ส่วนบ้านของเจียงหลินนั้นเป็นบ้านสร้างด้วยอิฐชั้นเดียวขนาดสองห้องนอนมีโถงกลางบ้านเอาไว้สำหรับนั่งเล่นกัน ส่วนห้องครัวนั้นอยู่ด้านนอกทางซ้ายมือของบ้าน
ที่ดินมีทั้งหมดห้าหมู่เป็นบ้านหลังสุดท้ายที่อยู่ติดกับตีนเขาเลย โดยที่ดินทั้งห้าหมู่ของเจียงหลินนั้น ท่านพ่อของนางได้สร้างรั้วไม้เอาไว้กันพวกสัตว์ป่าที่ชอบลงมาหาอาหารที่ตีนเขาอยู่บ่อยครั้งเพื่อความปลอดภัย
ถัดจากบ้านของเจียงหลินทางด้านหน้าจึงจะเป็นบ้านของสองสามีภรรยาแซ่จางที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลมากนัก
ที่ดินซ้ายและขวาที่อยู่ติดกับที่ดินของเจียงหลินยังคงเป็นที่ดินว่างเปล่าอยู่ ส่วนด้านหลังบ้านนั้นคือภูเขาที่มีความอุดมสมบูรณ์อยู่ไม่น้อย แต่พวกชาวบ้านหนานเจียงนั้นก็ไม่ค่อยมีใครกล้าขึ้นเขาไปล่าสัตว์มากนัก
เพราะว่าเคยมีเหตุการณ์หมีป่าสังหารชาวบ้านที่ขึ้นไปหาของป่าในถิ่นของมัน จนสร้างความหวาดกลัวให้กับเหล่าชาวบ้านหนานเจียงเป็นอย่างมาก
ส่วนใหญ่ที่ขึ้นเขาไปก็เป็นเพียงบริเวณชายป่าไปจนถึงป่าชั้นนอกเพียงเท่านั้น เพราะตั้งแต่ป่าชั้นกลางเข้าไปจนป่าชั้นในนั้นมีแต่สัตว์ป่าที่ค่อนข้างจะดุร้ายเป็นอย่างมาก
ดังนั้นพวกชาวบ้านจึงขึ้นเขาไปถึงแค่ป่าชั้นนอกเพื่อเก็บฟืนและหาผักป่าเพียงเท่านั้น
ในตอนนี้เจียงหลินกับน้องฝาแฝดของนางเองก็กำลังยืนมองบ้านอิฐชั้นเดียวที่ ดูเก่าและทรุดโทรมตรงหน้าด้วยใจที่เศร้าหมอง
เมื่อก่อนบ้านหลังนี้ต่างก็เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและความสุขของพวกเขาทั้งครอบครัว เพียงแต่ตั้งแต่บิดาของพวกเจียงหลินขึ้นเขาไปกับชาวบ้านเมื่อห้าปีก่อน
แล้วพลัดตกหน้าผาลงไปจนหาศพไม่เจอบ้านหลังนี้ก็เต็มไปด้วยความเศร้าโศก จนเมื่อสองปีก่อนมารดาผู้เป็นที่พึ่งเพียงคนเดียวของสามพี่น้องก็ล้มป่วยแล้วตายจากไป
พวกนางสามคนพี่น้องก็ถูกท่านลุงเจียงไห่พี่ชายของมารดารับไปดูแล แต่ใครเล่าจะไปคาดคิดว่าป้าสะใภ้ที่แต่ก่อนแสนดี อ่อนโยนกับพวกนางจะกลายร่างเป็นนางมารในชั่วข้ามคืนหลังจากที่มารดาของพวกนางจากไปกัน
ยิ่งนานวันเข้าสามพี่น้องบ้านเจียงก็ยิ่งถูกป้าสะใภ้กับลูกสาวของนางรังแกสารพัดจนมาเกิดเรื่องขึ้นในวันนี้ที่ทำให้เจียงหลินคนก่อนจากโลกนี้ไป แล้ววิญญาณของนับดาวที่เข้ามาแทนที่อย่างที่เห็น
“เฮ้อ…ดูเหมือนว่าวันนี้พวกเราจะต้องเหนื่อยกันหน่อยแล้วละนะเจ้าสองแฝดของพี่”
หลังจากที่คิดย้อนอดีตเสร็จเรียบร้อยเจียงหลินก็ได้เอ่ยขึ้นกับน้องฝาแฝดทั้งสองของตนเองด้วยน้ำเสียงติดตลก เพื่อทำให้เด็กน้อยทั้งสองนั้นผ่อนคลายความกดดันลงไป
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะพี่ใหญ่ ข้ากับเสี่ยวหยวนแข็งแรงมาก สามารถช่วยพี่ใหญ่ทำความสะอาดบ้านได้เจ้าค่ะ”
เป็นเจียงหลานน้อย น้องสาวคนโตของเจียงหลินเอ่ยขึ้นเพื่อปลอบใจพี่สาวของตนด้วยใบหน้าแย้มยิ้มสดใสอย่างไร้เดียงสา
“ใช่ขอรับ ข้ากับเสี่ยวหลานจะช่วยพี่ใหญ่ขอรับ”
ทางด้านเจียงหยวนน้องชายคนเล็กสุดของบ้านเองก็ไม่ยอมให้พี่สาวฝาแฝดได้เอ่ยปลอบพี่สาวเพียงคนเดียว เพราะเจ้าตัวเล็กเองก็อยากจะมีส่วนร่วมกับพี่สาวทั้งสองของตนเองด้วยเช่นกัน
“ขอบใจเสี่ยวหลานกับเสี่ยวหยวนมากนะจ๊ะที่อยากจะช่วยพี่ใหญ่ถึงเพียงนี้”
เจียงหลินเมื่อได้ยินสิ่งที่เด็กน้อยทั้งสองเอ่ยบอกกับตนเองก็รู้สึกเอ็นดูในความน่ารักของน้องฝาแฝดทั้งสองของตนเองเป็นอย่างมาก นางไม่แปลกใจเลยว่าเพราะเหตุใดเจียงหลินคนก่อนถึงได้ฝากให้นางช่วยดูแลพวกเขาเช่นนั้น
ในเมื่อตอนนี้นางก็คือเจียงหลินแล้ว นางย่อมต้องดูแลน้องน้อยทั้งสองของตนเองอย่างดีที่สุดให้ได้ ดียิ่งนักที่ก่อนมาที่นี่คุณยายได้มอบมิติเอาไว้ให้นางติดตัวมาด้วย
แต่นางเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันคือมิติแบบไหน แต่นางก็เคยอ่านนิยายแนวทะลุมาพร้อมมิติวิเศษอยู่หลายเรื่องในช่วงสอบเสร็จ
ดังนั้นนางเองก็อดตื่นเต้นกับมิติที่ตนเองมีอยู่ไม่น้อย แต่ส่วนหนึ่งก็ยังอดเสียใจไม่ได้ที่นางยังไม่ได้ทำตามเป้าหมายของตนเองเลย
แต่เมื่อคิดทบทวนอีกครั้งแล้วก็ดูเหมือนว่านางสามารถนำความรู้ที่ได้ร่ำเรียนมาสอนให้กับเจ้าสองแสบของนางในตอนนี้ได้เช่นกันนี่นา
เมื่อคิดได้แบบนั้นเจียงหลินจึงได้รู้สึกสดใสขึ้นมาอีกครั้ง และนางก็ได้เริ่มวางแผนในวันแรกนี้ว่าควรจะทำความสะอาดอะไรก่อนเป็นอันดับแรกดี
“เอาละ ถ้าอย่างนั้นพวกเราเข้าไปช่วยกันทำความสะอาดห้องนอนทั้งสองห้องกันก่อนก็แล้วกันนะ”
“ขอรับ/เจ้าค่ะ”
หลังจากที่เจียงหลินเอ่ยกับน้องน้อยทั้งสองของตนเองเสร็จเรียบร้อยแล้ว สามพี่น้องบ้านเจียงก็เริ่มลงมือทำความสะอาดห้องนอนทั้งสองห้องก่อนในทันที
สามพี่น้องเริ่มเดินตรงเข้าไปภายในบ้านที่ประตูด้านหน้าบ้านในตอนนี้ต่างก็เต็มไปด้วยฝุ่นที่เกาะตัวหนาเกือบหนึ่งนิ้วตรงหน้า ก่อนที่เจียงหลินจะบอกให้น้องทั้งสองคนยืนรออยู่ที่หน้าบ้านห่างจากประตูไปเล็กน้อย
เพื่อเวลาที่นางเปิดประตูฝุ่นจะได้ไม่ลอยไปถูกเด็กน้อยทั้งสอง เมื่อเจียงหลินเห็นว่าน้องฝาแฝดของตนเองยืนห่างพอสมควรแล้ว นางก็ยกชายเสื้อขึ้นมาปิดจมูกของตนเองเอาไว้ ก่อนจะใช้มืออีกข้างที่ว่างผลักบานประตูให้เปิดออก
เพียงแค่ประตูไม้เก่า ๆ ที่มีฝุ่นเกาะตัวหนาได้รับแรงสั่นสะเทือนฝุ่นหนาที่เกาะอยู่ที่บานประตูก็ฟุ้งกระจายเป็นวงกว้าง จนเจียงหลินนั้นแทบจะทนไม่ไหว
ยังดีที่นางเตรียมตัวมาก่อนหน้านี้แล้ว เด็กสาวจึงสามารถผ่านพ้นฝุ่นที่กระจายอยู่ในอากาศเข้าไปภายในบ้านได้ในที่สุด
หลังจากที่เจียงหลินสามารถเข้ามาภายในบ้านได้เป็นที่เรียบร้อย นางก็เดินตรงไปยังบานหน้าต่างที่อยู่ข้าง ๆ บ้านสองบานแล้วทำการเปิดออกเพื่อไล่ฝุ่นและระบายอากาศในทันที
ผ่านไม่ครู่หนึ่งหลังจากที่กลิ่นอับและฝุ่นเริ่มเบาบางลงเจียงหลินจึงได้เดินตรงไปยังห้องนอนใหญ่ที่อยู่ทางด้านซ้ายมือของตนเองก่อนเป็นห้องแรก
เมื่อผลักประตูเปิดเข้าไปด้านในห้องนอนที่เคยเป็นห้องของบิดามารดาของพวกเขามาก่อน ก็พบว่าในตอนนี้มันเป็นเพียงห้องเก่า ๆ ห้องหนึ่งที่มีฝุ่นหนาเกาะเต็มไปหมด ไหนจะหยากไย่อีกมากมายที่เกาะอยู่บนเพดานห้องอย่างหนาแน่นราวกับบ้านร้างนั่นอีก
นอกจากนั้นแล้วห้องนี้ก็เป็นเพียงห้องโล่ง ๆ ห้องหนึ่งที่มีแค่เตียงเก่า ๆ ตั้งอยู่เพียงเท่านั้น
หลังจากที่สำรวจห้องนอนใหญ่เสร็จเรียบร้อยแล้วเจียงหลินก็เดินกลับออกไปเพื่อไปสำรวจห้องนอนเล็กที่เป็นแห่งที่สองต่อในทันที
และห้องนอนเล็กก็ไม่ต่างจากห้องนอนใหญ่เมื่อครู่เลยแม้แต่น้อย เพราะมันก็มีสภาพไม่ต่างกันมากนัก
เมื่อสำรวจจนเสร็จเรียบร้อยเด็กสาวก็เดินกลับออกมาที่หน้าทางเข้าเพื่อมาหาน้องทั้งสองของตนเอง
ทางด้านเจ้าสองแฝดเองก็ช่างรู้ความยิ่งนักเพราะเมื่อพวกเขาเห็นพี่สาวของตนเองเดินเข้าไปภายในบ้านได้แล้ว เด็กน้อยทั้งสองก็วิ่งไปที่บ้านของนางจางเพื่อขอยืมเครื่องมือในการทำความสะอาดบ้าน
ก่อนที่พวกเขาจะรีบวิ่งกลับมารอพี่สาวอยู่ที่บ้านเช่นเดิมอย่างเรียบร้อย ดังนั้นเมื่อเจียงหลินเดินกลับออกมาและกำลังคิดหาเครื่องมือในการทำความสะอาดบ้านอยู่ก็ต้องเผยรอยยิ้มเอ็นดูออกมาอย่างห้ามไม่ได้
เมื่อนางเห็นว่านอกจากน้องทั้งสองของตนเองที่ยืนอยู่หน้าบ้านห่างออกไปไม่ไกลแล้วนั้น ข้าง ๆ ของพวกเขายังมีไม้กวาดและถังน้ำกับผ้าเก่า ๆ ที่เอาไว้ใช้สำหรับทำความสะอาดบ้านเตรียมพร้อมเอาไว้เป็นที่เรียบร้อยอย่างรู้ความเป็นอย่างมาก
พร้อมกันนั้นเด็กน้อยทั้งสองยังส่งยิ้มยิงฟันมาให้กับเจียงหลินอย่างมีความสุข จนเจียงหลินเองที่อดไม่ได้จนต้องเดินเข้าไปนั่งลงตรงหน้าของเจ้าสองแฝดก่อนจะสวมกอดน้องทั้งสองของตนเองด้วยความรักใคร่เอ็นดูอย่างสุดหัวใจในความใสซื่อและน่ารักของพวกเขาทั้งสอง
“รู้ความยิ่งนักนะเจ้าสองแสบของพี่ เก่งมาก ๆ เลยนะทั้งสองคน”
เจียงหลินเอ่ยชมเฉยร่างเล็ก ๆ ในอ้อมกอดทั้งสองด้วยน้ำเสียงอบอุ่น อ่อนโยนอย่างรักใคร่เอ็นดูน้องน้อยทั้งสองคนของตนเอง
แต่นางหารู้ไม่ว่าคำชมที่ตนเองเอ่ยขึ้นกับเด็กน้อยทั้งสองในครั้งนี้นั้นคือครั้งแรกที่พวกเขาทั้งสองได้ยินจากพี่สาวเพียงคนเดียว
ดังนั้นเมื่อเด็กน้อยทั้งสองได้รับคำชมจากพี่สาวที่พวกเขารักมากย่อมต้องรู้สึกดีใจและมีความสุขมากอย่างที่เจียงหลินไม่อาจรู้ได้
*************************************************************************************************************************************
โอ๊ย เจ้าแฝดทั้งสองทำไมว่านอนสอนง่ายขนาดนี้กัน สู้ ๆ ไปกับพี่ใหญ่นะลูกเดี๋ยวพี่ใหญ่ก็ขุนจนอ้วนเอง
“พี่ใหญ่ ข้าขออุ้มเสี่ยวไป๋ได้หรือไม่ขอรับ”เจียงหยวนที่ชมชอบสัตว์ตัวเล็กน่าตาน่ารักอยู่แล้ว ก็อดใจไม่ไหวจนต้องเอ่ยขออนุญาตพี่สาวของตนเองเพื่อที่จะอุ้มเจ้าเสี่ยวไป๋ดูสักครั้ง“ว่าอย่างไรเล่าเสี่ยวไป๋ เจ้าจะให้เสี่ยวหยวนอุ้มดูสักครั้งหรือไม่?”เจียงหลินที่เห็นน่าตาออดอ้อนของน้องชายก็รู้สึกคันยุบยิบขึ้นมาภายในใจจนอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามเจ้าตัวเล็กในอ้อมกอดเพื่อเป็นการถามความเห็นของอีกฝ่ายช่วยน้องชายอีกแรงหนึ่ง“เฮ้อ… ก็ได้ ๆ แต่แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้นนะ”เสี่ยวไป๋ที่รู้สึกพ่ายแพ้ให้กับดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของเด็กสาวตรงหน้าที่กำลังจ้องมองมาด้วยสายตาคาดหวังอย่าเต็มเปี่ยม ทำให้เขาต้องถอนหายใจออกมาด้วยความจำยอม ก่อนที่เขาจะเอ่ยอนุญาตอีกฝ่ายออกไป“เสี่ยวหยวน เสี่ยวไป๋อนุญาตให้เจ้าอุ้มได้ แต่แค่ครั้งนี้เท่านั้นนะ”เจียงหลินร้องขึ้นด้วยความยินดี จากนั้นนางจึงได้หันหน้ากลับไปเอ่ยบอกกับน้องชายตัวน้อยของตนเองที่ยังคงนั่งทำหน้าตาออดอ้อนอยู่ไม่ห่าง“ขอบรับพี่ใหญ่ ข้าจะอุ้มเจ้าให้เบามือที่สุดนะเสี่ยวไป๋”เจียงหยวนเอ่ยขอบคุณพี่สาวของตนเองจบ มือน้อย ๆ ของเขาก็ยื่นออกไปตรงหน้าเพื่อเตรียมรอรับร่างเล็ก ๆ
ต้นยามเหม่าเจียงหลินก็ได้รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอีกครั้ง และพบว่าข้าง ๆ ตัวของนางในตอนนี้ได้มีเจ้าก้อนกลม ๆ กำลังนอนขดตัวหลับอยู่อย่างสบายใจ ริมฝีปากบางสวยจึงเผลอยกยิ้มด้วยความเอ็นดูในความน่ารักของมันไม่ได้เจียงหลินค่อย ๆ พาตัวเองลุกขึ้นอย่างเงียบ ๆ เพื่อไม่ให้รบกวนการนอนหลับของเจ้าตัวเล็ก จนสามารถพาตัวเองลุกขึ้นจากเตียงนอนได้สำเร็จเมื่อเจียงหลินลงมายืนบนพื้นได้อย่างมั่นคงดีแล้วนางก็ได้เดินออกไปจากห้องนอนเพื่อไปเตรียมอาหารเช้าให้กับทุกคนในทันทีโดยอาหารเช้าในวันนี้เจียงหลินเลือกทำเป็นโจ๊กหมูสับ เพื่อให้ง่ายต่อการย่อยของเด็ก ๆ ส่วนอาหารมื้อเช้าของเจ้า เสี่ยวไป๋ เป็นชื่อที่นางตั้งให้กับเจ้าตัวเล็กในห้องนอนนั่นเองเจียงหลินทำหมูย่างให้กับเจ้าเสี่ยวไป๋แทน เพราะนางเองก็ไม่คิดว่าลูกพยัคฆ์จะสามารถกินอาหารหมากับแมวได้แต่ขนาดตัวของก็พอ ๆ กับแมวขนาดโตเต็มวัยอยู่ แต่มันก็ยังดูตัวเล็กในความรู้สึกของเจียงหลินอยู่เช่นเดิมถ้ามองจากรูปร่างของเจ้าเสี่ยวไป๋ในตอนนี้มันก็คงอายุได้ประมาณ 3-4 เดือนแล้วอย่างแน่นอน ดังนั้นมันก็คงจะสามารถทานหมูย่างได้แล้วเมื่อคิดได้แบบนั้นเจียงหลินจึงได้เลือกทำหมูย่างให้มันน
หลังจากที่เจียงหลินพูดคุยกับน้องทั้งสองจนเข้าใจกันดีแล้วนั้น ไม่นานนางจางที่ขายหมูจนหมดแล้วก็ได้กลับมาหาเจียงหลินอีกครั้งในช่วงปลายยามเซินเพื่อนำเงินกลับมามอบให้กับเด็กสาวอีกครั้ง และในการขายเนื้อหมูป่าในครั้งนี้ทำเงินให้กับเจียงหลินถึงห้าร้อยอีแปะ ถือว่าเป็นจำนวนเงินที่มากสำหรับชาวบ้านยากจนเช่นพวกนางหลังจากที่นางจางมอบเงินให้กับเจียงหลินเสร็จเรียบร้อยนางก็ขอตัวกลับบ้านไปในทันที เพราะนางเองก็ยังมีงานบ้านรออยู่อีกมากไหนจะยังมีข้าวเย็นที่ยังไม่ได้ทำอีกเล่า เจียงหลินเองก็เข้าใจถึงเรื่องนี้ดี นางจึงคิดที่จะรบกวนหญิงวัยกลางคนไปมากกว่านี้ต้นยามโหย่วก็ถึงเวลาที่เจียงหลินจะต้องลงมือทำอาหารเย็นแล้ว และนี้ก็ยังเป็นครั้งแรกที่เจียงหลินต้องมาทำอาหารที่โลกแห่งนี้ แทนที่จะเป็นบ้านของตนเองในอีกที่แทนเพียงแต่ในตอนนี้ห้องครัวของนางยังคงขาดแคลนเครื่องมืออยู่มาก เพื่อเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปก่อน เจียงหลินจึงได้เลือกหยิบบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปรสหมูสับห่อใหญ่ออกมาห้าซองและนำไข่ไก่ออกมาอีกหนึ่งแผง ถ้วยอีกห้าใบ และสิ่งสุดท้ายที่สามารถนำออกมาได้ก็คือหม้อต้มเมื่อได้ของครบตามต้องการแล้วเจียงหลินจึงได้เริ่
เจียงหลินใช้เวลาเก็บกวาดและล้างทำความสะอาดทั่วทั้งห้องครัวอยู่เกือบหนึ่งชั่วยามจึงแล้วเสร็จในตอนนี้ภาพห้องครัวเก่า ๆ โทรม ๆ เมื่อหนึ่งชั่วยามก่อนหน้านั้น ในตอนนี้กลายเป็นห้องครัวที่ดูสะอาดขึ้นมาในทันทีแต่ภายในห้องนอกจากเตาดินเผาภายในห้องก็ไม่มีข้าวของเครื่องใช้อย่างอื่นเลย พวกหม้อ กระทะ ถ้วนชาม ช้อน เครื่องปรุงต่าง ๆ ล้วนแล้วแต่ยังไม่มีทั้งสิ้นแต่เจียงหลินก็ไม่ได้กังวลมากนัก เพราะนางมีข้าวของทุกอย่างครบอยู่ภายในมิติอยู่แล้ว จะติดก็เพียงแค่นางจะนำออกมาอย่างไรไม่ให้น้อง ๆ และท่านป้าจางสงสัยต่างหากเพราะเหตุนั้นเองนางจึงจำเป็นจะต้องหาตำลึงเงินมาไว้ในมือเพื่อใช้เป็นข้ออ้างในการนำข้าวของต่าง ๆ ออกมาได้อย่างไม่ต้องถูกสงสัยหลังจากที่ทำความสะอาดห้องครัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว อีกทั้งในตอนนี้เจ้าสองแฝดเองก็ยังไม่ตื่นขึ้นมา เจียงหลินจึงได้เดินกลับเข้าไปภายในห้องนอนใหญ่ที่ตกเป็นของตนเองแทนในตอนแรกนางตั้งใจจะให้น้องทั้งสองนั้นนอนที่ห้องนอนใหญ่ ส่วนตัวเองจะไปนอนห้องนอนที่เล็กลงกว่านี้แต่น้องทั้งสองของนางกลับไม่ยอมและยังบังคับให้นางนอนห้องนี้ไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ห้องนอนใหญ่ที่ถึงจะบอกว่ามันใหญ่
เจียงหลินเดินลัดเลาะไปตามเส้นทางที่ชาวบ้านพากันใช้เดินทางจนในที่สุดก็ไปโผล่ที่ลำธารสายหลักของหมู่บ้านหนานเจียงแห่งนี้ได้ในที่สุดและตลอดทางที่นางเดินผ่านไปนั้นทั้งสองข้างทางก็เต็มไปด้วยต้นหญ้ารกบ้าง เตี้ยบ้าง บ้างก็มีผักป่าที่คนภายในหมู่บ้านไม่รู้จักและไม่กล้าเก็บมันกลับไปทำอาหารแต่สำหรับเจียงหลินที่รู้จักผักพวกนั้นแล้ว นางก็ไม่รอช้ารีบเก็บผักป่าพวกนั้นลงไปในตะกร้าเก่า ๆ ที่สะพายอยู่บนบ่าติดตัวมาด้วยอย่างขยันขันแข็งจนในที่สุดเจียงหลินก็เดินมาถึงลำธารที่เป็นเป้าหมายหลักในครั้งนี้ เมื่อมาถึงจุดหมายเป็นที่เรียบร้อย นางก็เริ่มมองสำรวจลำธารตรงหน้าในทันทีเพื่อหาดูว่ามีสิ่งใดที่น่าสนใจเหมาะสำหรับนำกลับไปทำเป็นอาหารเย็นของวันนี้ด้วยบ้าง และสายตาของเจียงหลินก็พบเข้ากับผักบุ้งน้ำที่เกิดขึ้นอยู่ตามริมฝั่งของลำธารสายนี้ที่มีจำนวนมากมายเป็นอย่างมาก แต่เมื่อนางมองเลยไปอีกเล็กน้อยที่มีต้นผักตบชวาขึ้นอยู่ไม่ไกล จู่ ๆ สายตาของนางก็สบเข้ากับเจ้าก้อนกลม ๆ สีขาวที่คล้ายกับลูกแมวตัวเล็กกำลังติดอยู่บนกอผักตบชวาเหล่านั้นด้วยความสงสารและนางเป็นคนที่รักสัตว์อยู่แล้วเจียงหลินจึงได้เร่งฝีเท้าเดินตรงไปยังริ
“ข้านะหรือเนรคุณ?”เจียงหลินเอ่ยสวนกลับนางเจียงด้วยน้ำเสียงไม่พอใจขึ้นมาถึงกับกล่าวหาที่ดูจะไม่สมเหตุสมผลของอีกฝ่ายแม้แต่น้อย“ใช่! เจ้ามันเนรคุณ แทนที่ได้อาหารดี ๆ จะนำไปแบ่งให้กับท่านลุงของเจ้าที่อุตส่าห์เลี้ยงดูเจ้ากับน้อง ๆ มาตั้งหลายปี”“แต่นี่เจ้ากลับบอกให้พวกข้านำข้าวสารมาแลกเพื่อจะได้เนื้อหมูนี้ไปมันใช้ได้ที่ไหนกัน”นางเจียงที่ไม่ต้องการเสียข้าวสารแม้แต่เม็ดเดียวให้กับเจียงหลินจึงได้เอ่ยต่อว่าอีกฝ่ายโดยอ้างบุญคุณของสามีขึ้นมาเพื่อทำให้เด็กสาวตรงหน้ายอมมอบเนื้อหมูให้กับตนเองเปล่า ๆ เพื่อแทนคำขอโทษ“ท่านป้าสะใภ้นี่ช่างทำให้ข้าเปิดหูเปิดตายิ่งนัก ในเมื่อท่านกล้ายกเรื่องบุญคุณขึ้นมาเช่นนี้ ข้าเองก็ขอยกบุญคุณที่ท่านพ่อท่านแม่เคยช่วยเหลือพวกท่านขึ้นมาพูดบ้างดีหรือไม่เจ้าคะ”“เงินสามตำลึงที่พวกท่านหยิบยืมจากท่านแม่ของข้า พวกท่านจะชดใช้ให้กับข้าเมื่อไหร่หรือเจ้าคะ?”“!!!”จบคำพูดของเจียงหลินใบหน้าของนางเจียงก็ตื่นตระหนกขึ้นมาในทันที เพราะนางไม่คาดคิดว่าเด็กสาวน่าตายตรงหน้าจะกล้าเอ่ยทวงหนี้ตนเองต่อหน้าสองสามีภรรยาบ้านจางอย่างไม่ไว้หน้าตนเองเช่นนี้“ตำลึงอะไร?ข้าเคยหยิบยืมมารดาของเจ้ามา