ตะะวันที่อยู่ๆก็ทะลุมิติมาในยคจีนโบราณแบบงงๆ และนางยังได้มาอยู่ในร่างของเด็กสาว นามว่าไป่ซูหนี่ห์ซึ่งมีอายุเพียง15หนาว ตะวันได้แต่นอนหลับตาทบทวนเรื่องราวที่แสนเหลือเชื่อ เพียงแค่เธอแวะไปร้านขายของเก่า และได้พบกับกำไลโบราณวงหนึ่ง ซึ่งเธอก็รู้สึกถูกใจตั้งแต่แรกเห็น จึงคิดที่จะลองสวมดู แต่ไม่คาดคิดว่าเธอจะทะลุมิติมาอยู่ในร่างของเด็กสาวในยุคจีนโบราณซูหนี่ห์เป็นเพียงเด็กสาวอายุเพียง15หนาว หลังจากซูหนี่ว์ตกนำ้และป่วยหนักจนสิ้นใจ วิญญาณของตะวันที่อยู่ในยุคปัจจุบันก็เข้ามาแทนที่ แม้จะไม่อยากเชื่อแต่หลังจากนอน หลับๆตื่นๆอยู่หลายครั้ง และยังคงอยู่สถานที่เดิม เป็นสิ่งยืนยันได้ว่า มันคือเรื่องจริง
ร่างกายของซูหนี่ว์อ่อนแอเพราะป่วยมานาน ทำให้ตะวันที่มาสวมรอยรู้สึกขัดใจอยู่ไม่น้อย นางอยากลุกขึ้นเดินออกไปสำรวจภายนอกแต่ก็ไร้เรี่ยวแรง ได้แต่นอนคิดว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี ความทรงจำของร่างนี้ยังอยู่ครบ ทำให้นางไม่ต้องลำบากในการใช้ชีวิตเป็นซูหนี่ว์เท่าใดนัก ถือว่าโชคดี ไม่อย่างนั้นนางคงต้องแกล้งทำเป็นความจำเสื่อมเป็นแน่ เสียงพลักบานประตูเปิดเข้ามาอย่างช้าๆ พร้อมกับร่างของไป่ซูเจียวผู้เป็นมารดา และป้าฮุ่ยเหมยคนสนิทของมารดา ท่าทางของทั้งสองคนดูวิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัด หมอบอกว่าหมดทางรักษาหากรอดมาได้ก็คงหวังเพียงปาฏิหาริย์เพียงเท่านั้น ไป่ซูเจียวเพียงได้รับรู้ก็ถึงกับหมดสติไปทันที ไป่ซูหนี่ห์เป็นดั่งแก้วตาดวงใจแม้จะขาดบิดา นางก็รักและดูแลนางอย่างทะนุถนอมมาเป็นอย่างดี อยู่ๆจะมาจากไปนางคงทำใจไม่ได้ นางยอมแม้ต้องแลกชื่อเสียงปกป้องบุตรสาวเอาไว้ เพราะเกิดเรื่องผิดพลาดเกิดมีความสัมพันธ์กับบุรุษแปลกหน้า ในงานฉลองเทศกาลโคมไฟ นางไม่รู้ว่าบุรุษผู้นั้นเป็นใคร หลังจากเกิดเหตุการณ์นั้น นางก็ให้ป้าฮุ่ยเหม่ยคนสนิท รีบหายาห้ามครรภ์มาให้ แต่ก็เกิดการผิดพลาดไม่คาดคิดว่ายาจะไม่ได้ผล นางเกิดตั้งครรภ์ขึ้นมาจะให้นางทำลายเด็กในท้องก็ไม่สามารถทำใจทำได้ นางจึงตัดสินใจเล่าทุกอย่างให้บิดาและมารดาฟัง โชคดีที่ไป่เฉิงและเจียวจินผู้เป็นบิดามารดารักและเข้าใจไม่ตำหนิ แถมยังช่วยได้แนะนำให้ซูเจียวย้ายออกไปอาศัยที่ต่างเมืองชั่วคราว ป้องกันคำครหาที่อาจเกิดขึ้นซึ่งไป๋ซูเจียวเองก็เห็นด้วย เพราะไม่อยากทำให้ครอบครัวต้องได้รับความอับอายขายหน้า จึงตัดสินใจย้ายไปอยู่ที่เมืองตงฟาง ซึ่งห่างไกลจากเมืองหลวงราว100ลี้ เป็นบ้านที่บิดาซื้อทิ้งไว้ยามออกไปติดต่อค้าขาย ซูเจียวอาศัยอยู่ที่เมืองตงฟางโดยที่ไม่ได้ยากลำบากอะไรนัก เพราะไป่เฉิงเป็นคหบดีผู้มั่งคั่ง เรือนที่ซื้อไว้ก็ใหญ่โตกว้างขวาง พร้อมบ่าวรับใช้มากมาย ไป๋ซูเจียวจึงใช้ชีวิตได้อย่างสุขสบายและไร้กังวล นางคลอดบุตรสาวออกมาได้อย่างราบรื่น และเลี้ยงดูบุตรสาวมาได้เป็นอย่างดี แต่ทว่ายามนี้บุตรสาว ที่มีอายุเพียง15หนาวเกิดพลัดตกน้ำ หลังจากช่วยขึ้นมาได้นางก็ล้มป่วยและอ่อนแอลงเรื่อยๆ จนหมอส่ายหน้า หมดหนทางในการรักษา ซูเจียวร่ำไห้กราบไหว้ขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ให้ช่วยปกป้องซูหนี่ห์ให้อยู่รอดปลอดภัย แต่หลายวันผ่านไป ซูหนี่ว์ก็ไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้น สร้างความกังวลและทุกข์ใจให้กับซูเจียวจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ ฮุ่ยเหมยคนรับใช้คนสนิทได้แต่เอ่ยปลอบใจ ไม่อยากให้นายสาวคิดมากจนเสียสุขภาพ แม้ในใจจะหวาดวิตกและกังวลมากเช่นกัน เช้านี้หลังจากซูเจียวแวะไปกราบไหว้ขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิในห้องไหว้พระ ก็รีบตรงมาดูบุตรสาวอย่างเช่นเคย แต่แค่เพียงพลักบานประตูเข้าไป ซูหนี่ว์ที่นอนอยู่บนเตียงก็ลืมตาขึ้นมาทันที ทำเอาซูเจียวและฮุ่ยเหมย ตกตะลึงด้วยความตกใจและดีใจในเวลาเดียวกัน เร็วกว่าคำพูดซูเจียวถลาไปสวมกอดร่างของบุตรสาว ด้วยความปิติยินดีจนกลั้นนำ้ตาเอาไว้ไม่อยู่ ภายในใจที่เคยรู้สึกหนักอึ้งยามนี้ ผ่อนคลายเบาบางลงอย่างน่าเหลือเชื่อ “ลูกแม่…เจ้าฟื้นเสียที รู้มั้ยว่าแม่แทบขาดใจเพียงใด ที่เห็นเจ้านอนนิ่ง ไม่ได้สติมาหลายวันเช่นนี้ ฮุ่ยเหมยรีบไปเอายามา ข้าจะป้อนนาง” “เจ้าค่ะ”ไม่รอช้าฮุ่ยเหมยกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกไปเอายาทันที “เจ้ารู้สึกเป็นเช่นไรบ้าง? เจ็บปวดตรงที่ใด บอกแม่” ซูเจียววางมือลงบนหัวของซูหนี่ว์แล้วลูบไปมาอย่างเป็นห่วง “ท่านแม่!”ซูหนี่ว์อยากจะพูดออกไปให้มากกว่านี้ แต่ร่างกายที่อ่อนล้าไร้เรี่ยวแรงของร่างนี้ จึงได้แต่นอนมองและสำรวจใบหน้าผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นมารดา ซูเจียวมารดาของซูหนี่ว์เป็นสตรีที่งดงามมากจริงๆ แม้ยามนี้จะดูหม่นหมองลงไปบ้าง จากการอดหลับอดนอนและวิตกกังวล แต่ความงดงามของนางก็ไม่ลดน้อยด้อยลงไปเลยแม้แต่น้อย ซูเจียวเมื่อเห็นว่าบุตรสาวเอาแต่มองหน้านาง ก็คิดได้ว่านางอาจจะยังอ่อนเพลียเกินกว่าจะเอ่ยตอบ จึงรีบเอ่ยขึ้นแทน “แม่ไม่น่ารีบถามเจ้า เอานี่เจ้าดื่มยาก่อนเถิด ”ซูเจียวรับยามาจากฮุ่ยเหมย เป่าจนหายเย็นดีแล้ว จึงเริ่มป้อนให้บุตรสาวที่นอนอ้าปากรอ กลิ่นยาและรสชาติ ทำเอาซูหนี่ห์ต้องกลั้นหายใจ แต่ก็พยายามฟืนกลืนลงไป นางอยากหายไวๆไม่อยากนอนเป็นผักแบบนี้ มันทรมานและอึดอัดเต็มทน ไป่ซูเจียวยกยิ้มด้วยความพอใจ ที่เห็นซูหนี่ว์ยอมกินยาแต่โดยดีไม่ปริปากบ่น เพราะปกติซูหนี่ห์ไม่ชอบกินยา เอาแต่บ่นว่าขมไม่ชอบ พอหมดถ้วยนางก็หยิบผ้ามาเช็ดปากให้ แล้วดึงผ้าห่มมาคลุมให้จนถึงหน้าอกแล้วบอกให้ซูหนี่ว์นอนพักต่อ ก่อนจะออกไปเตรียมโจ๊กและต้มนำ้แกงกับฮุ่ยเหมย เพราะคาดว่าหลังจากตื่นมา ร่างกายของนางควรได้รับอาหารหลังจากไม่ได้สติไปหลายวัน สามวันผ่านไปอาการของซูหนี่ห์ก็เริ่มดีขึ้น ยามนี้นางสามารถขยับตัวได้บ้างแล้ว จึงยกแขนขึ้นมาดูกำไลเจ้าปัญหาที่พาเธอให้มาอยู่ที่นี่ในร่างนี้ ซูหนี่ห์จับกำไลหมุนไปหมุนมา แต่ก็ไม่พบสิ่งใดผิดปกติ จึงได้แต่ถอนใจ จะเหตุผลอะไรก็ช่างเถอะ ตอนนี้แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว ก็คงต้องปรับตัวใช้ชีวิตที่นี่ในนามไป่ซูหนี่ว์ต่อไป เช้านี้ไป๋ซูหนี่ว์ลุกขึ้นมาแต่เช้า เพราะพอร่างกายเริ่มมีเรี่ยวแรงขึ้นมาบ้างแล้ว นางจึงคิดอยากจะออกไปสูดอาการภายนอกในยามเช้าดูบ้าง แม้จะซวนเซอยู่บ้างในคราแรก เพราะนอนติดเตียงเป็นเวลานานขาจึงไร้เรียวแรง แต่ไม่ช้าก็กลับมาเดินได้เป็นปกติ เพียงแต่ต้องก้าวช้าๆเท่านั้น ซูหนี่ว์เดินผ่านกระจกทองเหลือง อดไม่ได้ที่จะหันไปมองสำรวจรูปร่างหน้าตาของตนเอง นี่มันตัวตนของนางในยุคปัจจุบันชัดๆ เพียงแต่ว่าร่างนี้เป็นนางในช่วงวัย15หนาว นี่เธอมาอยู่ในร่างของตัวเองในวัยเยาว์รึ? ไป๋ซูเจียวที่เห็นบุตรสาวเดินออกมา ก็ตกใจรีบพละจากงานที่ทำในมือ รีบเข้ามาประคองซูหนี่ว์ในทันที ร่างกายของไป่ซูหนี่ห์ยังไม่แข็งแรงดี นางกลัวว่าอาจล้มพับลงไปได้ง่ายๆ “ออกมาทำไม!!เจ้าเพิ่งจะดีขึ้น ร่างกายยังไม่แข็งแรง”ซูเจียวเอ่ยตำหนิเบาๆด้วยความเป็นห่วง “ข้าดีขึ้นมากแล้วเจ้าค่ะท่านแม่ ขืนให้ข้านอนอยู่แต่ในห้อง ข้าก็เป็นคนพิการกันพอดี อีกอย่างออกมารับแสงแดดยามเช้าแบบนี้ ข้ารู้สึกสดชื่นขึ้นมากเลยเจ้าค่ะ”ซูหนี่ว์หันไปฉีกยิ้ม ซูเจียวเห็นเช่นนั้นก็อดยิ้มเอ็นดูออกไปไม่ได้ ยกมือลูบหัวบุตรสาวไปมา “วันนี้แม่ทำซุปไก่บำรุงร่างกายให้เจ้า เจ้าก็กินเยอะๆละรู้มั้ยจะได้แข็งแรง และหายไวๆ” “เจ้าค่ะ ว่าแต่ท่านแม่ ข้าอยากกลับไปเยี่ยมท่านตากับท่านยาย ข้าอยากไปเห็นเมืองหลวงของแคว้นเป่ยเซียง ดูสิว่าจะงดงามมากเพียงใด” “ได้เมื่อเจ้าหายดี เราจะไปเยี่ยมท่านตาท่านยายดีหรือไม่?”ซูเจียวไม่อยากขัดใจนาง ครั้งนี้นางฟื้นขึ้นมาจากอาการป่วย ซึ่งท่านหมอเองก็ไม่รับปากว่านางจะรอด แต่นางก็รอดมาได้ หากสิ่งใดที่นางสามารถทำให้บุตรสาวมีความสุขได้นางก็ยินดี “ขอบคุณเจ้าค่ะ ท่านแม่ของข้าใจดีที่สุด”ซูหนี่ว์รีบเข้าไปกอดแขนซบไหลอย่างออดอ้อนผู้เป็นมารดา “งั้นเจ้าก็ต้องรีบหายป่วยเร็วๆแล้วละ” “ได้!!ข้าจะรีบหาย ท่านแม่สัญญาแล้วนะเจ้าค่ะ”ซูหนี่ว์ฉีกยิ้ม รู้สึกอบอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก ยุคที่นางจากมานางเป็นเพียงด็กกำพร้า พอมามีมารดาที่รักและเอาใจใส่เช่นนี้ ภายในใจก็รู้สึกอบอุ่นอิ่มเอมในหัวใจไม่น้อย ที่จริงเหตุผลที่นางอยากไปเยี่ยมท่านตาท่านยาย ก็เป็นเหตุผลหนึ่ง แต่อีกเหตุผลหนึ่งก็คือ นางอยากไปพิสูจน์บางอย่าง ตั้งแต่นางมาอยู่ที่นี่ในร่างนี้ นางก็ฝันแปลกๆ ถึงสถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งในความฝันมีชายผู้หนึ่งซึ่งนางไม่รู้จัก บอกว่าเป็นบิดาของนางให้นางกลับไปหา ในความฝันชายผู้นั้นยังพาไปยังบ้านที่เขาอาศัยอยู่ และยังบอกอีกว่าอยู่ในเมืองหลวง ซูหนี่ว์ยังฝันซำ้ๆแบบเดิมอยู่ทุกคืน นางจึงอยากไปพิสูจน์ความจริงให้เห็นกับตา ว่าสิ่งที่นางฝันมันคืออะไรกันแน่ นางเบื่อที่จะฝันถึงเรื่องเดิมๆทุกคืนแล้ว หากอยากรู้ต้องไปหาค้นหาคำตอบ แต่แปลกในความรู้สึกข้างในลึกๆกลับรู้สึกว่า นางคุ้นเคยกับชายผู้นั้นอย่างน่าประหลาดใจสองเดือนต่อมาอยู่ๆ ฮ่องเต้ก็เกิดอาการเวียนหัว คลื่นไส้อาเจียนอยากหนัก จนเขาลุกไม่ไหวที่ออกมาว่าราชกิจในท้องพระโรง หมอหลวงจึงรีบมาตรวจอาการก็ยังหาสาเหตุไม่พบ มีเพียงซูหนี่ว์ที่พอจะเดาได้ว่าเขาเป็นอะไร ก่อนนางจะให้หมอหลวงตรวจอีกคนเพื่อยืนยันความแน่ใจ หลังจากตรวจอาการของฮองเฮา หมอหลวงก็เผยยิ้มด้วยความยินดี“ยินดีด้วยพ่ะย่ะค่ะ พระองค์ทรงตั้งครรภ์ได้ราวสองเดือนแล้ว”“ขอบคุณท่านหมอหลวง ที่จริงข้าก็พอจะรู้อยู่บ้างเพียงแต่อยากตรวจเพื่อความแน่ใจ สงสารแต่ฝ่าบาทที่ต้องมาแพ้ท้องแทนข้าเช่นนี้”“เดี๋ยวก็คงหายพ่ะย่ะค่ะ หากเรารู้สาเหตุก็ไม่ต้องกังวลเพียงแค่หาอะไรให้ฝ่าบาทเสวย บรรเทาอาการคลื่นไส้พ่ะย่ะค่ะ” ซูหนี่ว์พอจะรู้อาการพวกนี้อยู่บ้าง เพียงแต่นึกสงสารเขาเท่านั้นเองที่ต้องมาทรมานแทนนาง ซูหนี่ว์จึงเอ่ยเบาๆ กับลูกในท้องว่า “อย่าทรมารบิดาเจ้ามากนักสงสารเขาบ้างเถอะ” เหมือนเด็กในท้องนางจะรับรู้ได้ถึงสิ่งที่นางบอก อาการของฮ่องเต้จึงเริ่มทุเลาลงอย่างน่าเหลือเชื่อ โชคดีที่ช่วงนี้ราชกิจในท้องพระโรง ก็ไม่ต้องมีอะไรให้ต้องกังวล เหล่าขุนนางเมื่อทำอะไรไม่ได้ก็ต้องยอมทำตามเงื่อนไขและกฎเกณฑ์ที่ฮองเฮาเสนอขึ้น ท
ข่าวจากทางราชสำนักออกติดประกาศ ฮ่องเต้สละราชบัลลังก์และแต่งตั้งเฉินตงหยางเป็นฮ่องเต้ ส่วนซูหนี่ว์ถูกแต่งตั้งเป็นฮองเฮา ทำเอาฮือฮากันทั้งเมืองหลวง ช่วงนี้สถานการณ์บ้านเมืองมีเปลี่ยนแปลงมากมาย หลายคนคอยจับตาและฟังข่าวว่าจะเกิดเหตุอันใดต่อไป เช้าวันต่อมาการประชุมในท้องพระโรงก็เริ่มขึ้น เหล่าขุนนางทยอยกันเข้ามาในท้องพระโรงอย่างเป็นปกติเช่นทุกครั้ง แต่ครั้งนี้กลับต่างออกไปเมื่อขันทีประกาศการมาของฮ่องเต้และฮองเฮา “ฮ่องเต้เสด็จ ฮองเฮาเสด็จ”เหล่าขุนนางรีบคุกเข่าถวายพระพรกันอย่างพร้อมเพรียง แต่สีหน้าทุกคนก็บ่งบอกถึงความแปลกใจ ที่เห็นว่ามีฮองเฮามาร่วมด้วย“ถวายพระพรฝ่าบาท ขอจงทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปี”“ถวายพระพรฮองเฮา ขอจงทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปี”“ลุกขึ้นเถิด” ฮ่องเต้เอ่ยขึ้นอย่างผ่อนคลาย แต่ก็แอบสังเกตสีหน้าของเหล่าขุนนางเฒ่าว่าเป็นแบบใด ซูหนี่ว์ฮองเฮาแม้ใบหน้าจะดูเรียบนิ่ง แต่แอบสังเกตมองเหตุการณ์ทุกอย่างไม่ให้รอดพ้นสายตา ตาเฒ่าเจ้าเล่ห์พวกนี้หากวันนี้กล้าหาเรื่องนางละก็ จะจัดให้ชุดใหญ่เลยทีเดียว“ทูลฝ่าบาท” ขุนนางกรมพิธีการหยุดชะงัก เมื่อฮ่องเต้ยกมือห้ามให้เขาหยุด“ก่อนที่ท่านจะพู
สามวันต่อมาการจัดทำโรงทานแจกอาหารก็มาถึง ซูหนี่ว์ให้องครักษ์ที่เป็นทหารยี่สิบคนช่วยทำ เพราะพวกเขาคล่องแคล่วและเรียนรู้ได้ไวมาก จึงคิดจะดึงพวกเขาไว้ที่จวนส่วนทหารอีกแปดสิบคนนางส่งไปอยู่ที่วังหลวง นางจะทำโรงทานสามวัน วันแรกนางตั้งใจจะทำโจ๊กทรงเครื่อง น้ำเต้าหู้ ปาท่องโก๋ ซึ่งนางคิดว่าดูเรียบง่ายและสะดวก อีกทั้งนางยังใส่หมูสับและไข่ เครื่องปรุงนางก็ให้คนหั่นเตรียมไว้ หากมีใครอยากจะใส่ขิง ต้นหอมผักชีซอยและกระเทียมก็สามารถใส่ได้ ก่อนนางจะยกหม้อโจ๊กมาตั้ง นางก็ให้ถิงถิงและชิงอีตั้งโต้ะเหมือนทุกครั้งเพื่อบวงสรวงอาหาร แต่ครั้งนี้นางให้ซูเจียว เฉินอ๋อง ชุนไห่ ชุนเต๋อ และบ่าวในจวนมาจุดธูปไหว้ด้วยเช่นกัน นางไม่รู้ว่าดวงวิญญาญจะจากไปเมื่อใด แต่เพราะวันนี้เป็นประหารชีวิตของสองตระกูล นางคิดว่าดวงวิญญาณอาจจะสลายและจากไป ซูหนี่ว์มองเห็นท่านปู่ ท่านย่า ท่านพ่อ และบ่าว ยืนมองนางและทุกคนด้วยสายตาอิ่มเอิบอย่างมีความสุข“ท่านปู่ ท่านย่า ท่านพ่อ และดวงวิญญาณทุกดวงขอให้ไปสู่ภพที่ดีนะเจ้าคะ”“ซูหนี่ว์ขอบใจเจ้ามาก เจ้าเองก็ดูแลตัวเองให้ดี ปู่ได้เห็นเจ้าเติบโตมาดีเช่นนี้ถึงตายก็ไม่เสียดายแล้ว” จ้าวซีห่าวเอ่ยขึ
เช้าวันต่อมาทางราชสำนักจากวังหลวงได้ส่งทหารมาปิดประกาศความผิดของสองตระกูลหลี่และตระกูลเซี๊ยะโทษฐานเป็นกบฏ ยึดทรัพย์ตระกูลเซี๊ยะเข้าวังหลวง ส่วนทรัพย์สินของตระกูลหลี่ยึดทรัพย์เป็นกองกลาง ซึ่งชายาเฉินในฐานะทายาทที่เหลืออยู่ของสกุลจ้าว จะเป็นผู้ดูแลในส่วนนี้นางต้องการทำโรงทาน และบริจาคข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นให้กับผู้ยากไร้ เพื่อสร้างบุญกุศลให้กับวิญญาณที่จากไป ในท้องพระโรงฮ่องเต้ประกาศแต่งตั้งเฉินอ๋องขึ้นเป็นรัชทายาท ซึ่งก็ไม่มีผู้ใดคัดค้านแต่อย่างใด ที่จริงเฉินอ๋องไม่อยากรับตำแหน่งเพราะเขาอยากใช้ชีวิตอิสระนอกวังมากว่า แต่เพราะตำแหน่งรัชทายาทจะว่างไม่ได้ เขาจึงต้องรับตำแหน่งนี้ไปชั่วคราว หลังจากเสร็จกิจจากท้องพระโรง เฉินหลงฮ่องเต้และเฉินอ๋องก็มายังห้องทรงอักษร ที่มีไท่ซ่างหวงและซูหนี่ว์รออยู่ ซูหนี่ว์อยากวางรากฐานให้ราชวงศ์มีความมั่นคง นางไม่อยากแทรกแซงการเมืองการปกครอง แต่นางต้องอยู่ที่นี่ต่อไปและต้องมีลูก นางจะต้องเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องแม้จะดูไม่ค่อยเหมาะสมก็ตาม“เอาละเรามาเริ่มกันเลย ลูกสะใภ้เจ้าก็อย่าเป็นกังวล เป็นเพราะข้าต้องการให้เจ้ามามีส่วนร่วม แสดงความคิดเห็นว่าจะเอาอย่างไร
ฮ่องเต้สั่งให้ทหารจับกุมคนที่ส่วนเกี่ยวข้อง และเก็บกวาดทำความสะอาดรอบบริเวณ ก่อนจะตัดสินใจเอ่ยกับซูหนี่ว์“ในฐานะที่ข้าเป็นฮ่องเต้ ข้าต้องยอมรับว่าเรื่องนี้ข้าเองก็มีส่วนผิด เพราะฉะนั้นข้าจะให้เจ้าเป็นคนตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรต่อไป” ซูหนี่ว์มองหน้าเขาก่อนจะเอ่ยขึ้น“ตระกูลหลี่สมควรถูกประหารเช่นเดียวกับตระกูลจ้าวเมื่อสิบห้าปีก่อน ติดป้ายประกาศความผิดของสกุลหลี่ว่าเคยใส่ร้ายสกุลจ้าวและโทษฐานเป็นกบฏ ยึดทรัพย์สินทั้งหมดมาให้หม่อมฉัน หม่อมฉันจะทำโรงทานแจกอาหารและของใช้ที่จำเป็นให้กับผู้ยากไร้ ส่วนตระกูลเซี๊ยะ ตัดสินโทษประหารเช่นเดียวกัน ยึดทรัพย์สินทั้งหมดเข้ากองคลัง”“ได้ข้าจะจัดการตามนี้” ฮ่องเต้รับคำอย่างไร้ข้อโต้แย้ง ลูกสะใภ้เขาคนนี้ทั้งเก่งกาจและฉลาดเฉลียว เป็นบุญและวาสนาของชาวเป่ยเซียงจริงๆ“งานวันนี้ย้ายไปที่อุทยานเถิด หม่อมฉันให้ท่านตาและท่านแม่จัดเตรียมไว้รอแล้วเพคะ” ซูหนี่ว์เอ่ยยิ้มๆ “หะ…นี่เจ้า” ฮ่องเต้ถึงกับพูดไม่ออก นางวางแผนทุกอย่างเอาไว้อย่างรอบคอบจริงๆ ลูกสะใภ้ผู้แสนดี“ขออภัยทุกท่านที่ต้องมาเจอเหตุการณ์อย่างในวันนี้ เพื่อเป็นการชดเชย หม่อมฉันได้จัดเตรียมอาหารและสุราที่อุทย
การต่อสู้ได้เริ่มขึ้นอย่างดุเดือดไม่มีใครยอมใคร ผ่านไปหลายกระบวนท่าเฉินอ๋องก็ยังไม่สามารถสยบฉีอ๋องลงได้ ฉีอ๋องดูแข็งแกร่งดั่งหินผา มีพละกำลังลมปราณอย่างล้นเหลือ วรยุทธก็เหนือชั้นกว่าเฉินอ๋องหลายเท่า แต่เฉินอ๋องก็สู้ยิบตาไม่ถอย จังหวะต่อมาฉีอ๋องหมุนตัวหลบ และสะบัดฝ่ามือกระแทกลงไปบนหน้าอกของเฉินอ๋องอย่างแรง แรงกระแทกทำให้เฉินอ๋องกระอักเลือดออกมาอย่างมากมาย เขาเซถอยหลังไปหลายก้าว เฉินอ๋องรู้สึกปวดร้าวไปทั่วหน้าอกกระอักเลือดออกมาอีกครั้ง ฉีอ๋องที่เห็นเป็นโอกาสก็ปล่อยพลังปราณใส่เขาทันที คราวนี้แรงกระแทกของพลังทำเอาร่างเฉินอ๋องกระเด็นลอยขึ้นไปบนอากาศ ทุกคนแทบลืมหายใจตกตะลึงมองภาพนั้นตาค้าง ซูหนี่ว์ที่เห็นเช่นนั้นหัวใจก็แทบหยุดเต้น ความโกรธแล่นเข้าสู่จิตใจจนยากจะระงับ รีบพุ่งทะยานไปรับร่างเฉินอ๋องก่อนที่จะร่วงกระแทกลงพื้น “ท่านอ๋อง!!!!” นางร้องออกไปอย่างสุดเสียง หัวใจบีบอัดอย่างรุนแรง ระหว่างที่นางพุ่งไปรับร่างของเขา แสงสีทองก็เปล่งประกายเจิดจ้าออกมาจากร่างของซูหนี่ว์ จากนั้นปีกสีทองคล้ายปีกนก ก็งอกออกมาจากกลางหลังของนาง ซูหนี่ว์รับร่างของเฉินอ๋องเอาไว้ได้ทัน ก่อนจะอุ้มร่างของเขาบินกลับมาตร