บนชั้นสองเองก็ยังมีร้านต่าง ๆ อีกหลายแห่งที่สำคัญอยู่ไม่น้อย เช่น ร้านขายชุดเสื้อผ้า ร้านขายอุปกรณ์สำหรับตกแต่งบ้าน ร้านขายอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และอื่น ๆ อีกหลายอย่าง
ถัดจากชั้นสองขึ้นไปบนชั้นสามจะเป็นร้านเกี่ยวกับร้านหนังสือ ร้านขายเครื่องสำอาง แต่ร้านที่ทำให้ดวงตาของเจียงหลินต้องเบิกกว้างขึ้นอย่างตื่นตะลึงและรู้ว่าร้านนี้เป็นร้านที่นางจะสามารถทำเงินจากโลกแห่งนี้ได้มาก
ร้านที่เอ่ยมานั้นก็คือร้านขายทองคำ จำนวนสามสี่ร้าน เห็นดังนั้นเจียงหลินก็พุ่งตัวเข้าไปภายในร้านขายทองคำในทันทีด้วยความดีใจเป็นอย่างมาก
อย่างน้อย ๆ นางก็ยังสามารถนำทองคำจากร้านพวกนี้ออกไปขายเพื่อหาเงินมาเลี้ยงชีพตนเองกับน้องน้อยทั้งสองของตนเองได้ไปอีกนานอยู่
เมื่อเจียงหลินเดินเข้ามาภายในร้านขายทองคำก็เห็นว่าจะมีสินค้าจำพวกสร้อยคอทองคำที่มีลวดลายต่าง ๆ แขวนโชว์อยู่บนแผงของร้านไม่น้อย
และมีตั้งแต่ขนาดเส้นเล็กไปจนเส้นใหญ่ที่มีน้ำหนักมากพอสมควร แต่นั่นไม่ใช่เป้าหมายของเจียงหลิน นางยังคงกวาดสายตามองหาทองคำที่เป็นแบบแท่ง เพราะมันคงจะง่ายต่อการนำไปขายมากกว่าทองคำแบบเป็นเส้นนั่นเอง
ในที่สุดสายตาของเจียงหลินก็หาสิ่งที่ตามหาพบ ทองคำที่เป็นรูปแบบแท่งที่มีขนาดตั้งแต่หนึ่งบาทขึ้นไปจนถึงสิบบาทนั้นนอนเรียงกันอยู่ด้านขวามือภายในตู้โชว์ของร้านอย่างเป็นระเบียบ
“นี่แหละคือสิ่งที่จะทำให้ข้ากับน้อง ๆ สามารถมีชีวิตรอดในตอนนี้ได้ เอาไว้วันหลังค่อยหาเวลานำมันออกไปขายที่ตัวเมืองก็แล้วกัน แต่ตอนนี้ข้าคงต้องออกไปก่อนแล้ว เพราะเจ้าสองแฝดคงจะรอจนหิวมากแล้วเป็นแน่”
“เสี่ยวติง ข้าไปก่อนนะแล้วจะกลับมาใหม่”
เจียงหลินที่เอ่ยตกลงกับตนเองเสร็จเป็นที่เรียบร้อยดีแล้วก็ได้เอ่ยบอกกับเสี่ยวติงผู้ดูแลมิติแห่งนี้ในทันที จากนั้นเจียงหลินจึงได้หลับตาลงตั้งสมาธิแล้วออกมาจากมิติในทันที
หลังจากที่ดวงจิตของเจียงหลินกลับเข้าร่างเช่นเดิมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เปลือกตาที่เคยปิดสนิทก็เปิดขึ้น พร้อมกับกะพริบตาอีกสองสามครั้งเป็นการปรับสายตา
จนเมื่อเจียงหลินสามารถมองเห็นภาพตรงหน้าได้อย่างชัดเจนนางก็พบว่าข้าง ๆ ของนางในตอนนี้ได้มีร่างเล็ก ๆ ของน้องทั้งสองกำลังนอนหลับอยู่อย่างสนิท
เห็นแบบนั้นแล้วเจียงหลินจึงได้ ค่อย ๆ ลุกขึ้นเพื่อออกไปเตรียมอาหารเที่ยงให้กับเด็กน้อยทั้งสองคนได้ทาน
เจียงหลินเดินออกมาจากตัวบ้านก็ตรงไปยังห้องครัวเพื่อดูว่ามีสิ่งใดที่พอจะสามารถนำมาใช้ทำเป็นอุปกรณ์ในการทำอาหารได้บ้างหรือไม่
แต่เจียงหลินก็ต้องรู้สึกหมดหวังลงไปในทันที เพราะนอกจากภาพห้องโล่ง ๆ ที่เต็มไปด้วยฝุ่นและหยากไย่แล้วก็ไม่มีสิ่งใดอีกเลย ยังดีที่ยังมีเตาเอาไว้ใช้สำหรับทำอาหารอยู่
ไม่รอช้าเจียงหลินรีบเดินตรงไปยังชายป่าหลังบ้านในทันทีเพื่อหาฟืนมาก่อไฟสำหรับทำอาหารทานกับน้อง ๆ และยังถือโอกาสในครั้งนี้มองสำรวจไปรอบ ๆ ที่ดินบ้านของตนเองไปด้วย
เดินเพียงหนึ่งจิบชาก็ถึงบริเวณชายป่าหลังบ้านของตนเองแล้ว เจียงหลินที่กำลังมองสำรวจไปรอบ ๆ ก่อนจะไปหยุดลงที่กองกิ่งไม้ที่หักลงมากองอยู่บนพื้นห่างออกไปไม่ไกลด้วยสายตาเรียบนิ่ง
แต่หูของนางกลับได้ยินเสียงคล้าย ๆ น้ำกำลังไหลผ่านอยู่ไม่ไกล เมื่อลองเดินตามเสียงน้ำไปเพียงหนึ่งจั้งก็พบเข้ากับลำธารขนาดเล็กที่ไหลลงมาจากภูเขาตัดผ่านหลังบ้านของนางไปเล็กน้อย
แต่กลับไม่มีใครสนใจเพราะที่ดินตรงนี้เป็นที่ดินว่างเปล่าไร้เจ้าของ อีกทั้งยังเป็นที่ดินติดชายป่าด้วย ชาวบ้านหนานเจียงจึงไม่สนใจที่จะซื้อเก็บเอาไว้ทำการเกษตร
แต่ไม่ใช่สำหรับเจียงหลินที่คิดว่านางจะต้องมาซื้อที่ดินติดกับที่ดินบ้านของตนเองผืนนี้เอาไว้ใช้สำหรับเพาะปลูกให้ได้
และสายน้ำนี้ยังสามารถทำเส้นทางไปยังบ้านของนางได้ เพื่อที่นางกับน้อง ๆ จะได้ไม่ต้องเดินไปตักน้ำไกลถึงลำธารที่อยู่อีกฟากของหมู่บ้านให้เหนื่อยอีกต่อไป
“นี่มันทำเลทองคำชัด ๆ เลยนี่นา แต่คงเพราะพวกชาวบ้านกลัวสัตว์จะลงมาทำร้ายกระมังจึงได้ปล่อยร้างที่ดินเช่นนี้ไป แต่ก็ดีแล้วเพราะไม่อย่างนั้นข้าก็คงจะไม่ได้มันมาครอบครองง่าย ๆ อย่างแน่นอน”
เจียงหลินยังคงยืนนิ่งเอ่ยพึมพำกับตนเองโดยไม่ได้สนใจรอบ ๆ ข้างเลยว่าในตอนนี้ที่ด้านหลังของนางนั้นได้มีสัตว์สี่เท้าขนาดความสูงเท่ากับหัวเข่าของนางกำลังยืนจ้องมองมาที่เจียงหลินด้วยสายตามุ่งร้าย
และไม่รอช้าเจ้าสัตว์ร้ายตัวนั้นก็พุ่งตัววิ่งเข้ามาหาร่างของเจียงหลินในทันทีด้วยความรวดเร็ว เจียงหลินที่ได้ยินเสียงฝีเท้าหนัก ๆ จากทางด้านหลังจึงได้หมุนตัวกลับไปมองยังที่มาของเสียง
แต่แล้วเจียงหลินก็ต้องรีบกระโดดหลบหนีตายเพียงเสี้ยววินาที เพราะเจ้าสัตว์ร้ายตัวนั้นเองก็พุ่งเข้ามาจนเกือบจะถึงตัวของเจียงหลินแล้วเช่นเดียวกัน
“หมูป่าอย่างนั้นหรือ! ให้ตายสิ นี่ข้ากำลังจะได้อาหารมื้อใหญ่ใช่หรือไม่กัน”
นอกจากเจียงหลินจะไม่รู้สึกกลัวหรือตกใจกับสัตว์ป่าที่มีนิสัยดุร้ายที่กำลังหมุนตัวกลับพุ่งตรงมาที่ตนเองแล้ว นางยังเหยียดยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจที่เพียงออกมาเก็บฟืนกลับจะได้อาหารมื้อใหญ่กลับบ้านด้วยเสียแล้ว
และในจังหวะที่หมูป่าตัวนั้นกำลังวิ่งตรงเข้ามายังร่างของนางด้วยความเร็ว เจียงหลินก็ได้หยิบเอาไม้เบสบอลจากมิติออกมา ก่อนจะเบี่ยงตัวหลบเจ้าหมูป่าตัวนั้นเล็กน้อยแล้วออกแรงทั้งหมดที่มีหวดไม้เบสบอลเข้าไปตรงกลางหัวของเจ้าหมูป่าอย่างแม่นยำ
ทำให้เจ้าหมูป่าตัวนั้นถึงกับตายคาที่เพราะแรงกระแทกจากไม้เบสบอลที่เจียงหลินฟาดใส่อย่างไม่ออมแรงนั้น จนร่างใหญ่ ๆ ของหมูป่าตัวดังกล่าวนอนตายสนิทอยู่ไม่ไกลจากจุดที่เจียงหลินยืนอยู่
เมื่อเห็นว่าอาหารมื้อเที่ยงของตนเองนอนสิ้นใจตายสนิทแล้วเจียงหลินจึงได้รีบเก็บไม้เบสบอลกลับเข้าไปภายในมิติของตนเอง ก่อนที่นางจะเดินตรงไปยังร่างของหมู่ป่า จากนั้นจึงได้ออกแรงลากขาทั้งสองข้างของหมูป่ากลับไปที่บ้านในทันที
ตุบ!
เสียงของหนัก ๆ ถูกวางลงที่หน้าบ้านทำให้เด็กแฝดทั้งสองสะดุ้งตัวตื่นขึ้นมาในทันทีด้วยความตกใจ ก่อนที่ร่างเล็ก ๆ ทั้งสองจะรีบลุกวิ่งออกไปยังหน้าบ้านเพื่อดูว่าที่มาของเสียงนั้นมาจากที่ไหน
แต่เมื่อเจียงหลานกับเจียงหยวนเห็นต้นเหตุของเสียงแล้วนั้นเด็กน้อยทั้งสองก็แข็งค้างอยู่กับที่พร้อมกับเกร็งตัวกลั้นหายใจด้วยความหวาดกลัวสุดขีด
ภาพหมูป่าตัวใหญ่เกือบเท่าตัวของพวกเขา กำลังนอนแน่นิ่งอยู่ตรงหน้าบ้านของพวกเขานั้นทำให้เด็กน้อยทั้งสองแทบจะกลายเป็นหินด้วยความหวาดกลัว
แต่เมื่อเจ้าสองแฝดมองไปเห็นร่างของพี่สาวตนเองที่กำลังเดินกลับมาพร้อมกับฟืนบนหลังก็ทำให้เด็กน้อยทั้งสองรู้สึกใจชื้นขึ้นมาเป็นอย่างมาก
ก่อนที่ร่างเล็ก ๆ ทั้งสองจะรีบวิ่งเข้าไปหาร่างของผู้เป็นพี่สาวด้วยความรวดเร็ว และยังเอ่ยบอกกับพี่สาวของตนด้วยน้ำเสียงสั่นเทา
“พี่ใหญ่! หมูป่าขอรับ หมูป่าตัวใหญ่มากมันกำลังจะกินข้ากับเสี่ยวหลานแล้ว!”
เจียงหยวนเอ่ยฟ้องพี่สาวของตนเองพร้อมทั้งน้ำตาที่ไหลอาบทั้งสองแก้มด้วยความหวาดกลัวจนดูน่าสงสาร
“เสี่ยวหยวน มันกินเจ้ากับเสี่ยวหลานไม่ได้หรอกนะ พี่ใหญ่ฆ่ามันตายแล้ว ตอนนี้มีแต่พวกเราที่จะกินมันแทนต่างหากเล่า เด็กดีหยุดร้องไห้ก่อนดีหรือไม่”
เจียงหลินที่เห็นท่าทางหวาดกลัวของน้องทั้งสองก็รู้สึกผิดขึ้นมา เพราะนางลืมไปเสียงสนิทเลยว่าน้อง ๆ ของตนนั้นยังเด็กมากย่อมต้องกลัวหมูป่าตัวนี้อย่างแน่นอน
เมื่อเห็นว่าน้องชายผู้น่าสงสารกำลังร้องไห้อย่างหนักด้วยความหวาดกลัวนางจึงได้เอ่ยปลอบประโลมน้องชายของตนเองด้วยน้ำเสียงอบอุ่นพร้อมทั้งส่งยิ้มไปให้กับเจียงหยวน
“จริงหรือขอรับ…”
ทางด้านเจียงหยวนที่เมื่อได้ยินว่าเจ้าสัตว์น่ากลัวตรงหน้าได้ตายลงไปแล้ว และยังจะกลายมาเป็นอาหารของพวกเขา ก็ได้หยุดร้องไห้ลงไปจากนั้นร่างเล็ก ๆ ที่ซุกอยู่ทางด้านหลังของพี่สาวจึงได้โผล่ใบหน้าน้อย ๆ ออกมาเอียงคอถามด้วยสีหน้าใสซื่ออีกครั้ง
“จริงสิ เจ้าดูสิว่ามันนอนนิ่งไม่ขยับเลยเห็นหรือไม่”
เจียงหลินเอ่ยบอกกับน้องชายพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน พร้อมกับพยักหน้าให้น้องชายมองดูร่างไร้วิญญาณของเจ้าหมูป่าที่น่าสงสารตรงหน้า
****************************************************************************************************************
เสี่ยวหยวนน้อยช่างน่าเอ็นดู แต่คือหมูป่ามาได้ถูกจังหวะมากจ้า
“พี่ใหญ่ ข้าขออุ้มเสี่ยวไป๋ได้หรือไม่ขอรับ”เจียงหยวนที่ชมชอบสัตว์ตัวเล็กน่าตาน่ารักอยู่แล้ว ก็อดใจไม่ไหวจนต้องเอ่ยขออนุญาตพี่สาวของตนเองเพื่อที่จะอุ้มเจ้าเสี่ยวไป๋ดูสักครั้ง“ว่าอย่างไรเล่าเสี่ยวไป๋ เจ้าจะให้เสี่ยวหยวนอุ้มดูสักครั้งหรือไม่?”เจียงหลินที่เห็นน่าตาออดอ้อนของน้องชายก็รู้สึกคันยุบยิบขึ้นมาภายในใจจนอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามเจ้าตัวเล็กในอ้อมกอดเพื่อเป็นการถามความเห็นของอีกฝ่ายช่วยน้องชายอีกแรงหนึ่ง“เฮ้อ… ก็ได้ ๆ แต่แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้นนะ”เสี่ยวไป๋ที่รู้สึกพ่ายแพ้ให้กับดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของเด็กสาวตรงหน้าที่กำลังจ้องมองมาด้วยสายตาคาดหวังอย่าเต็มเปี่ยม ทำให้เขาต้องถอนหายใจออกมาด้วยความจำยอม ก่อนที่เขาจะเอ่ยอนุญาตอีกฝ่ายออกไป“เสี่ยวหยวน เสี่ยวไป๋อนุญาตให้เจ้าอุ้มได้ แต่แค่ครั้งนี้เท่านั้นนะ”เจียงหลินร้องขึ้นด้วยความยินดี จากนั้นนางจึงได้หันหน้ากลับไปเอ่ยบอกกับน้องชายตัวน้อยของตนเองที่ยังคงนั่งทำหน้าตาออดอ้อนอยู่ไม่ห่าง“ขอบรับพี่ใหญ่ ข้าจะอุ้มเจ้าให้เบามือที่สุดนะเสี่ยวไป๋”เจียงหยวนเอ่ยขอบคุณพี่สาวของตนเองจบ มือน้อย ๆ ของเขาก็ยื่นออกไปตรงหน้าเพื่อเตรียมรอรับร่างเล็ก ๆ
ต้นยามเหม่าเจียงหลินก็ได้รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอีกครั้ง และพบว่าข้าง ๆ ตัวของนางในตอนนี้ได้มีเจ้าก้อนกลม ๆ กำลังนอนขดตัวหลับอยู่อย่างสบายใจ ริมฝีปากบางสวยจึงเผลอยกยิ้มด้วยความเอ็นดูในความน่ารักของมันไม่ได้เจียงหลินค่อย ๆ พาตัวเองลุกขึ้นอย่างเงียบ ๆ เพื่อไม่ให้รบกวนการนอนหลับของเจ้าตัวเล็ก จนสามารถพาตัวเองลุกขึ้นจากเตียงนอนได้สำเร็จเมื่อเจียงหลินลงมายืนบนพื้นได้อย่างมั่นคงดีแล้วนางก็ได้เดินออกไปจากห้องนอนเพื่อไปเตรียมอาหารเช้าให้กับทุกคนในทันทีโดยอาหารเช้าในวันนี้เจียงหลินเลือกทำเป็นโจ๊กหมูสับ เพื่อให้ง่ายต่อการย่อยของเด็ก ๆ ส่วนอาหารมื้อเช้าของเจ้า เสี่ยวไป๋ เป็นชื่อที่นางตั้งให้กับเจ้าตัวเล็กในห้องนอนนั่นเองเจียงหลินทำหมูย่างให้กับเจ้าเสี่ยวไป๋แทน เพราะนางเองก็ไม่คิดว่าลูกพยัคฆ์จะสามารถกินอาหารหมากับแมวได้แต่ขนาดตัวของก็พอ ๆ กับแมวขนาดโตเต็มวัยอยู่ แต่มันก็ยังดูตัวเล็กในความรู้สึกของเจียงหลินอยู่เช่นเดิมถ้ามองจากรูปร่างของเจ้าเสี่ยวไป๋ในตอนนี้มันก็คงอายุได้ประมาณ 3-4 เดือนแล้วอย่างแน่นอน ดังนั้นมันก็คงจะสามารถทานหมูย่างได้แล้วเมื่อคิดได้แบบนั้นเจียงหลินจึงได้เลือกทำหมูย่างให้มันน
หลังจากที่เจียงหลินพูดคุยกับน้องทั้งสองจนเข้าใจกันดีแล้วนั้น ไม่นานนางจางที่ขายหมูจนหมดแล้วก็ได้กลับมาหาเจียงหลินอีกครั้งในช่วงปลายยามเซินเพื่อนำเงินกลับมามอบให้กับเด็กสาวอีกครั้ง และในการขายเนื้อหมูป่าในครั้งนี้ทำเงินให้กับเจียงหลินถึงห้าร้อยอีแปะ ถือว่าเป็นจำนวนเงินที่มากสำหรับชาวบ้านยากจนเช่นพวกนางหลังจากที่นางจางมอบเงินให้กับเจียงหลินเสร็จเรียบร้อยนางก็ขอตัวกลับบ้านไปในทันที เพราะนางเองก็ยังมีงานบ้านรออยู่อีกมากไหนจะยังมีข้าวเย็นที่ยังไม่ได้ทำอีกเล่า เจียงหลินเองก็เข้าใจถึงเรื่องนี้ดี นางจึงคิดที่จะรบกวนหญิงวัยกลางคนไปมากกว่านี้ต้นยามโหย่วก็ถึงเวลาที่เจียงหลินจะต้องลงมือทำอาหารเย็นแล้ว และนี้ก็ยังเป็นครั้งแรกที่เจียงหลินต้องมาทำอาหารที่โลกแห่งนี้ แทนที่จะเป็นบ้านของตนเองในอีกที่แทนเพียงแต่ในตอนนี้ห้องครัวของนางยังคงขาดแคลนเครื่องมืออยู่มาก เพื่อเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปก่อน เจียงหลินจึงได้เลือกหยิบบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปรสหมูสับห่อใหญ่ออกมาห้าซองและนำไข่ไก่ออกมาอีกหนึ่งแผง ถ้วยอีกห้าใบ และสิ่งสุดท้ายที่สามารถนำออกมาได้ก็คือหม้อต้มเมื่อได้ของครบตามต้องการแล้วเจียงหลินจึงได้เริ่
เจียงหลินใช้เวลาเก็บกวาดและล้างทำความสะอาดทั่วทั้งห้องครัวอยู่เกือบหนึ่งชั่วยามจึงแล้วเสร็จในตอนนี้ภาพห้องครัวเก่า ๆ โทรม ๆ เมื่อหนึ่งชั่วยามก่อนหน้านั้น ในตอนนี้กลายเป็นห้องครัวที่ดูสะอาดขึ้นมาในทันทีแต่ภายในห้องนอกจากเตาดินเผาภายในห้องก็ไม่มีข้าวของเครื่องใช้อย่างอื่นเลย พวกหม้อ กระทะ ถ้วนชาม ช้อน เครื่องปรุงต่าง ๆ ล้วนแล้วแต่ยังไม่มีทั้งสิ้นแต่เจียงหลินก็ไม่ได้กังวลมากนัก เพราะนางมีข้าวของทุกอย่างครบอยู่ภายในมิติอยู่แล้ว จะติดก็เพียงแค่นางจะนำออกมาอย่างไรไม่ให้น้อง ๆ และท่านป้าจางสงสัยต่างหากเพราะเหตุนั้นเองนางจึงจำเป็นจะต้องหาตำลึงเงินมาไว้ในมือเพื่อใช้เป็นข้ออ้างในการนำข้าวของต่าง ๆ ออกมาได้อย่างไม่ต้องถูกสงสัยหลังจากที่ทำความสะอาดห้องครัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว อีกทั้งในตอนนี้เจ้าสองแฝดเองก็ยังไม่ตื่นขึ้นมา เจียงหลินจึงได้เดินกลับเข้าไปภายในห้องนอนใหญ่ที่ตกเป็นของตนเองแทนในตอนแรกนางตั้งใจจะให้น้องทั้งสองนั้นนอนที่ห้องนอนใหญ่ ส่วนตัวเองจะไปนอนห้องนอนที่เล็กลงกว่านี้แต่น้องทั้งสองของนางกลับไม่ยอมและยังบังคับให้นางนอนห้องนี้ไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ห้องนอนใหญ่ที่ถึงจะบอกว่ามันใหญ่
เจียงหลินเดินลัดเลาะไปตามเส้นทางที่ชาวบ้านพากันใช้เดินทางจนในที่สุดก็ไปโผล่ที่ลำธารสายหลักของหมู่บ้านหนานเจียงแห่งนี้ได้ในที่สุดและตลอดทางที่นางเดินผ่านไปนั้นทั้งสองข้างทางก็เต็มไปด้วยต้นหญ้ารกบ้าง เตี้ยบ้าง บ้างก็มีผักป่าที่คนภายในหมู่บ้านไม่รู้จักและไม่กล้าเก็บมันกลับไปทำอาหารแต่สำหรับเจียงหลินที่รู้จักผักพวกนั้นแล้ว นางก็ไม่รอช้ารีบเก็บผักป่าพวกนั้นลงไปในตะกร้าเก่า ๆ ที่สะพายอยู่บนบ่าติดตัวมาด้วยอย่างขยันขันแข็งจนในที่สุดเจียงหลินก็เดินมาถึงลำธารที่เป็นเป้าหมายหลักในครั้งนี้ เมื่อมาถึงจุดหมายเป็นที่เรียบร้อย นางก็เริ่มมองสำรวจลำธารตรงหน้าในทันทีเพื่อหาดูว่ามีสิ่งใดที่น่าสนใจเหมาะสำหรับนำกลับไปทำเป็นอาหารเย็นของวันนี้ด้วยบ้าง และสายตาของเจียงหลินก็พบเข้ากับผักบุ้งน้ำที่เกิดขึ้นอยู่ตามริมฝั่งของลำธารสายนี้ที่มีจำนวนมากมายเป็นอย่างมาก แต่เมื่อนางมองเลยไปอีกเล็กน้อยที่มีต้นผักตบชวาขึ้นอยู่ไม่ไกล จู่ ๆ สายตาของนางก็สบเข้ากับเจ้าก้อนกลม ๆ สีขาวที่คล้ายกับลูกแมวตัวเล็กกำลังติดอยู่บนกอผักตบชวาเหล่านั้นด้วยความสงสารและนางเป็นคนที่รักสัตว์อยู่แล้วเจียงหลินจึงได้เร่งฝีเท้าเดินตรงไปยังริ
“ข้านะหรือเนรคุณ?”เจียงหลินเอ่ยสวนกลับนางเจียงด้วยน้ำเสียงไม่พอใจขึ้นมาถึงกับกล่าวหาที่ดูจะไม่สมเหตุสมผลของอีกฝ่ายแม้แต่น้อย“ใช่! เจ้ามันเนรคุณ แทนที่ได้อาหารดี ๆ จะนำไปแบ่งให้กับท่านลุงของเจ้าที่อุตส่าห์เลี้ยงดูเจ้ากับน้อง ๆ มาตั้งหลายปี”“แต่นี่เจ้ากลับบอกให้พวกข้านำข้าวสารมาแลกเพื่อจะได้เนื้อหมูนี้ไปมันใช้ได้ที่ไหนกัน”นางเจียงที่ไม่ต้องการเสียข้าวสารแม้แต่เม็ดเดียวให้กับเจียงหลินจึงได้เอ่ยต่อว่าอีกฝ่ายโดยอ้างบุญคุณของสามีขึ้นมาเพื่อทำให้เด็กสาวตรงหน้ายอมมอบเนื้อหมูให้กับตนเองเปล่า ๆ เพื่อแทนคำขอโทษ“ท่านป้าสะใภ้นี่ช่างทำให้ข้าเปิดหูเปิดตายิ่งนัก ในเมื่อท่านกล้ายกเรื่องบุญคุณขึ้นมาเช่นนี้ ข้าเองก็ขอยกบุญคุณที่ท่านพ่อท่านแม่เคยช่วยเหลือพวกท่านขึ้นมาพูดบ้างดีหรือไม่เจ้าคะ”“เงินสามตำลึงที่พวกท่านหยิบยืมจากท่านแม่ของข้า พวกท่านจะชดใช้ให้กับข้าเมื่อไหร่หรือเจ้าคะ?”“!!!”จบคำพูดของเจียงหลินใบหน้าของนางเจียงก็ตื่นตระหนกขึ้นมาในทันที เพราะนางไม่คาดคิดว่าเด็กสาวน่าตายตรงหน้าจะกล้าเอ่ยทวงหนี้ตนเองต่อหน้าสองสามีภรรยาบ้านจางอย่างไม่ไว้หน้าตนเองเช่นนี้“ตำลึงอะไร?ข้าเคยหยิบยืมมารดาของเจ้ามา