บทที่ 2
ภรรยาที่เปลี่ยนไป
คศ.1980!!
ซ่งเจียซินเร่งฝีเท้าเดินจนแทบจะกลายเป็นวิ่ง ตรงไปที่ปฏิทิน ก่อนจะหยุดยืนเพ่งมองปีบนมุมบนอีกครั้งเพื่อยืนยันในสิ่งที่ตนกำลังคิด
นี่มันเป็นไปได้ยังไง ปกติแล้วการเกิดใหม่ควรหมุนเวียนไปวันเวลาข้างหน้าไม่ใช่หรือไง ทำไมเธอถึงได้หมุนวนย้อนกลับมาข้างหลังแบบนี้กัน
หลี่อี้โจวค่อยๆ เปิดตาขึ้นมองหญิงสาวที่วิ่งไปดูปฏิทินด้วยความรู้สึกซับซ้อน ไม่รู้เพราะเหตุใดแต่เขากลับรู้สึกว่าเสวี่ยชิงหยวนคนนี้กับเสวี่ยชิงหยวนคนก่อนนั้นแตกต่างกันราวกับคนละคน แต่เมื่อคิดถึงความสามารถในการเสแสร้งของเธอ หลี่อี้โจวก็สลัดความสงสัยของตนเองทิ้งในทันที
ความจริงเขารู้สึกตัวตื่นตั้งนานแล้ว ภาพที่เธอนอนดิ้นทุรนทุรายบนเตียงเขาก็มองเห็นอย่างชัดเจนตั้งแต่แรก แต่ว่าที่ผ่านมาเรื่องเสแสร้งแกล้งป่วยเป็นการกระทำที่เสวี่ยชิงหยวนถนัดที่สุด ดังนั้นเขาจึงไม่ได้หลงเชื่อเธอแม้ว่าทุกกิริยาจะสมจริงแค่ไหนก็ตาม
ทว่าสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกแปลกใจก็คืออาการตื่นตกใจ ราวกับว่าวันเวลาบนปฏิทินนั้นผิดปกติของเธอ
หรือว่านี่จะเป็นผลข้างเคียงของดอกลำโพงที่เธอกินประชดเขาไปเมื่อวันก่อน
ดอกลำโพงนั้นเป็นสมุนไพรที่หาได้ง่าย แต่กลับใช้ได้ยาก เพราะหากจัดการไม่ถูกวิธีจากสมุนไพรรักษาโรคก็จะกลายเป็นพืชพิษทำลายชีวิต
หลี่อี้โจวนั้นเป็นนายทหารแพทย์ที่มีชื่อเสียงมาก ไม่เพียงถนัดช่ำชองในการรักษาโรคตามแบบแผนตะวันตก แม้แต่ศาสตร์สมุนไพรยาจีนเขาก็ถนัดแตกฉาน อาการผิดปกติของของเสวี่ยชิงหยวนเขาจึงสังเกตเห็นได้โดยทันที
“นี่ฉันทะลุมิติมาเกิดใหม่ในอดีตอย่างนั้นเหรอ”
ยิ่งได้ยินคำพูดของเสวี่ยชิงหยวน คิ้วเข้มของนายทหารแพทย์ก็ขมวดเข้าหากันแน่นมากขึ้น ดูแล้วหญิงสาวคงได้รับผลข้างเคียงจากดอกลำโพงจริงๆ จึงได้มีอาการแสดงทางระบบประสาทเช่นนี้ พลันภาพที่เธอนอนกุมศีรษะโอดครวญด้วยอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรงก็เข้ามาในความคิด หรือแท้จริงแล้วเมื่อครู่เสวี่ยชิงหยวนไม่ได้เสแสร้ง
“เสวี่ยชิงหยวน”
เสียงเรียกจากทางด้านหลังเรียกสติและความสนใจของ
ซ่งเจียซินให้หันกลับมามองเขา ทว่าทันทีที่ได้สบกับดวงตาคมหัวใจของซ่งเจียซินก็พลันสั่นไหวขึ้นมา สายตาหนักแน่นมั่นคงของเขาทำให้คนมองรู้สึกอบอุ่นและวางใจได้โดยที่เขาไม่ต้องทำอะไร ไม่น่าเล่าเจ้าของร่างเดิมพบเจอเขาเพียงครั้งเดียวก็ตกหลุมรักอย่างโง่งมจนตัวตาย“คุณ... ตื่นแล้วหรือคะ”
ซ่งเจียซินถามออกไปแล้วก็ได้แต่นึกกร่นด่าตนเอง คนเขาลุกขึ้นนั่งสนทนาชัดเจนยังต้องถามว่าตื่นหรือยังอีกหรือ
“เอ่อ... ฉันหมายถึงคุณตื่นนานแล้วหรือคะ”
หลี่อี้โจวมองดูหญิงสาวตรงหน้าแล้วยิ่งขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เสวี่ยชิงหยวนกลายเป็นหญิงสาวที่สงบเสงี่ยมเช่นนี้ ที่ผ่านมาไม่ใช่ว่าเพียงเห็นเขาในระยะสายตาก็โถมตัวเขาหาเขาในทันทีหรือ
“นานแล้ว อาการคุณเป็นยังไงบ้าง”
“สบายดีแล้วค่ะ”
“อย่างนั้นก็ดี ต่อไปก็อย่าทำเรื่องโง่ๆ เช่นนี้อีก”
แม้ว่าคนที่เขาตำหนิจะไม่ใช่ตนเอง แต่เวลานี้คนที่อยู่ในร่างของเสวี่ยชิงหยวนก็คือเธอ ดังนั้นคำพูดของคนตรงหน้าซ่งเจียซินจึงไม่อาจไม่ยอมรับ
“ค่ะ ต่อไปจะไม่ทำอีก”
ว่าง่ายถึงขนาดนี้... หลี่อี้โจวจดจ้องคนที่ยืนประสานมือก้มหน้าหลบตาตรงหน้าด้วยความรู้สึกมั่นใจถึงแปดส่วนว่าเธอจะต้องได้รับผลข้างเคียงของดอกลำโพงอย่างแน่นอน เพียงแต่แทนที่ในใจเขาจะรู้สึกกังวล หลี่อี้โจวกลับรู้สึกยินดียิ่งนัก
“ในเมื่ออาการคุณดีขึ้นแล้ว อย่างนั้นก็ลงไปข้างล่างกันเถอะ”
“ค่ะ”
มุมปากของหลี่อี้โจวยกขึ้นเล็กน้อย เสวี่ยชิงหยวนในตอนนี้ดูแล้วก็ไม่ได้น่ารำคาญเช่นเมื่อก่อนอีก
“คุณจะไม่เปลี่ยนชุดสักหน่อยหรือไง?”
ซ่งเจียซินได้ยินคำนั้นจึงรู้สึกตัว ก้มมองตนเองแล้วเบิกตากว้างยกมือขึ้นปิดหน้าอก งอตัววิ่งกลับไปบนเตียงในทันที
ในตายเถอะ!เสวี่ยชิงหยวน เธอมันช่างน่าโมโหจริงๆ เสื้อผ้าแบบนี้ก็ยังกล้าใส่อีก
หลี่อี้โจวเห็นอาการเขินอายของหญิงสาวก็อดที่จะขบขันในลำคอไม่ได้ เดินไปที่ตู้เสื้อผ้าหยิบชุดใหม่พร้อมผ้าเช็ดตัวมาวางที่ปลายเตียงให้อีกฝ่าย
“รีบไปอาบน้ำเปลี่ยนชุด ใกล้ได้เวลาอาหารเช้าแล้ว”
พูดจบคนก็เดินออกจากห้องไป ซ่งเจียซินใช้ผ้าห่มปิดปากแล้วกรีดร้องสุดแรง แม้ว่านี่จะไม่ใช่ร่างกายของเธอ แต่การถูกสายตาของหลี่อี้โจวมองเรือนร่างเกือบเปลือยเปล่าแบบนั้นก็ยากจะทำใจไม่ให้รู้สึกเขินอาย ใบหน้าของเธอแดงก่ำ หัวใจเต้นระส่ำราวกับจะหลุดออกมาจากอก
เพียงแต่ยังไม่ทันควบคุมอารมณ์ที่พลุ่งพล่านของตนให้สงบ ประตูห้องก็ถูกกระชากเปิดออกจนเกิดเสียงดังสนั่นลั่นห้อง ซ่งเจียซินตกใจจนไหล่ยก มองไปทางประตูก็เห็นเด็กชายตัวน้อยหน้ากลมราวกับซาลาเปา ทว่าซาลาเปาน้อยคนนี้กับซาลาเปาน้อยคนก่อนหน้าแม้ใบหน้าเหมือนกันแต่สายตาและท่าทางกลับต่างกันอย่างสิ้นเชิง
“นายคือ...”
“คุณพ่อให้มาบอกว่ามีงานด่วนต้องกลับกรม หากไม่สบายตรงไหนก็ให้โทรไปแจ้ง”
เด็กชายพูดจบก็หมุนตัวจากไปโดยไม่ตอบคำถาม ซ่งเจียซินขมวดคิ้วเรียวพยายามขบคิดถึงลักษณะของลูกเลี้ยงฝาแฝดทั้งสามคนของเธอ หากแต่ตั้งแต่ต้นจนจบในความทรงจำของเสวี่ยชิงหยวนกลับไม่สามารถแยกแยะเด็กแฝดทั้งสามคนได้เลย
เสวี่ยชิงหยวน เธอช่างเป็นแม่เลี้ยงที่ประเสริฐจริงๆ อยู่ร่วมบ้านมาสองปีกลับจดจำพวกเขาไม่ได้เลยสักคน
.......................................
ซ่งเจียซินเปลี่ยนชุดเสร็จก็เดินกลับมา พร้อมกับซองเอกสารสีน้ำตาล เมื่อนั่งลงบนโซฟาแล้วก็เอายื่นให้กับหลี่โจวอี้“อะไร” หลี่โจวอี้เอ่ยถามพร้อมกับหยิบเอกสารด้านในออกมาดู“สัญญาหย่า!” ดวงตาคมเบิกกว้างมองหญิงสาวตรงหน้าด้วยความรู้สึกตื่นตกใจ“ชิงหยวน นี่เธอกำลังจะขอหย่ากับผมอย่างนั้นหรือ”“ใช่ค่ะ”ซ่งเจียซินตอบกลับด้วยสีหน้าสงสัย เอกสารตรงหน้าเธอระบุชัดเจนถึงจุดประสงค์แล้วเหตุใดชายหนุ่มจึงยังต้องถามย้ำอีกกัน หรือว่าเธอร่างสัญญาไม่ชัดเจน“ก่อนหน้านี้เป็นฉันที่ผิดต่อคุณ ฉกฉวยโอกาสตอนที่คุณกำลังเดือดร้อนบังคับคุณให้ยอมแต่งงานด้วย”ถึงแม้จะบอกว่าเป็นการตกลงที่ล้วนได้ผลประโยชน์ทั้งสองฝ่าย แต่ซ่งเจียซินต้องการยุติความสัมพันธ์นี้จึงจงใจยอมรับความผิดทั้งหมดมาเองเพื่อง่ายต่อการเจรจา“อีกทั้งหลังแต่งงานมาฉันเองก็ทำหน้าที่ภรรยาได้ไม่ดีนัก ตอนนี้ฉันรู้สึกละอายใจต่อคุณจึงอยากมอบอิสระคืนให้คุณค่ะ”มอบอิสระอะไรกัน! เขาเคยบอกหรือว่าต้องการหย่ากับเธอ หลี่โจวอี้ตกใจกับความคิดของตนเองเล็กน้อย ก่อนหน้านี้เขาวางแผนเอาไว้ว่าหลังจากที่ทำเรื่องย้ายมาอยู่ในสังกัดใกล้บ้านได้แล้วก็จะเจรจาขอหย่ากับเสวี่ยชิงหยวน ทว่าไม
หลี่จื่อหมิงมองเห็นมารดาเลี้ยงเดินขึ้นไปชั้นบนเพียงลำพังในใจก็เกิดความกังวลถึงความรู้สึกของอีกฝ่ายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ยิ่งเห็นสายตาที่เธอทอดมองมาทางพวกเขาด้วยความเศร้า หัวใจของเด็กชายก็คล้ายถูกบีบรัดเศร้าหมองขึ้นมา“วันนี้พ่อเพิ่งกลับมาคงเหนื่อยมาก ขึ้นไปพักผ่อนที่ห้องเถอะครับ”“งั้นพวกเราก็ขึ้นห้องนอนกันเถอะ”หลี่โจวอี้ตอบรับลูกชายฝาแฝดคนโตในทันที ทว่ายามที่จะลุกขึ้นพาพวกเขากลับเข้าห้องนอนเช่นทุกครั้ง กลับถูกคัดค้านขึ้นมา“พ่อแต่งงานแล้วจะนอนห้องเดียวกับพวกเราได้ยังไงครับ”“จื่อหมิง ลูกหมายความว่าจะให้พ่อกลับไปนอนที่ห้องเดิม”หลี่โจวอี้ขมวดคิ้วหนาด้วยความสงสัย ปกติแล้วยามที่เขากลับมาบ้านลูกชายทั้งสามจะเกาะติดเขาแน่น และพยายามอย่างหนักในการขัดขวางเขากับเสวี่ยชิงหยวน ทว่าเหตุใดครั้งนี้จึงพูดราวกับจงใจเปิดทางให้เขาใกล้ชิดกับเสวี่ยชิงหยวน“ที่นอนของพวกเราไม่ได้กว้างมาก ปกตินอนกันสามคนก็แน่นมากแล้ว คืนนี้พ่อกลับไปนอนที่ห้องเดิมเถอะครับ”คิ้วเข้มของหลี่โจวอี้ขมวดเข้าหากันแน่นมากขึ้น มองลูกชายคนรองด้วยความรู้สึกสงสัยเป็นทบทวี หากพูดถึงความรู้สึกที่ลูกชายทั้งสามของเขามีต่อเสวี่ยชิงหยวน
หลังมื้อค่ำหลี่โจวอี้ต้องการอยู่พูดคุยกับลูกชายทั้งสามต่อ ซ่งเจียซินรู้ดีว่าตนเองเป็นคนนอกจึงไม่ต้องการรบกวนพวกเขา ใช้ข้ออ้างว่าติดละครช่วงค่ำแยกตัวออกมานั่งดูโทรทัศน์ดวงตาคมมองแผ่นหลังบางที่เดินออกจากห้องอาหารไปด้วยความรู้สึกแปลกใจ ปกติแล้วทุกครั้งที่เขากลับบ้านเสวี่ยชิงหยวนจะต้องใช้ลูกไม้สารพัดทำให้เขายอมอยู่กับเธอ แม้แต่การจงใจกินดอกลำโพงจนตัวเองล้มป่วยเพื่อเรียกร้องความสนใจจากเขาในวันที่เขาจะกลับเข้ากรมเมื่อครั้งก่อนเธอก็เคยทำเช่นนี้แล้วเสวี่ยชิงหยวนในวันนี้เป็นอะไรไป ทำไมเขาจึงรู้สึกไม่คุ้นเคยกับเธอ ราวกับเธอคนนี้ไม่ใช่เสวี่ยชิงหยวนที่เขาเคยรู้จัก“คุณพ่อครับ มาครั้งนี้คุณพ่อจะอยู่กี่วันหรือครับ”“ห้าวัน”“แค่ห้าวันเองหรือครับ”“ทำไมหรือ มีอะไรหรือเปล่า”ปกติแม้ว่าหลี่จื่อรั่วจะเป็นเด็กชายขี้อ้อน ทว่าที่ผ่านมาเขาก็ไม่เคยมีท่าทีเช่นนี้ หรือว่าระหว่างนี้เสวี่ยชิงหยวนจะสร้างความลำบากให้ลูก ๆ ของเขาอีกแล้ว“ผู้หญิงคนนั้นรังแกลูก ๆ อีกแล้วหรือ”ได้ยินคำถามนี้หลี่จื่อรั่วก็รีบเงยหน้าส่ายหัวไปมาดุกดิกอย่างรวดเร็ว“แม่ไม่ได้รังแกพวกเราเลยครับ ยังใจดีมากอีกด้วย”“ใจดี?”ให้หลี่จื่อ
ซ่งเจียซินขบกรามแน่น เขาไม่ได้ลงโทษตีเธอตามคำมั่นที่ให้ไว้กับเด็กทั้งสาม แต่กลับบอกว่าต้องการกินอาหารค่ำฝีมือเธอ หากในตอนนี้คนในร่างเป็นเสวี่ยชิงหยวนคนเดิม เกรงว่าเรื่องราวคงไม่จบโดยง่ายเพียงแต่เธอในเวลานี้คือซ่งเจียซิน ผู้มีฉายาเจ้าแม่ร้อยอาชีพ!“อิงอิง ปกติแล้วคุณหลี่ชอบทานอะไรเป็นพิเศษไหม หรือว่าไม่ชอบทานอะไรบ้างหรือเปล่า”ได้ยินคุณหนูของตนสอบถามความชอบและไม่ชอบของผู้พันหลี่โจวอี้อย่างใส่ใจ หูหลินอิงก็ได้แต่ถอนหายใจยาวด้วยความรู้สึกเสียดาย คุณหนูเสวี่ยของนางแม้จะขาดคุณสมบัติบางประการไป แต่ก็เป็นหญิงสาวที่พร้อมด้วยรูปและทรัพย์ เหตุใดต้องมาทนกับพ่อหม้ายลูกติดหลี่โจวอี้พวกนี้ด้วยนะ“คุณหนูให้ฉันทำให้เถอะค่ะ”“ทำอะไรกัน ผู้พันอยากกินอาหารฝีมือฉัน แน่นอนว่าฉันต้องทำอย่างเต็มความสามารถเพื่อเอาใจเขาสิ”“แต่ว่าคุณหนูทำอาหารไม่เป็นไม่ใช่หรือคะ”เมื่อได้ยินคุณสมบัติส่วนตัวของเจ้าของร่าง ซ่งเจียซินก็ชะงักมือที่กำลังหั่นผักไปชั่วครู่ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มมุมปากแล้วลงมือทำต่ออย่างชำนาญ“ทำไม่เป็นก็หัดได้ ก็แค่อาหารไม่เห็นจะยากเย็นอะไร”ดังนั้นหนึ่งชั่วโมงต่อมาเมื่อทุกคนมาพร้อมหน้าที่โต๊ะอาหาร
หลี่จื่อรั่วจับมือซ่งเจียซินลงมาที่สนามหญ้าหลังบ้าน โดยมีหลี่จื่อชิงและหลี่จื่อหมิงที่วางท่าจำใจตามลงมาเพื่อติดตามดูแลหลี่จื่อรั่วอยู่ไม่ห่าง ซ่งเจียซินที่รู้ทันเด็กน้อยทั้งสองคนจึงไม่ได้ตำหนิ อีกทั้งยังท้าดวลพวกเขาสามคนแข่งกันเตะเข้าประตูแมว แน่นอนว่าด้วยอัตราหนึ่งต่อสามแม้อีกฝ่ายจะเป็นเพียงเด็กชายเจ็ดขวบ แต่ร่างกายที่เติบโตมาราวกับไข่ในหินของเสวี่ยชิงหยวนย่อมอ่อนแอและบอบบาง ผ่านไปเพียงไม่กี่นาทีก็ถูกเด็กชายทั้งสามนำไปด้วยคะแนน สองต่อศูนย์“แม่ครับ พวกเราพักก่อนดีหรือไม่”หลี่จื่อรั่วเห็นมารดาเลี้ยงสองแก้มแดงก่ำ อีกทั้งยังหายใจหอบถี่ก็เอ่ยถามด้วยความห่วงใย หากแต่หญิงสาวกลับยืดตัวเอ่ยตอบเสียงหนักแน่น“ได้พัก วันนี้ฉันจะต้องชนะพวกนายให้ได้”หลี่จื่อหมิงได้ยินหญิงสาวประกาศกร้าวก็ยกยิ้มขบขัน ก่อนจะจับบอลพลิกตัวไปมา แล้วยิงเข้าประตูทำคะแนนอีกรอบ“จื่อหมิงนายเก่งที่สุด”หลี่จื่อชิงตะโกนชมพี่ชายฝาแฝดของตนเองเสียงก้อง“สามรุมหนึ่ง ชัยชนะนี้น่าภาคภูมิใจมากหรือไร”เสียงทุ้มต่ำดังขึ้น สายตาสี่คู่ในสนามพลันหันไปมองโดยพร้อมกัน หลี่จื่อหมิงเห็นแววตาคมดุของบิดามีคำตำหนิแฝงก็ก้มหน้าพาน้องชายทั้งสองเ
ซ่งเจียซินยืนพิงขอบหน้าต่างห้องนอนมองดูสนามหญ้าเบื้องล่างด้วยความรู้สึกสงสัย สามวันแล้วที่เธอมอบลูกบอลหนังให้เด็กชายทั้งสามคนไป ทว่าจวบจนวันนี้กลับไม่เคยเห็นพวกเขาหยิบมันมาเล่นเลยสักครั้ง หรือแท้จริงแล้วพวกเขาจะไม่ชอบเล่นบอลกัน“อิงอิง ปกติคุณชายทั้งสามคนเขาชอบเล่นบอลหรือไม่”“ชอบค่ะ”“แล้วทำไม ฉันไม่เห็นเขาเอาบอลมาเล่นที่สนามล่ะ”“เรื่องนี้คุณหนูคงต้องถามตัวเองแล้ว...”ถามตัวเอง หรือว่าเสวี่ยชิงหยวนผู้เป็นเจ้าของร่างเดิมจะทำเรื่องบางอย่างเอาไว้อีกแล้วซ่งเจียซินเพ่งสายตามองไปที่สนามหญ้าด้านล่าง พยายามขบคิดความทรงจำเดิมของเสวี่ยชิงหยวน ก่อนที่ภาพหนึ่งจะสะท้อนเข้ามาในห้วงความคิด“เอามานี่”เสวี่ยชิงหยวนตวาดเสียงหงุดหงิดก่อนจะแย่งบอลในมือของหลี่จื่อรั่วมาแล้วใช้กรรไกรจิ้มจนเกิดรอยรั่วมากมาย “คุณทำอะไร!”หลี่จื่อชิงเข้ามาแย่งบอลคืน หากแต่ก็สายเกินแก้ไข รอยรั่วมากมายทำให้ลูกบอลลูกนี้ไม่อาจเล่นได้อีก หลี่จื่อรั่วน้ำตาไหลอาบแก้ม สะอื้นจนตัวสั่น หากแต่กลับไม่ได้ทำให้เสวี่ยชิงหยวนรู้สึกสงสารเลยสักนิด ตรงกันข้ามเธอกลับกล่าวคำข่มขู่เพิ่มเติม“วันนี้ฉันแค่ทำลายบอลของพวกแก ถ้าวันหน้าพวกแกยังกล้า