หลังจากคำพูดเย็นชาของอวิ๋นเฟยหลงที่บอกเธอว่า “จืดชืด” หลินเข่อซิงยังคงยืนตัวแข็งทื่ออยู่ที่เดิม ใจหนึ่งเธอยังไม่อยากเชื่อว่าพระเอกในนิยายที่เธออ่านมานานจะพูดแบบนั้นออกมา...กับเธอ! โอ๊ย! ทำไมฉันถึงต้องมาเจอเรื่องนี้! ตอนอ่านไม่เห็นจะรู้สึกว่าเขาเย็นชาและขวานผ่าซากขนาดนี้เลยนี่นา
ทันใดนั้น เสียงฝีเท้าเบาๆ ก็ดังขึ้นจากด้านหลัง หญิงสาวที่เดินเข้ามาในลานนั้นส่งเสียงหัวเราะนุ่มๆ ราวกับระฆังเงิน “อวิ๋นเฟยหลง ท่านพูดจาร้ายกาจกับคนอื่นแบบนี้อีกแล้วหรือ?” หลินเข่อซิงหันไปมองต้นเสียง และพบกับภาพที่ทำให้เธอต้องอึ้งค้าง หยางเฟยฮุ่ย นางร้ายของเรื่อง ปรากฏตัวต่อหน้าเธอ หญิงสาวผู้งดงามในชุดโบราณหรูหรา สีแดงแซมชมพูอ่อนดูสวยสง่าราวกับภาพวาด ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความมั่นใจและเสน่ห์พราวระยับ เธอก้าวเข้ามาใกล้พร้อมกับแววตาที่ฉายความเป็นเจ้าของทุกอย่างรอบตัว ‘โอ้โห... นางร้ายในเรื่องสวยมากจริงๆ! ตัวจริงของหยางเฟยฮุ่ยสวยกว่าที่ฉันคิดไว้เสียอีก’ หลินเข่อซิงคิดในใจ ไม่แปลกใจเลยที่ผู้ชายทุกคนในนิยายจะถูกเธอดึงดูด... หยางเฟยฮุ่ยเดินมาหยุดยืนข้างอวิ๋นเฟยหลง ก่อนจะส่งยิ้มหวานให้เขา “ข้าได้ยินมาว่าท่านเพิ่งสู้รบกลับมา ไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?” เสียงของนางอ่อนหวานเป็นธรรมชาติ เมื่อรวมกับสายตาห่วงใยที่ทอดมองอวิ๋นเฟยหลง มันทำให้คนที่มองอยู่รู้สึกได้ทันทีว่า นางกำลังแสดงความเป็นเจ้าของเขาอย่างแนบเนียน อวิ๋นเฟยหลงพยักหน้ารับเล็กน้อย สีหน้าเย็นชาของเขาค่อยๆ เปลี่ยนเป็นอ่อนโยนขึ้นอย่างเห็นได้ชัดขณะที่มองหยางเฟยฮุ่ย ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่หลินเข่อซิงคาดคิดไว้เลยสักนิด ‘นี่มันต่างจากตอนที่มองฉันเลย สองมาตรฐานชัด ๆ' “ไม่เป็นไร ข้าเพียงเหนื่อยนิดหน่อย” เขาตอบเสียงนุ่มทุ้ม สายตาอ่อนเชื่อม หลินเข่อซิงยืนมองเหตุการณ์นี้อย่างตะลึงเพราะคาดไม่ถึง ‘เดี๋ยวๆ! นี่มันผิดไปจากที่อ่านมาเลยนี่นา! พระเอกเย็นชาคนนี้ไม่ใช่เหรอที่ไม่เคยสนใจนางร้าย? แล้วทำไมตอนนี้เขาดูสนใจหยางเฟยฮุ่ยขนาดนี้ล่ะ? นี่มันอะไรกันเนี่ย!’ หยางเฟยฮุ่ยหันมามองหลินเข่อซิงด้วยสายตาที่ดูเหมือนจะสุภาพ แต่แฝงด้วยความเย้ยหยันอยู่ในที “หืม... นี่คงเป็นคุณหนูหลินสินะ” เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มๆ แต่ก็เจือความหยามในแววตาอย่างชัดเจน “ยินดีที่ได้พบเจ้าค่ะ ข้าได้ยินชื่อเสียงของท่านมานาน” หลินเข่อซิงพยายามฝืนยิ้ม “เอ่อ... ข้า... ยินดีที่ได้พบเช่นกัน” แต่ในใจกลับคิดว่า เอาล่ะ ดูท่าฉันจะต้องเจอกับศึกหนักแล้วสินะ! หยางเฟยฮุ่ยยิ้มเล็กน้อยก่อนจะหันไปมองอวิ๋นเฟยหลงอีกครั้ง “อวิ๋นเฟยหลง ข้าได้ยินมาว่าท่านได้รับบาดเจ็บมา ถึงท่านจะบอกว่าไม่ได้เป็นอะไรก็เถอะ เดี๋ยวข้าจะจัดยาให้ท่านนะเจ้าคะ” น้ำเสียงอ่อนหวานเต็มไปด้วยความใส่ใจจนหลินเข่อซิงรู้สึกหมั่นไส้ “ขอบคุณมาก” อวิ๋นเฟยหลงตอบกลับเสียงเรียบ แต่แววตาที่มองตามหลังหยางเฟยฮุ่ยนั้นเจือความเอ็นดูอย่างเห็นได้ชัด โอ้ย! แบบนี้มันไม่ได้การแล้ว! หลินเข่อซิงคิดอย่างร้อนใจ ถ้าฉันปล่อยให้นางร้ายได้เฉิดฉายล่ะก็ เตรียมโบกมือลาตั๋วกลับบ้านของตัวเองได้เลย เข่อซิงเอ๋ย ทันใดนั้น ความคิดหนึ่งก็แล่นเข้ามาในหัวของเธอ ‘ในเมื่อฉันทำตัวเรียบร้อยแล้วมันไม่เวิร์ค งั้นฉันต้องเปลี่ยนแผน! ถ้าจะเอาชนะหยางเฟยฮุ่ยได้ ฉันต้องไม่จืดชืดอีกต่อไป... ฉันต้อง “แซ่บ!”’ หลินเข่อซิงกัดฟันนิดๆ ขณะตั้งใจ แซ่บเท่านั้นที่กุมหัวใจพระเอกได้! “ขอบคุณคุณหนูหยางเจ้าค่ะ” หลินเข่อซิงพูดขึ้นมาแบบที่ตัวเองก็ยังแปลกใจว่านี่คือความกล้าหรือบ้าบิ่น เธอก้าวเข้ามาใกล้ทั้งคู่ด้วยรอยยิ้ม “แต่บางทีข้าก็อาจจะช่วยอะไรได้บ้างเหมือนกัน” หยางเฟยฮุ่ยหันมามองด้วยสายตาไม่ค่อยพอใจปนประหลาดใจอย่างมาก ส่วนอวิ๋นเฟยหลงก็มองเธอเงียบ ๆ โดยไม่พูดอะไร แต่ไม่ทันที่หลินเข่อซิงจะได้พูดอะไรเพิ่มเติม เสียงหัวเราะนุ่มๆ ของนางร้ายคนสวยก็ดังขึ้นอีกครั้ง “แหม คุณหนูหลินมีความสามารถขนาดนั้นเลยหรือ? ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่า คุณหนูหลินจะมีความสามารถในการปรุงยาด้วย” หยางเฟยฮุ่ยยิ้มเย้ยเบาๆ ก่อนจะหันไปทางอวิ๋นเฟยหลง “เอาเถอะ ข้าจะไม่ขัดขวางเจ้าก็แล้วกัน ถ้าเจ้ามีอะไรจะช่วยก็ลองดู” หลินเข่อซิงยิ้มเจื่อน โอ้โห นางร้ายคนนี้พูดแบบจะเชือดเรากลางอากาศชัดๆ! แต่เธอรู้แล้วว่าถ้าจะอยู่รอดในโลกนี้ได้ การยอมอ่อนข้อไม่มีทางพาเธอไปไหนแน่! หลินเข่อซิงยกยิ้มอย่างมั่นใจแม้เจอกับคำท้าทายแฝงในน้ำเสียงของหยางเฟยฮุ่ย เธอรู้ว่าต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อดึงความสนใจของอวิ๋นเฟยหลงกลับมา แต่การทำตัวเป็น “คุณหนูหลิน” ที่แสนจะจืดชืดตามต้นฉบับไม่ได้ผลแน่นอน! แม้เธอจะไม่เข้าใจว่าทำไมเนื้อเรื่องถึงไม่เป็นไปตามที่เธอเคยอ่านมา“เฮือก…” เสียงสูดลมหายใจเข้าลึกดังขึ้น ทำเอาทรวงอกของหญิงสาวยกขึ้นสูง ขนตางอนยาวเรียงตัวสวยเริ่มขยับไหว ในที่สุดเปลือกตาก็คอยๆเลิกขึ้น ปรากฎดวงตากลมโตสดใสที่มองไปมารอบๆ แสงไฟสีขาวนวลสว่างขึ้นในห้องเล็กๆ ของเธอมาจากหลอดฟลูออเรสเซนต์บนเพดานห้องสี่เหลี่ยมที่คุ้นเคย เมื่อมองไปตรงมุมห้องขวามือ ก็มีโต๊ะเขียนหนังสือรกๆ ที่มีหนังสือและแก้วน้ำวางอยู่ โทรศัพท์มือถือวางแน่นิ่งบนหัวเตียง สายชาร์จรวมถึงสายสมอลทอร์คพันกันยุ่งเหยิงเป็นก้อนกลม หลินเข่อซิงค่อยๆลุกขึ้นมาอยู่ในท่านั่ง“เรากลับมาแล้วเหรอ…” หญิงสาวพึมพำกับตัวเอง ราวกับไม่แน่ใจว่านี่คือความจริงหรือเพียงอีกหนึ่งความฝันอันยาวนานนางลูบอกตัวเองเบาๆ เพื่อปลอบใจว่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เพิ่งเผชิญมา เป็นเพียงฝันร้ายยาวนานเท่านั้น แต่มันช่างสมจริงเหลือเกิน ความรู้สึกของสายลมในป่าลึก กลิ่นดินหลังฝนตก เสียงหัวเราะของหลิงเฉิน หรือแม้แต่สัมผัสอันอบอุ่นของอวิ๋นเฟยหลง...“เฟยหลง…”เพียงเอ่ยชื่อเขา น้ำตาก็เอ่อคลอเบ้า ราวกับหัวใจถูกบีบรัด เธอรีบเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึก พยายา
นับจากโศกนาฏกรรมนองเลือดวันนั้น ก็ผ่านมาได้หนึ่งปีแล้ว อวิ๋นเฟยหลงไม่ยอมรับตำแหน่ง เขาทำเพียงรักษาการณ์แทน และให้เหล่าเสนาบดีเป็นที่ปรึกษาคอยชี้แนะแก่เขาย้อนกลับไปเมื่อหนึ่งปีก่อน หลังได้รับชัยชนะ เข้ากอบกู้วังหลวงจากคนชั่ว และทวงแค้นจากหานเจี๋ย เขากลับไม่รู้สึกยินดีเลยแม้แต่น้อย อวิ๋นเฟยหลงประกาศต่อหน้าที่ประชุมขุนนางและแม่ทัพนายกองทั้งหลาย“ข้าไม่คู่ควรกับตำแหน่งนี้”คำพูดนั้นสร้างความตกตะลึงไปทั่วห้องประชุม เฟยหลงก้าวออกมายืนกลางห้อง สายตาแน่วแน่“ตลอดชีวิตของข้า ข้าเกิดมาเพื่อรับใช้แผ่นดินและต่อสู้ในสนามรบ ข้าไม่เคยมีความปรารถนาจะครอบครองบัลลังก์มังกร ข้าเชื่อว่าแคว้นนี้สมควรมีผู้นำที่ดีกว่า”นับจากวันนั้นอวิ๋นเฟยหลงก็ทำหน้าที่ได้ดีมาตลอดไม่ขาดตกบกพร่องอันใด จนราษฎรต่างแซ่ซ้องสรรเสริญ ในใจทุกคนอวิ๋นเฟยหลงคือฮ่องเต้ พ่อของแผ่นดินของพวกเขา คอยปกปักคุ้มครองให้แคว้นฉางจีอยู่รอดปลอดภัย บุ๋นก็ชำนาญ บู๊ก็คือเทพเซียนมาจุติและแล้วข่าวดีที่เขารอคอยก็มาถึง เจิ้งจู่ได้รายงานข่าวสำคัญที่เปลี่ยนแปลงทุกอย่าง เขาค้น
ก่อนที่อวิ๋นเฟยหลงจะได้ปัดป้องตอบโต้ ก็มีเสียงกังวานใสของสตรีผู้หนึ่งดังขึ้น“หยุดนะ!” หยางเฟยฮุ่ยยืนอยู่เบื้องหลังของฮ่องเต้ โดยมีทหารองครักษ์ผู้หนี่งใช้ดาบพาดคอของหานเจี๋ย“หากท่านละเว้นอวิ๋นเฟยหลง ข้าก็จะไว้ชีวิตท่าน!” สตรีผู้ได้ชื่อว่าฮองเฮา แม่ของแผ่นดิน ก้าวขึ้นหน้ามาอีกก้าว หยุดยืนมองหานเจี๋ยนิ่ง“เจ้า!... นี่เจ้ากล้าก่อกบฏหรือ ดีนี่ฮองเฮา ดี … ดียิ่งนัก ทหาร! กุดหัวนางหญิงชั่วนี่ให้ข้าเดี๋ยวนี้!”เงียบ มีเพียงความเงียบงันเป็นคำตอบ ไม่มีทหารคนใดขยับ ต่างมองไปทางอวิ๋นเฟยหลงอย่างรอฟังคำสั่ง“นี่มัน…เกิดอะไรขึ้น?!” หานเจี๋ยตื่นตระหนกแล้ว เหตุใดจึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้“ราชโองการในฮ่องเต้พระองค์ก่อน มาถึงแล้ว! อวิ๋นเฟยหลง รับราชโองการ!”ถึงตอนนี้ทหารที่จ่อปลายดาบคุมตัวหานเจี๋ยได้เตะดาบในมือเขาจนกระเด็น ก่อนลากตัวหานเจี๋ยให้ออกห่างจากอวิ๋นเฟยหลง“กระหม่อมอวิ๋นเฟยหลงพ่ะย่ะค่ะ” อดีตแม่ทัพหนุ่มหันกายคุกเข่ามาทางกงกงที่ยืนถือพระราชโองการสีทองอร่ามในมือ“ด้วยโองการสวรรค์ ข้าโอรสสวรรค์ผู้คร
เสียงอาวุธกระทบกันดังไม่หยุด อวิ๋นเฟยหลงหอบหายใจเสียงดัง หลินเข่อซิงมองเสี้ยวหน้าของชายอันเป็นที่รักด้วยความเจ็บปวดในหัวใจ นางเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ“ท่านพี่ ทิ้งข้าไว้เถอะ หากไม่มีข้าท่านก็จะทำศึกได้อย่างเต็มที่ และปกป้องพวกเราทั้งหมดได้”“เหลวไหล! ข้าไม่มีทางทิ้งเจ้ากับลูกแน่ อย่าคิดอะไรฟุ้งซ่าน และข้าจะไม่มีวันแพ้! เจ้าอดทนไว้ก่อนนะ” อวิ๋นเฟยหลงปวดใจนักเมื่อได้ยินเสียงเล็กๆนั่นพูด ประกอบกับบาดแผลที่ไหล่ของนาง เขายิ่งอยากจบศึกนี้ให้เร็วที่สุด กระบวนท่าของอดีตแม่ทัพใหญ่แกว่งไกวดาบเข้าห้ำหั่นศัตรู ร่างกายพลิ้วไหว มือเท้าผสานกัน แม้มือซ้ายจะโอบกอดหลินเข่อซิง แต่นั่นกลับไม่อาจสร้างปัญหาให้ชายหนุ่มได้“เหล่าพี่น้องของข้า จงฟัง! พวกเจ้าทุกคน วันนี้เราจะเด็ดหัวฮ่องเต้ทรราชนั่นซะ ไม่ใช่เพื่อใคร แต่เพื่อพ่อแม่ญาติพี่น้องของพวกเจ้า ราษฎรแคว้นฉางเยว่ และเพื่อฮ่องเต้องค์ก่อนที่ต้องสวรรคตอย่างมีเงื่อนงำ จงตามข้ามา!”“เฮๆ ๆ ๆ” เหล่าทหารฝ่ายอวิ๋นเฟยหลงต่างส่งเสียงร้องกู่ก้องไปทั่วลานด้วยการนำของอวิ๋นเฟยหลง ตอนนี้พวกเขาบุ
‘ท่านพี่ เมื่อท่านได้รับสารฉบับนี้ หวังเพียงว่าท่านจะยังไม่กระทำการรุนแรงกับท่านหมอประจำตัวข้าหรอกนะ’ อวิ๋นเฟยหลงเลิกคิ้วสูง ก่อนเหลือบมองไปยังใบหน้าช้ำดำเขียว และเปรอะด้วยโลหิตของหมอหนุ่ม ก่อนจะก้มหน้าอ่านต่อ‘ข้าได้ยินมาว่าท่านได้ยกทัพมาประชิดประตูเมืองแล้ว คืนนี้ยามโหย่ว (17.00น. - 19.00น. โดยประมาณ) ข้าจะแอบมารอท่าน ขอท่านพี่ช่วยมารับข้าด้วย ข้าจะไปรอที่ประตูเมืองด้านทักษิณ หลิงเฉินบอกว่าประตูด้านนั้นค่อนข้างหละหลวม เพราะทหารไปรวมกันที่ประตูหน้าเสียส่วนใหญ่ ข้าจะรอท่านนะ’อวิ๋นเฟยหลงหรี่ตามองไปยังหมอหนุ่มที่ยังนั่งแหงนหน้ามองฟ้า ดูท่ากำเดาคงจะใกล้หยุดไหลแล้วกระมัง อวิ๋นเฟยหลงทรุดตัวลงนั่งใกล้ๆ ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงแผ่วต่ำ“ข้าต้องขออภัยท่านหมอแทนทหารของข้าด้วย ฝากบอกซิงเอ๋อร์ว่า ไม่ต้องกังวล ข้าจะไปตามนัดหมาย”เวินสือชูมองบุรุษร่างใหญ่บึกบึนตรงหน้าด้วยความยำเกรง ก่อนจะยิ้มออกมาหน่อยๆ“มิเป็นไร ข้าเข้าใจว่านั่นคือหน้าที่ของพวกเขา หากมิมีอันใดแล้ว ข้าขอตัวก่อน หากมานานเกินไป อาจถูกสงสัยได้”อวิ๋นเฟยหลงพยัก
แสงอาทิตย์สาดส่องกระทบกับดาบของเหล่าทหารหาญที่ตั้งทัพอย่างเป็นระเบียบอยู่เบื้องหน้าประตูเมือง เมื่ออวิ๋นเฟยหลงประสานสายตากับเหล่าทหารกล้าที่เขารวบรวมมา พวกเขาคือผู้ที่ยังภักดีต่อแผ่นดินและเชื่อมั่นในศักดิ์ศรีของแม่ทัพผู้เคยกอบกู้แผ่นดิน“วันนี้มิใช่เพียงการทวงคืนวังหลวง” อวิ๋นเฟยหลงประกาศเสียงกร้าว “แต่คือการทวงคืนความยุติธรรม ทวงคืนอนาคตของบ้านเมือง และนำแสงสว่างกลับสู่แคว้นฉางจีอีกครั้ง”เสียงโห่ร้องดังกระหึ่มจากทหารนับหมื่นที่เข้าร่วม ขบวนธงสีดำลายมังกรทองสะบัดปลิวไสว เสียงอาวุธกระทบกันดังก้อง ขับเคลื่อนจิตใจอันห้าวหาญของนักรบทุกคนเหล่าทหารที่คอยรักษาการณ์ประจำตำแหน่งประตูหน้าต่างตื่นตัวและคอยจับตามองทัพของอดีตแม่ทัพอวิ๋นเฟยหลง อดีตรองแม่ทัพหยางซึ่งในขณะนี้ได้ขึ้นเป็นแม่ทัพใหญ่ทองลงไปยังอดีตผู้ที่เคยมีตำแหน่งใหญ่กว่าตน ในสายตามีทั้งความกริ่งเกรง และหวาดกลัวอยู่หน่อยๆ“ท่านแม่ทัพขอรับ” นายทหารหนุ่มผู้หนึ่งขึ้นมารายงานกับแม่ทัพหยาง“ว่ามา”“ข้าได้รายงานให้กับฝ่าบาททราบแล้วขอรับ ตอนนี้ยังไม่มีคำสั่งใหม่ เห็นว่าฝ่าบา