ไม่หย่าแล้วไง ยัยน้องสนที่ไหน เริ่มวางแผนขยายกิจการ กับซื้อบ้านแล้ววววว ปล.วันนี้ไรต์มีโอที ตอนต่อไปอาจจะปั่นไม่ทันนะคะ
ซ่งเจียซินเดินเข้ามาที่ร้าน กวนไฉ่หงพนักงานขายประจำร้านคนใหม่ก็พาเธอไปนั่งในมุมรับรอง“นี่เป็นประวัติของนักออกแบบที่ผู้จัดการตงหามาให้คุณค่ะ”ซ่งเจียซินหยิบเอกสารตรงหน้าขึ้นมาอ่าน คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ในยุคนี้การสมัครงานไม่ต้องยื่นประวัติวุฒิการศึกษาหและประวัติการทำงานหรือไร ทำไมจึงมีเพียงแค่ประวัติส่วนตัวแบบย่อพร้อมกับผลงานตัวอย่างเท่านั้นเล่าทว่าถึงจะเป็นแบบนี้แต่ซ่งเจียซินกลับรู้สึกว่านักออกแบบคนนี้น่าสนใจไม่น้อย แบบร่างที่อีกฝ่ายแนบมาแม้จะเป็นเพียงการร่างคร่าวๆ อย่างเร่งรีบแต่ก็ดูทันสมัยและมีความเฉพาะที่โดดเด่น ไม่ต่างจากในยุคที่เธอจากมาเลย“คุณเสวี่ยครับ นี่คือคุณอันครับ”“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”“เช่นกันค่ะ”ซ่งเจียซินหรี่ตาลงเล็กน้อยกับท่าทีของหญิงสาวตรงหน้าที่ดูมีความทะนงในตนเองอยู่ไม่น้อย จนต้องลอบหันไปสบตากับตงซาง ชายหนุ่มเห็นสถานการณ์ไม่ค่อยดีนักจึงเป็นฝ่ายเปิดบทสนทนา“คุณอันเป็นนักออกแบบชื่อดัง ได้รับรางวัลนักออกแบบเครื่องเพชรยอดเยี่ยมมาสามปีซ้อนแล้วครับ”ซ่งเจียซินพยักหน้ารับ มองดูจากแบบร่างที่อีกฝ่ายยื่นมาก็ไม่นึกแปลกใจนักกับรางวัลที่ได้รับ“วันนี้ฉันยังมีงานต้อง
ผ่านไปร่วมชั่วโมงแล้วเสวี่ยชิงหยวนก็ยังไม่กลับมา หลี่โจวอี้ที่นั่งรออยู่บนเตียงเริ่มรู้สึกกระสับกระส่าย สายตาจ้องมองที่ประตูด้วยความร้อนใจมีเรื่องสำคัญอะไรนักหนาถึงได้ต้องคุยกันนานขนาดนี้จนกระทั่งเวลาผ่านไปชั่วโมงเศษ เสียงฝีเท้าคนก็เดินมาหยุดที่หน้าประตูห้อง หลี่โจวอี้รีบหยิบแว่นตามาสวม พร้อมกับนำหนังสือมาถือ จัดท่าทางของตนเองให้เหมือนเมื่อครั้งแรกที่เสวี่ยชิงหยวนได้พบเจอกับเขาทว่าซ่งเจียซินที่เปิดประตูเข้ามากลับไม่รู้ถึงความเจ้าเล่ห์ของคนบนเตียง ทันทีที่เข้าห้องมาก็ถูกภาพที่เขาจัดฉากตรึงสายตา สองเท้าเดินเข้าไปหาเขาหลี่โจวอี้ยกมุมปากขึ้นด้วยความภาคภูมิใจ เขาเป็นชายหนุ่มที่มีใบหน้าโดดเด่นและรูปร่างดีงาม เสวี่ยชิงหยวนจะลุ่มหลงจนละสายตาไม่ได้ก็ไม่แปลกนัก และทันทีที่เธอเดินมาถึงขอบเตียงก็โน้มตัวเอื้อมมือมาหาเขา หัวใจของหลี่โจวอี้สั่นระรัว เขารู้ว่าตนเองเป็นบุรุษที่น่าลุ่มหลง แต่ก็ไม่คิดว่าเสวี่ยชิงหยวนจะกล้าถึงขั้นเป็นฝ่ายรุกเข้าหาซึ่งหน้าขนาดนี้“คุณหลี่ หนังสือคุณกลับด้านอยู่”กล่าวจบมือเรียวก็ดึงหนังสือในมือของเขากลับด้านให้ เสร็จแล้วก็เดินไปที่ตู้เสื้อผ้าหยิบชุดใหม่ออกมาแล้วเข้าไปจ
“กระดูกข้อเท้าซ้ายของผู้พันหลี่หักไปสองท่อน”ถึงกับหักสองท่อน!ดวงตาคมตวัดมองไปทางหญิงสาวที่กำลังนั่งฟังหมอโจวบรรยายอาการของเขาด้วยความหงุดหงิดใจ“ตำแหน่งที่หักอันตรายมากไหมคะ”“ไม่มากครับ ตอนนี้ผมเข้าเฝือกเอาไว้ให้แล้ว แต่ระหว่างนี้ห้ามลงน้ำหนักนะครับ แล้วอีกหกสัปดาห์ค่อยมาเอกซเรย์ซ้ำดูอีกที”“ขอบคุณหมอโจวมากนะคะ”“ยินดีครับ”หมอโจวบอกอาการพร้อมกับให้คำแนะนำ ซ่งเจียซินตอบรับด้วยท่าทางสุภาพ หากแต่คนบนรถเข็นกลับแสดงสีหน้าขุ่นเคืองไม่พอใจ ตัวเขาก็เป็นหมอเหมือนกัน อีกทั้งประเมินดูจากอายุของหมอโจวผู้นี้แล้วเขายังนับว่ามีอายุงานมากกว่า ย่อมเชี่ยวชาญมากกว่า เรื่องพวกนี้ไม่ต้องให้อีกฝ่ายมาบอกเขาก็รู้ว่าต้องทำอย่างไร“คุณไม่ต้องรบกวนหมอโจวให้มากไป ลืมแล้วหรือว่าผมก็เป็นหมอ รู้ดีว่าต้องทำตัวยังไง”ซ่งเจียซินได้ยินคำพูดของคนเจ็บก็ขบกรามแน่นตวัดสายตาตำหนิ ก่อนจะหันไปยิ้มแห้งให้คุณหมอหนุ่มตรงข้าม“ทำไม ผมพูดอะไรผิดหรือไง”“คุณเงียบไปเลย”“นี่คุณกล้า... โอ๊ย!”เพราะโมโหที่ถูกหญิงสาวดุต่อหน้าคนอื่น หลี่โจวอี้จึงลืมตัวลุกขึ้นยืนทำให้เผลอลงน้ำหนักที่เท้าซ้าย ความเจ็บปวดแล่นปราบขึ้นมาถึงต้นขาจนเสียหลักท
“แม่ครับ ไปเล่นบอลกัน”เสียงของหลี่จื่อรั่วดังขึ้นก่อนที่ประตูห้องจะเปิดออก และตัวคนก็วิ่งเข้ามาโผกอดซ่งเจียซินจนร่างเล็กเซเอนไปอิงแอบกับอกแกร่งด้านหลังโดยไม่รู้ตัว คิ้วเข้มพลันขมวดแน่น มองร่างเล็กที่แนบชิดด้วยสายตาดุดันปนตำหนินี่ซ่งเจียซินกำลังฉวยโอกาสแนบชิดยั่วยวนเขาใช่หรือไม่ถึงแม้จะคิดว่าซ่งเจียซินกำลังแสร้งทำเพื่อจะได้แนบชิดตนเอง แต่หลี่โจวอี้ก็ไม่คิดจะผลักไสตัวคนออก สองมือกำผ้าคลุมโซฟาแน่น ไม่รู้เพราะอะไรแต่คล้ายว่าเขาจะไม่ได้รังเกียจสัมผัสของหญิงสาวเหมือนในอดีตแล้ว“ทำการบ้านเสร็จหมดแล้วหรือไง”หลี่โจวอี้ถามลูกชายเสียงเข้มระคนหงุดหงิดเมื่อซ่งเจียซินทรงตัวได้และกลับไปนั่งหลังตรงเช่นปกติ“เสร็จแล้วครับ”หลี่จื่อหมิงที่เดินตามน้องชายเข้ามาตอบรับแทนด้วยสีหน้านิ่งสงบ“ใช่ครับ พวกเรายังคัดตัวอักษรภาษาอังกฤษตามที่แม่เขียนให้ดูจบไปอีกสิบรอบด้วยนะครับ ตอนนี้ไม่ต้องเปิดดูตัวอย่างพวกเราก็สามารถเขียนได้อย่างคล่องมือแล้ว”หลี่จื่อชิงอกมือขึ้นกอดอกเชิดหน้าบอกเล่าด้วยความภาคภูมิใจ ซ่งเจียซินเห็นความขยันใส่ใจการเรียนของพวกเขาก็ยิ้มกว้าง กล่าวชื่นชมด้วยน้ำเสียงจริงใจ“ลูกชายของแม่เก่งกันจริงๆ
หลังจากตกลงกันได้แล้ว ซ่งเจียซินก็รับบทเป็นอาจารย์สอนพิเศษติวเข้มให้กับเด็กแฝดทั้งสาม สอนวิชาภาษาต่างชาติ และการคิดคำนวณให้พวกเขาอย่างคล่องแคล่ว"แม่! วิธีการคิดแบบนี้คืออะไรหรือครับ ทำไมถึงได้ง่ายแล้วก็ได้คำตอบที่รวดเร็วแบบนี้"หลี่จื่อชิงเอ่ยถามด้วยความตื่นเต้น เมื่อได้เรียนรู้วิธีการคิดคำนวณแบบใหม่ เช่นเดียวกับซ่งเจียซินที่ตกใจกับสรรพนามใหม่ที่เขาใช้เรียกขานตนเอง เพียงแต่หนึ่งเดือนที่ผ่านมานี้ เธอพอจะรู้จักนิสัยของเด็กชายคนนี้อยู่ไม่น้อยดังนั้นจึงไม่คิดจะทักท้วง เพียงเก็บความยินดีนี้เอาไว้เงียบๆ ในใจเท่านั้น"วิธีการพวกนี้เรียกว่าการคิดคำนวณแบบจินตคณิต เป็นเทคนิกการคิดตอบอย่างรวดเร็ว แต่ถึงอย่างนั้นลูกๆ ก็ต้องเรียนรู้การคิดคำนวณแบบมีระบบด้วย""แม่ คุณเก่งที่สุดเลย มีคุณคอยสอนพวกเรา ปีนี้คะแนนรวมของพวกเราต้องเป็นที่หนึ่งของระดับชั้นแน่นอน"หลี่จื่อรั่วกล่าวเยินยอมารดาเลี้ยงด้วยท่าทางสดใสจนซ่งเจียซินอดที่จะยิ้มตามไม่ได้"หากคะแนนรวมของพวกลูก ใครสามารถเป็นหนึ่งในห้าสูงสุดของระดับชั้น แม่จะรับปากมอบของขวัญให้หนึ่งชิ้นดีหรือไม่""แม่ คุณพูดแล้วห้ามคืนคำนะ หากพวกเราอยากได้ของแพงก็ห้ามบ่าย
หลี่โจวอี้เดินขึ้นมาที่ชั้นสองด้วยความเร่วรีบก่อนจะหยุดที่หน้าห้องของลูกชาย ทว่าภาพภายในห้องที่มองเห็นผ่านช่องประตูซึ่งปิดไม่สนิทกลับทำให้เขาไม่กล้าจะเปิดประตูเข้าไป“แม่ครับ แม่อ่านภาษาต่างประเทศพวกนี้ได้ด้วยหรือครับ”หลี่จื่อรั่วถามด้วยท่าทางกระตือรือร้น เมื่อเห็นว่ามารดาเลี้ยงของตนสามารถอ่านภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่วราวกับเป็นภาษาประจำชาติ“ไม่เพียงแค่อ่านได้ แต่แม่ยังเขียน แล้วก็สอนพวกนายได้ด้วย”“จริงหรือครับ! แม่จะสอนพวกเราจริงๆ หรือ”ซ่งเจียซินยิ้มกว้าง จับเด็กชายตัวน้อยมานั่งบนตักแล้วกดจมูกลงบนแก้มกลมๆ ก่อนจะมองสบตาเด็กชายอีกสองคนที่นั่งขนาบข้าง“ฉันสามารถสอนพวกนายได้ เพียงแต่ก่อนจะสอนการบ้านเหล่านี้ มีเรื่องหนึ่งที่พวกเราต้องคุยกันก่อน”เด็กชายทั้งสามเห็นหญิงสาวพูดด้วยท่าทางจริงจังก็ลอบสบตากันด้วยความรู้สึกกังวล หากแต่เมื่อเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าหวาน ความกังวลในใจก็เบาบางลงไปเล็กน้อย"คุณอยากคุยเรื่องอะไร"หลายวันมานี้หญิงสาวตรงหน้าคล้ายจะเปลี่ยนไปไม่น้อย หลี่จื่อหมิงจึงรู้สึกสะดวกใจที่จะพูดคุยกับเธอมากขึ้น“เอ่อ... เรื่องแรกก็คือ... ฉัน... อยากจะขอโทษพวกเธอ”ซ่งเจียซินพูดด้วยอา