บทที่ 3
หญิงร้ายกาจ
เสวี่ยชิงหยวน เธอช่างเป็นแม่เลี้ยงที่ประเสริฐจริงๆ อยู่ร่วมบ้านมาสองปีกลับจดจำพวกเขาไม่ได้เลยสักคน
ซ่งเจียซินก่นด่าเสวี่ยชิงหยวนอยู่ในใจพร้อมกับหยิบเสื้อผ้าที่ปลายเตียงเดินเข้าห้องน้ำ จัดการอาบน้ำล้างตัวเปลี่ยนชุดแล้วเร่งลงมาที่ห้องโถงชั้นล่าง
ก่อนหน้านี้หลี่อี้โจวบอกว่าใกล้ได้เวลาอาหารเช้าแล้ว ซ่งเจียซินไม่ต้องการให้เด็กๆ รอนานจนส่งผลเสียต่อสุขภาพของพวกเขา จึงไม่แม้แต่จะเสียเวลาแต่งหน้ารีบลงมาในทันที
ทว่าเมื่อมาถึงห้องโถงภาพที่เห็นกลับเป็นเด็กทั้งสามกำลังนั่งกินอาหารเช้าด้วยกันโดยไม่มีทีท่าว่าจะรอเธอ
“นี่พวกนาย กินข้าวกันแล้ว!”
ซ่งเจียซินไม่เคยมีลูกอีกทั้งตลอดชีวิตในชาติก่อนก็ทำแต่งานหาเงินเลี้ยงตัวเอง ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าต้องเปิดบทสนทนาอย่างไรจึงจะสร้างความประทับใจให้กับเด็กแฝดทั้งสามได้
“แม่ พวกเราขอโทษ พวกเราไม่ได้...”
“จื่อรั่วไม่ต้องเสียเวลาอธิบาย หากเธอจะตีฉันจะรับเอง”
ซ่งเจียซินเอียงศีรษะมองเด็กชายสองคนตรงหน้า ที่แม้จะมีใบหน้าที่คล้ายกันแต่แววตาและท่าทางกลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
“จื่อหลงพวกเรากินข้าวก่อนคุณแม่ นี่นับเป็นเรื่องไม่สมควรจริงๆ”
“แต่ไหนแต่ไร หากพ่อไม่อยู่เธอก็ไม่เคยลงมากินอาหารข้างล่างกับพวกเรา แล้วทำไมพวกเราต้องรอเธอ”
ซ่งเจียซินยกมือขึ้นกอดอกแล้วถอนหายใจยาว หลี่จื่อหลงผู้นี้ไม่ว่าจะเป็นน้ำเสียงที่หนักแน่น หรือท่าทางที่มั่นคงล้วนคล้ายคลึงกับหลี่อี้โจวผู้เป็นพ่อราวกับเป็นร่างที่ถูกย่อลงมาอย่างไรอย่างนั้น
“แม่... คุณอย่าโมโหจื่อหมิงเลยนะครับ”
หลี่จื่อรั่วลงจากเก้าอี้แล้ววิ่งมาจับชายเสื้อของซ่งเจียซิน เงยหน้าส่งสายตาเว้าวอน พลันภาพในความทรงจำของเสวี่ยชิงหยวนก็ปรากฏขึ้นมาในความคิด
“ให้ร่วมโต๊ะกับเจ้าพวกเด็กสกปรกฉันคงกินข้าวไม่ลง อิงอิง ยกอาหารขึ้นไปให้ฉันบนห้อง”
เสวี่ยชิงหยวนกล่าวอย่างหงุดหงิดในทันทีที่หลี่อี้โจวเดินออกจากบ้านไป
“ค่ะ คุณหนู”
“แม่ เมื่อเช้าพวกเราอาบน้ำแล้ว ไม่มีตรงไหนสกปรกเลย แม่กินข้าวกับพวกเราเถอะนะครับ”
“ปล่อยฉันนะไอ้เด็กเหลือขอ”
เสวี่ยชิงหยวนตวาดลั่น พร้อมกับผลักร่างของหลี่จื่อรั่วที่จับรั้งเธอไว้จนเขาล้มลงไปกับพื้น
ภาพการกระทำในอดีตของเสวี่ยชิงหยวนซ้อนทับกับเหตุการณ์ในตอนนี้ จนซ่งเจียซินรู้สึกปวดหนึบในหัวใจ แสบร้อนในดวงตา
“ฉัน...”
“หญิงใจร้าย! ห้ามรังแกจื่อรั่วนะ”
ซ่งเจียซินพูดไม่ทันจบประโยค เด็กชายอีกคนก็ตะโกนก้องออกมาพร้อมกับดึงน้องชายของตนเองมาหลบด้านหลัง โดยไม่คาดคิดว่าแรงของตนเองจะทำให้น้องชายที่เขาอยากปกป้องเซล้มลง อีกทั้งมือเล็กยังไปปัดถูกชามข้าวต้มจนหกราดลวกแขนของตนเอง
“โอ๊ย!”
“จื่อรั่ว!”
สามเสียงร้องประสานเรียกโดยพร้อมกัน หลี่จื่อหมิงที่อยู่ใกล้สุดรีบเข้ามาประคองน้องชาย ขณะที่ซ่งเจียซินก็ขยับตัวรีบพุ่งเข้าไปดูเด็กน้อยเช่นกัน เพียงแต่กลับถูกหลี่จื่อชิงมาขวางเอาไว้
“ห้ามรังแกจื่อรั่วนะ!”
“ฉันจะรังแกเขาได้ยังไง หลบไป!”
ซ่งเจียซินเอ่ยเสียงดุ แม้จะรู้ว่าตอนนี้สถานการณ์ความสัมพันธ์ของเธอกับเด็กชายทั้งสามไม่ค่อยดีนัก และเธอควรเข้าหาพวกเขาด้วยท่าทางที่เป็นมิตร แต่สถานการณ์ในตอนนี้เร่งด่วนเกินกว่าจะมากังวลเรื่องพวกนี้
“ไม่หลบ หญิงใจร้ายอย่ามายุ่งกับพวกเรานะ”
ยังคงเป็นหลี่จื่อชิงที่ขัดขวางเธอเอาไว้ มือเล็กออกแรงสุดกำลังเพื่อผลักไสหญิงสาวให้ออกห่าง ซ่งเจียซินถอนหายใจ พยายามอย่างยิ่งในการควบคุมอารมณ์ของตนเอง ทว่าเมื่อเห็นแขนเล็กของหลี่จื่อรั่วแดงก่ำ ก็เรียกหาสาวใช้คนสนิท
“อิงอิง!”
“ค่ะ คุณหนู”
“จับตัวเด็กสองคนนี้ไว้”
จูหลินอิง เป็นสาวใช้ส่วนตัวของซ่งเจียซินที่ตามมาจากบ้านเดิม แม้จะมีร่างกายจะผอมบางแต่กลับแข็งแรงมาก ดังนั้นต่อให้หลี่จื่อหลงและหลี่จื่อชิงจะไม่ยินยอมแต่ก็สู้แรงของจูหลินอิงไม่ได้
“ปล่อยพวกเรานะ หญิงใจร้ายปล่อย!”
หลี่จื่อชิงตะโกนก้องดิ้นรนไปมา ทว่าซ่งเจียซินไม่ได้สนใจเขาเลยสักนิด รีบเข้าไปดูเด็กน้อยหลี่จื่อรั่วที่นั่งกลั้นสะอื้นอยู่บนพื้น
“จื่อรั่ว นายเจ็บตรงไหนบ้าง”
“เจ็บแขนครับ”
เด็กน้อยยกแขนเล็กที่เต็มไปด้วยเศษอาหารขึ้นมา ซ่งเจียซินจึงช้อนตัวเขาเดินไปที่ห้องน้ำในทัน
“เขาบาดเจ็บอยู่ห้ามตีเขา หากคุณจะตีก็มาตีผม”
ตี! หลี่จื่อหลงร้องห้ามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ เท้าของซ่งเจียซินชะงักไปชั่วครู่ ภาพที่เสวี่ยชิงหยวนจับเด็กน้อยเข้าไปเฆี่ยนตีในห้องผุดขึ้นมาในความทรงจำ เสวี่ยชิงหยวน เธอมันเป็นหญิงร้ายกาจจริงๆ
“แม่ คุณจะตีจื่อรั่วจริงๆ หรือครับ”
“เด็กดีฉันจะตีนายได้ยังไง ตอนนี้นายบาดเจ็บฉันเพียงจะพาไปล้างทำความสะอาด แล้วค่อยพาไปโรงพยาบาล”
ได้ยินว่ามารดาเลี้ยงจะพาเขาไปล้างตัว อีกทั้งยังจะส่งเขาไปโรงพยาบาลอีก ในใจของเด็กน้อยก็รู้สึกฟูฟ่อง ยิ้มจนเห็นฟันหลอทั้งสามซี่
“แม่ คุณขับรถไม่เป็นไม่ใช่หรือครับแล้วจะพาผมไปโรงพยาบาลได้ยังไง”
.......................................
ซ่งเจียซินมองดูบัตรเชิญที่ตงซางยื่นให้แล้วขมวดคิ้วแน่น ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความสงสัย“สมาคมฟู่หลันอย่างนั้นหรือ ทำไมฉันถึงไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย”“เป็นสมาคมที่ตระกูลฟู่ก่อตั้งขึ้นครับ เห็นว่าก่อตั้งมาเพียงสามปีก็ได้รับความนิยมจากผู้คนจำนวนมาก มีทุนสนับสนุนหมุนเวียนปีละหลายล้านหยวนเลยทีเดียว”ทุนสนับสนุนหมุนเวียนปีละหลายล้านหยวน จะเป็นไปได้อย่างไรกัน ที่จะมีคนบริจาคเงินสนับสนุนด้วยงบประมาณที่สูงถึงเพียงนั้น เว้นแต่ว่ากิจการสมาคมนี้เบื้องหลังจะไม่ได้สร้างขึ้นเพื่อผลประโยชน์ทางการกุศลเพียงอย่างเดียว ทว่าตระกูลฟู่นี้ทำไมจึงรู้สึกคุ้นหูนัก“ตระกูลฟู่... ทำไมฉันถึงได้คุ้นหูจัง”“อาจเป็นเพราะนายท่านตระกูลฟู่ ก็คือบิดาบุญธรรมของคุณเจียงครับ”“บิดาบุญธรรมของเจียงชิงชุน?”“ครับ ตระกูล เป็นผู้ประกอบกิจการรายใหญ่ของประเทศ ผลิตอุปกรณ์และยาทางการแพทย์ครับ”“กิจการของตระกูลเสวี่ยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับตระกูลฟู่ดังนั้นงานเลี้ยงนี้คงไม่เหมาะสมที่จะไป”ในเมื่อไม่มีเหตุผลทางธุรกิจ และไม่มีความจำเป็นในความสัมพันธ์ส่วนตัวซ่งเจียซินก็คิดว่าเธอไม่ควรสอดมือเข้าไปในพื้นที่ที่ไม่น่าไว้วางใจนี้ มือเรียวจึงวางบัตรเชิ
ซ่งเจียซินแทบจะสำลักข้าวต้มเมื่อหลี่โจวอี้แจ้งข่าวว่าตนเองทำเรื่องย้ายกลับเข้าเมืองได้สำเร็จแล้ว และนับจากวันนี้ไปเขาจะอยู่ที่บ้านทุกวัน“คุณหลี่ เมื่อครู่คุณบอกว่ายังไงนะคะ”“ผมบอกว่าตอนนี้ผมทำเรื่องย้ายมาสังกัดในเมืองได้แล้ว ต่อไปก็สามารถอยู่กับลูกและคุณได้ทุกวัน”อยู่ได้ทุกวัน เพียงแค่คิดซ่งเจียซินก็รู้สึกว่าเส้นเลือดที่ขมับปูดโปนขึ้นมา สบดวงตาคมที่จ้องมองแล้วยิ้มแห้ง ทว่ายังไม่ทันพูดอะไรเสียงรถคันหนึ่งก็ขับมาจอดที่หน้าประตูรั้ว“คุณไป๋ชิงหลันมาพบคุณหลี่ค่ะ”หูหลันอิงเข้ามารายงานด้วยท่าทางสงบนิ่งหากแต่หางตาลอบมองผู้เป็นนายสาวด้วยความห่วงใย ซ่งเจียซินตวัดสายตามองชายหนุ่มหัวโต๊ะแล้วถอนหายใจยาว ช่างเป็นบุรุษมากเสน่ห์จริงๆ“อย่างนั้นคุณก็คุยกับเพื่อนสนิทไปก่อนก็แล้วกันนะคะ วันนี้ฉันจะไปส่งเด็กๆ เอง”พูดจบซ่งเจียซินก็ลุกขึ้น ไม่ต้องเอ่ยชวนเด็กชายทั้งสามก็ลุกขึ้นลงจากเก้าอี้ตามมารดาเลี้ยงในทันที“พ่อใจร้าย”หลี่จื่อรั่วพูดเสียงน้อยใจก่อนเดินออกไป ตามด้วยพี่ชายทั้งสองสีหน้าและแววตาชัดเจนว่าไม่พอใจคนเป็นพ่อเป็นอย่างยิ่งเช่นกัน“เดี๋ยวก่อน ผมไม่ได้...”“โจวอี้...”หลี่โจวอี้พูดไม่ทันจบประโย
ข่าวเรื่องลูกค้าระดับแบล๊กโกล์ดคลาสของร้านเพชรเสวี่ยจะได้เลือกชมตัวอย่างแบบร่างเครื่องเพชรของนักออกแบบอันลู่ซือก่อนผู้อื่นทำให้บรรดาสมาชิกผู้ถือบัตรต่างพากันเข้าซื้อสินค้าในร้านเพชรเสวี่ยเพื่อเพิ่มระดับบัตรสมาชิกของตัวเอง เพียงระยะเวลาหนึ่งสัปดาห์สร้างรายได้ให้กับร้านเสวี่ยมากกว่าสามล้านหยวน ทำลายยอดสถิติหลายปีที่ผ่านมาของเสวี่ยกรุ๊ปจนบรรดาผู้ถือหุ้นทั้งหลายต่างพากันตกใจและเมื่อถึงกำหนดส่งบัตรเชิญจำนวนลูกค้าผู้ถือบัตรสมาชิกระดับแบล๊กโกล์ดคลาสจากสิบกว่าคนก็เพิ่มยอดเป็นสามสิบคน คิดคำนวณดูแล้วเพียงแค่กลุ่มลูกค้านี้ก็สร้างรายได้ให้ร้านเสวี่ยถึงสามล้านหยวนแล้ว“ไฉ่หงทุกอย่างเรียบร้อยดีไหม”“เรียบร้อยดีค่ะ”ซ่งเจียซินที่มาตรวจสอบความเรียบร้อยของการจัดงานสอบถามกวนไฉ่หง โดยวันนี้เธอได้มอบหมายให้ตงซางเข้าไปต้อนรับสมาชิกและดูแลความเรียบร้อยด้านใน แต่หากมีเรื่องผิดพลาดหรือปัญหาใดๆ เกิดขึ้นตัวเธอก็จะรอจัดการอยู่ที่ด้านนอก“ยอดการสั่งจองเป็นอย่างไรบ้าง”“แบบร่างทั้งหกสิบแบบที่จะผลิตในปีนี้ถูกสั่งจองไว้ทั้งหมดแล้วค่ะ”“ดี!”และเพราะแบบร่างทั้งหกสิบแบบที่อันลู่ซือออกแบบไว้ก็ถูกสั่งจองไปจนหมด ทำให้ท
หลังจากงานเลิก ซ่งเจียซินก็พาเด็กชายทั้งสามแยกตัวออกจากงาน อาจเพราะเป็นเวลาที่ดึกมากแล้วดังนั้นขึ้นรถมาได้ไม่นานทั้งสามคนก็เอนหลับ ดวงตากลมมองศีรษะเล็กของหลี่จื่อรั่ว และ หลี่จื่อชิงที่นอนซบอยู่บนตักนุ่ม ขณะที่หลี่จื่อหมิงนั่งนิ่งแผ่นหลังตรงราวกับยังมีสติครบ เพียงแต่ดวงตาที่ปิดสนิทกับลมหายใจที่สม่ำเสมอก็ทำให้ซ่งเจียซินรับรู้ได้ว่าเขาเองก็หลับแล้วเช่นกัน“คุณชายทั้งสามยังเด็ก ออกงานครั้งแรกมีปัญหาอะไรไหมคะ”“ไม่มี”เมื่อตอบจูหลินอิงไปแล้วซ่งเจียซินก็อดคิดถึงภาพสามคุณหนูที่ถูกเด็กชายทั้งสามลงมือไม่ได้“ถึงมีฉันก็จะปกป้องพวกเขาเอง”“คุณหนูดีกับคุณชายน้อยทั้งสามคนขนาดนี้ คุณหลี่ก็ยังคิดมอบใบหย่าคุณอีก ช่างเป็นบุรุษที่ใจร้ายจริงๆ”ในรถพลันเงียบลงในทันทีจูหลินอิงที่รู้ว่าตนเองพูดเรื่องที่ไม่สมควรออกมาก็รีบกล่าวขอโทษแล้วหันกลับไปนั่งนิ่งไม่พูดอะไรอีกซ่งเจียซินปวดหนึบในใจ ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่แต่เธอรู้สึกรักและผูกพันจนไม่อยากจากเด็กชายทั้งสามไปเลย ดวงตากลมเสมองไปนอกหน้าต่างเพื่อขับไล่ความรู้สึกในอก จึงไม่เห็นมือเล็กของหลี่จื่อหมิงที่กำแน่นเข้าหากันบิดาของเขาคิดจะมอบใบหย่าให้มารดาเลี้ยงอย่า
“ชิงหยวน เป็นอย่างไรบ้าง”อวี้ซูซินเห็นลูกสาวของตนเองเดินกลับออกมาก็เอ่ยถามด้วยสีหน้ากังวล เช่นเดียวกับเสวี่ยตงฉินที่ยืนอยู่ข้างๆ“ลูกไม่ต้องห่วง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นพ่อจะสนับสนุนลูกเอง”“ขอบคุณค่ะ”เพราะยังไม่แน่ใจว่าสิงฉู่หรันจะช่วยเหลือจากใจจริงหรือไม่ ซ่งเจียซินจึงทำได้เพียงหมุนตัวไปทางเวทีด้านหน้า พลันแสงไฟในงานก็ดับลง เหลือเพียงแสงที่สาดขึ้นบนเวทีซ่งเจียซินจดจ้องบนลานเดินที่บรรดานางแบบกำลังทยอยเดินออกมา บนตัวของพวกเธอแต่ละคนต่างสวมเครื่องเพชรหรูหรา โดยมีพิธีการชายหญิงคอยอธิบายถึงคุณสมบัติต่างๆ ของผลงานแต่ละชิ้น“และในลำดับต่อไปเป็นเครื่องเพชรจากร้านเสวี่ยครับ”สิ้นเสียงของพิธีกรสิงฉู่หรันในชุดสีดำวาวก็เดินออกมายังเบื้องหน้าเวที ด้วยรูปลักษณ์และใบหน้าที่โดดเด่น อีกทั้งท่วงท่าสง่างาม แน่นอนว่าเธอย่อมเป็นจุดสนใจของผู้คนในทันทีที่ปรากฏตัว“นั้นคุณสิงฉู่หรัน ดาราดังไม่ใช่หรือ”“ได้ยินว่าเธอไม่รับงานเดินแบบนี่นา ไม่คิดเลยว่าร้านเสวี่ยจะสามารถเชิญเธอมาเดินแบบให้ได้”เสียงผู้คนดังขึ้น เสวี่ยชิงหยวนจ้องมองไปบนเวทีด้วยหัวใจที่สั่นระรัว สองมือข้างลำตัวกำแน่นด้วยความกังวล ก่อนจะสัมผัสได้ถึ
“คุณหนูเสวี่ยครับเกิดเรื่องแล้ว”“เรื่องอะไร”“นางแบบที่จะสวมชุดเครื่องเพชรของร้านเราขึ้นเวทีเป็นลมหมดสติไปกะทันหันครับ”ซ่งเจียซินขมวดคิ้วเรียวแน่น ในแววตามีความกังวลและสงสัยเกิดขึ้นทันทีที่ฟังคำรายงานของตงซางจบ เพียงแต่ตอนนี้สิ่งสำคัญไม่ใช่การหาสาเหตุการเกิดปัญหา แต่คือการหาวิธีแก้ไขปัญหา“คุณแม่คะ ฉันฝากเด็กๆ ไว้สักครู่นะคะ”“ได้!แม่จะดูแลพวกเขาเอง ลูกไปจัดการธุระเถอะ”“แม่ไม่ต้องเป็นห่วง ผมจะดูแลน้องๆ เอง”หลังจากได้รับคำตกลงจากมารดา และคำมั่นจากหลี่จื่อหมิงซ่งเจียซินก็วางใจเร่งเดินไปที่ห้องด้านหลังเวทีในทันที“คุณเสวี่ย พวกเราจะทำยังไงดี”อันลู่ซื่อถามด้วยความร้อนใจ บรรยากาศในห้องแต่งตัวเวลานี้เต็มไปด้วยความตึงเครียด แม้ว่าเหตุการณ์ครั้งนี้จะเป็นเหตุสุดวิสัย และทางสมาคมหมิงหลันไม่ได้ตำหนิพวกเธอร้านเสวี่ย แต่สำหรับซ่งเจียซินแล้วนี่กลับเป็นการขาดทุนมหาศาลหากไม่ได้ขึ้นเวทีเครื่องเพชรของเธอก็จะไม่ได้ถูกนำเสนอ ชื่อร้านเสวี่ยก็จะไม่มีการประกาศ เช่นนี้แล้วทุกอย่างที่ลงแรงไปก็เท่ากับศูนย์เปล่า“นางแบบเป็นยังไงบ้าง พาไปโรงพยาบาลหรือยัง”“เรียบร้อยแล้วครับ”ในสถานการณ์เช่นนี้ซ่งเจียซินไม่ไ