ท่ามกลางความมืดมิดที่แสนจะยาวนานในความรู้สึกของนับดาว หลังจากที่ทุกอย่างดับมืดลงไปแล้วนั้น
นับดาวก็รู้สึกเหมือนกับว่าร่างกายของตนเองกำลังล่องลอยไปที่ไหนสักแห่งที่คล้ายกับว่ามันกำลังล่องลอยอยู่ในความว่างเปล่าเป็นเวลาเนิ่นนาน
แต่ในความเป็นจริงแล้วนั้นวิญญาณของเธอเพิ่งจะล่องลอยก้าวผ่านกาลเวลาจากอีกที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งเพียงเท่านั้น
จนในที่สุดเธอก็ต้องลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งเพราะเสียงเรียกชื่อของเธอที่ดังขึ้นข้าง ๆ หูของเธอ และเป็นน้ำเสียงที่คุ้นเคยเป็นอย่างมาก
“ตื่นเถิดนังหนู ใกล้จะได้เวลาที่เจ้าจะต้องไปแล้ว แต่ข้ายังมีเรื่องบางอย่างที่ต้องบอกกับเจ้าก่อนข้าจึงได้ปลุกเจ้าขึ้นมา”
สิ้นเสียงเรียกจากใครบางคนเปลือกตาที่แสนจะหนักอึ้งในความรู้สึกของนับดาวก็สามารถเปิดขึ้นได้อย่างง่ายดาย
ก่อนที่ดวงตาคู่งานจะลืมตาตื่นขึ้นมาพบกับแสงสว่างจ้าจนเธอต้องหลับตาลงอีกครั้งแล้วกะพริบตาเพื่อปรับภาพอีกสองสามครั้ง
จนสามารถมองเห็นภาพตรงหน้าได้อย่างชัดเจน ภาพแรกที่นับดาวมองเห็นอยู่ในตอนนี้คือห้องสี่เหลี่ยมแคบ ๆ ห้องหนึ่ง ภายในห้องนั้นเป็นห้องโล่งไม่มีสิ่งใดอยู่เลยแม้แต่น้อย
มีเพียงตัวของเธอคนเดียวเท่านั้นที่ยืนอยู่ภายในห้องสี่เหลี่ยมแห่งนี้ที่ดูจะมีเพียงสีขาว แต่ที่ทำให้หญิงสาวรู้สึกสับสนก็คงจะเป็นเสียงเรียกปริศนาเมื่อครู่ที่ปลุกให้เธอตื่นขึ้นมา
เมื่อคิดได้แบบนั้นนับดาวจึงได้เริ่มสอดส่ายสายตามองไปทั่ว ๆ ทั้งห้องแห่งนี้เพื่อหาที่มาของเสียง
และสิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นตรงหน้าของนับดาวจนทำให้เธอตัวแข็งทื้อกับสิ่งที่ตนเองกำลังพบเจออยู่ในตอนนี้
เพราะในขณะที่เธอกำลังมองไปรอบ ๆ ห้องสี่เหลี่ยมแห่งนี้อยู่นั้น จู่ ๆ ร่างของหญิงชราที่เธอจำได้อย่างดีว่าเป็นคนเดียวกันกับคุณยายที่เธอดูดวงด้วยก่อนที่เธอจะถูกรถชนจนตาย
กำลังค่อย ๆ ปรากฏขึ้นมาตรงหน้าของเธอห่างออกไปเพียงหนึ่งช่วงตัวเท่านั้น จากที่ในตอนแรกเป็นร่างโปร่งแสงก็ค่อย ๆ ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ จนในที่สุดร่างของคุณยายท่านนั้นก็สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน
เมื่อหญิงชราเห็นท่าทางตื่นตกใจของนับดาวนางก็เผยยิ้มอบอุ่นส่งกลับมาให้อีกฝ่าย พร้อมกับเอ่ยบอกหญิงสาวตรงหน้าด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน อย่างเอ็นดู
“นังหนู เจ้าไม่ต้องกลัวยายถึงเพียงนั้น ยายไม่ใช่ผีสางที่ไหนหรอกนะ อีกอย่างเจ้าเองในตอนนี้ก็เป็นเพียงดวงวิญญาณที่รอการไปเกิดใหม่เช่นเดียวกัน”
“นี่หนูตายแล้วจริง ๆ เหรอคะคุณยาย หนูยังไม่ได้ไปสอนเด็ก ๆ ที่รอหนูอยู่เลยนะคะ”
นับดาวที่หลังจากได้รับคำยืนยันในสิ่งที่เธอคิดเอาไว้แล้ว ก็รู้สึกเศร้าขึ้นมาไม่ได้เพราะกว่าเธอจะสอบบรรจุผ่านนั้นต้องใช้ความพยายามมากแค่ไหน
ไหนจะกว่าจะสามารถสอบรอบนี้ผ่านได้เธอต้องลงสอบไปแล้วถึงสองครั้ง แต่ยังไม่ทันที่เธอจะได้ไปสอนพวกเด็ก ๆ เลยก็มาตายเสียแล้ว
หญิงสาวจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเศร้าเสียใจ และรู้สึกเสียดายเวลาที่ทุ่มเทไปทั้งหมด หญิงชราที่ได้ฟังดังนั้นก็ได้เผยรอยยิ้มเอ็นดูอีกฝ่ายออกมาอย่างเสียไม่ได้
ก่อนที่นางจะเอ่ยบอกถึงเรื่องสำคัญที่ต้องการพูดคุยกับหญิงสาวก่อนที่อีกฝ่ายจะต้องไปที่แห่งใหม่ในอีกไม่นานนี่แทน
“เอาเถิด เจ้าไม่ต้องเสียใจไปหรอกนะนังหนู ถึงอย่างไรความรู้ความสามารถที่เจ้ามีย่อมต้องได้ใช้ประโยชน์ในอีกไม่นานนี้อยู่แล้ว”
“ที่ยายมาพบเจ้าในครั้งนี้ก็เพื่อจะพูดคุยเรื่องสำคัญที่เจ้าจำเป็นต้องรับรู้เอาไว้และจำเอาไว้ให้ดี เพราะมันคือสิ่งที่จะช่วยให้เจ้าสามารถเอาชีวิตรอดจากที่ที่เจ้ากำลังจะไปในอีกไม่นานนี้ได้”
“ไปที่ไหนกันคะคุณยาย แล้วเรื่องที่ว่ามันคืออะไรเหรอคะ”
นับดาวที่ได้ฟังคำพูดของหญิงชราก็กลับมาตั้งใจฟังสิ่งที่อีกฝ่ายจะบอกด้วยความสนใจในทันที
“ข้าจะบอกว่ากำไลหยกที่ข้ามอบให้เจ้านั้นความจริงแล้วมันคือกำไลมิติที่ในตอนนี้ได้กลายเป็นรอยปานอยู่ที่ข้อมือของเจ้าไปแล้ว”
“และมีเพียงเจ้าคนเดียวเท่านั้นที่สามารถมองเห็นมันได้ วิธีใช้ก็เพียงแค่เจ้าแตะไปที่ข้อมือที่มีปานแล้วหลับตาลง เจ้าก็จะสามารถมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่ภายในนั้นได้”
“เพียงแต่เจ้าจะสามารถเอาสิ่งของออกมาจากมิตินั้นได้เพียงห้าสิบอย่างต่อหนึ่งวันเท่านั้น”
“ดังนั้นเจ้าจงคิดไตรตรองดูเอาเถิดว่าในหนึ่งวันเจ้าจะต้องนำสิ่งใดออกมาจากมิติได้บ้าง และจงจำเอาไว้ว่าให้เก็บความลับเรื่องที่เจ้ามีมิติเอาไว้ให้ดี"
"อย่าให้คนอื่นรู้เอาได้ ไม่เช่นนั้นชีวิตของเจ้าคงจะต้องตกอยู่ในอันตรายอีกครั้งอย่างแน่นอน”
“หมดเวลาแล้ว ข้าต้องไปแล้วเจ้าเองก็ต้องไปแล้ว อย่าลืมใช้ชีวิตใหม่ให้มีความสุขนะนังหนู สติเท่านั้นที่จะนำพาเจ้าผ่านพ้นปัญหาทุกอย่างไปได้ ขอให้เจ้าโชคดี”
“ดะ..เดี๋ยวก่อนสะ…”
หลังจากที่หญิงชราเอ่ยจบร่างของนางก็ค่อย ๆ จางหายไปในขณะที่นับดาวยังคงรู้สึกสับสนและมึนงงกับเรื่องที่ได้ฟัง
และตั้งใจที่จะเอ่ยถามคุณยายอีกครั้งจู่ ๆ เธอก็รู้สึกเหมือนถูกมือที่มองไม่เห็นกระชากอย่างแรงแล้วภาพทุกอย่างก็ดับมืดลงอีกครั้ง……
“นี่นางเจียง! เจ้าลงมือหนักเกินไปหรือไม่!”
เสียงของชายวัยกลางคนเอ่ยขึ้นเสียงดังด้วยความตกใจ เมื่อเขากลับมาที่บ้านแล้วพบว่าในตอนนี้ร่างของหลานสาวคนโตของเขากำลังนอนหมดสติอยู่บนพื้นบริเวณลานหน้าบ้าน
พร้อมกับเลือดสีแดงสดก็ค่อย ๆ ไหลออกมาจากหางคิ้วของ เจียงหลิน เด็กสาวอายุ 14 หนาว ที่เป็นลูกสาวคนโตของน้องสาวของเขาที่เพิ่งจะจากไปเมื่อสองปีที่ผ่านมา ที่ถูกภรรยาของเขาทุบตีระบายโทสะจนมีสภาพอย่างที่เห็น
“หึ! ตาย ๆ ไปได้เสียก็ดีนังเด็กกาฝากพวกนี้ ข้าเองก็ขี้เกียจจะเลี้ยงดูพวกขี้เกียจตัวเป็นขนแบบพวกมันจะแย่อยู่แล้ว”
ทางด้านนางเจียงหรือ เจียงหลี่ ภรรยาของเจียงไห่ผู้เป็นลุงแท้ ๆ ของเด็กสาวที่กำลังนอนหมดสติอยู่บนพื้นอย่างน่าเวทนาก็ดังขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่สะทกสะท้านต่อสิ่งที่ตนเองทำลงไปเลยแม้แต่น้อย
สร้างความรู้สึกไม่พอใจให้กับพวกชาวบ้านที่เริ่มมามุงดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นของคนบ้านเจียง เพราะเสียงที่นางเจียงไล่ทุบตีหลานสาวนั้นดังไปทั่วจนชาวบ้านต่างก็รีบมาดูเหตุการณ์ในครั้งนี้
“นี่นังเจียง ข้าว่าครั้งนี้เองลงมือหนักเกิดไปจริง ๆ นั่นแหละ ดูสินั่นนังหนูเจียงหลินถึงกับหัวแตกเลยเชียวนะ ไม่รู้ว่านางยังหายใจอยู่หรือไม่ เจียงไห่เจ้ารีบเข้าไปดูอาการหลานสาวของเจ้าเร็วเข้า!”
นางจางรีบเอ่ยบอกกับชายวัยกลางคนที่อายุพอ ๆ กันกับสามีของตนเองให้รีบเข้าไปดูอาการของเด็กสาวโดยเร็วด้วยความสงสารเป็นอย่างมาก
“แล้วพี่จางท่านจะมายุ่งวุ่นวายอะไรเกี่ยวกับเรื่องในบ้านของข้ากัน!”
นางเจียงที่รู้สึกไม่พอใจที่ถูกสตรีรุ่นพี่ที่สามีของตนเคยแอบรักเอ่ยสั่งสามีของตน นางจึงได้เอ่ยกับอีกฝ่ายขึ้นมาพร้อมทำท่าทางไม่พอใจส่งไปให้สตรีวัยกลางคนที่ยืนอยู่ไม่ไกลในทันที
“นี่นางเจียง! เจ้านี่มันนรกส่งมาเกิดหรืออย่างไรเหตุใดจึงได้ใจดำกับหลานสาวของสามีตนเองถึงเพียงนี้กัน”
น้ำเสียงไม่พอใจจาก จางเจ๋อ สามีของนางจางและยังเป็นสหายของเจียงไห่เอ่ยต่อว่านางเจียงขึ้นมาหลังจากที่อีกฝ่ายเอ่ยคำพูดไม่น่าฟังกับภรรยาของเขา
“แล้วมันจะทำไม ในเมื่อไอ้เด็กพวกนี้มันเป็นเพียงแค่กาฝากที่มารดาโง่งมของมันทิ้งเอาไว้ให้เป็นภาระของครอบครัวข้า จะตายทั้งทีทำไมไม่เอาลูก ๆ ของมันไปด้วยก็ไม่รู้ยังจะมะ…”
“พอได้แล้ว! เจียงหลี่ทำไมเจ้าถึงได้พูดจาร้ายกาจเช่นนั้นออกมาได้กัน นั่นมันน้องสาวแท้ ๆ ของข้านะ หรือว่าเจ้าลืมไปแล้วว่าเจียงหลันเคยช่วยเหลือเจ้าเอาไว้มากมายเพียงใด”
“แต่พอนางจากไปเจ้ากลับมาพูดจาว่าร้ายลับหลังคนตายเช่นนี้อย่างนั้นหรือ เจ้านี่มัน…”
เจียงไห่ตวาดขึ้นต่อหน้าของภรรยาของเขาด้วยความโกรธที่อีกฝ่ายพูดจาว่าร้ายน้องสาวที่จากไปของตนเองอย่างไม่ไว้หน้า
ทางด้านนางเจียงที่เพิ่งจะเคยถูกสามีตะคอกเสียงดังใส่ก็ถึงกับเงียบปากลงด้วยความตกใจ พร้อมกับดวงตาที่เริ่มจะแดงก่ำขึ้นมา
“นี่ท่านกล้าตวาดใส่ข้าเพราะเจ้าพวกเด็กกาฝากพวกนั้นหรือท่านพี่!”
หลังจากที่ตั้งสติกลับมาได้นางเจียงจึงได้เอ่ยถามผู้เป็นสามีด้วยน้ำเสียงสั่นเครืออย่างรู้สึกเสียใจ และอีกหนึ่งเหตุผลก็คือนางรู้ว่าสามีของตนเองนั้นแพ้น้ำตาของตน
นางจึงได้เลือกใช้ไม้นี้มาเป็นฉากบังหน้าในการพ้นผิดเหมือนทุก ๆ ครั้งที่ผ่านมา เพราะประเดี๋ยวสามีของนางก็จะต้องใจอ่อนไม่เอาความนางอีกเช่นเคย
“ท่านลุง ในเมื่อท่านป้าสะใภ้ไม่ชอบพวกข้าสามคนพี่น้องถึงเพียงนั้น เช่นนั้นข้าขอพาน้อง ๆ กลับไปอยู่ที่บ้านของพวกข้าก็แล้วกันนะเจ้าคะ”
“!!!”
*******************************
ทำไมป้าสะใภ้ถึงเหมือนป้าข้างบ้านแบบนั้นกันละ หึ ยัยน้องจะทนไหมนะ