โอ้โหแม่เจ้า! ใครจะไปคิดว่าแค่ไปดูดวงกับคุณยายเพราะสงสารกลัวว่าท่านจะไม่มีเงินกินข้าว กลับได้ของตอบแทนมาจนทำให้นางตายแถมต้องทะลุมิติไปอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ตั้งสองพันปีก่อนแบบนี้!
View More"คุณยายคะช่วยดูดวงให้กับหนูหน่อยได้ไหมคะ แล้วราคาในการเปิดไพ่อยู่ที่เท่าไหร่คะ"
นับดาว ครูสาวที่เพิ่งจะสอบบรรจุติดครูได้ในตอนที่อายุ 23 ปี ที่เพิ่งจะประการผลการสอบเมื่อหนึ่งอาทิตย์ก่อน
ในวันนี้เธอได้เดินทางเข้าตัวเมืองมาหาซื้อข้าวของเพื่อเตรียมตัวสำหรับไปประจำการสอนที่อีกจังหวัด แต่ในระหว่างทางที่เดินอยู่ริมถนนอยู่นั้นก็เหลือบไปเห็นแผงดูดวงไพ่ยิปซีของคุณยายท่านหนึ่ง
เป็นหญิงชราที่ผมเปลี่ยนเป็นสีขาวโพลนทั่วทั้งศีรษะ และมวยผมเก็บขึ้นไปรวบไว้กลางหัวอย่างที่คนแก่ชอบทำกัน สวมใส่เสื้อผ้าเก่า ๆ ซีด ๆ สีขาวที่ออกไปทางสีเทาเสียมากกว่ากำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้และมีโต๊ะหนึ่งที่สำหรับวางไพ่อยู่
และไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้นับดาวนั้นเดินตรงเข้าไปถามราคาในการเปิดไพ่กับหญิงชรา คงจะเป็นเพราะเธอรู้สึกสงสารและอยากจะช่วยให้หญิงชรามีเงินเอาไว้ใช้สำหรับกินข้าวในวันนี้ก็เป็นได้
เมื่อเดินตรงไปนั่งลงบนเก้าอี้ตัวที่ว่างฝั่งตรงข้าวกับหญิงชราแล้วนับดาวจึงได้เอ่ยถามอีกฝ่ายขึ้น พอจบประโยคคำถามของนับดาวหญิงชราที่ในตอนแรกกำลังนั่งหลับตาในท่าสมาธิอยู่ก็ได้ลืมตาขึ้นมา พร้อมกับจ้องมองมาที่ใบหน้าของหญิงสาวตรงหน้า
ก่อนที่หญิงชราจะเอ่ยคำพูดที่ฟังดูแปลก ๆ ให้กับนับดาวได้ฟัง ถึงจะให้เธอเริ่มหยิบไพ่ออกมาสามใบสำหรับการทำนายดวงชะตาในครั้งนี้
"เมื่อสวรรค์ลิขิตมาแล้วว่าเป็นเจ้า เช่นนั้นยายจะดูให้เจ้า เจ้าจงเลือกหยิบไพ่ตรงหน้าออกมาสามใบเถิด"
"คะ? อ้อค่ะคุณยาย"
นับดาวที่รู้สึกงุนงงกับคำพูดของหญิงชราตรงหน้าในตอนแรกยังไม่ค่อยเข้าใจว่าอีกฝ่ายพูดมาหมายความว่าอะไร
แต่เมื่อจับใจความได้ว่าอีกฝ่ายให้นางเลือกหยิบไพ่ออกมาสามใบจึงได้เอ่ยตอบรับคำของอีกฝ่าย
พร้อม ๆ กับยื่นมือบางออกไปเลือกหยิบไพ่ตรงหน้าของตัวเองออกมาตามจำนวนที่คุณยายเอ่ยบอกเมื่อครู่นี้ในทันที
หลังจากที่นับดาวเลือกไพ่ครบทั้งสามใบเสร็จเรียบร้อยเธอก็ได้ส่งไปตรงหน้าของหญิงชราเพื่อให้อีกฝ่ายเริ่มทำนายดวงให้
ไพ่ทั้งสามใบถูกเปิดออกมาด้วยฝีมือของหญิงชราที่ทำหน้าที่เป็นคนเปิดไพ่ เพียงแค่ไพ่ทั้งสามใบหงายหน้าขึ้นมา ใบหน้าของหญิงชราตรงหน้าก็เผยรอยยิ้มออกมาบางเบา
พร้อมกับถอนหายใจออกมาหนึ่งครั้งแล้วเริ่มเงยหน้าขึ้นมามองใบหน้าของนับดาวอีกครั้ง ก่อนจะเริ่มเอ่ยถึงสิ่งที่ไพ่บอกออกมา
“เอาละ ไพ่ใบแรกเป็นอดีตที่ผ่านมาของเจ้านะ นังหนูการที่เจ้ามีชีวิตในวัยเด็กที่น่าสงสารเช่นนั้นก็เป็นเพราะกรรมเก่าที่เจ้าเคยกระทำมาก่อน”
“จึงทำให้เจ้าต้องพบเจอแต่เรื่องราวที่ต้องสูญเสียมาโดยตลอด ส่วนไพ่ใบที่สองคือปัจจุบันนี้ เจ้ากำลังจะได้ไปยังสถานที่แห่งหนึ่งที่เจ้าจะต้องแบกรับชีวิตของใครอีกหลายคน”
“ที่เจ้าไม่อาจจะปฏิเสธพวกเขาได้ และเจ้าก็มีหน้าที่ต้องสั่งสอนและดูและพวกเขาให้เติบโตมาอย่างดีและเป็นคนที่มีคุณภาพตามที่เจ้าตั้งใจในการเลือกสายงานนี้ของเจ้า”
“ส่วนไพ่ใบที่สามนั้นคืออนาคตข้างหน้า เจ้าจะต้องช่วยเหลือใครบางคนที่มีความสำคัญกับเจ้าเป็นอย่างมากจนแม้แต่ชีวิตนี้ของเจ้าก็สามารถมอบให้กับคนผู้นั้นได้ เพียงแต่หนทางที่เดินไปในภายภาคหน้าของเจ้านั้นย่อมไม่ได้สวยงาม”
“ยายจึงขอให้เจ้าจงใช้สติไตร่ตรองทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ดีก่อนที่จะตัดสินใจทำสิ่งใดลงไป”
หญิงชราเอ่ยจบลงเพียงเท่านั้นก็เงียบเสียงลงไปเพื่อรอฟังคำถามที่หญิงสาวตรงหน้ากำลังจะเอ่ยออกมาราวกับล่วงรู้ว่านับดาวจะถามคำถามอยู่ก่อนแล้ว
“เอ่อคุณยายคะ หนูขอถามได้ไหมคะว่าใครกันคือคนที่หนูจะต้องช่วยเหลือเขากัน”
นับดาวที่ในตอนแรกตั้งใจฟังคำพูดของหญิงชราตรงหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง เพราะว่าเพียงแค่คำพูดแรกก็ทำให้เธอรู้สึกขนกายลุกชันขึ้นมา
เพราะมันตรงกับสิ่งที่เธอได้รับมาตั้งแต่เด็กจนโต จนในตอนนี้เธอก็เหลือเพียงตัวคนเดียวแล้ว
เพราะครอบครัวของเธอนั้นได้จากเธอไปทีละคน ๆ จนหมดตั้งแต่ที่เธออายุได้เพียง 15 ปีแล้วนั่นเอง
ส่วนคำทำนายไพ่ใบที่สองเธอก็ยิ่งรู้สึกตกใจว่าคุณยายช่างพูดได้ราวกับว่ารู้ว่าเธอกำลังจะไปสอนเด็ก ๆ ที่โรงเรียนแห่งหนึ่งอยู่จึงได้ยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกเชื่อในคำพูดของคุณยายมากขึ้น
จนมาถึงไพ่ใบสุดท้ายที่บอกว่าเธอจะสามารถมอบชีวิตของตัวเองเพื่อช่วยเหลือใครบางคน แต่เธอนั้นไม่คิดว่าตัวเองจะสามารถทำแบบนั้นได้เพราะเธอยังไม่มีแฟนและไม่คิดที่จะมีด้วย
เพราะการสูญเสียที่ผ่านมานั้นทำให้เธอไม่กล้าที่จะมีคนสำคัญในชีวิตของตัวเองอีกเพื่อหลีกหนีการสูญเสียในภายภาคหน้า แต่นับดาวก็ยังคงเอ่ยถามถึงบุคคลที่จะทำให้เธอนั้น
สามารถยอมช่วยเหลือเขาได้แม้ว่าจะต้องเสี่ยงชีวิตของตัวเองก็ตามขึ้นมาอย่างอยากรู้ เพราะเธอในชีวิตนี้ไม่มีคนสำคัญหลงเหลืออยู่บนโลกใบนี้แล้ว
"เมื่อพานพบเจ้าก็จะรับรู้ได้ด้วยตัวเองนั่นแหละหนา รับนี่ไปถือเป็นของขวัญจากยายแก่เช่นข้านะนังหนู"
หญิงชราเอ่ยบอกกับนับดาวด้วยใบหน้าแย้มยิ้มอย่างอบอุ่น ก่อนที่มือเหี่ยวย่นของนางจะยื่นของบางสิ่งมาตรงหน้าของนับดาว
สิ่งที่หญิงชรายื่นมาให้กับนับดาวก็คือกำไลข้อมือที่ดูเก่าและสีซีดมากจนไม่สามารถมองออกได้เลยว่าก่อนหน้านี้มันเคยมีสีอะไรมาก่อนกันแน่
ในตอนแรกนับดาวตั้งใจที่จะเอ่ยปฏิเสธหญิงชราไปด้วยความเกรงใจ แต่เมื่อเธอเห็นใบหน้าที่ดูใจดีของอีกฝ่ายแล้วก็ไม่สามารถทำใจทำลายน้ำใจที่คุณยายมอบให้กับตัวเองได้
ดังนั้นนับดาวจึงได้ยื่นมือบางออกไปรับกำไลหยกเก่า ๆ วงนั้นมากำไว้ที่มืออย่างเสียไม่ได้ ก่อนที่เธอจะเอ่ยขอบคุณหญิงชราตรงหน้าอย่างจริงใจ
"ขอบคุณนะคะคุณยาย หนูจะเก็บรักษาเอาไว้เป็นอย่างดีเลยค่ะ แต่ตอนนี้หนูคงต้องไปแล้ว ค่าดูดวงในครั้งนี้เท่าไหร่หรือคะ?"
หลังจากที่รับกำไลมาเก็บไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้วนับดาวก็ได้เอ่ยขึ้นมาอีกครั้งเพื่อบอกให้หญิงชรารับรู้ว่าเธอจะต้องไปแล้ว และต้องการที่จะจ่ายค่าดูดวงในครั้งนี้ตามราคาที่หญิงชราเรียกมา
"ค่าดูในวันนี้ 9 บาทจ๊ะ"
หญิงชราเอ่ยตอบกลับด้วยน้ำเสียงอบอุ่นเหมือนอย่างเคย เพียงแต่ราคาที่หญิงชรา บอกมานั้นทำให้นับดาวรู้สึกตกใจอยู่ไม่น้อย เพราะมันถูกจากราคาที่เธอเคยไปดูมาหลายต่อหลายครั้งเป็นอย่างมาก
แต่นับดาวก็ไม่ได้คิดจะพูดขัดความตั้งใจของคุณยายตรงหน้าเธอจึงได้ล้วงมือเข้าไปหยิบเอาเหรียญจำนวน 9 บาทตามที่คุณยายตรงหน้าเรียกอย่างครบไม่ขาดไม่เกิน
ก่อนที่มือบางจะยื่นเงินไปวางตรงหน้าของคุณยายตรงหน้าแล้วลุกขึ้นยืนเพื่อเตรียมตัวเดินจากไปในทันที
เพียงแต่ในขณะที่นับดาวกำลังจะก้าวเท้าออกเดินอยู่นั้น จู่ ๆ เสียงแหบแห้งแต่ดูอบอุ่นของหญิงชราก็ดังขึ้นมาตามหลัง
พร้อม ๆ กับเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นกับเธออย่างรวดเร็วจนนับดาวเองก็ไม่รู้ว่าจะต้องสิ่งใดต่อไป
"เส้นทางในวันข้างหน้าล้วนเป็นลิขิตสวรรค์ เพียงแต่มานะตนเองนั้นก็ย่อมเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของตนเองได้เช่นกันนะนังหนู ยายขอให้เจ้าโชคดี"
ปี๊บ! ปี๊บ! ปี๊บ! ปัง!
เสียงบีบแตรรถที่ดังสนั่นไปทั่วทั้งถนนที่มาพร้อมกับแรกกระแทกอย่างรุนแรงเข้าที่ร่างของนับดาว จนร่างของเธอกระเด็นลอยไปตกลงที่ข้าง ๆ ถนนห่างออกไปจากจุดที่ชนพอสมควร
พร้อมกับที่สติที่ดับวูบไปตลอดกาลของนับดาว โดยที่ในมือบางของเธอนั้นยังคงกำกำไลหยกที่อาบไปด้วยเลือดสีแดงสดของเธอเอาไว้อย่างแน่นหนา
และในจังหวะที่นับดาวหมดลมหายใจลงกำไลหยกวงนั้นก็เกิดประกายแสงบางอย่างออกมาจาง ๆ ก่อนที่มันจะจางหายไปพร้อมกับกำไลหยกที่หายวับไปจากมือของหญิงสาวด้วยเช่นเดียวกัน
ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทุกอย่างล้วนอยู่ในสายตาของหญิงชราคนที่นับดาวดูดวงด้วยเมื่อสักครู่นี้ ก่อนที่ร่างของหญิงชรานั้นจะค่อย ๆ เลือนหายไปในความว่างเปล่าเช่นเดียวกัน
*******************************
เปิดมาตอนแรกก็ตายเลย โถ่วยัยน้องลูกช่างน่าสงสารจริง ๆ
“เอาละ ๆ ในเมื่อไม่มีใครเอ่ยคัดค้านเรื่องนี้แล้วถ้าเช่นนั้นทุกคนก็แยกย้ายกันกลับไปยังบ้านของตนเองได้แล้ว”หลังจากที่คังหนานเอ่ยจบเหล่าชาวบ้านหนานเจียง ต่างก็พากันแยกย้ายกลับบ้านของตนเองอย่างรวดเร็วดังนั้นในตอนนี้จึงเหลือเพียงครอบครัวบ้านเจียง หัวหน้าหมู่บ้านและสองสามีบ้านจางเพียงเท่านั้นที่ยังคงยืนพูดคุยกันต่ออีกเล็กน้อยเมื่อได้ข้อสรุปที่ลงตัวเสร็จเรียบร้อยเจียงไห่จึงได้เดินเข้าไปภายในบ้านเพื่อหยิบโฉนดที่ดินที่เป็นชื่อของน้องสาวเพียงคนเดียวออกมามอบให้กับเจียงหลินผู้เป็นบุตรสาวคนโตต่อหน้าของหัวหน้าหมู่บ้านกับสองสามีภรรยาบ้านจางเพื่อให้ทั้งสามร่วมกันเป็นพยานในครั้งนี้“นี่คือโฉนดที่ดินที่เป็นชื่อของเจียงหลันมารดาของเจ้าที่ทิ้งเอาไว้พวกเจ้าสามคนพี่น้อง”เจียงไห่เอ่ยบอกกับหลานสาวคนโตพร้อมกับยื่นห่อม้วนกระดาษหนึ่งม้วนส่งไปให้กับเจียงหลินด้วยใบหน้าอบอุ่นเป็นครั้งแรก“ขอบคุณท่านลุงไห่มากเจ้าค่ะ ท่านลุงทำหน้าที่ของตนเองได้ดีมากแล้วเจ้าค่ะ”เจียงหลินที่หลังจากรับม้วนกระดาษออกจากมือผู้เป็นลุงมาถือเอาไว้แล้ว จึงได้เอ่ยบอกกับชายวัยกลางคนตรงหน้าด้วยความจริงใจเป็นครั้งแรกเช่นเดียวกัน“ในเมื่อเรื
เมื่อนางเจียงได้ยินสิ่งที่ผู้เป็นสามีเอ่ยขึ้นมา ก็ทำให้เลือดในกายของนางพลุกพล่านขึ้นมาเป็นอย่างมากจนนางเจียงนั้นแทบอยากจะพุ่งเข้าไปข่วนใบหน้าของสามีตนเองด้วยความไม่พอใจอย่างถึงที่สุด“เอาละ ๆ พวกเจ้าก็พอกันทั้งคู่นั่นแหละ ข้าจะเป็นคนตัดสินให้เองว่าเรื่องราวในวันนี้จะจบลงเช่นไร”คังหนานเอ่ยขึ้นห้ามทัพระหว่างสามีภรรยาตรงหน้า ก่อนที่เขาจะหันไปมองใบหน้าเรียวเล็กรูปไข่ของเจียงหลินอย่างใช้ความคิดเพราะเรื่องในครั้งนี้มีความสำคัญต่อชาวบ้านภายในหมู่บ้านไม่น้อย อาจจะด้วย แคว้นจ้าว เมือง หนานหยาง แห่งนี้เป็นเมืองที่ล้อมรอบไปด้วยภูเขาเป็นส่วนใหญ่อาชีพของชาวเมืองเองก็มีเพียงอาชีพเกษตรกรและเลี้ยงสัตว์ บ้างก็เข้าไปขายแรงงานภายในเมืองบ้าง จึงทำให้พวกชาวบ้านนั้นมีความเป็นอยู่ที่ค่อนข้างจะยากจนอยู่ไม่น้อยเนื่องจากว่าบางปีก็ได้ผลผลิตที่น้อย บางปีก็ประสบปัญหาภัยแล้ง จนทำให้การเก็บเกี่ยวของชาวเมืองนั้นมีจำนวนที่น้อยกว่าความต้องการของชาวเมืองทั่วทั้งแคว้นอย่างปีนี้เองก็ถึงช่วงที่จะต้องทำการเพาะปลูกกันในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้แล้ว เพื่อสร้างความสามัคคีให้กับพวกชาวบ้านเขาที่เป็นหัวหน้าหมู่บ้านจะต้องจัดก
หลังจากที่คำพูดของร่างที่ทุกคนคิดว่านอนหมดสติอยู่ดังขึ้น พร้อมกับเจียงหลินที่ค่อย ๆ ยันกายลุกขึ้นมานั่งตัวตรง ก่อนที่นางจะจ้องมองไปยังสองสามีภรรยาด้วยสายตาว่างเปล่า“เสี่ยวหลิน! เจ้าเป็นเช่นใดบ้าง ให้ลุงพาเจ้าไปหาหมอดีหรือไม่”ทางด้านจางไห่ที่เห็นว่าหลานสาวคนโตของตนเองรู้สึกตัวขึ้นมาอย่างเป็นปกติก็ดีใจเป็นอย่างมาก ก่อนที่เขาจะรีบปรี่เข้าไปหาร่างของหลานสาวที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลมากนักด้วยความดีใจ“ข้าไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะท่านลุง เพียงแค่ข้าต้องการที่จะพาน้องทั้งสองของข้ากลับไปอยู่กันที่บ้านเดิมของพวกข้าเจ้าค่ะ หวังว่าท่านลุงจะสนับสนุนข้านะเจ้าคะ”เจียงหลินที่เมินเฉยต่อท่าทางเป็นห่วงของชายวัยกลางคนที่ได้ชื่อว่าเป็นลุงแท้ ๆ ของนางกับน้องอีกสองคนที่ในตอนนี้ยังไม่กลับมาจากบนเขาเพราะนางเจียงสั่งให้พวกเขาทั้งสองขึ้นไปเก็บฟืนตั้งแต่ช่วงสายพร้อมกับเอ่ยบอกความต้องการของตนเองให้กับบุรุษตรงหน้าได้รับรู้และยังส่งสายตากดดันส่งไปให้ตบท้ายเจียงไห่ที่เมื่อได้เห็นสายตาของหลานสาวคนโตที่ดูว่างเปล่า และเปลี่ยนไปก็รู้สึกใจหายอยู่ไม่น้อยแต่เขาก็พอจะเข้าใจในความรู้สึกของอีกฝ่ายว่านางเองก็คงจะหมดความอดทนที่ต้อ
ท่ามกลางความมืดมิดที่แสนจะยาวนานในความรู้สึกของนับดาว หลังจากที่ทุกอย่างดับมืดลงไปแล้วนั้นนับดาวก็รู้สึกเหมือนกับว่าร่างกายของตนเองกำลังล่องลอยไปที่ไหนสักแห่งที่คล้ายกับว่ามันกำลังล่องลอยอยู่ในความว่างเปล่าเป็นเวลาเนิ่นนานแต่ในความเป็นจริงแล้วนั้นวิญญาณของเธอเพิ่งจะล่องลอยก้าวผ่านกาลเวลาจากอีกที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งเพียงเท่านั้นจนในที่สุดเธอก็ต้องลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งเพราะเสียงเรียกชื่อของเธอที่ดังขึ้นข้าง ๆ หูของเธอ และเป็นน้ำเสียงที่คุ้นเคยเป็นอย่างมาก“ตื่นเถิดนังหนู ใกล้จะได้เวลาที่เจ้าจะต้องไปแล้ว แต่ข้ายังมีเรื่องบางอย่างที่ต้องบอกกับเจ้าก่อนข้าจึงได้ปลุกเจ้าขึ้นมา”สิ้นเสียงเรียกจากใครบางคนเปลือกตาที่แสนจะหนักอึ้งในความรู้สึกของนับดาวก็สามารถเปิดขึ้นได้อย่างง่ายดายก่อนที่ดวงตาคู่งานจะลืมตาตื่นขึ้นมาพบกับแสงสว่างจ้าจนเธอต้องหลับตาลงอีกครั้งแล้วกะพริบตาเพื่อปรับภาพอีกสองสามครั้งจนสามารถมองเห็นภาพตรงหน้าได้อย่างชัดเจน ภาพแรกที่นับดาวมองเห็นอยู่ในตอนนี้คือห้องสี่เหลี่ยมแคบ ๆ ห้องหนึ่ง ภายในห้องนั้นเป็นห้องโล่งไม่มีสิ่งใดอยู่เลยแม้แต่น้อยมีเพียงตัวของเธอคนเดียวเท่านั้นที่ยื
"คุณยายคะช่วยดูดวงให้กับหนูหน่อยได้ไหมคะ แล้วราคาในการเปิดไพ่อยู่ที่เท่าไหร่คะ"นับดาว ครูสาวที่เพิ่งจะสอบบรรจุติดครูได้ในตอนที่อายุ 23 ปี ที่เพิ่งจะประการผลการสอบเมื่อหนึ่งอาทิตย์ก่อนในวันนี้เธอได้เดินทางเข้าตัวเมืองมาหาซื้อข้าวของเพื่อเตรียมตัวสำหรับไปประจำการสอนที่อีกจังหวัด แต่ในระหว่างทางที่เดินอยู่ริมถนนอยู่นั้นก็เหลือบไปเห็นแผงดูดวงไพ่ยิปซีของคุณยายท่านหนึ่งเป็นหญิงชราที่ผมเปลี่ยนเป็นสีขาวโพลนทั่วทั้งศีรษะ และมวยผมเก็บขึ้นไปรวบไว้กลางหัวอย่างที่คนแก่ชอบทำกัน สวมใส่เสื้อผ้าเก่า ๆ ซีด ๆ สีขาวที่ออกไปทางสีเทาเสียมากกว่ากำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้และมีโต๊ะหนึ่งที่สำหรับวางไพ่อยู่และไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้นับดาวนั้นเดินตรงเข้าไปถามราคาในการเปิดไพ่กับหญิงชรา คงจะเป็นเพราะเธอรู้สึกสงสารและอยากจะช่วยให้หญิงชรามีเงินเอาไว้ใช้สำหรับกินข้าวในวันนี้ก็เป็นได้เมื่อเดินตรงไปนั่งลงบนเก้าอี้ตัวที่ว่างฝั่งตรงข้าวกับหญิงชราแล้วนับดาวจึงได้เอ่ยถามอีกฝ่ายขึ้น พอจบประโยคคำถามของนับดาวหญิงชราที่ในตอนแรกกำลังนั่งหลับตาในท่าสมาธิอยู่ก็ได้ลืมตาขึ้นมา พร้อมกับจ้องมองมาที่ใบหน้าของหญิงสาวตรงหน้าก่อนที่หญิงชร
Comments