หลังจากซูหนี่ห์ร่างกายหายดีแล้ว ซูเจียวก็ได้เขียนจดหมายส่งข่าวไปบอกบิดาล่วงหน้า ว่านางและบุตรสาวจะออกเดินทางไปเยี่ยมเยื่อน และอาจจะต้องพักอาศัยอยู่ด้วยซักระยะ ซูเจียวคิดว่านานมากแล้วที่ไม่ค่อยได้พบปะกับบิดามารดา ถือว่าเอาโอกาสนี้อยู่นานชักหน่อย เพราะหากรีบกลับบิดามารดาคงยังไม่หายคิดถึงหลานสาวเป็นแน่ ตั้งแต่ซูหนี่ว์เกิดมาบิดามารดานาง ก็แวะมาเยี่ยมเยี่ยนบ้างเป็นครั้งคราว หากได้เดินทางมาติดต่อค้าขายแถบนี้ ครานี้อยู่ให้นานหน่อยชดเชยช่วงวันเวลาที่ห่างหายไป ซูเจียวคิดว่าหากมีใครถามถึงบิดาของซูหนี่ห์ นางจะตอบไปว่าเสียชีวิตไปแล้ว เพราะความจริงนางก็ไม่รู้จริงๆมาบุรุษผู้นั้นเป็นใคร อีกอย่างนางก็ทำใจยอมรับคำติฉินเอาไว้แล้ว
การเดินทางใช้เวลาอยู่5วัน เพราะซูเจียวไม่อย่างเร่งรีบมากนัก นางอยากปล่อยให้บุตรสาวได้ชื่นชมธรรมชาติข้างทาง และบางครั้งก็ยังจอดแวะดูร้านขายของข้างทาง ซึ่งซูหนี่ว์ก็ดูจะตื่นเต้นและสนุกสนานเป็นอย่างมาก ซูเจียวสังเกตุว่าตั้งแต่หายป่วย ซูหนี่ห์ดูร่าเริงแจ่มใสมากกว่าแต่ก่อน แถมพูดจาประจบประแจงออดอ้อนอย่างน่ารัก จนซูเจียวบางครั้งคิดไปว่านางเปลี่ยนไปอย่างกับคนละคน แต่ก็สลัดความคิดนั้นออกไปนางเป็นแบบนี้ก็ดีแล้ว นางชอบที่บุตรสาวเป็นแบบนี้มากกว่า พอเข้าเขตเมืองหลวง ซูหนี่ว์ก็รีบชะโงกหน้าออกมามองกำแพงที่สูงลิบของประตูเมือง ตื่นตาตื่นใจกับสิ่งที่เห็น ดูซีรีย์มาก็เยอะพอเห็นของจริงก็อดจะตื่นเต้นไม่ได้ พอแลกใบผ่านทางคนเข้าเมืองเรียบร้อย รถม้าก็เริ่มเคลื่อนตัวเข้าไปยังประตูเมือง ซูเจียวแอบยิ้มกับกิริยาท่าทางของบุตรสาว เห็นทีคงต้องพานางกลับมาเยี่ยม ท่านตาท่านยายบ่อยๆเสียแล้ว “หนี่ว์เอ่อร เข้าเขตเมืองหลวงแล้ว อีกไม่นานก็จะถึงจวนของท่านตาของเจ้าแล้วละ เจ้าเอาหัวของเจ้ากลับเข้ามาในรถม้าเถอะ” “ท่านแม่ข้าขอดูอีกหน่อย”นางตอบแต่ไม่ได้ดึงหัวกลับเข้าไปแต่อย่างใด “หากว่าเจ้าอยากออกมาเดินเที่ยวดูเล่น วันหลังแม่จะพาเจ้ามาดีหรือไม่”ซูเจียวไม่อยากขัดใจซูหนี่ว์ แต่ผู้คนมักชอบหาเรื่องมาว่าร้ายให้กันเสมอ หากเห็นกิริยาท่าทางของนางอาจนำไปพูดได้ว่า นางไม่อบรมสั่งสอนบุตรสาวให้ดีดั่งสตรีให้ห้องหอ แต่อีกใจหนึ่งนางก็คิดว่าจะสนใจไปทำไม ชีวิตคนเรานั้นมันสั้นนัก หลายวันก่อนซูหนี่ห์ป่วยจนเกือบไม่รอด ยามนั้นนางเองก็ยังคิดว่า หากไม่มีลูกชีวิตนางก็ไร้ความหมาย ยามนี้ซูหนี่ว์มีความสุขร่าเริงสดใส และนางเองก็มีความสุขที่เห็นเช่นนี้ หากชาตินี้บุตรสาวของนางมิอาจออกเรือน นางเต็มใจจะดูแลปกป้องนางตลอดไปชีวิต ตระกูลไป๋ใช่ว่าจะยากจนข้นแค้น บิดานางเป็นถึงคหบดีอันดับหนึ่ง ทรัพย์สินมีมากมาย บิดานางคงไม่ปล่อยให้หลานสาวลำบากแน่นอน ซูหนี่ว์ตื่นตาตื่นใจกับสิ่งที่ได้พบเห็น ของจริงดีกว่าในซีรีย์เป็นไหนๆบ้านเรือนสิ่งก่อสร้าง ผู้คนในชุดจีนโบราณงดงามแปลกตา ซูหนี่ว์คิดว่าจะหาโอกาส ออกมาเดินเที่ยวดูอีกซักครั้งตามที่มารดากล่าวอย่างแน่นอน พอรถม้าหยุดลง ซูหนี่ว์ก็กลับเข้ามานั่งอย่างสงบสงบเสงี่ยม จนซูเจียวแอบขำ “ไปกันเถอะ “ซูเจียวยื่นมือไปจับแขนของซูหนี่ห์ ให้ลุกเดินตามกันลงไปจากรถม้า ฮุ่ยเหมยยืนรอรับอยู่ด้านล่างของรถม้าเรียบร้อยแล้ว หน้าจวนสกุลไป๋ ไป๋เฉิงและฮูหยินไป๋พร้อมบ่าวในจวนออกมายืนรอต้อนรับ พอเห็นว่าบุตรสาวและหลานสาวลงจากรถม้าเรียบร้อย ไป๋เฉิงก็รีบเดินมาสวมกอดซูเจียว แล้วหันไปสวมกอดซูหนี่ว์อีกที “ยินดีต้อนรับกลับบ้านลูกสาวพ่อ ยินดีตอนรับหลานรักของตา” ไป๋เฉิงฉีกยิ้มกว้างอย่างอารมณ์ดี สมกับเป็นคหบดีที่มีมนุษยสัมพันธ์ดีต่อทุกคน “คารวะท่านพ่อ/คราวะท่านตาเจ้าค่ะ”สองสาวกล่าวทำความเคารพ “ไปๆแม่เจ้ารออยู่”ไป๋เฉิงรีบเชิญให้เข้าไปด้านในจวน ซึ่งฮูหยินไป๋ยืนรออยูหน้าประตูจวน “คารวะท่านแม่/คราวะท่านยายเจ้าค่ะ” “เจียวเอ่อร์เดินทางเป็นเช่นไรบ้าง? ส่วนเจ้าหนี่ว์เอ่อร์มาให้ยายกอดหน่อย อุ้ย!!หน้าตางดงามเสียจริงหลานรักของยาย”ฮูหยินไป๋ยกยิ้มภูมิใจกับความงดงามของหลานสาว ก่อนจะจูงมือพากันเดินเข้าไปในจวน ซูหนี่ว์ที่แอบลอบสังเกตมองก็ได้แต่ยกยิ้ม ครอบครัวนี้ดูรักใคร่กลมเกลียวกันดี จวนตระกูลไป๋ใหญ่โตสมฐานะคหบดี ห้องโถงใหญ่กว้างขวาง เครื่องเรือนและของตกแต่งราคาแพงดูดีมีราคา ซูหนี่ว์ยอมรับว่าโชคดีมากที่ได้มาอยู่ในครอบครัวที่ดีในภพนี้ ครอบครัวที่รักใคร่ปรองดอง ซึ่งหายากมากจากเท่าที่อ่านนิยายและดูซีรี่ย์มา “เจียวเอ่อรมาคราวนี้เจ้าจะอยู่นานเพียงใด แม่คิดว่าถึงเวลาเสียที ที่เจ้าสมควรพาหลานกลับมาอยู่ที่นี่ได้แล้ว ท่านพี่ท่านคิดว่าอย่างไร?” “พ่อก็เห็นด้วยกับแม่ของเจ้านะ เจียวเอ่อร์คำพูดคนหากเราไม่ใส่ใจเราก็ไม่ต้องทุกข์และเจ็บปวด พ่อกับแม่รักและเป็นห่วงเจ้ากับหลาน มาอยู่ด้วยกันที่นี่พ่อกับแม่จะได้หมดห่วง” ไป๋เฉิงเอ่ยอย่างจริงจัง “หนี่ห์เอ่อรเจ้าอยากมาอยู่ที่นี่กับยายหรือไม่? ฮูหยินไป๋หันมาขอความคิดเห็นจากหลานสาวตัวน้อย ซูหนี่ว์หันไปมองมารดา นางก็ไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดี หากตอบไปแล้วอาจจะทำให้มารดาลำบากใจก็อาจเป็นได้ “ข้าแล้วแต่ท่านแม่ อยู่ที่ไหนหากมีท่านแม่ ข้าก็ไม่มีปัญหายังไงก็ได้เจ้าค่ะ” “ดี!!เจียวเอ่อร์ทีนี้เจ้าลองบอกแม่มา เจ้าคิดเห็นกับเรื่องนี้อย่างไร?”ไป๋ฮูหยินรู้สึกพอใจกับคำตอบของหลานสาวเป็นอย่างยิ่ง “ท่านพ่อท่านแม่ หากหนี่ว์เอ่อร์พูดเช่นนี้ ข้าก็คิดว่าจะลองอยู่ที่นี่ซักระยะหากทุกอย่างราบรื่นดี ข้าก็อาจจะตัดสินใจอยู่ที่นี่เลยเจ้าค่ะ”ที่จริงซูเจียวก็วางแผนมาซักระยะแล้วกับการมาเยี่ยมในครั้งนี้ นางอยากลองเชิงว่าบุตรสาวนางจะว่าเช่นไร การกลับมาอยู่กับครอบครัว พร้อมหน้าพร้อมตานางเองก็สึกอบอุ่นและมีความสุขอยู่ไม่น้อย คำพูดคนนางเลิกใส่ใจตั้งนานแล้ว “ดี!!!”ไป่เฉิงตบมือลงบนเข่าอย่างพอใจในคำตอบ “พี่ชายของเจ้าคงจะดีใจไม่น้อยเลย เอาละข้าได้ให้บ่าวเตรียมห้องหับไว้รอพวกเจ้าแล้ว แยกย้ายกันไปพักผ่อนก่อนเถิดเดินทางมาทั้งวัน ข้ายังได้สั่งคนเตรียมอาหารที่เจ้าชอบเอาไว้ด้วย ว่าแต่หลานรักของยายเจ้าอยากกินอะไรเป็นพิเศษหรือไม่ ยายจะได้ให้คนจัดเตรียม”ฮูหยินไป๋หันไปถามหลานสาว เพราะไม่รู้จริงๆว่านางชอบกินอะไร “ท่านยาย ข้าอยากไปช่วยทำอาหารในครัวด้วยได้หรือไม่เจ้าค่ะ ข้าอยากลองทำอาหารให้ท่านตาท่านยายชิมดูเจ้าค่ะ” ชาติภพก่อนนางชอบทำอาหารมาก หากเป็นไปได้นางก็อยากจะทำอาหารให้ทุกคนลองชิม การทำอาหารเป็นความสุขอย่างหนึ่งของนาง “เจ้าไม่เหนื่อยรึ ได้ข่าวว่าเพิ่งหายป่วย”ฮูหยินเอ่ยอย่างเป็นห่วง “นั่นสิหลานตาเดินทางมาเหนื่อยๆพักผ่อนก่อนดีหรือไม่?”ไป๋เฉิงหันมามองซูเจียวที่นั่งนิ่งอยู่ ซูเจียวเองก็อดแปลกใจที่บุตรสาวคิดจะทำอาหาร ทั้งๆที่เมื่อก่อนนางไม่เคยเค้าครัวเลย “ให้นางทำเถอะเจ้าค่ะท่านพ่อนางนะซนจะตาย ข้าก็อยากรู้เหมือนกัน ว่ารสชาติอาหารจะเป็นเช่นไร”ซูเจียวเอ่ยยิ้มๆ “ท่านแม่ รอชิมเลยเจ้าค่ะรับรองอร่อยแน่”ซูหนี่ว์เอ่ยอย่างมั่นใจเต็มเปี่ยม “ขนาดนั้นเลย”ไป๋เฉิงหัวเราะชอบใจออกมาดังๆ พลอยให้บ่าวรับใช้ทุกคนอมยิ้มตามไปด้วย มีแต่ซูหนี่ว์ที่แอบเคืองเพราะเห็นว่าท่านตาหัวเราะ “แม่ว่าเจ้าไปดูห้องหับที่จะนอนให้เรียบร้อยก่อนดีกว่า และล้างเนื้อล้างตัวเสียหน่อย เสร็จแล้วค่อยไปทำอาหาร เดี๋ยวแม่จะไปเป็นผู้ช่วยของเจ้า” “ท่านแม่จะไปช่วยด้วยหรือดีเจ้าค่ะ” ซูหนี่ว์ไม่ขัดข้องหากมารดาจะไปช่วยนางทำอาหารด้วยสองเดือนต่อมาอยู่ๆ ฮ่องเต้ก็เกิดอาการเวียนหัว คลื่นไส้อาเจียนอยากหนัก จนเขาลุกไม่ไหวที่ออกมาว่าราชกิจในท้องพระโรง หมอหลวงจึงรีบมาตรวจอาการก็ยังหาสาเหตุไม่พบ มีเพียงซูหนี่ว์ที่พอจะเดาได้ว่าเขาเป็นอะไร ก่อนนางจะให้หมอหลวงตรวจอีกคนเพื่อยืนยันความแน่ใจ หลังจากตรวจอาการของฮองเฮา หมอหลวงก็เผยยิ้มด้วยความยินดี“ยินดีด้วยพ่ะย่ะค่ะ พระองค์ทรงตั้งครรภ์ได้ราวสองเดือนแล้ว”“ขอบคุณท่านหมอหลวง ที่จริงข้าก็พอจะรู้อยู่บ้างเพียงแต่อยากตรวจเพื่อความแน่ใจ สงสารแต่ฝ่าบาทที่ต้องมาแพ้ท้องแทนข้าเช่นนี้”“เดี๋ยวก็คงหายพ่ะย่ะค่ะ หากเรารู้สาเหตุก็ไม่ต้องกังวลเพียงแค่หาอะไรให้ฝ่าบาทเสวย บรรเทาอาการคลื่นไส้พ่ะย่ะค่ะ” ซูหนี่ว์พอจะรู้อาการพวกนี้อยู่บ้าง เพียงแต่นึกสงสารเขาเท่านั้นเองที่ต้องมาทรมานแทนนาง ซูหนี่ว์จึงเอ่ยเบาๆ กับลูกในท้องว่า “อย่าทรมารบิดาเจ้ามากนักสงสารเขาบ้างเถอะ” เหมือนเด็กในท้องนางจะรับรู้ได้ถึงสิ่งที่นางบอก อาการของฮ่องเต้จึงเริ่มทุเลาลงอย่างน่าเหลือเชื่อ โชคดีที่ช่วงนี้ราชกิจในท้องพระโรง ก็ไม่ต้องมีอะไรให้ต้องกังวล เหล่าขุนนางเมื่อทำอะไรไม่ได้ก็ต้องยอมทำตามเงื่อนไขและกฎเกณฑ์ที่ฮองเฮาเสนอขึ้น ท
ข่าวจากทางราชสำนักออกติดประกาศ ฮ่องเต้สละราชบัลลังก์และแต่งตั้งเฉินตงหยางเป็นฮ่องเต้ ส่วนซูหนี่ว์ถูกแต่งตั้งเป็นฮองเฮา ทำเอาฮือฮากันทั้งเมืองหลวง ช่วงนี้สถานการณ์บ้านเมืองมีเปลี่ยนแปลงมากมาย หลายคนคอยจับตาและฟังข่าวว่าจะเกิดเหตุอันใดต่อไป เช้าวันต่อมาการประชุมในท้องพระโรงก็เริ่มขึ้น เหล่าขุนนางทยอยกันเข้ามาในท้องพระโรงอย่างเป็นปกติเช่นทุกครั้ง แต่ครั้งนี้กลับต่างออกไปเมื่อขันทีประกาศการมาของฮ่องเต้และฮองเฮา “ฮ่องเต้เสด็จ ฮองเฮาเสด็จ”เหล่าขุนนางรีบคุกเข่าถวายพระพรกันอย่างพร้อมเพรียง แต่สีหน้าทุกคนก็บ่งบอกถึงความแปลกใจ ที่เห็นว่ามีฮองเฮามาร่วมด้วย“ถวายพระพรฝ่าบาท ขอจงทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปี”“ถวายพระพรฮองเฮา ขอจงทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปี”“ลุกขึ้นเถิด” ฮ่องเต้เอ่ยขึ้นอย่างผ่อนคลาย แต่ก็แอบสังเกตสีหน้าของเหล่าขุนนางเฒ่าว่าเป็นแบบใด ซูหนี่ว์ฮองเฮาแม้ใบหน้าจะดูเรียบนิ่ง แต่แอบสังเกตมองเหตุการณ์ทุกอย่างไม่ให้รอดพ้นสายตา ตาเฒ่าเจ้าเล่ห์พวกนี้หากวันนี้กล้าหาเรื่องนางละก็ จะจัดให้ชุดใหญ่เลยทีเดียว“ทูลฝ่าบาท” ขุนนางกรมพิธีการหยุดชะงัก เมื่อฮ่องเต้ยกมือห้ามให้เขาหยุด“ก่อนที่ท่านจะพู
สามวันต่อมาการจัดทำโรงทานแจกอาหารก็มาถึง ซูหนี่ว์ให้องครักษ์ที่เป็นทหารยี่สิบคนช่วยทำ เพราะพวกเขาคล่องแคล่วและเรียนรู้ได้ไวมาก จึงคิดจะดึงพวกเขาไว้ที่จวนส่วนทหารอีกแปดสิบคนนางส่งไปอยู่ที่วังหลวง นางจะทำโรงทานสามวัน วันแรกนางตั้งใจจะทำโจ๊กทรงเครื่อง น้ำเต้าหู้ ปาท่องโก๋ ซึ่งนางคิดว่าดูเรียบง่ายและสะดวก อีกทั้งนางยังใส่หมูสับและไข่ เครื่องปรุงนางก็ให้คนหั่นเตรียมไว้ หากมีใครอยากจะใส่ขิง ต้นหอมผักชีซอยและกระเทียมก็สามารถใส่ได้ ก่อนนางจะยกหม้อโจ๊กมาตั้ง นางก็ให้ถิงถิงและชิงอีตั้งโต้ะเหมือนทุกครั้งเพื่อบวงสรวงอาหาร แต่ครั้งนี้นางให้ซูเจียว เฉินอ๋อง ชุนไห่ ชุนเต๋อ และบ่าวในจวนมาจุดธูปไหว้ด้วยเช่นกัน นางไม่รู้ว่าดวงวิญญาญจะจากไปเมื่อใด แต่เพราะวันนี้เป็นประหารชีวิตของสองตระกูล นางคิดว่าดวงวิญญาณอาจจะสลายและจากไป ซูหนี่ว์มองเห็นท่านปู่ ท่านย่า ท่านพ่อ และบ่าว ยืนมองนางและทุกคนด้วยสายตาอิ่มเอิบอย่างมีความสุข“ท่านปู่ ท่านย่า ท่านพ่อ และดวงวิญญาณทุกดวงขอให้ไปสู่ภพที่ดีนะเจ้าคะ”“ซูหนี่ว์ขอบใจเจ้ามาก เจ้าเองก็ดูแลตัวเองให้ดี ปู่ได้เห็นเจ้าเติบโตมาดีเช่นนี้ถึงตายก็ไม่เสียดายแล้ว” จ้าวซีห่าวเอ่ยขึ
เช้าวันต่อมาทางราชสำนักจากวังหลวงได้ส่งทหารมาปิดประกาศความผิดของสองตระกูลหลี่และตระกูลเซี๊ยะโทษฐานเป็นกบฏ ยึดทรัพย์ตระกูลเซี๊ยะเข้าวังหลวง ส่วนทรัพย์สินของตระกูลหลี่ยึดทรัพย์เป็นกองกลาง ซึ่งชายาเฉินในฐานะทายาทที่เหลืออยู่ของสกุลจ้าว จะเป็นผู้ดูแลในส่วนนี้นางต้องการทำโรงทาน และบริจาคข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นให้กับผู้ยากไร้ เพื่อสร้างบุญกุศลให้กับวิญญาณที่จากไป ในท้องพระโรงฮ่องเต้ประกาศแต่งตั้งเฉินอ๋องขึ้นเป็นรัชทายาท ซึ่งก็ไม่มีผู้ใดคัดค้านแต่อย่างใด ที่จริงเฉินอ๋องไม่อยากรับตำแหน่งเพราะเขาอยากใช้ชีวิตอิสระนอกวังมากว่า แต่เพราะตำแหน่งรัชทายาทจะว่างไม่ได้ เขาจึงต้องรับตำแหน่งนี้ไปชั่วคราว หลังจากเสร็จกิจจากท้องพระโรง เฉินหลงฮ่องเต้และเฉินอ๋องก็มายังห้องทรงอักษร ที่มีไท่ซ่างหวงและซูหนี่ว์รออยู่ ซูหนี่ว์อยากวางรากฐานให้ราชวงศ์มีความมั่นคง นางไม่อยากแทรกแซงการเมืองการปกครอง แต่นางต้องอยู่ที่นี่ต่อไปและต้องมีลูก นางจะต้องเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องแม้จะดูไม่ค่อยเหมาะสมก็ตาม“เอาละเรามาเริ่มกันเลย ลูกสะใภ้เจ้าก็อย่าเป็นกังวล เป็นเพราะข้าต้องการให้เจ้ามามีส่วนร่วม แสดงความคิดเห็นว่าจะเอาอย่างไร
ฮ่องเต้สั่งให้ทหารจับกุมคนที่ส่วนเกี่ยวข้อง และเก็บกวาดทำความสะอาดรอบบริเวณ ก่อนจะตัดสินใจเอ่ยกับซูหนี่ว์“ในฐานะที่ข้าเป็นฮ่องเต้ ข้าต้องยอมรับว่าเรื่องนี้ข้าเองก็มีส่วนผิด เพราะฉะนั้นข้าจะให้เจ้าเป็นคนตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรต่อไป” ซูหนี่ว์มองหน้าเขาก่อนจะเอ่ยขึ้น“ตระกูลหลี่สมควรถูกประหารเช่นเดียวกับตระกูลจ้าวเมื่อสิบห้าปีก่อน ติดป้ายประกาศความผิดของสกุลหลี่ว่าเคยใส่ร้ายสกุลจ้าวและโทษฐานเป็นกบฏ ยึดทรัพย์สินทั้งหมดมาให้หม่อมฉัน หม่อมฉันจะทำโรงทานแจกอาหารและของใช้ที่จำเป็นให้กับผู้ยากไร้ ส่วนตระกูลเซี๊ยะ ตัดสินโทษประหารเช่นเดียวกัน ยึดทรัพย์สินทั้งหมดเข้ากองคลัง”“ได้ข้าจะจัดการตามนี้” ฮ่องเต้รับคำอย่างไร้ข้อโต้แย้ง ลูกสะใภ้เขาคนนี้ทั้งเก่งกาจและฉลาดเฉลียว เป็นบุญและวาสนาของชาวเป่ยเซียงจริงๆ“งานวันนี้ย้ายไปที่อุทยานเถิด หม่อมฉันให้ท่านตาและท่านแม่จัดเตรียมไว้รอแล้วเพคะ” ซูหนี่ว์เอ่ยยิ้มๆ “หะ…นี่เจ้า” ฮ่องเต้ถึงกับพูดไม่ออก นางวางแผนทุกอย่างเอาไว้อย่างรอบคอบจริงๆ ลูกสะใภ้ผู้แสนดี“ขออภัยทุกท่านที่ต้องมาเจอเหตุการณ์อย่างในวันนี้ เพื่อเป็นการชดเชย หม่อมฉันได้จัดเตรียมอาหารและสุราที่อุทย
การต่อสู้ได้เริ่มขึ้นอย่างดุเดือดไม่มีใครยอมใคร ผ่านไปหลายกระบวนท่าเฉินอ๋องก็ยังไม่สามารถสยบฉีอ๋องลงได้ ฉีอ๋องดูแข็งแกร่งดั่งหินผา มีพละกำลังลมปราณอย่างล้นเหลือ วรยุทธก็เหนือชั้นกว่าเฉินอ๋องหลายเท่า แต่เฉินอ๋องก็สู้ยิบตาไม่ถอย จังหวะต่อมาฉีอ๋องหมุนตัวหลบ และสะบัดฝ่ามือกระแทกลงไปบนหน้าอกของเฉินอ๋องอย่างแรง แรงกระแทกทำให้เฉินอ๋องกระอักเลือดออกมาอย่างมากมาย เขาเซถอยหลังไปหลายก้าว เฉินอ๋องรู้สึกปวดร้าวไปทั่วหน้าอกกระอักเลือดออกมาอีกครั้ง ฉีอ๋องที่เห็นเป็นโอกาสก็ปล่อยพลังปราณใส่เขาทันที คราวนี้แรงกระแทกของพลังทำเอาร่างเฉินอ๋องกระเด็นลอยขึ้นไปบนอากาศ ทุกคนแทบลืมหายใจตกตะลึงมองภาพนั้นตาค้าง ซูหนี่ว์ที่เห็นเช่นนั้นหัวใจก็แทบหยุดเต้น ความโกรธแล่นเข้าสู่จิตใจจนยากจะระงับ รีบพุ่งทะยานไปรับร่างเฉินอ๋องก่อนที่จะร่วงกระแทกลงพื้น “ท่านอ๋อง!!!!” นางร้องออกไปอย่างสุดเสียง หัวใจบีบอัดอย่างรุนแรง ระหว่างที่นางพุ่งไปรับร่างของเขา แสงสีทองก็เปล่งประกายเจิดจ้าออกมาจากร่างของซูหนี่ว์ จากนั้นปีกสีทองคล้ายปีกนก ก็งอกออกมาจากกลางหลังของนาง ซูหนี่ว์รับร่างของเฉินอ๋องเอาไว้ได้ทัน ก่อนจะอุ้มร่างของเขาบินกลับมาตร