมต้องมีชีวิตของตนเองต่อไป ถึงนางไม่จากตายก็ต้องมีวันใดวันหนึ่งจากเป็นอยู่ดี การที่ได้มาเกิดใหม่ที่นี่ก็ดีไม่น้อย นางมีทั้งพ่อแม่ทั้งอารองที่รักและคอยดูแลนาง เมื่อเทียบกับชาติที่แล้วที่ไม่มีญาติเลยแม้แต่คนเดียวนั้นก็ทำให้รู้สึกอบอุ่นกว่ามาก การได้อยู่กันพร้อมหน้าครอบครัวเป็นอะไรที่มีความสุขยิ่งซึ่งนางไม่เคยสัมผัสมาก่อนชีวิตที่นี่ก็เรียบง่ายไม่ต้องทำงานแข่งกับเวลาหรือว่าแข่งขันกันเพื่อความก้าวหน้า อาจจะมีบ้างในคนระดับสูงแต่ไม่ใช่บุตรสาวร้านขายซาลาเปาเช่นนาง งานที่ต้องทำก
บทที่ 12 ข่าวดีของเมืองถู่หยางที่มาพร้อมกับซิกแพค ข่าวของท่านเจ้าเมืองถูกติดประกาศตามพื้นที่ต่าง ๆ รอบเมืองถู่หยาง ชาวเมืองต่างก็มาดูประกาศกันอย่างตื่นเต้น ในเมื่อประกาศจากจวนเจ้าเมืองยืนยันเป็นที่แน่ชัดว่าท่านเจ้าเมืองของพวกเขาฟื้นแล้วทุกคนต่างก็ดีใจมาก ถึงขั้นจัดฉลองกันใหญ่ โดยเฉพาะบรรดาหญิงสาวที่ชื่นชอบท่านเจ้าเมือง พวกนางดีใจจนถึงกับน้ำตาไหล ต่างจับมือกันอย่างปลาบปลื้ม บ้างกราบไหว้ฟ้าดินไม่หยุดพร่ำพูดว่าขอบคุณสวรรค์ที่เมตตา พวกนางยังคงไปยืนออกันอยู่ที่หน้าประตูจวนเจ้าเมืองเช่นเคย คราวนี้เหมือนว่าพวกนางจะรวมตัวกันเยอะกว่าเดิมเสียอีก ของเยี่ยมต่าง ๆ ถูกนำมาให้เหล่าองครักษ์ขนกลับเข้าจวนไปนับไม่ถ้วน แต่ถึงอย่างไรพวกนางก็ยังคงไม่ได้เข้าไปเยี่ยมท่านเจ้าเมืองอยู่ดีเพ
บทที่ 11ท่านเจ้าเมืองฟื้นแล้วเมื่อลืมตาขึ้นมาหยางจื้อเจ๋อก็พบกับแสงสว่างอีกครั้งแต่เป็นแสงสว่างที่ส่องผ่านม่านหน้าต่างเข้ามาในห้องที่นอนอยู่ เขากวาดตามองไปรอบห้องช้า ๆ ไม่สามารถหันหน้าได้ถนัดเนื่องจากรู้สึกเจ็บปวดที่ต้นคออยู่ไม่น้อย ห้องที่นอนอยู่นั้นมองแล้วรู้สึกไม่คุ้นตาเป็นอย่างยิ่ง ทุกอย่างภายในห้องดูเหมือนจะไม่ใช่โลกปัจจุบันที่เขาเคยอยู่ ทั้งรูปแบบการตกแต่งห้องที่แปลกตา ข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ ดูแล้วนะจะเหมือนจวนของชนชั้นสูงในยุคโบราณมากกว่า แต่ที่แปลกกว่านั้นก็คือเหตุใดอยู่ ๆ เขามีมีอาการเหมือนคนได้รับบาดเจ็บ หรือว่าจะเป็นเพราะเหตุการณ์รถชน พอคิดดูอีกครั้งก็รู้สึกว่ามันไม่น่าจะเป็นไปได้เพราะว่าเขาเองก็ตายไปแล้วและร่างก็ถูกฝังไปเมื่อสักครู่นี้ซึ่งเขาเห็นมันด้วยตาของตัวเองหยางจื้อเจ๋อพยายามยามยันตัวเองให้ลุกขึ้นนั่งแต่ทว่าความ
ย้อนกลับไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หยางจื้อเจ๋อที่ประสบอุบัติเหตุรถเสียหลักพุ่งเข้าชนต้นไม้ข้างทาง เขาเสียชีวิตบนรถฉุกเฉินระหว่างที่นำตัวส่งโรงพยาบาล วิญญาณของเขาออกจากร่างแล้วนั่งมองตนเองนอนอยู่ในรถอย่างสิ้นหวัง เขาเพิ่งอายุเพียงแค่สามสิบต้น ๆ กำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นและใกล้ถึงจุดที่เรียกว่าประสบความสำเร็จในชีวิต อีกไม่กี่ปีข้างหน้าก็จะถอนตัวจากเบื้องหน้าแล้วมาทำเบื้องหลังเป็นผู้กำกับอย่างเต็มตัว ทว่าไม่รู้เพราะเหตุใดสวรรค์ถึงไม่ให้เขามีโอกาสนั้น พยาบาลที่อยู่ในรถฉุกเฉินต่างก็พยายามช่วยชีวิตเขาอย่างเต็มที่ แต่ในที่สุดก็สายไปเสียแล้ว เมื่อเสียงของเครื่องวัดสัญญาณชีพในรถพยาบาลดังยาวเป็นสัญญาณบอกว่าผู้ป่วยได้หมดลมหายใจ เมื่อร่างของเขาถึงที่โรงพยาบาลได้ไม่นาน พ่อกับแม่ของเขาก็บินตรงมาจากต่างเมืองเพื่อมาดูอาการของลูกชาย พวกเขามีลูกชายเพียงคนเดียวและคาดหวังว่าเขาผู้นี้จะเป็นผู้สืบท
เมื่อทำหน้าที่ของตนเองเสร็จเรียบร้อยแล้วฟางหนิงฮวาก็กลับมาที่ร้านอย่างสบายใจ หลังจากนั้นจึงทำหน้าที่ปั้นแป้งซาลาเปาต่อ ร้านนี้ไม่ได้ขายดีเพียงแค่ช่วงเช้าหรือว่าช่วงที่ผู้คนพักกินข้าวกันเท่านั้นแต่ทว่าขายดีทั้งวัน เพราะเมืองถู่หยางนั้นมีผู้คนมากมาย แต่ละคนทำงานไม่เหมือนกันเวลาพักกินข้าวบางครั้งก็ไม่ตรงกัน ดังนั้นซาลาของร้านสกุลฟางจึงขายได้ทั้งวัน ที่ร้านไม่ได้มีเพียงแค่ซาลาเปาอย่างเดียวยังมีหมั่นโถวขายด้วย ฟางหนิงฮวาไม่คิดว่าสวรรค์จะเข้าข้างตนเองถึงเพียงนี้ ชาติที่แล้วได้ทำงานที่ตัวเองรักนั่นก็คือการเป็นเชฟ พอตายแล้วกลับมาเกิดใหม่ยังได้เกิดเป็นบุตรสาวร้านขายซาลาเปาอีก ช่างมีความสุขจริง ๆ นางคิดเล่น ๆ ว่าในภายภาคหน้าหากคุ้นเคยกับเมืองนี้และรู้เรื่องลู่ทางการทำมาหากินแล้วก็อยากจะขยายร้านซาลาเปาให้เป็นร้านอาหารที่โด่งดังที่สุดในเมืองถู่หยางพูดถึงร้านอาหารแล้วที่เมือ