บทที่ 29
และแล้วก็ต้องจากกัน
ขบวนของท่านเจ้าเมืองเคลื่อนตัวออกจากประตูเมืองไปแล้วท่ามกลางเสียงแซ่ซ้องแสดงความยินดีและน้อมส่งท่านเจ้าเมืองไปยังเมืองเสวี่ยคัง ขบวนนั้นยาวเหยียดเต็มไปด้วยทหารที่มาจากมืองเสวี่ยคังและทหารบางส่วนที่ติดตามท่านเจ้าเมืองไปด้วย ความยิ่งใหญ่นี้ทำให้ชาวเมืองทั้งดีใจและรู้สึกเศร้าใจในเวลาเดียวกัน
“พวกเราจะคิดถึงท่านเจ้าเมือง”
“ท่านเจ้าเมืองอย่าได้ลืมพวกเรานะขอรับ ส่วนพวกเราจะไม่มาทางลืมท่านอย่างแน่นอน”
“น้อมส่งท่านเจ้าเมือง”
“ขอให้ท่านเจ้าเมืองโชคดีขอรับ”
เสียงของชาวเมืองยังคงกล่าวอวยพรเขาไปตลอดทางจนกว่าขบวนจะออกจากประตูเมือง
ฟางหนิงฮวาที่ยังทำใจไม่ได้ไม่รู้ว่าจะเอาอย่างไรกับชีวิตของตัวเองต่อไปดี เศร้าไหมก็เศร้า ยินดีไหมก็ยินดี หลังจากที่ส่งขบวนของเซียวป่อเหวินแล้วนางก็พยายามปลอบใจตัวเองว่าถึงอย่างไรเสียก็ยังคงเป็นสหายที่ดีต่อกัน แม้จะจากกันไกลแต่ที่ผ่านมาก็มีเวลาดี ๆ ร่วมกันมาไม่น้อย
หญิงสาวเดินไปเรื่อย ๆ อย่างไม่มีจุดหมาย ในหัวก็เอาแต่คิดเรื่องของเซียวป๋อเหวิน จนในที่สุดก็เดินมาถึงหน้าร้านขายหมูของต้าเป่า
“หนิงฮวา ๆ” ต้าเป่าตะโกนร้องเรียกทว่าฟางหนิงฮวาอยู่ภวังค์ความคิดจึงไม่ได้ยิน
ต้าเป่าตะโกนเรียกอีกหลายครั้งก็เหมือนกับว่าสหายจะไม่ได้ยิน จนเขาทนไม่ไหวต้องกระโดดเข้ามาขวาง “หนิงฮวา เจ้าเป็นอะไรของเจ้าเนี่ย เดินใจลอยไปถึงไหนแล้วก็ไม่รู้”
ฟางหนิงฮวาที่เพิ่งจะรู้ตัวว่าสหายมายืนตรงหน้าก็เงยหน้าขึ้นมาอย่างงุนงง “ต้าเป่า เจ้ามาได้อย่างไรกัน”
“ข้ามาเสียที่ไหนกันเล่า” ต้าเป่าถอนหายใจ “เจ้านั่นแหละที่เดินมาจนถึงหน้าร้านของข้าแล้วเนี่ย ยังไม่รู้ตัวอีก”
“เช่นนั้นหรือ ข้าคงใจลอยไปหน่อย” ฟางหนิงฮวาตอบ
“ไม่หน่อยหรอก เมื่อสักครู่เจ้าดูเหมือนพวกคนไร้สติเลยล่ะ ข้าเรียกเจ้าเป็นสิบรอบก็ไม่ได้ยิน มาเถอะ เข้ามาพักในร้านก่อน เดี๋ยวข้าไปเรียกเสี่ยวเจียงสักครู่” ต้าเป่าพูดจบก็ดันฟางหนิงฮวาให้เข้าไปนั่งรอในร้าน ส่วนตัวเองวิ่งไปเรียนหญิงคนรักที่ร้านฝั่งตรงข้าม
เมื่อสามสหายมารวมตัวกันสิ่งที่พวกเขาทำเลยก็คือพูดคุย และยิ่งเมื่อเห็นฟางหนิงฮวาเป็นเช่นนี้ต้าเป่ากับเสี่ยวเจียงก็อดที่จะเป็นห่วงไม่ได้
“เจ้าเล่ามาเถอะ เป็นเพราะเรื่องที่ท่านเจ้าเมืองย้ายไปรับตำแหน่งแม่ทัพที่เมืองเสวี่ยคังใช่หรือไม่” ต้าเป่าถาม ความจริงเขารู้เรื่องนี้อยู่แล้ว ที่ผ่านมาก็รู้มาบ้างว่าฟางหนิงฮวาเอาซาลาเปาไปส่งที่จวนเจ้าเมือง ทั้งยังคิดซาลาเปาสูตรใหม่ ๆ ไปให้ท่านเจ้าเมืองชิมด้วย แต่ที่ไม่รู้คือนางสนิทกับท่านเจ้าเมืองถึงเพียงใด
“ข้าก็แค่รู้สึกเศร้าที่ท่านเจ้าเมืองจากไป ทีแรกก็ทำใจเอาไว้แล้ว แต่พอคิดว่าจะไม่ได้เห็นหน้าเขาอีกมันก็อดที่จะน้ำตาไหลไม่ได้” ฟางหนิงงฮวาพูดเสียงเศร้า
“หนิงฮวา ข้าว่าเจ้าทำใจเสียเถอะนะ แล้วยินดีกับท่านเจ้าเมืองที่ท่านได้เลื่อนตำแหน่ง เพราะอย่างไรเสียเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องดี” เสี่ยวเจียงพูด
“ข้าเข้าใจเสี่ยวเจียง แต่...” ฟางหนิงฮวาพูด ทว่ายังไม่ทันได้พูดจบก็ถูกต้าป่าตัดบทเสียก่อน
“แต่ว่าเจ้าหลงรักท่านเจ้าเมืองเข้าให้แล้วใช่หรือไม่” ต้าเป่าพูด
“จะว่าอย่างนั้นก็ใช่ ข้าเพียงแค่กลัวว่าเมื่อเขาไปยังเมืองเสวี่ยคังแล้วก็จะลืมข้า ที่นั่นเป็นเมืองใหญ่มีบุตรสาวขุนนางมากมาย ล้วนงามกว่าข้า ดีกว่าข้า เก่งกว่าข้าทั้งนั้น” หญิงสาวพูด ยิ่งพูดเสียงก็เริ่มสั่นเครือ
“หนิงฮวา...เจ้าอย่าว่าข้าใจร้ายกับเจ้าเลยนะ แต่ในฐานะที่ข้าเป็นสหาย ข้าจำเป็นต้องพูดให้เจ้ายอมรับความจริง” ต้าเป่าลุกขึ้นยืนก่อนจะเพิ่มความจริงจังเข้าไปในน้ำเสียงอีกสักเล็กน้อย “ท่านเจ้าเมืองกับพวกเรานั้นอยู่คนละชั้นกัน ข้าว่าเจ้าก็เคยได้รู้มาแล้วว่าแท้จริงท่านเจ้าเมืองบุตรชายคนเล็กของชินอ๋องทว่าถูกส่งตัวมาที่นี่เพื่อฟื้นฟูเมืองถู่หยาง ท่านเป็นถึงเชื้อพระวงศ์ ส่วนพวกเรานั้นเป็นผู้ใดกัน เป็นชาวเมืองธรรมดา ๆ ผู้หนึ่ง เป็นเพียงพ่อค้าแม่ค้าในตลาด เจ้าจะคาดหวังความรักที่แตกต่างถึงเพียงนั้นได้อย่างไร อย่างไรเสียเขาก็ต้องได้แต่งกับคุณหนูตระกูลใหญ่ หรือบางทีอาจจะเป็นสมรสพระราชทานก็ได้ เจ้าทำใจเสียเถอะ”
“ข้าเองก็คิดเรื่องนี้ไว้แล้ว แต่พวกเจ้าให้เวลาข้าทำใจหน่อยได้หรือไม่ ตอนนี้ข้ายังไม่พร้อม” ฟางหนิงฮวาทอดถอนใจออกมาก่อนจะจ้องมองไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมายอีกครั้ง
สำหรับนางแล้วท่านเจ้าเมืองมิใช่เพียงแค่ท่านเจ้าเมือง มีใช่เพียงแค่เชื้อพระวงศ์ มิใช่เพียงแม่ทัพ แต่เขาคือหยางจื้อเจ๋อในใจของนาง ดังนั้นจึงเป็นการยากที่จะหักใจไม่ให้คิดถึงเขาได้ และการจากไปในครั้งนี้ก็เหมือนกับว่าสรรค์พรากชายในดวงใจของนางไปเป็นครั้งที่สอง
เมื่อได้รับการปลอบใจจากสหายนแล้วฟางหนิงฮวาก็กลับไปที่ร้าน นางอยากจะตัดใจแต่ก็ยังคงต้องใช้เวลาอีกสักพัก ดังนั้นช่วงนี้จึงคิดที่จะพัฒนาร้านและจริงจังกับซาลาเปาสูตรที่พัฒนาใหม่ให้มากขึ้น ความจริงแล้วก็อยากให้ซาลาเปาขายดีขึ้นกว่าเดิม ทว่าเมืองถู่หยางเป็นแค่เมืองเล็ก ๆ ไม่ได้มีผู้คนอาศัยอยู่มากมายนัก ดังนั้นหากจะเพิ่มยอดขายก็คงเป็นไปได้ยาก
เวลาผ่านไปอย่างช้า ๆ ถึงแม้หญิงสาวจะพยายามทำใจแต่ว่าอีกใจหนึ่งก็ยังไม่ยอมแพ้ นางยังคงเฝ้ารอจดหมายจากเซียวป๋อเหวิน ทว่าผ่านไปสามเดือนแล้วก็ไม่เห็นว่าจะมีจดหมายมาถึงนางสักที คิดแล้วก็อยากจะเขียนจดหมายไปหาเขาแต่ก็กลัวจะรบกวน อีกอย่างนางเองก็เป็นสตรีการจะเขียนจดหมายไปหาบุรุษก่อนนั้นเห็นจะไม่เหมาะ ยิ่งคิดก็ยิ่งเศร้า ทว่าหากคิดในแง่ดีอาจจะเป็นเพราะว่าเขาคงยุ่งมากก็เลยไม่ได้ส่งจดหมายมาหานางก็เป็นได้
“หนิงฮวา แป้งหมดแล้วนะลูก ช่วยไปสั่งแป้งทีร้านเถ้าแก่ซ่งให้แม่หน่อย” นิ่งหรงตะโกนบอกบุตรสาว ตอนนี้นางกำลังยุ่งอยู่กับการงานหลังร้านจึงไม่สามารถออกไปสั่งแป้งด้วยตัวเองได้
ฟางหนิงฮวาที่กำลังนั่งเหม่อลอยอยู่ได้ยินที่แม่พูดก็เงยหน้าขึ้นมาอย่างงุนงง “อะไรนะเจ้าคะ ท่านแม่ให้ข้าไปทำอะไรหรือ”
“นี่เจ้ายังไม่เลิกคิดถึงท่านเจ้าเมืองอีกหรือ เวลาก็ผ่านไปสามเดือนแล้ว หากว่าเขาจะเขียนจดหมายหาเจ้าเขาก็คงเขียนไปแล้วแหละ พ่อว่าเจ้าพอได้แล้ว ไปทำงานเถอะ” ฟางตวนกล่าวอย่างเสียไม่ได้
“แม่ให้เจ้าไปสั่งแป้งให้หน่อย เอาสักสิบถุง ให้เถ้าแก่ซ่งมาส่งเย็นนี้เลย” นิ่งหรงบอกกับบุตรสาว
“เจ้าค่ะ ข้าจะรีบไปเดี๋ยวนี้” ฟางหนิงฮวารับคำ จากนั้นก็เดินออกจากร้านไป มุ่งหน้าตรงไปยังร้านของเถ้าแก่ซ่ง
ระหว่างทางนางเห็นผู้คนมากมาย มีทั้งชาวเมือง เหล่าพ่อค้าแม่ค้า ผู้ที่เข้าเมืองมาเพื่อหางานทำ เหล่าบัณฑิตที่กำลังอ่านหนังสือเพื่อเตรียมสอบในปีถัดไป ผู้ที่กำลังตามหาครอบครัวหรือคนรัก ขอทาน หรือแม้กระทั่งสุนัขที่กำลังคุ้ยหาอาหาร มองไปก็พิจารณาไปว่าผู้คนเหล่านี้ต่างก็ทำตามความตั้งใจของตนโดยที่ไม่ย่อท้อ เรื่องบางเรื่องดูยากกว่าเรื่องของนางเสียด้วยซ้ำแต่ว่าพวกเขาก็ยังไม่ยอมแพ้ที่จะทำมัน เมื่อพวกเขาทำได้นางก็ต้องทำได้ดังนั้นจึงเปลี่ยนความคิด เปลี่ยนความท้อแท้ให้เป็นแรงใจ
เดินไปก็ครุ่นคิดไปว่า หรือว่าควรจะไปดูที่เมืองเสวี่ยคังให้เห็นกับตา การที่เขาไม่ได้เขียนจดหมายมาเลยตลอดสามเดือนมานี้ย่อมต้องมีเหตุผลแน่ ๆ เพราะอย่างไรเสียเขาก็ดูไม่เหมือนคนที่จะไม่รักษาสัญญาเลยแม้แต่น้อย บางทีเขาอาจจะยุ่งอยู่หรือไม่ก็เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเขาก็ได้ พอคิดแล้วก็รู้สึกเป็นห่วงขึ้นมา
ฟางหนิงฮวาตัดสินใจแล้วว่าเดือนหน้าจะเดินทางไปยังเมืองเสวี่ยคัง อย่างไรก็ต้องพบกับเซียวป๋อเหวินให้ได้
บทที่ 30 วุ่นอยู่กับการทำศึกแต่ในใจก็คิดถึงเช่นกัน อีกด้านเซียวป๋อเหวินตอนนี้กำลังทำศึกอยู่ที่ชายแดนเหนือบริเวณแม่น้ำฉางเป่ย การต่อสู้ครั้งนี้ใช้กองทัพเรือ เป็นการต่อสู้กับชนเผ่าเฮยจั้งที่พยายามจะตีเอาดินแดนเหนือของแคว้นรวมทั้งเมืองเสวี่ยคังด้วย เดิมทีชนเผ่าเฮยจั้งอยู่เหนือขึ้นไปหลายพันลี้ทว่าด้วยภัยความหนาวทำให้อากาศแห้งแล้ง ปลูกพืชผลก็ไม่ได้ เลี้ยงสัตว์ก็ไม่ได้ เลยทำให้พวกเขาต้องอพยพลงใต้มาตายเอาดาบหน้า หวังว่าจะมีที่ดินทำกินให้คนในเผ่าได้มีชีวิตรอด ถึงแม้ว่าจะเป็นแค่ชนเผ่าก็จริงทว่าชาวเฮยยจั้งนั้นรวม ๆ แล้วก็มีไม่ต่ำกว่าแสนคน ที่เป็นทหารได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีก็น่าจะราว ๆ สามหมื่น พื้นฐานของพวกเขาเป็นคนที่มีร่างกายที่ทรหดอดทนมาก ทั้งยังสามารถอดอาหารได้เป็นเวลานาน ทำให้ศึกครั้งนี้เซียวป๋อเหวินรับมือยากอยู่เล็กน้อย “ลูกธนู
บทที่ 29 และแล้วก็ต้องจากกัน ขบวนของท่านเจ้าเมืองเคลื่อนตัวออกจากประตูเมืองไปแล้วท่ามกลางเสียงแซ่ซ้องแสดงความยินดีและน้อมส่งท่านเจ้าเมืองไปยังเมืองเสวี่ยคัง ขบวนนั้นยาวเหยียดเต็มไปด้วยทหารที่มาจากมืองเสวี่ยคังและทหารบางส่วนที่ติดตามท่านเจ้าเมืองไปด้วย ความยิ่งใหญ่นี้ทำให้ชาวเมืองทั้งดีใจและรู้สึกเศร้าใจในเวลาเดียวกัน “พวกเราจะคิดถึงท่านเจ้าเมือง” “ท่านเจ้าเมืองอย่าได้ลืมพวกเรานะขอรับ ส่วนพวกเราจะไม่มาทางลืมท่านอย่างแน่นอน” “น้อมส่งท่านเจ้าเมือง” “ขอให้ท่านเจ้าเมืองโชคดีขอรับ” เสียงของชาวเมืองยังคงกล่า
บทที่ 28 เป็นทั้งข่าวดีและข่าวร้าย เมื่อได้ยินข่าวว่าเซียวป่อเหวินได้เลื่อนตำแหน่งและต้องย้ายไปอยู่ที่เมืองเสวี่ยคังฟางหนิงฮวาก็ทั้งดีและเศร้าใจ การที่เขาได้เลื่อนตำแหน่งเป็นสิ่งที่ดี อีกอย่างครั้งนี้เข้าได้เป็นถึงแม่ทัพรับรองว่าอนาคตของเขาจะต้องรุ่งเรื่องเป็นแน่ แต่เพราะเมืองเสวี่ยคังอยู่ไกล จะไปมาหาสู่กันก็ลำบาก จะพบหน้ากันเช่นทุกวันนี้ก็คงเป็นไปได้ยาก “หนิงฮวา เจ้าเองก็อยากให้เขาเจริญก้าวหน้ามิใช่หรือ แล้วจะมานั่งเศร้าทำไมกัน” ต้าเป่าเดินมานั่งข้าง ๆ แล้วถามด้วยความเป็นห่วง “ที่จริงข้าก็ยินดีกับเขานั่นแหละ แต่ถ้าเขาไปอยู่ที่เมืองเสวี่ยคังข้าก็คงจะไม่ได้พบกับเขาอีก” ฟางหนิงฮวาพูดออกมาอย่างเศร้าใจ “ต่อให้ไม่ได้พบกันก็เขียนจดหมา
บทที่ 27 ข้าว่าจะเปิดร้านอาหาร ท่านว่าดีหรือไม่ ฟางหนิงฮวาเอาซาลาเปามาส่งทุกวัน ทุกครั้งทั้งสองก็จะพูดคุยกันและสนิทกันมากขึ้น สำหรับเซียวป๋อเหวินนอกจากหมอหลิวแล้วก็แทบจะไม่มีสหายที่สามารถพูดคุยยกันเรื่องทั่วไปได้เลย ส่วนมากก็จะพูดแต่เรื่องที่เป็นทางการกับองครักษ์แล้วก็ทหารเท่านั้น แต่กับฟางหนิงฮวาเขากลับรู้สึกว่าทั้งเขาและนางมีอะไรที่คล้าย ๆ กัน ทั้งความคิดความสนใจในสิ่งต่าง ๆ จึงได้สนิทกันอย่างรวดเร็ว ฟางหนิงฮวาเองเมื่อได้พูดคุยกับเซียวป๋อเหวินก็เหมือนกับได้พูดคุยกับหยางจื้อเจ๋อ จึงมีความสุขทุกครั้ง “ข้ามีความคิดอย่างหนึ่งจะมาถามความเห็นจากท่าน” ฟางหนิงฮวาพูดขณะที่เอากล่องใส่ซาลาเปาวางลงบนโต๊ะอาหารของเซียวป๋อเหวิน “อะไรหรือ น่าสนใจหรือไม่&
บทที่ 26 กลับมาพร้อมชัยชนะ ขบวนทัพเดินผ่านเข้าประตูเมืองมาด้วยความสง่าผ่าเผย เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ เหล่าราษฎรมายืนเรียงแถวรอต้อนรับท่านเจ้าเมืองกับทหารของเขาเต็มสองข้างทาง พวกเขาต่างตั้งหน้าตั้งตาคอยวีระบุรุษผู้ปกป้องรักษาบ้านเมืองเอาไว้ รอที่จะกล่าวขอบคุณอย่างยิ่งใหญ่ เซียวป๋อเหวินขี้ม้าสีดำคู่กายเข้ามาในประตูเมืองตามด้วยทหารองรักษ์คนสนิทและเหล่าแม่ทัพนายกองอีกหลายคน เขาโบกมือและยิ้มทักทายให้กับทุกคนพร้อมประกาศชัยชนะในครั้งนี้ “ชาวเมืองถู่หยางทุกคน บัดนี้พวกโจรภูเขาทั้งหลายได้ถูกกำจัดไปจนหมดสิ้นแล้ว หลังจากนี้ต่อไปเมืองถู่หยางของพวกเราจะกลับมาสงบสุขอีกครั้ง ขอให้ทุกคนใช้ชีวิตตามปกติและทำหน้าที่ของตัวเองต่อไป อย่าได้เป็นกังวล” “
บทที่ 25 กำจัดโจร ภายในกระโจมบัญชาการกลางค่ายทัพ ธงประจำเมืองถู่หยางปักอยู่เหนือศีรษะ ตะเกียงน้ำมันให้แสงสว่างสลัว เหล่าแม่ทัพนายกองกว่าสิบชีวิตนั่งล้อมวงรอบโต๊ะไม้ขนาดใหญ่ซึ่งปูด้วยแผนที่ผืนใหญ่ที่แสดงแนวเขาและเส้นทางรอบบริเวณซ่อนตัวของพวกโจรภูเขาอย่างชัดเจนท่านเจ้าเมืองเซียวป๋อเหวินผู้มีรูปลักษณ์สง่างามในชุดเกราะสีเข้มประดับลวดลายเมฆายกมือขึ้นเรียกความสงบ "พวกเราต้องหาทางกำจัดพวกโจรโดยไม่ให้เสียเปรียบ นำกองทัพบุกโจมตีตรงๆ ย่อมไม่ใช่ทางเลือกที่ดี"แม่ทัพหวังเจี้ยนผู้ช่ำชองด้านการรบในพื้นที่ป่าเขากล่าวขึ้น "ท่านเจ้าเมืองกล่าวถูกต้อง ที่ซ่อนของพวกมันมีทั้งถ้ำลึกและหุบเขาคดเคี้ยว หากเราบุกเข้าไป โอกาสเสียเปรียบสูงมาก ทั้งยังมีกับดักซ่อนอยู่ทุกแห่งหน""พวกมันรู้พื้นที่ดีกว่าเรา อีกทั้งสามารถกระจายตัวซ่อนตามซอกหินและป่าได้ง่าย หากเราบุกเข้าไป ผลลัพธ์อาจกลายเป็นความสูญเสียอย่างใหญ่หลวง" รองแม่ทัพหลี่ซงหยูเสริม"ดังน