“เอาละ ๆ ในเมื่อไม่มีใครเอ่ยคัดค้านเรื่องนี้แล้วถ้าเช่นนั้นทุกคนก็แยกย้ายกันกลับไปยังบ้านของตนเองได้แล้ว”
หลังจากที่คังหนานเอ่ยจบเหล่าชาวบ้านหนานเจียง ต่างก็พากันแยกย้ายกลับบ้านของตนเองอย่างรวดเร็ว
ดังนั้นในตอนนี้จึงเหลือเพียงครอบครัวบ้านเจียง หัวหน้าหมู่บ้านและสองสามีบ้านจางเพียงเท่านั้นที่ยังคงยืนพูดคุยกันต่ออีกเล็กน้อย
เมื่อได้ข้อสรุปที่ลงตัวเสร็จเรียบร้อยเจียงไห่จึงได้เดินเข้าไปภายในบ้านเพื่อหยิบโฉนดที่ดินที่เป็นชื่อของน้องสาวเพียงคนเดียวออกมามอบให้กับเจียงหลินผู้เป็นบุตรสาวคนโต
ต่อหน้าของหัวหน้าหมู่บ้านกับสองสามีภรรยาบ้านจางเพื่อให้ทั้งสามร่วมกันเป็นพยานในครั้งนี้
“นี่คือโฉนดที่ดินที่เป็นชื่อของเจียงหลันมารดาของเจ้าที่ทิ้งเอาไว้พวกเจ้าสามคนพี่น้อง”
เจียงไห่เอ่ยบอกกับหลานสาวคนโตพร้อมกับยื่นห่อม้วนกระดาษหนึ่งม้วนส่งไปให้กับเจียงหลินด้วยใบหน้าอบอุ่นเป็นครั้งแรก
“ขอบคุณท่านลุงไห่มากเจ้าค่ะ ท่านลุงทำหน้าที่ของตนเองได้ดีมากแล้วเจ้าค่ะ”
เจียงหลินที่หลังจากรับม้วนกระดาษออกจากมือผู้เป็นลุงมาถือเอาไว้แล้ว จึงได้เอ่ยบอกกับชายวัยกลางคนตรงหน้าด้วยความจริงใจเป็นครั้งแรกเช่นเดียวกัน
“ในเมื่อเรื่องราวจบลงแล้ว เช่นนั้นพวกเจ้าสามพี่น้องก็ย้ายออกไปตั้งแต่ตอนนี้เลยก็แล้วกันนะ บ้านข้าเองก็เหลือข้าวที่จะกรอกหม้อไม่พอสำหรับคนนอกแล้วเช่นกัน”
คำพูดของนางเจียงที่ออกปากไล่สามพี่น้องบ้านเจียงก็ดังขึ้นไล่หลังจากที่เจียงหลินยื่นมือออกมารับม้วนกระดาษจากมือของเจียงไห่เพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น
ราวกับว่านางต้องการเร่งให้สามพี่น้องออกไปให้พ้นจากบ้านของตนเองให้เร็วที่สุดอย่างไรอย่างนั้น
“ได้เจ้าค่ะ เสี่ยวหยวน เสี่ยวหลาน พวกเจ้ารีบเข้าไปเก็บของ ของตนเองให้หมดนะพี่จะพากลับไปทำความสะอาดบ้านของเรากัน”
เจียงหลินเมื่อได้ยินคำพูดของนางเจียงก็ได้เอ่ยตอบรับคำของอีกฝ่าย จากนั้นนางจึงได้ก้มหน้าลงไปพูดกับน้องทั้งสองของตนเองด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
เพื่อให้เด็กน้อยทั้งสองเลิกหวาดกลัวแล้วยอมผละจากร่างของตนเองไปเก็บข้าวของที่นางจำได้ผ่านความทรงจำของเจ้าของร่างว่ามีไม่กี่ชิ้นเพียงเท่านั้น
“ขอรับ / เจ้าค่ะ”
ทางด้านเจ้าสองแฝดเองก็รีบเอ่ยตอบรับคำของพี่สาวแล้วกำลังจะผละตัวออกไปเก็บของตามที่เจียงหลินเอ่ยบอก
แต่แล้วร่างของเด็กน้อยทั้งสองก็ต้องหยุดชะงักลงเพราะน้ำเสียงและคำพูดของนางเจียงผู้เป็นป้าสะใภ้ที่เด็กน้อยทั้งสองหวาดกลัวมากที่สุดในชีวิตดังขึ้น
“ไม่ได้! ในเมื่อตอนพวกเจ้ามาก็มาเพียงแค่ตัวเปล่า ๆ ตอนจากไปพวกเจ้าก็ต้องไปแต่ตัวเช่นเดียวกัน ข้าจะไม่มีทางยอมให้ข้าวของภายในบ้านต้องหายออกไปจากบ้านของข้าแม้แต่ชิ้นเดียว”
“เจียงหลี่เจ้าจะทำเกินไปหรือไม่ นั่นก็หลาน ๆ ของข้านะ เจ้าจะใจร้ายกับพวกเขาถึงขนาดนั้นได้อย่างไรกัน”
เจียงไห่รีบเอ่ยขึ้นกับภรรยาของตนเองอย่างไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่อีกฝ่ายเอ่ยออกมา ก่อนที่เขาจะเอ่ยขอร้องผู้เป็นภรรยาให้เปลี่ยนใจ
“ข้าพูดไปหมดแล้ว ถ้าใครยังกล้าขัดคำพูดของข้า เช่นนั้นก็อย่าหาว่าข้าใจร้ายก็แล้วกัน”
นางเจียงเอ่ยขึ้นอีกครั้งด้วยน้ำเสียงเด็ดขาดจนเจียงไห่เองก็ไม่กล้าจะงัดข้อกับภรรยาของตนอีกแล้ว ทางด้านเจียงหลินเองก็เข้าใจถึงความลำบากของลุงของนางดี
เพื่อไม่ให้ท่านลุงของตนเองต้องมีปัญหากับภรรยาไปมากกว่านี้นางจึงได้เอ่ยขึ้นอีกครั้งเพื่อเป็นการจบปัญหาทุกอย่างลงโดยเร็วที่สุด เพื่อที่นางจะได้พาน้อง ๆ ทั้งสองกลับไปดูบ้านที่ถูกทิ้งร้างเอาไว้มาตั้งสองปีเสียที
“ในเมื่อท่านป้าเจียงเอ่ยขึ้นมาถึงขนาดนี้ เช่นนั้นข้ากับน้อง ๆ คงไม่ขอรับอะไรจากบ้านของท่านลุงอีกต่อไป จากนี้ไปพวกเราสองครอบครัวก็ถือเสียว่าไม่มีความเกี่ยวข้องใด ๆ กันอีกนะเจ้าคะ”
“และข้าหวังว่าท่านป้าสะใภ้จะไม่นำเรื่องบุญคุณเลี้ยงดูหรือว่าความเป็นญาติของพวกท่านมาเอาเปรียบพวกข้าสามคนพี่น้องในวันข้างหน้าเช่นกัน ขอให้ท่านหัวปู่หัวหน้าหมู่บ้านช่วยเป็นพยานให้กับข้าด้วยเจ้าค่ะ”
“ได้สิ ข้าจะเป็นพยานให้กับพวกเจ้าเอง รวมไปถึงพวกเจ้าด้วยนะ จางเจ๋อ นางจาง”
คังหนานเอ่ยตอบรับคำพูดของเด็กสาวตรงหน้าด้วยรอยยิ้มใจดีอีกครั้ง และยังเอ่ยบอกกับสองสามีภรรยาบ้านจางให้ร่วมกันเป็นพยานในครั้งนี้อีกแรง
เพราะพวกเขาสามพี่น้องเพียงมาอาศัยอยู่กับบ้านเจียงหาใช่ย้ายเข้ามาอยู่จึงไม่จำเป็นต้องทำหนังสือตัดขาดจากบ้าน
“ได้ / ได้”
“หึ! ข้าเกรงว่าจะเป็นพวกเจ้าเสียมากกว่าที่จะกลับมาทำตัวน่าสงสารให้สามีของข้าช่วยเหลือในวันข้างหน้า ถ้าเช่นนั้นท่านทั้งสามเองก็จงเป็นพยานให้กับข้าด้วยเช่นกัน”
“ว่าถ้าสามพี่น้องนี้กลับมาก่อความวุ่นวายที่บ้านของข้าอีกครั้ง ข้าจะจัดการอย่างไรกับพวกมัน พวกท่านก็ห้ามเข้ามายุ่งเกี่ยวโดยเด็ดขาดตกลงหรือไม่”
นางเจียงที่รู้สึกขบขันกับคำพูดของเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมของเจียงหลินก็แทบจะอดใจรอวันที่สามพี่น้องจะซมซานกลับมาให้สามีของนางช่วยเหลือไม่ไหวเลยทีเดียว
นางเจียงจึงได้วางข้อตกลงในการจัดการกับสามพี่น้องที่น่ารำคาญนี้อย่างที่ตนเองจะไม่ต้องมานั่งสนใจทั้งสามคนอีกต่อไป
“ได้/ได้/ได้”
คังหนานพร้อมกับสองสามีภรรยาแซ่จางต่างก็เอ่ยตอบรับคำของนางเจียงในทันที เพราะพวกเขาเองก็ขี้เกียจจะต้องมานั่งมีปัญหากับสตรีวัยกลางคนผู้นี้แล้วเช่นเดียวกัน
“เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้เจ้าค่ะ ไปกันเถิดเสี่ยวหลานเสี่ยวหยวนพี่จะพาพวกเจ้ากลับไปอยู่บ้านของพวกเรากัน”
“เจ้าค่ะ / ขอรับ”
สองฝาแฝดเอ่ยขานรับคำพูดของพี่สาวอย่างพร้อมเพรียงกัน
“ข้าขอขอบคุณท่านปู่หัวหน้าหมู่บ้านกับท่านลุงจางท่านป้าจางมากนะเจ้าคะที่ช่วยออกหน้าเป็นธุระเรื่องในวันนี้ให้กับพวกข้าสามพี่น้อง ข้าขอตัวพาน้อง ๆ ไปทำความสะอาดบ้านก่อนนะเจ้าคะ”
เมื่อได้ข้อสรุปเป็นที่เรียบร้อยแล้วเจียงหลินจึงได้เอ่ยบอกกับน้องทั้งสองของตนเอง ก่อนที่นางจะหันกลับไปเอ่ยขอบคุณทั้งสามคนที่ช่วยออกหน้าให้กับนางในครั้งนี้ด้วยความซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก
หลังจากที่เอ่ยลาจบเจียงหลินก็ได้จูงมือของน้องฝาแฝดคนละข้างแล้วเดินออกจากบ้านเจียงที่เหมือนกับขุมนรกสำหรับตนและน้องทั้งสองของเจ้าเจียงหลินคนก่อน
ทุกย่างก้าวของเจียงหลินในตอนที่ก้าวเท้าออกจากบ้านหลังนี้มันทำให้นางรู้สึกเหมือนกับว่าภายในใจที่หนักอึ้งเหมือนมีหินมาถ่วงเอาไว้อยู่ตลอดเวลา
มันค่อย ๆ เบาขึ้นเรื่อย ๆ จนในที่สุดในก้าวสุดท้ายที่ร่างเล็กของเจียงหลินก้าวพ้นประตูรั้วบ้านออกไปได้นั้น ภายในใจของนางก็เบาหวิวขึ้นมาอย่างสบายใจ
เจียงหลินพาน้องทั้งสองของตนเองเดินตามถนนของหมู่บ้านเพื่อกลับไปยังบ้านของพวกตนตามความทรงจำเดิมของเจ้าของร่าง และได้คบคิดทบทวนความทรงจำตั้งแต่ลืมตาตื่นขึ้นมาในร่างของเด็กสาวนามว่าเจียงหลินผู้นี้อีกครั้ง
ดังนั้นตลอดทางที่สามคนพี่น้องบ้านเจียงเดินกลับไปจึงมีเพียงความเงียบงัน ส่วนเจ้าสองแฝดเองก็เหมือนจะรับรู้ว่าในตอนนี้พี่สาวของตนเองคงจะกำลังใช้ความคิดอยู่พวกเขาจึงได้ทำเพียงแค่เดินตามแรงจูงของผู้เป็นพี่สาวไปอย่างว่าง่าย
ใช้เวลาราว ๆ หนึ่งก้านธูปสามพี่น้องบ้านเจียงก็ได้เดินมาหยุดลงที่หน้าทางเข้าบ้านหลังเล็ก ๆ หลังหนึ่ง
มันคือบ้านของพวกเขาสามพี่น้องที่อาศัยอยู่กับมารดาเมื่อสองปีก่อน ก่อนที่มารดาของพวกเขาจะจากไปด้วยโรคร้าย
ในความทรงจำของเจียงหลินคนก่อนนั้น หมู่บ้านหนานเจียงแห่งนี้อยู่ติดกับภูเขาที่เป็นเขตแบ่งระหว่างแคว้นจ้าวกับแคว้นเหลียง ที่มีภูเขาขนาดหลายสิบลูกล้อมรอบเอาไว้
หมู่บ้านหนานเจียงแห่งนี้เป็นหมู่บ้านติดภูเขา อยู่ห่างจากตัวเมืองหนานหยางไม่ไกลมากนัก
ถ้าเดินทางด้วยเกวียนวัวของหมู่บ้านก็จะใช้เวลาเดินทางเพียงครึ่งชั่วยามเท่านั้น (ประมาณ1 ชั่วโมง)
แต่ถ้าหากว่าเดินทางด้วยเท้าก็จะใช้เวลาเดินทางถึงหนึ่งชั่วยามเลยทีเดียว ยังดีที่หมู่บ้านหนานเจียงแห่งนี้มีเกวียนวัวของหมู่บ้านอยู่จึงไม่ลำบากในการเข้าเมืองมากนัก
*****************************************************************************************************************
เอาละแยกบ้านแล้ว ได้เวลาออกไปเฉิดฉายแล้วเด็ก ๆ
“เอาละ ๆ ในเมื่อไม่มีใครเอ่ยคัดค้านเรื่องนี้แล้วถ้าเช่นนั้นทุกคนก็แยกย้ายกันกลับไปยังบ้านของตนเองได้แล้ว”หลังจากที่คังหนานเอ่ยจบเหล่าชาวบ้านหนานเจียง ต่างก็พากันแยกย้ายกลับบ้านของตนเองอย่างรวดเร็วดังนั้นในตอนนี้จึงเหลือเพียงครอบครัวบ้านเจียง หัวหน้าหมู่บ้านและสองสามีบ้านจางเพียงเท่านั้นที่ยังคงยืนพูดคุยกันต่ออีกเล็กน้อยเมื่อได้ข้อสรุปที่ลงตัวเสร็จเรียบร้อยเจียงไห่จึงได้เดินเข้าไปภายในบ้านเพื่อหยิบโฉนดที่ดินที่เป็นชื่อของน้องสาวเพียงคนเดียวออกมามอบให้กับเจียงหลินผู้เป็นบุตรสาวคนโตต่อหน้าของหัวหน้าหมู่บ้านกับสองสามีภรรยาบ้านจางเพื่อให้ทั้งสามร่วมกันเป็นพยานในครั้งนี้“นี่คือโฉนดที่ดินที่เป็นชื่อของเจียงหลันมารดาของเจ้าที่ทิ้งเอาไว้พวกเจ้าสามคนพี่น้อง”เจียงไห่เอ่ยบอกกับหลานสาวคนโตพร้อมกับยื่นห่อม้วนกระดาษหนึ่งม้วนส่งไปให้กับเจียงหลินด้วยใบหน้าอบอุ่นเป็นครั้งแรก“ขอบคุณท่านลุงไห่มากเจ้าค่ะ ท่านลุงทำหน้าที่ของตนเองได้ดีมากแล้วเจ้าค่ะ”เจียงหลินที่หลังจากรับม้วนกระดาษออกจากมือผู้เป็นลุงมาถือเอาไว้แล้ว จึงได้เอ่ยบอกกับชายวัยกลางคนตรงหน้าด้วยความจริงใจเป็นครั้งแรกเช่นเดียวกัน“ในเมื่อเรื
เมื่อนางเจียงได้ยินสิ่งที่ผู้เป็นสามีเอ่ยขึ้นมา ก็ทำให้เลือดในกายของนางพลุกพล่านขึ้นมาเป็นอย่างมากจนนางเจียงนั้นแทบอยากจะพุ่งเข้าไปข่วนใบหน้าของสามีตนเองด้วยความไม่พอใจอย่างถึงที่สุด“เอาละ ๆ พวกเจ้าก็พอกันทั้งคู่นั่นแหละ ข้าจะเป็นคนตัดสินให้เองว่าเรื่องราวในวันนี้จะจบลงเช่นไร”คังหนานเอ่ยขึ้นห้ามทัพระหว่างสามีภรรยาตรงหน้า ก่อนที่เขาจะหันไปมองใบหน้าเรียวเล็กรูปไข่ของเจียงหลินอย่างใช้ความคิดเพราะเรื่องในครั้งนี้มีความสำคัญต่อชาวบ้านภายในหมู่บ้านไม่น้อย อาจจะด้วย แคว้นจ้าว เมือง หนานหยาง แห่งนี้เป็นเมืองที่ล้อมรอบไปด้วยภูเขาเป็นส่วนใหญ่อาชีพของชาวเมืองเองก็มีเพียงอาชีพเกษตรกรและเลี้ยงสัตว์ บ้างก็เข้าไปขายแรงงานภายในเมืองบ้าง จึงทำให้พวกชาวบ้านนั้นมีความเป็นอยู่ที่ค่อนข้างจะยากจนอยู่ไม่น้อยเนื่องจากว่าบางปีก็ได้ผลผลิตที่น้อย บางปีก็ประสบปัญหาภัยแล้ง จนทำให้การเก็บเกี่ยวของชาวเมืองนั้นมีจำนวนที่น้อยกว่าความต้องการของชาวเมืองทั่วทั้งแคว้นอย่างปีนี้เองก็ถึงช่วงที่จะต้องทำการเพาะปลูกกันในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้แล้ว เพื่อสร้างความสามัคคีให้กับพวกชาวบ้านเขาที่เป็นหัวหน้าหมู่บ้านจะต้องจัดก
หลังจากที่คำพูดของร่างที่ทุกคนคิดว่านอนหมดสติอยู่ดังขึ้น พร้อมกับเจียงหลินที่ค่อย ๆ ยันกายลุกขึ้นมานั่งตัวตรง ก่อนที่นางจะจ้องมองไปยังสองสามีภรรยาด้วยสายตาว่างเปล่า“เสี่ยวหลิน! เจ้าเป็นเช่นใดบ้าง ให้ลุงพาเจ้าไปหาหมอดีหรือไม่”ทางด้านจางไห่ที่เห็นว่าหลานสาวคนโตของตนเองรู้สึกตัวขึ้นมาอย่างเป็นปกติก็ดีใจเป็นอย่างมาก ก่อนที่เขาจะรีบปรี่เข้าไปหาร่างของหลานสาวที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลมากนักด้วยความดีใจ“ข้าไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะท่านลุง เพียงแค่ข้าต้องการที่จะพาน้องทั้งสองของข้ากลับไปอยู่กันที่บ้านเดิมของพวกข้าเจ้าค่ะ หวังว่าท่านลุงจะสนับสนุนข้านะเจ้าคะ”เจียงหลินที่เมินเฉยต่อท่าทางเป็นห่วงของชายวัยกลางคนที่ได้ชื่อว่าเป็นลุงแท้ ๆ ของนางกับน้องอีกสองคนที่ในตอนนี้ยังไม่กลับมาจากบนเขาเพราะนางเจียงสั่งให้พวกเขาทั้งสองขึ้นไปเก็บฟืนตั้งแต่ช่วงสายพร้อมกับเอ่ยบอกความต้องการของตนเองให้กับบุรุษตรงหน้าได้รับรู้และยังส่งสายตากดดันส่งไปให้ตบท้ายเจียงไห่ที่เมื่อได้เห็นสายตาของหลานสาวคนโตที่ดูว่างเปล่า และเปลี่ยนไปก็รู้สึกใจหายอยู่ไม่น้อยแต่เขาก็พอจะเข้าใจในความรู้สึกของอีกฝ่ายว่านางเองก็คงจะหมดความอดทนที่ต้อ
ท่ามกลางความมืดมิดที่แสนจะยาวนานในความรู้สึกของนับดาว หลังจากที่ทุกอย่างดับมืดลงไปแล้วนั้นนับดาวก็รู้สึกเหมือนกับว่าร่างกายของตนเองกำลังล่องลอยไปที่ไหนสักแห่งที่คล้ายกับว่ามันกำลังล่องลอยอยู่ในความว่างเปล่าเป็นเวลาเนิ่นนานแต่ในความเป็นจริงแล้วนั้นวิญญาณของเธอเพิ่งจะล่องลอยก้าวผ่านกาลเวลาจากอีกที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งเพียงเท่านั้นจนในที่สุดเธอก็ต้องลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งเพราะเสียงเรียกชื่อของเธอที่ดังขึ้นข้าง ๆ หูของเธอ และเป็นน้ำเสียงที่คุ้นเคยเป็นอย่างมาก“ตื่นเถิดนังหนู ใกล้จะได้เวลาที่เจ้าจะต้องไปแล้ว แต่ข้ายังมีเรื่องบางอย่างที่ต้องบอกกับเจ้าก่อนข้าจึงได้ปลุกเจ้าขึ้นมา”สิ้นเสียงเรียกจากใครบางคนเปลือกตาที่แสนจะหนักอึ้งในความรู้สึกของนับดาวก็สามารถเปิดขึ้นได้อย่างง่ายดายก่อนที่ดวงตาคู่งานจะลืมตาตื่นขึ้นมาพบกับแสงสว่างจ้าจนเธอต้องหลับตาลงอีกครั้งแล้วกะพริบตาเพื่อปรับภาพอีกสองสามครั้งจนสามารถมองเห็นภาพตรงหน้าได้อย่างชัดเจน ภาพแรกที่นับดาวมองเห็นอยู่ในตอนนี้คือห้องสี่เหลี่ยมแคบ ๆ ห้องหนึ่ง ภายในห้องนั้นเป็นห้องโล่งไม่มีสิ่งใดอยู่เลยแม้แต่น้อยมีเพียงตัวของเธอคนเดียวเท่านั้นที่ยื
"คุณยายคะช่วยดูดวงให้กับหนูหน่อยได้ไหมคะ แล้วราคาในการเปิดไพ่อยู่ที่เท่าไหร่คะ"นับดาว ครูสาวที่เพิ่งจะสอบบรรจุติดครูได้ในตอนที่อายุ 23 ปี ที่เพิ่งจะประการผลการสอบเมื่อหนึ่งอาทิตย์ก่อนในวันนี้เธอได้เดินทางเข้าตัวเมืองมาหาซื้อข้าวของเพื่อเตรียมตัวสำหรับไปประจำการสอนที่อีกจังหวัด แต่ในระหว่างทางที่เดินอยู่ริมถนนอยู่นั้นก็เหลือบไปเห็นแผงดูดวงไพ่ยิปซีของคุณยายท่านหนึ่งเป็นหญิงชราที่ผมเปลี่ยนเป็นสีขาวโพลนทั่วทั้งศีรษะ และมวยผมเก็บขึ้นไปรวบไว้กลางหัวอย่างที่คนแก่ชอบทำกัน สวมใส่เสื้อผ้าเก่า ๆ ซีด ๆ สีขาวที่ออกไปทางสีเทาเสียมากกว่ากำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้และมีโต๊ะหนึ่งที่สำหรับวางไพ่อยู่และไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้นับดาวนั้นเดินตรงเข้าไปถามราคาในการเปิดไพ่กับหญิงชรา คงจะเป็นเพราะเธอรู้สึกสงสารและอยากจะช่วยให้หญิงชรามีเงินเอาไว้ใช้สำหรับกินข้าวในวันนี้ก็เป็นได้เมื่อเดินตรงไปนั่งลงบนเก้าอี้ตัวที่ว่างฝั่งตรงข้าวกับหญิงชราแล้วนับดาวจึงได้เอ่ยถามอีกฝ่ายขึ้น พอจบประโยคคำถามของนับดาวหญิงชราที่ในตอนแรกกำลังนั่งหลับตาในท่าสมาธิอยู่ก็ได้ลืมตาขึ้นมา พร้อมกับจ้องมองมาที่ใบหน้าของหญิงสาวตรงหน้าก่อนที่หญิงชร