หลินเข่อซิงสูดหายใจเข้าลึกๆ รวบรวมสติไว้ในใจ “เอาล่ะ! เรามาทำตามแผนกัน... ฉันจะต้องทำตัวเรียบร้อยและสง่างามที่สุดเหมือนผ้าพับไว้ ไม่มีทางทำพลาดแน่นอน!”
หลังจากได้รับการเรียกตัวให้ไปพบอวิ๋นเฟยหลง หลินเข่อซิงก็ยืนเตรียมพร้อมอยู่ในลานฝึกซ้อมของจวนตระกูลอวิ๋น ดวงอาทิตย์ยามเช้าสาดแสงลงมากระทบลานกว้าง พื้นหินเย็นเฉียบสะท้อนภาพของเหล่าทหารที่กำลังฝึกซ้อมกันอย่างแข็งขัน ชุดผ้าฝ้ายโบราณสีฟ้าอ่อนที่หญิงสาวสวมใส่ยิ่งทำให้เธอดูเหมือนคุณหนูหลินที่แสนจืดชืดจากนิยายไม่มีผิด ‘อืม... ถ้าฉันเดินด้วยก้าวเล็กๆ ค่อยๆย่างเท้า ก้มหน้าไว้ คงจะดูเรียบร้อยพอสมควรสินะ' เธอคิด ขณะที่พยายามเดินอย่างสงบเสงี่ยมไปทางที่เขายืนอยู่ ตึก ตึก ตึก... แต่พอใกล้เข้าไปเรื่อยๆ ความตื่นเต้นก็เริ่มปะทุขึ้น เธอเคยอ่านเรื่องนี้ไม่รู้กี่รอบ แต่ตอนนี้ต้องเจอกับพระเอกสุดหล่อในชีวิตจริง หัวใจของหลินเข่อซิงเต้นระรัวราวกับกลองศึก! หลินเข่อซิงเผลอกลืนน้ำลายเมื่อมองไปข้างหน้า ตรงกลางลานฝึก บุรุษผู้หนึ่งยืนเด่นเป็นสง่า ร่างสูงในชุดฝึกสีดำขับเน้นกล้ามเนื้อที่เต็มไปด้วยพละกำลัง เขาถือดาบยาวเล่มหนึ่งไว้ข้างตัว แม้ไม่ได้อยู่ในท่าต่อสู้ แต่เพียงแค่ยืนเฉย ๆ ก็ส่งกลิ่นอายกดดันออกมาจนคนรอบข้างไม่กล้าแม้แต่จะเข้าใกล้ อวิ๋นเฟยหลงยืนอยู่ตรงหน้าเธอแล้ว ใบหน้าคมเข้มของเขาดูสง่างามจนเธอเผลอหยุดหายใจไปชั่วขณะ โอ้โห...หล่อจริง ๆ... โดยเฉพาะสันจมูกนั้น อยากเอานิ้วไปลองไล้ดูจริง ๆ แต่ว่าสายตานั้นช่างเย็นชาเหมือนที่คนเขียนนิยายบรรยายไว้ไม่มีผิด หลินเข่อซิงคิดในใจ เธอยืนมองเขาเงียบ ๆ หัวใจเต้นระรัว รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นแฟนคลับที่ได้มาเจอดาราหน้าเวทีครั้งแรก แต่เดี๋ยวนะ... นี่มันไม่ใช่เวลามากรี๊ดพระเอกนะยะ! เธอปรับสีหน้าให้เป็นเรียบนิ่งที่สุด ก่อนจะก้าวเดินไปข้างหน้า ฝีเท้าเนิบช้าเหมือนคุณหนูผู้สูงศักดิ์ที่ได้รับการอบรมมาอย่างดี ตึก... ตึก... ตึก... ขณะที่เธอเข้าไปใกล้ อวิ๋นเฟยหลงก็หันมามอง สายตาคมดุจับจ้องมาอย่างเย็นชา ดวงตาดำลึกล้ำราวกับสายน้ำในฤดูหนาว “เจ้าเป็นใคร?” เสียงทุ้มต่ำนั้นดังขึ้น ทำให้เธอสะดุ้งเฮือก หลินเข่อซิงรีบตั้งสติ โค้งตัวลงเล็กน้อยก่อนตอบ "ข้าคือหลินเข่อซิงเจ้าค่ะ บุตรีท่านโหวตระกูลหลิน" อวิ๋นเฟยหลงมองเธอเงียบ ๆ สักพัก ก่อนจะพยักหน้าเล็กน้อย แล้วเอ่ยเสียงราบเรียบ “ข้าคืออวิ๋นเฟยหลง” เขาเอ่ยเสียงเรียบ ดูเย็นชาตามแบบฉบับของเขา ดวงตาสีดำสนิทจับจ้องที่หลินเข่อซิงอย่างเฉยชา หลินเข่อซิงรีบโค้งตัวลงอย่างสุภาพ พร้อมกับพยายามพูดเสียงหวานตามแบบฉบับนางเอกซีรี่ย์ที่นุ่มนิ่มนุ่มนวล “ยินดีที่ได้พบท่านเจ้าค่ะ” ขณะที่เธอเงยหน้าขึ้นอย่างช้าๆ ด้วยท่าทีสง่างาม จู่ๆ ผมปอยหนึ่งของเธอก็หลุดลงมาปิดหน้า! โอ๊ย! ทำไมตอนสำคัญๆ ผมถึงต้องมาหลุดลงมาแบบนี้ด้วย! เธอพยายามดันผมกลับไปแต่ก็เผลอทำมันยุ่งกว่าเดิม สุดท้ายจึงตัดสินใจปล่อยให้มันเป็นอย่างนั้น “ไม่เป็นไร ๆ ผมปอยหนึ่งมันดูเป็นธรรมชาติดี ใช่มั้ยนะ?” เธอพึมพำกับตัวเองเบาๆ พลางส่งยิ้มฝืนๆ ให้เขา อวิ๋นเฟยหลงหรี่ตาลง ก่อนที่เขาจะยิ้มมุมปากเล็กน้อย ซึ่งดูเหมือนการยิ้มแบบนี้มันไม่ได้เป็นการแสดงความเป็นมิตรเสียเท่าไร เขาเดินเข้ามาใกล้หลินเข่อซิงทีละก้าว จนเธอเริ่มรู้สึกว่าลมหายใจของเขาอยู่ใกล้มากเกินไปแล้ว “เอ่อ... ท่าน...” หลินเข่อซิงพูดอย่างติดขัด พลางถอยหลังทีละนิด แต่เขากลับเดินเข้ามาใกล้กว่าเดิม แล้วทันใดนั้นเอง เขาก็โน้มใบหน้าเข้ามาใกล้จนริมฝีปากของเขาเกือบจะสัมผัสกับใบหูของเธอ เสียงลมหายใจของเขากระซิบชิดริมหู ราวกับจะทำให้ใจของหลินเข่อซิงหยุดเต้น แต่ในวินาทีนั้นเอง แววตาของอวิ๋นเฟยหลงก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาเฝ้ามองเธอจากมุมมองที่ใกล้ชิดมากขึ้น ความซุกซนเล็กน้อยในดวงตาคู่นั้น... มันทำให้เขาเกิดความรู้สึกบางอย่างที่ไม่คุ้นเคย แต่แล้วเขาก็กลบความรู้สึกนั้นไปแทบจะในทันที “ขอโทษนะ คุณหนูหลิน...” เขาเริ่มพูดเสียงเบา แต่เจือความหยิ่งในน้ำเสียงชัดเจน “...ข้าคงไม่สนใจผู้หญิงที่จืดชืดแบบเจ้า” แม้ปากจะเอ่ยเช่นนั้น แต่ในใจของเขากลับมีความรู้สึกบางอย่างที่ซ่อนอยู่ อวิ๋นเฟยหลงเองก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดเขาถึงยังคงยืนสนทนากับสตรีนางนี้ ทั้งที่เขาควรจะเบื่อหน่ายกับการพบเจอหญิงสาวเช่นนี้ไปแล้ว ทว่าทุกก้าวที่เขาเดินเข้าใกล้ นางกลับทำให้หัวใจของเขาเต้นเร็วขึ้นโดยไม่รู้ตัว ดวงตาของหลินเข่อซิงเบิกกว้างในทันที ห๊ะ? อะไรนะ? เธอคิดในใจ เดี๋ยวนะ! เมื่อกี้เขาบอกว่าอะไรนะ? จืดชืด!? เขาถอยออกไปพร้อมกับท่าทีเย็นชาเหมือนเดิม สายตาของเขาแสดงออกชัดเจนว่าเขาไม่ได้ประทับใจเธอสักนิด “เดี๋ยวนะ! ท่านว่าอะไรนะเจ้าคะ?” หญิงสาวพยายามถามซ้ำให้แน่ใจว่าหูเธอไม่ได้ฝาด แต่ภายในใจก็รู้คำตอบดีอยู่แล้ว อวิ๋นเฟยหลงเพียงแค่ยิ้มเย็นชา “ข้าพูดชัดเจนแล้ว คุณหนูหลินเจ้าจืดชืดเกินไป ข้าไม่สนใจผู้หญิงแบบเจ้า และอย่าได้คิดเพ้อฝันสิ่งใดจากข้า” หลินเข่อซิงยืนอึ้งไปชั่วขณะ ก่อนที่ความอึ้งนั้นจะเปลี่ยนเป็นความไม่พอใจแบบปนขำ โอ๊ย! ทำไมถึงต้องมาโดนว่าจืดชืดตอนที่ฉันพยายามเต็มที่แบบนี้ด้วย! เธอแอบหันไปบ่นกับตัวเองเบาๆ “จืดชืดเหรอ? นี่ฉันตั้งใจทำตัวแบบคุณหนูสุดเรียบร้อยตามแบบในนิยายเลยนะ! อุตส่าห์พยายามสุดๆ แล้วเชียว... ก็ในนิยายฉากนี้อีตาพระเอกจะตกหลุมรักนางเอกตั้งแต่แรกเห็นนี่นา ทำไมเป็นงี้นะ” แต่เมื่อมองไปที่เขาอีกครั้ง เธอก็รู้สึกไม่ยอมแพ้ ชิ คำก็จืด สองคำก็จืด เดี๋ยวจะเผ็ดซี๊ดเปรี้ยวปรี๊ดยิ่งกว่ามะนาวให้ดู...สู้สิอิหญิง ฉันจะกลับโลกเดิมให้ได้!“เฮือก…” เสียงสูดลมหายใจเข้าลึกดังขึ้น ทำเอาทรวงอกของหญิงสาวยกขึ้นสูง ขนตางอนยาวเรียงตัวสวยเริ่มขยับไหว ในที่สุดเปลือกตาก็คอยๆเลิกขึ้น ปรากฎดวงตากลมโตสดใสที่มองไปมารอบๆ แสงไฟสีขาวนวลสว่างขึ้นในห้องเล็กๆ ของเธอมาจากหลอดฟลูออเรสเซนต์บนเพดานห้องสี่เหลี่ยมที่คุ้นเคย เมื่อมองไปตรงมุมห้องขวามือ ก็มีโต๊ะเขียนหนังสือรกๆ ที่มีหนังสือและแก้วน้ำวางอยู่ โทรศัพท์มือถือวางแน่นิ่งบนหัวเตียง สายชาร์จรวมถึงสายสมอลทอร์คพันกันยุ่งเหยิงเป็นก้อนกลม หลินเข่อซิงค่อยๆลุกขึ้นมาอยู่ในท่านั่ง“เรากลับมาแล้วเหรอ…” หญิงสาวพึมพำกับตัวเอง ราวกับไม่แน่ใจว่านี่คือความจริงหรือเพียงอีกหนึ่งความฝันอันยาวนานนางลูบอกตัวเองเบาๆ เพื่อปลอบใจว่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เพิ่งเผชิญมา เป็นเพียงฝันร้ายยาวนานเท่านั้น แต่มันช่างสมจริงเหลือเกิน ความรู้สึกของสายลมในป่าลึก กลิ่นดินหลังฝนตก เสียงหัวเราะของหลิงเฉิน หรือแม้แต่สัมผัสอันอบอุ่นของอวิ๋นเฟยหลง...“เฟยหลง…”เพียงเอ่ยชื่อเขา น้ำตาก็เอ่อคลอเบ้า ราวกับหัวใจถูกบีบรัด เธอรีบเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึก พยายา
นับจากโศกนาฏกรรมนองเลือดวันนั้น ก็ผ่านมาได้หนึ่งปีแล้ว อวิ๋นเฟยหลงไม่ยอมรับตำแหน่ง เขาทำเพียงรักษาการณ์แทน และให้เหล่าเสนาบดีเป็นที่ปรึกษาคอยชี้แนะแก่เขาย้อนกลับไปเมื่อหนึ่งปีก่อน หลังได้รับชัยชนะ เข้ากอบกู้วังหลวงจากคนชั่ว และทวงแค้นจากหานเจี๋ย เขากลับไม่รู้สึกยินดีเลยแม้แต่น้อย อวิ๋นเฟยหลงประกาศต่อหน้าที่ประชุมขุนนางและแม่ทัพนายกองทั้งหลาย“ข้าไม่คู่ควรกับตำแหน่งนี้”คำพูดนั้นสร้างความตกตะลึงไปทั่วห้องประชุม เฟยหลงก้าวออกมายืนกลางห้อง สายตาแน่วแน่“ตลอดชีวิตของข้า ข้าเกิดมาเพื่อรับใช้แผ่นดินและต่อสู้ในสนามรบ ข้าไม่เคยมีความปรารถนาจะครอบครองบัลลังก์มังกร ข้าเชื่อว่าแคว้นนี้สมควรมีผู้นำที่ดีกว่า”นับจากวันนั้นอวิ๋นเฟยหลงก็ทำหน้าที่ได้ดีมาตลอดไม่ขาดตกบกพร่องอันใด จนราษฎรต่างแซ่ซ้องสรรเสริญ ในใจทุกคนอวิ๋นเฟยหลงคือฮ่องเต้ พ่อของแผ่นดินของพวกเขา คอยปกปักคุ้มครองให้แคว้นฉางจีอยู่รอดปลอดภัย บุ๋นก็ชำนาญ บู๊ก็คือเทพเซียนมาจุติและแล้วข่าวดีที่เขารอคอยก็มาถึง เจิ้งจู่ได้รายงานข่าวสำคัญที่เปลี่ยนแปลงทุกอย่าง เขาค้น
ก่อนที่อวิ๋นเฟยหลงจะได้ปัดป้องตอบโต้ ก็มีเสียงกังวานใสของสตรีผู้หนึ่งดังขึ้น“หยุดนะ!” หยางเฟยฮุ่ยยืนอยู่เบื้องหลังของฮ่องเต้ โดยมีทหารองครักษ์ผู้หนี่งใช้ดาบพาดคอของหานเจี๋ย“หากท่านละเว้นอวิ๋นเฟยหลง ข้าก็จะไว้ชีวิตท่าน!” สตรีผู้ได้ชื่อว่าฮองเฮา แม่ของแผ่นดิน ก้าวขึ้นหน้ามาอีกก้าว หยุดยืนมองหานเจี๋ยนิ่ง“เจ้า!... นี่เจ้ากล้าก่อกบฏหรือ ดีนี่ฮองเฮา ดี … ดียิ่งนัก ทหาร! กุดหัวนางหญิงชั่วนี่ให้ข้าเดี๋ยวนี้!”เงียบ มีเพียงความเงียบงันเป็นคำตอบ ไม่มีทหารคนใดขยับ ต่างมองไปทางอวิ๋นเฟยหลงอย่างรอฟังคำสั่ง“นี่มัน…เกิดอะไรขึ้น?!” หานเจี๋ยตื่นตระหนกแล้ว เหตุใดจึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้“ราชโองการในฮ่องเต้พระองค์ก่อน มาถึงแล้ว! อวิ๋นเฟยหลง รับราชโองการ!”ถึงตอนนี้ทหารที่จ่อปลายดาบคุมตัวหานเจี๋ยได้เตะดาบในมือเขาจนกระเด็น ก่อนลากตัวหานเจี๋ยให้ออกห่างจากอวิ๋นเฟยหลง“กระหม่อมอวิ๋นเฟยหลงพ่ะย่ะค่ะ” อดีตแม่ทัพหนุ่มหันกายคุกเข่ามาทางกงกงที่ยืนถือพระราชโองการสีทองอร่ามในมือ“ด้วยโองการสวรรค์ ข้าโอรสสวรรค์ผู้คร
เสียงอาวุธกระทบกันดังไม่หยุด อวิ๋นเฟยหลงหอบหายใจเสียงดัง หลินเข่อซิงมองเสี้ยวหน้าของชายอันเป็นที่รักด้วยความเจ็บปวดในหัวใจ นางเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ“ท่านพี่ ทิ้งข้าไว้เถอะ หากไม่มีข้าท่านก็จะทำศึกได้อย่างเต็มที่ และปกป้องพวกเราทั้งหมดได้”“เหลวไหล! ข้าไม่มีทางทิ้งเจ้ากับลูกแน่ อย่าคิดอะไรฟุ้งซ่าน และข้าจะไม่มีวันแพ้! เจ้าอดทนไว้ก่อนนะ” อวิ๋นเฟยหลงปวดใจนักเมื่อได้ยินเสียงเล็กๆนั่นพูด ประกอบกับบาดแผลที่ไหล่ของนาง เขายิ่งอยากจบศึกนี้ให้เร็วที่สุด กระบวนท่าของอดีตแม่ทัพใหญ่แกว่งไกวดาบเข้าห้ำหั่นศัตรู ร่างกายพลิ้วไหว มือเท้าผสานกัน แม้มือซ้ายจะโอบกอดหลินเข่อซิง แต่นั่นกลับไม่อาจสร้างปัญหาให้ชายหนุ่มได้“เหล่าพี่น้องของข้า จงฟัง! พวกเจ้าทุกคน วันนี้เราจะเด็ดหัวฮ่องเต้ทรราชนั่นซะ ไม่ใช่เพื่อใคร แต่เพื่อพ่อแม่ญาติพี่น้องของพวกเจ้า ราษฎรแคว้นฉางเยว่ และเพื่อฮ่องเต้องค์ก่อนที่ต้องสวรรคตอย่างมีเงื่อนงำ จงตามข้ามา!”“เฮๆ ๆ ๆ” เหล่าทหารฝ่ายอวิ๋นเฟยหลงต่างส่งเสียงร้องกู่ก้องไปทั่วลานด้วยการนำของอวิ๋นเฟยหลง ตอนนี้พวกเขาบุ
‘ท่านพี่ เมื่อท่านได้รับสารฉบับนี้ หวังเพียงว่าท่านจะยังไม่กระทำการรุนแรงกับท่านหมอประจำตัวข้าหรอกนะ’ อวิ๋นเฟยหลงเลิกคิ้วสูง ก่อนเหลือบมองไปยังใบหน้าช้ำดำเขียว และเปรอะด้วยโลหิตของหมอหนุ่ม ก่อนจะก้มหน้าอ่านต่อ‘ข้าได้ยินมาว่าท่านได้ยกทัพมาประชิดประตูเมืองแล้ว คืนนี้ยามโหย่ว (17.00น. - 19.00น. โดยประมาณ) ข้าจะแอบมารอท่าน ขอท่านพี่ช่วยมารับข้าด้วย ข้าจะไปรอที่ประตูเมืองด้านทักษิณ หลิงเฉินบอกว่าประตูด้านนั้นค่อนข้างหละหลวม เพราะทหารไปรวมกันที่ประตูหน้าเสียส่วนใหญ่ ข้าจะรอท่านนะ’อวิ๋นเฟยหลงหรี่ตามองไปยังหมอหนุ่มที่ยังนั่งแหงนหน้ามองฟ้า ดูท่ากำเดาคงจะใกล้หยุดไหลแล้วกระมัง อวิ๋นเฟยหลงทรุดตัวลงนั่งใกล้ๆ ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงแผ่วต่ำ“ข้าต้องขออภัยท่านหมอแทนทหารของข้าด้วย ฝากบอกซิงเอ๋อร์ว่า ไม่ต้องกังวล ข้าจะไปตามนัดหมาย”เวินสือชูมองบุรุษร่างใหญ่บึกบึนตรงหน้าด้วยความยำเกรง ก่อนจะยิ้มออกมาหน่อยๆ“มิเป็นไร ข้าเข้าใจว่านั่นคือหน้าที่ของพวกเขา หากมิมีอันใดแล้ว ข้าขอตัวก่อน หากมานานเกินไป อาจถูกสงสัยได้”อวิ๋นเฟยหลงพยัก
แสงอาทิตย์สาดส่องกระทบกับดาบของเหล่าทหารหาญที่ตั้งทัพอย่างเป็นระเบียบอยู่เบื้องหน้าประตูเมือง เมื่ออวิ๋นเฟยหลงประสานสายตากับเหล่าทหารกล้าที่เขารวบรวมมา พวกเขาคือผู้ที่ยังภักดีต่อแผ่นดินและเชื่อมั่นในศักดิ์ศรีของแม่ทัพผู้เคยกอบกู้แผ่นดิน“วันนี้มิใช่เพียงการทวงคืนวังหลวง” อวิ๋นเฟยหลงประกาศเสียงกร้าว “แต่คือการทวงคืนความยุติธรรม ทวงคืนอนาคตของบ้านเมือง และนำแสงสว่างกลับสู่แคว้นฉางจีอีกครั้ง”เสียงโห่ร้องดังกระหึ่มจากทหารนับหมื่นที่เข้าร่วม ขบวนธงสีดำลายมังกรทองสะบัดปลิวไสว เสียงอาวุธกระทบกันดังก้อง ขับเคลื่อนจิตใจอันห้าวหาญของนักรบทุกคนเหล่าทหารที่คอยรักษาการณ์ประจำตำแหน่งประตูหน้าต่างตื่นตัวและคอยจับตามองทัพของอดีตแม่ทัพอวิ๋นเฟยหลง อดีตรองแม่ทัพหยางซึ่งในขณะนี้ได้ขึ้นเป็นแม่ทัพใหญ่ทองลงไปยังอดีตผู้ที่เคยมีตำแหน่งใหญ่กว่าตน ในสายตามีทั้งความกริ่งเกรง และหวาดกลัวอยู่หน่อยๆ“ท่านแม่ทัพขอรับ” นายทหารหนุ่มผู้หนึ่งขึ้นมารายงานกับแม่ทัพหยาง“ว่ามา”“ข้าได้รายงานให้กับฝ่าบาททราบแล้วขอรับ ตอนนี้ยังไม่มีคำสั่งใหม่ เห็นว่าฝ่าบา