บทที่ 28
เป็นทั้งข่าวดีและข่าวร้าย
เมื่อได้ยินข่าวว่าเซียวป่อเหวินได้เลื่อนตำแหน่งและต้องย้ายไปอยู่ที่เมืองเสวี่ยคังฟางหนิงฮวาก็ทั้งดีและเศร้าใจ การที่เขาได้เลื่อนตำแหน่งเป็นสิ่งที่ดี อีกอย่างครั้งนี้เข้าได้เป็นถึงแม่ทัพรับรองว่าอนาคตของเขาจะต้องรุ่งเรื่องเป็นแน่ แต่เพราะเมืองเสวี่ยคังอยู่ไกล จะไปมาหาสู่กันก็ลำบาก จะพบหน้ากันเช่นทุกวันนี้ก็คงเป็นไปได้ยาก
“หนิงฮวา เจ้าเองก็อยากให้เขาเจริญก้าวหน้ามิใช่หรือ แล้วจะมานั่งเศร้าทำไมกัน” ต้าเป่าเดินมานั่งข้าง ๆ แล้วถามด้วยความเป็นห่วง
“ที่จริงข้าก็ยินดีกับเขานั่นแหละ แต่ถ้าเขาไปอยู่ที่เมืองเสวี่ยคังข้าก็คงจะไม่ได้พบกับเขาอีก” ฟางหนิงฮวาพูดออกมาอย่างเศร้าใจ
“ต่อให้ไม่ได้พบกันก็เขียนจดหมายหากันได้ ท่านเจ้าเมืองไปอยู่ที่ค่ายทหารไม่ใช่เหรอ เจ้าก็แค่เขียนจดหมายส่งไปให้เขาที่นั่น” เสี่ยวเจียงพูด
“หรือบางที หากว่าท่านะเจ้าเมืองผ่านมาทางนี้ ข้าว่าเขาต้องแวะมายังเมืองถู่หยางอย่างแน่นอน” ต้าเป่าพยายามปลอบสหาย
แต่ว่าสำหรับหางหนิงฮวาแล้วมันไม่ใช่แค่นั้น การต้องจากกันกับเขาเป็นเรื่องที่ทำใจได้ยากมาก ตั้งแต่ที่นางทะลุมมิติมาอยู่ที่นี่ ได้พบกับเขา ได้พูดคุย ได้ใกล้ชิดนั้น ทำให้นางคิดมีความหวังมากเกินกว่าที่จะเป็นสหายธรรมดาแล้ว ดังนั้นการที่เขาจะจากไปย่อมทำให้นางรู้สึกเหมือนสูญเสียเขาไป
“ต้าเป่า หากว่าเจ้าต้องไปอยู่เมืองอื่นเช่นเดียวกับท่านเจ้าเมือง เจ้าจะหาทางพาเสี่ยวเจียงไปอยู่ด้วยหรือไม่” อยู่ ๆ ฟางหนิงฮวาก็ถามคำถามนี้ขึ้นมา นางเพียงแค่อยากรู้ว่าระหว่างคนรักกันหากต้องเป็นเช่นนี้พวกเขาจะทำอย่างไร
“แน่นอนอยู่แล้ว อันดับแรกเลยคือข้าจะแต่งงานกับเสี่ยวเจียงก่อน จากนั้นก็จะพานางไปอยู่ด้วยกันเลย” ต้าเป่าตอบ
ฟางหนิงฮวาคิดไว้แล้วว่าต้าเป่าจะต้องตอบเช่นนี้ แต่ระหว่างนางกับเซียวป๋อเหวินไม่ได้เหมือนกับต้าเป่าและเสี่ยวเจียง จะบอกว่าเป็นสหายก็ยังไม่คู่ควรเสียด้วยซ้ำ นางก็เป็นเพียงแค่บุตรสาวร้านขายซาลาเปาคนหนึ่งที่หลงรักชายหนุ่มสูงศักดิ์ก็เท่านั้น
“เจ้าจะยังกังวลอะไรอีก คิดเสียว่าท่านเจ้าเมืองไปมีอนาคตที่ดี ส่วนพวกเราปถุชนคนธรรมดาก็ต้องทำมาหากินกันต่อไป เจ้าเองก็มีอนาคตของเจ้า” ต้าเป่าพูดพลางตบบ่าสหายทีหนึ่งเพื่อเป็นการให้กำลังใจ
“และหากว่าเขาไปแล้วลืมข้าเล่า” ฟางหนิงฮวาพูดเสียงอ่อย
ต้าเป่ากับเสียงเจียงหันมามองหน้ากัน ทั้งคู่ต่างเข้าใจแล้วว่าตอนนี้สหายหลงรักท่านเจ้าเมืองเข้าเต็มเปาแล้ว
เสี่ยวเจียงลูบที่ไหล่ของฟางหนิงฮวาเบา ๆ “ถ้าเช่นนั้นก็แล้วแต่โชคชะตาเถิด หากว่าเขาคิดว่าเจ้าเป็นสหายคนหนึ่งเขาก็คงไม่ลงเจ้าหรอก”
ดูเหมือนว่าคำปลอบใจของสหายก็ไม่ได้ช่วยให้สบายใจขึ้นสักเท่าไร ฟางหนิงฮวายังคงเดินเศร้ากลับไปที่ร้าน เมื่อถึงร้านแล้วก็นั่งปั้นซาลาเปาแบบจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ฟางตวนกับนิ่งหรงเห็นบุตรสาวเป็นเช่นนั้นก็ได้แต่ส่ายหน้าเพราะไม่รู้จะทำอย่างไรดี
“เฮ้อ...รักใครไม่รัก ดันไปหลงรักท่านเจ้าเมืองเสียนี่ เตรียมตัวอกหักตั้งแต่แรกแล้ว” ฟางตวนพูด
และแล้ววันสุดท้ายในเมืองถู่หยางของเซียวป๋อเหวินก็มาถึง เหล่าทหารจากค่ายเมืองเสวี่ยคังเดินทางมาถึงเมื่อวาน พวกเขามาเพื่อรับท่านแม่ทัพคนใหม่กลับไปที่ค่ายด้วยกัน และนั้นยิ่งทำให้ความเศร้าของฟางหนิงฮวาเพิ่มขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ
เช้าวันนี้ตลาดเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยจอแจยิ่งกว่าทุกวัน ผู้คนต่างมุงกันแน่นขนัดที่หน้าร้านซาลาเปา กลิ่นแป้งนึ่งร้อน ๆ คลุ้งไปทั่ว แต่แทนที่ทุกคนจะสนใจเพียงของกินกลับมีสายตานับร้อยจับจ้องไปยังบุรุษผู้หนึ่งที่ยืนอยู่หน้าร้าน
เจ้าเมืองถู่หยางบุคคลผู้สูงศักดิ์ที่แทบไม่เคยปรากฏตัวในตลาดด้วยตนเองกำลังทอดสายตามองซาลาเปานึ่งใหม่ ๆ ด้วยสีหน้าผ่อนคลาย ร่างสูงสง่าถูกล้อมรอบด้วยทหารองครักษ์ที่ยืนเฝ้าอย่างเคร่งขรึม แม้ว่าจะไม่มีใครกล้าก้าวเข้าไปใกล้แต่ก็ไม่มีใครยอมเดินจากไปเช่นกัน
เสียงซุบซิบดังระงม “ทำไมท่านเจ้าเมืองถึงมาที่นี่” “หรือว่าร้านนี้มีของดีจนท่านต้องมาลองเอง” ไม่ว่าคำตอบจะเป็นเช่นไรแต่การที่บุคคลสำคัญมาเยือนก็ทำให้บรรยากาศเต็มไปด้วยความตื่นเต้น
ฟางตวนเจ้าของร้านซาลาเปามือไม้สั่นเล็กน้อย ขณะรีบจัดเรียงซาลาเปาบนถาดอย่างประณีตไล่ความร้อนออกเบา ๆ ไอขาวลอยขึ้นคลุ้งปะปนกับความเงียบงันของเหล่าผู้ชม ทุกสายตารอคอยว่าท่านเจ้าเมืองจะกล่าวอะไรหรือไม่
“ฟางหนิงฮวาอยู่หรือไม่” เซียวป๋อเหวินเอ่ยถามพลางสอดส่งสายตามองเข้าไปที่หลังร้าน
“อยู่ขอรับท่านเจ้าเมือง กำลังนวดแป้งอยู่ด้านหลัง ไม่ทราบว่าท่านเจ้าเมืองมีธุระสำคัญอะไรจะคุยกับนางหรือขอรับ” ฟางตวนถาม พลางพยักเพยิดไปทางภรรยาเพื่อเป็นการบอกใบ้ในหาที่นั่งให้กับท่านเจ้าเมือง
ร้านซาเปาค่อนข้างคับแคบ จะจัดที่นั่งดี ๆ ให้นั้นเป็นไปได้ยาก นิ่งหรงจึงทำได้เพียงยกเก้าอี้มาตัวหนึ่งวางตรงที่ว่างแล้วเชิญให้เซียวป๋อเหวินมานั่ง “ท่านเจ้าเมืองเชิญนั่งก่อนเจ้าค่ะ”
“อืม” เซียวป๋อเหวินพยักหน้ารับแล้วจึงเดินเข้าไปนั่ง
จากนั้นฟางตวนก็วิ่งเข้าไปทางหลังร้านเพื่อบอกกับบุตรสาวว่าท่านเจ้าเมืองต้องการพบ ตอนนี้มารออยู่ที่ร้านแล้ว ฟางหนิงฮวาได้ยินดังนั้นก็ตกใจมากเพราะไม่เคยคิดมาก่อนว่าเขาจะมาหาถึงที่นี่
หญิงสาวเดินออกมาจากหลังร้าน เสื้อผ้ายังคงเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบแป้ง นางพยายามปัดมันออกทว่ายิ่งปัดเท่าไรก็เหมือนยิ่งเปื้อนมากกว่าเดิม จึงทำได้เพียงแค่ส่งยิ้มเจื่อน ๆ ให้กับเขาเท่านั้น “ข้าเสียมารยาทแล้ว ขอท่านเจ้าเมืองโปรดอภัยด้วย”
“เสียมารยาทอะไรกัน เจ้าทำงานอยู่ย่อมต้องเปรอะเปื้อนเป็นธรรมดา ข้าไม่ถือสาหรอก” เซียวป๋อเหวินกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
“ท่านเจ้าเมืองมีธุรอะไรกับข้าหรือเจ้าคะ ความจริงแล้วให้คนมาตามข้าไปพบก็ได้” ฟางหนิงฮวาถาม
“ข้าเพียงแต่...” อยู่ ๆ เสียงของเขาก็เจือความเศร้าเข้ามาเสียอย่างนั้น “ข้าเพียงแต่จะมาบอกลาเจ้า วันข้าจะต้องเดินทางไปเมืองเสวี่ยคังแล้ว แต่เจ้าไต้องเป็นห่วงหรอก ข้าจะไม่มีทางลืมเจ้าอย่างแน่นอน เมื่อข้าเดินทางถึงเมืองเสวี่ยคังเมื่อไรจะรีบเขียนจดหมายมาหาเจ้า และหากว่าเจ้า...หากว่าเจ้าคิดถึงข้าก็เขียนจดหมายไปฝากไว้ที่จวนว่าการ จากนั้นจะมีคนนำจดหมายของเจ้าส่งไปให้ข้าเอง”
หญิงสาวฟังคำพูดของเขาแล้วก็มีความรู้สึกหลายอย่างปะปนกันในหัวใจเต็มไปหมด ความรู้ศึกเศร้าและเสียใจที่เขากำลังจะจากไป ความรู้สึกดีใจที่เขายังคงคิดถึงนาง ความรู้สึกอุ่นใจที่รู้ว่ายังสามารถติดต่อกับเขาได้ตลอด ตอนนี้ฟางหนิงฮวาไม่รู้ว่าจะตอบกลับเขาอย่างไรแล้ว
“ว่าอย่างไร เจ้าจะเขียนจดหมายหาข้าหรือไม่” เซียวป๋อเหวินถาม
“ข้าย่อมเขียนอยู่แล้ว” ฟางหนิงฮวาตอบ “ไหน ๆ ท่านก็จะเดินทางแล้ว ข้ายินดีกับท่านด้วยที่ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นถึงแม่ทัพ ขอให้ท่านตั้งใจปกป้องบ้านเมือง ข้าฟางหนิงฮวาหากว่ามีโอกาสย่อมจะไปพบท่านอย่างแน่นอน”
“หากเจ้าไม่มาหาข้า ข้าก็จะมาหาเจ้าเอง” เซียวป๋อเหวินกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
ขบวนรถม้าของเซียวป๋อเหวินเคลื่อนผ่านถนนที่คุ้นเคย ล้อไม้บดไปบนทางหิน ส่งเสียงดังเป็นจังหวะ ฟางหนิงฮวายืนอยู่หน้าร้านซาลาเปา มองตามแผ่นหลังของชายที่กำลังจะจากไป ดวงตาเริ่มพร่าเลือนเพราะหยาดน้ำตา
“จากนี้ไป... ข้าคงไม่ได้พบท่านอีกนาน” นางพึมพำกับตนเอง
สายลมพัดผ่าน นำพากลิ่นหอมของซาลาเปาอบอุ่นทว่าหัวใจของนางกลับเย็นเฉียบ นางกัดริมฝีปากแน่น มองดูรถม้าของเขาเคลื่อนไปช้า ๆ
บทที่ 30 วุ่นอยู่กับการทำศึกแต่ในใจก็คิดถึงเช่นกัน อีกด้านเซียวป๋อเหวินตอนนี้กำลังทำศึกอยู่ที่ชายแดนเหนือบริเวณแม่น้ำฉางเป่ย การต่อสู้ครั้งนี้ใช้กองทัพเรือ เป็นการต่อสู้กับชนเผ่าเฮยจั้งที่พยายามจะตีเอาดินแดนเหนือของแคว้นรวมทั้งเมืองเสวี่ยคังด้วย เดิมทีชนเผ่าเฮยจั้งอยู่เหนือขึ้นไปหลายพันลี้ทว่าด้วยภัยความหนาวทำให้อากาศแห้งแล้ง ปลูกพืชผลก็ไม่ได้ เลี้ยงสัตว์ก็ไม่ได้ เลยทำให้พวกเขาต้องอพยพลงใต้มาตายเอาดาบหน้า หวังว่าจะมีที่ดินทำกินให้คนในเผ่าได้มีชีวิตรอด ถึงแม้ว่าจะเป็นแค่ชนเผ่าก็จริงทว่าชาวเฮยยจั้งนั้นรวม ๆ แล้วก็มีไม่ต่ำกว่าแสนคน ที่เป็นทหารได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีก็น่าจะราว ๆ สามหมื่น พื้นฐานของพวกเขาเป็นคนที่มีร่างกายที่ทรหดอดทนมาก ทั้งยังสามารถอดอาหารได้เป็นเวลานาน ทำให้ศึกครั้งนี้เซียวป๋อเหวินรับมือยากอยู่เล็กน้อย “ลูกธนู
บทที่ 29 และแล้วก็ต้องจากกัน ขบวนของท่านเจ้าเมืองเคลื่อนตัวออกจากประตูเมืองไปแล้วท่ามกลางเสียงแซ่ซ้องแสดงความยินดีและน้อมส่งท่านเจ้าเมืองไปยังเมืองเสวี่ยคัง ขบวนนั้นยาวเหยียดเต็มไปด้วยทหารที่มาจากมืองเสวี่ยคังและทหารบางส่วนที่ติดตามท่านเจ้าเมืองไปด้วย ความยิ่งใหญ่นี้ทำให้ชาวเมืองทั้งดีใจและรู้สึกเศร้าใจในเวลาเดียวกัน “พวกเราจะคิดถึงท่านเจ้าเมือง” “ท่านเจ้าเมืองอย่าได้ลืมพวกเรานะขอรับ ส่วนพวกเราจะไม่มาทางลืมท่านอย่างแน่นอน” “น้อมส่งท่านเจ้าเมือง” “ขอให้ท่านเจ้าเมืองโชคดีขอรับ” เสียงของชาวเมืองยังคงกล่า
บทที่ 28 เป็นทั้งข่าวดีและข่าวร้าย เมื่อได้ยินข่าวว่าเซียวป่อเหวินได้เลื่อนตำแหน่งและต้องย้ายไปอยู่ที่เมืองเสวี่ยคังฟางหนิงฮวาก็ทั้งดีและเศร้าใจ การที่เขาได้เลื่อนตำแหน่งเป็นสิ่งที่ดี อีกอย่างครั้งนี้เข้าได้เป็นถึงแม่ทัพรับรองว่าอนาคตของเขาจะต้องรุ่งเรื่องเป็นแน่ แต่เพราะเมืองเสวี่ยคังอยู่ไกล จะไปมาหาสู่กันก็ลำบาก จะพบหน้ากันเช่นทุกวันนี้ก็คงเป็นไปได้ยาก “หนิงฮวา เจ้าเองก็อยากให้เขาเจริญก้าวหน้ามิใช่หรือ แล้วจะมานั่งเศร้าทำไมกัน” ต้าเป่าเดินมานั่งข้าง ๆ แล้วถามด้วยความเป็นห่วง “ที่จริงข้าก็ยินดีกับเขานั่นแหละ แต่ถ้าเขาไปอยู่ที่เมืองเสวี่ยคังข้าก็คงจะไม่ได้พบกับเขาอีก” ฟางหนิงฮวาพูดออกมาอย่างเศร้าใจ “ต่อให้ไม่ได้พบกันก็เขียนจดหมา
บทที่ 27 ข้าว่าจะเปิดร้านอาหาร ท่านว่าดีหรือไม่ ฟางหนิงฮวาเอาซาลาเปามาส่งทุกวัน ทุกครั้งทั้งสองก็จะพูดคุยกันและสนิทกันมากขึ้น สำหรับเซียวป๋อเหวินนอกจากหมอหลิวแล้วก็แทบจะไม่มีสหายที่สามารถพูดคุยยกันเรื่องทั่วไปได้เลย ส่วนมากก็จะพูดแต่เรื่องที่เป็นทางการกับองครักษ์แล้วก็ทหารเท่านั้น แต่กับฟางหนิงฮวาเขากลับรู้สึกว่าทั้งเขาและนางมีอะไรที่คล้าย ๆ กัน ทั้งความคิดความสนใจในสิ่งต่าง ๆ จึงได้สนิทกันอย่างรวดเร็ว ฟางหนิงฮวาเองเมื่อได้พูดคุยกับเซียวป๋อเหวินก็เหมือนกับได้พูดคุยกับหยางจื้อเจ๋อ จึงมีความสุขทุกครั้ง “ข้ามีความคิดอย่างหนึ่งจะมาถามความเห็นจากท่าน” ฟางหนิงฮวาพูดขณะที่เอากล่องใส่ซาลาเปาวางลงบนโต๊ะอาหารของเซียวป๋อเหวิน “อะไรหรือ น่าสนใจหรือไม่&
บทที่ 26 กลับมาพร้อมชัยชนะ ขบวนทัพเดินผ่านเข้าประตูเมืองมาด้วยความสง่าผ่าเผย เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ เหล่าราษฎรมายืนเรียงแถวรอต้อนรับท่านเจ้าเมืองกับทหารของเขาเต็มสองข้างทาง พวกเขาต่างตั้งหน้าตั้งตาคอยวีระบุรุษผู้ปกป้องรักษาบ้านเมืองเอาไว้ รอที่จะกล่าวขอบคุณอย่างยิ่งใหญ่ เซียวป๋อเหวินขี้ม้าสีดำคู่กายเข้ามาในประตูเมืองตามด้วยทหารองรักษ์คนสนิทและเหล่าแม่ทัพนายกองอีกหลายคน เขาโบกมือและยิ้มทักทายให้กับทุกคนพร้อมประกาศชัยชนะในครั้งนี้ “ชาวเมืองถู่หยางทุกคน บัดนี้พวกโจรภูเขาทั้งหลายได้ถูกกำจัดไปจนหมดสิ้นแล้ว หลังจากนี้ต่อไปเมืองถู่หยางของพวกเราจะกลับมาสงบสุขอีกครั้ง ขอให้ทุกคนใช้ชีวิตตามปกติและทำหน้าที่ของตัวเองต่อไป อย่าได้เป็นกังวล” “
บทที่ 25 กำจัดโจร ภายในกระโจมบัญชาการกลางค่ายทัพ ธงประจำเมืองถู่หยางปักอยู่เหนือศีรษะ ตะเกียงน้ำมันให้แสงสว่างสลัว เหล่าแม่ทัพนายกองกว่าสิบชีวิตนั่งล้อมวงรอบโต๊ะไม้ขนาดใหญ่ซึ่งปูด้วยแผนที่ผืนใหญ่ที่แสดงแนวเขาและเส้นทางรอบบริเวณซ่อนตัวของพวกโจรภูเขาอย่างชัดเจนท่านเจ้าเมืองเซียวป๋อเหวินผู้มีรูปลักษณ์สง่างามในชุดเกราะสีเข้มประดับลวดลายเมฆายกมือขึ้นเรียกความสงบ "พวกเราต้องหาทางกำจัดพวกโจรโดยไม่ให้เสียเปรียบ นำกองทัพบุกโจมตีตรงๆ ย่อมไม่ใช่ทางเลือกที่ดี"แม่ทัพหวังเจี้ยนผู้ช่ำชองด้านการรบในพื้นที่ป่าเขากล่าวขึ้น "ท่านเจ้าเมืองกล่าวถูกต้อง ที่ซ่อนของพวกมันมีทั้งถ้ำลึกและหุบเขาคดเคี้ยว หากเราบุกเข้าไป โอกาสเสียเปรียบสูงมาก ทั้งยังมีกับดักซ่อนอยู่ทุกแห่งหน""พวกมันรู้พื้นที่ดีกว่าเรา อีกทั้งสามารถกระจายตัวซ่อนตามซอกหินและป่าได้ง่าย หากเราบุกเข้าไป ผลลัพธ์อาจกลายเป็นความสูญเสียอย่างใหญ่หลวง" รองแม่ทัพหลี่ซงหยูเสริม"ดังน