“คุณแม่” / “หญิงใจร้าย”
“เป็นเด็กเป็นเล็กใช้เตาไฟโดยไม่มีผู้ใหญ่อันตรายแค่ไหนไม่รู้หรือไง”
“พวกเราเป็นผู้ชายเจ็ดขวบแล้ว ขึ้นชั้นประถมแล้วด้วย ไม่ใช่เด็กแล้ว”
หลี่จื่อชิงร้องโวยวายโต้แย้ง พ่อเคยบอกว่าพวกเขาเป็นผู้ชาย ตอนนี้เจ็ดขวบแล้วอีกทั้งยังขึ้นชั้นประถมแล้วไม่นับว่าเป็นเด็กอีกต่อไป ต้องรู้จักพึ่งพาช่วยเหลือตนเอง หญิงใจร้ายตรงหน้าไม่รู้เรื่องของผู้ชายละสิ ถึงได้ยังคิดว่าพวกเขาเป็นเด็กแบบพวกผู้หญิง
ซ่งเจียซินถอนหายใจยาวมองดูความดื้อดึงของเด็กชายตรงหน้าอย่างระอาใจ ทว่าพริบตาก็เปลี่ยนเป็นขุ่นเคืองจ้องมองใบหน้าแต่ละคนด้วยสายตาไม่พอใจ
“จื่อชิง แค่พูดไม่ระวัง ถ้าคุณไม่พอใจที่พวกเราใช้เตาไฟอย่างนั้นพวกเราก็จะไม่ใช้”
หลี่จื่อหมิงเห็นสายตาขุ่นเคืองของหญิงสาวตรงหน้าก็คิดว่าเธอคงไม่พอใจที่หลี่จื่อชิงโต้แย้งเมื่อครู่ ดังนั้นเพื่อไม่ให้น้องถูกทำโทษขังในห้อง หรือให้อดอาหารเหมือนในอดีต หลี่จื่อหมิงจึงหลบเลี่ยงด้วยการคิดจะพาน้อง ๆ กลับขึ้นห้อง
คิดแล้วก็โมโหตนเอง เพราะหลายวันมานี้เสวี่ยชิงหยวนใจดีกับพวกเขามากไป ดังนั้นหลี่จื่อหมิงจึงชะล่าใจไม่ได้เตรียมอาหารแห้งซ่อนไว้ในห้องเช่นเมื่อก่อน วันนี้จึงจำใจต้องถอยหนึ่งก้าวเพื่อปกป้องท้องของทุกคน
ทนหิวหนึ่งมื้อก็ดีกว่าต้องทนหิวไปอีกหลายวัน
“หน้าพวกนาย ฝีมือใคร”
เพราะความหิวทำให้เด็กชายทั้งสามลืมไปเสียสนิทว่าพวกตนหลบหน้าเสวี่ยชิงหยวนเพราะไม่ต้องการให้เธอเห็นรอยฟกช้ำบนใบหน้า ตอนนี้คิดจะหลบเลี่ยงก็คงเป็นไปไม่ได้แล้ว
ซ่งเจียซินไม่รอคำตอบจากพวกเขาเดินตรงเข้ามาจับตัวของเด็กชายแต่ละคนเปิดเสื้อสำรวจร่างกาย เมื่อเห็นว่าเนื้อตัวของพวกเขามีรอยฟกช้ำทั้งเก่าและใหม่ก็ขบกรามแน่น
ซ่งเจียซินหลับตาขมวดคิ้วแน่น พยายามเค้นหาความทรงจำของเสวี่ยชิงหยวนว่าในอดีตเคยทำร้ายเด็กชายทั้งสามหรือไม่
“แม่ครับ พวกเราขอโทษ”
หลี่จื่อรั่วเดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้ามารดาเลี้ยงที่ตอนนี้สีหน้าเต็มไปด้วยความโกรธเคือง
ซ่งเจียซินค่อย ๆ ลืมตาขึ้นเมื่อพบว่าในความทรงจำนี้แม้ว่าเสวี่ยชิงหยวนจะเป็นสตรีร้ายกาจ แต่เธอก็ไม่เคยลงมือทุบตีเด็กชายทั้งสาม เวลาไม่พอใจก็จะใช้วิธีกักขังเอาไว้ในห้อง หรือให้อดอาหาร ดังนั้นรอยฟกช้ำบนตัวของพวกเขาแน่นอนว่าต้องมาจากผู้อื่น
“แม่จะไม่โกรธถ้าจื่อรั่วบอกแม่มาว่าใครเป็นคนทำร้ายลูก ๆ”
เมื่อถูกถามถึงคนที่ลงมือทำร้ายตนเองและพี่ชายฝาแฝดทั้งสอง หลี่จื่อรั่วก็เม้มริมฝีปากแน่น หลี่จื่อหมิงเอื้อมมือมาดึงน้องชายให้ถอยห่างจากมารดาเลี้ยงแล้วพูดเสียงเยือกเย็นราบเรียบ
“ไม่ใช่เรื่องของคุณ”
กล่าวจบก็จับมือน้องชายทั้งสองเดินกลับขึ้นห้อง หากแต่
ซ่งเจียซินก็เดินมาขวางทางเอาไว้ด้วยสีหน้าไม่พอใจ“ใครบอกว่าไม่ใช่เรื่องของฉัน พวกนายเป็นลูกของฉัน”
“แค่ลูกเลี้ยง”
หลี่จื่อชิงพูดแทรกขึ้นมา พลางเบนสายตาหลบไม่สบตา
“จะลูกจริงหรือลูกเลี้ยงพวกนายก็คือลูกของฉัน ถ้าวันนี้พวกนายไม่บอกความจริงกับฉัน พรุ่งนี้ฉันก็จะไปถามที่โรงเรียน”
“คุณจะอยากรู้ไปทำไม ไม่ต้องห่วงถ้าคุณพ่อถามพวกเราจะบอกว่าไม่เกี่ยวกับคุณ”
ซ่งเจียซินได้ยินหลี่จื่อหมิงตอบกลับด้วยท่าทางเย็นชาก็สูดลมหายใจเข้าข่มกลั้นอารมณ์
“จื่อหมิง วันก่อนนายไม่ใช่บอกว่าจะเชื่อฟังฉันหรือไง”
“ไม่ได้บอกว่ากี่วัน”
เป็นอีกครั้งที่ซ่งเจียซินต้องใช้ลมหายใจควบคุมอารมณ์ตนเอง หลี่จื่อหมิงอายุเจ็ดขวบก็รู้จักใช่เล่ห์เหลี่ยมแล้วหรือ
“ได้! อย่างนั้นพรุ่งนี้ก็ไปโรงเรียนพร้อมกัน”
“พวกเราไปมีเรื่องมา อยากลงโทษก็ลงโทษไม่ต้องทำเรื่องให้วุ่นวาย”
เป็นหลี่จื่อชิงที่พูดออกมาด้วยดวงตาที่แดงก่ำ ซ่งเจียซินยังเห็นว่าเขาแอบยกมือปาดน้ำตาบนใบหน้า ราวกับอัดอั้นตันใจในบางสิ่ง
“แม่ครับ พวกเราไม่ได้เริ่มก่อน เป็นพวกติงฝูไห่ที่มารีดไถเงินพวกเรา แล้วยังว่าพวกเราจนจื่อชิงทนไม่ไหวแล้วก็...”
“จื่อรั่วไม่ต้องพูดแล้ว เป็นผมเองที่หาเรื่อง คุณจะตีหรือจะลงโทษอะไรก็มาลงที่ผม คนอื่นไม่เกี่ยว”
“ห้ามตีพวกเขา! หรือถ้าจะตีก็ตีผม”
ซ่งเจียซินมองดูสามพี่น้องตรงหน้าแล้วถอนหายใจยาว ไม่รู้ว่าเธอควรดีใจในความรักใคร่ปรองดองของพวกเขา หรือโมโหที่พวกเขาร่วมมือกันปกปิดเรื่องราวกันแน่
“อย่างนั้นให้พวกนายเลือก อยากให้ฉันรู้ความจริงจากปากพวกนาย หรือคำโกหกจากปากคนอื่น”
ความจริงจากปากพวกเขา หรือคำโกหกจากปากคนอื่น หมายความว่าเธอเชื่อพวกเขาอย่างนั้นหรือ หลี่จื่อหมิงจ้องมองดวงตากลมของมารดาเลี้ยงอย่างชั่งใจก่อนจะเป็นคนเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น
“ดี! อย่างนั้นพรุ่งนี้ก็ไปโรงเรียนพร้อมกัน”
“จะไปทำไมอีก ไหนคุณบอกว่าเชื่อพวกเราไง นี่คุณโกหกใช่ไหม จริง ๆ แล้วคุณไม่เคยเชื่อพวกเราเลย”
หลี่จื่อชิงได้ยินว่าหญิงใจร้ายตรงหน้าจะไปโรงเรียนก็โวยวายอีกระลอก ดวงตาเริ่มแดงก่ำอีกหน ซ่งเจียซินที่เห็นแล้วในใจก็อดจะรู้สึกเจ็บปวดไม่ได้ ความรู้สึกที่ไม่อาจพึ่งพาใครพวกเขาที่อายุแค่นี้จะรับไหวได้อย่างไรกัน
“พวกนายถูกคนอื่นรังแก ฉันจะไม่ไปเอาเรื่องได้อย่างไร”
ไปเอาเรื่อง นี่หมายความว่าเธอเชื่อคำพูดของพวกเขาอย่างนั้นเหรอ
“คุณ... เชื่อพวกเรา”
“พวกนายเป็นลูกของฉัน ฉันไม่เชื่อพวกนายแล้วจะให้ไปเชื่อคนอื่นหรือไง ไปนั่งที่โต๊ะฉันจะทำอาหารให้ คืนนี้ต้องกินให้อิ่มพรุ่งนี้จะได้มีแรงช่วยฉันหาเรื่องคน”
พูดจบหญิงสาวก็เดินเข้าไปในครัว หลี่จื่อหมิงมองตามแผ่นหลังบางที่ดูมั่นคงอย่างที่เขาไม่เคยเห็นแล้วพูดเสียงเบา
“หญิงอันธพาล”
ซ่งเจียซินที่ได้ยินคำชมของเด็กชายหน้านิ่งยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย ก่อนจะเดินเข้าไปเปิดเตาไฟทำอาหารง่าย ๆ ให้พวกเขากินก่อนจะแยกย้ายกันเข้าห้องนอน
ซ่งเจียซินมองดูบัตรเชิญที่ตงซางยื่นให้แล้วขมวดคิ้วแน่น ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความสงสัย“สมาคมฟู่หลันอย่างนั้นหรือ ทำไมฉันถึงไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย”“เป็นสมาคมที่ตระกูลฟู่ก่อตั้งขึ้นครับ เห็นว่าก่อตั้งมาเพียงสามปีก็ได้รับความนิยมจากผู้คนจำนวนมาก มีทุนสนับสนุนหมุนเวียนปีละหลายล้านหยวนเลยทีเดียว”ทุนสนับสนุนหมุนเวียนปีละหลายล้านหยวน จะเป็นไปได้อย่างไรกัน ที่จะมีคนบริจาคเงินสนับสนุนด้วยงบประมาณที่สูงถึงเพียงนั้น เว้นแต่ว่ากิจการสมาคมนี้เบื้องหลังจะไม่ได้สร้างขึ้นเพื่อผลประโยชน์ทางการกุศลเพียงอย่างเดียว ทว่าตระกูลฟู่นี้ทำไมจึงรู้สึกคุ้นหูนัก“ตระกูลฟู่... ทำไมฉันถึงได้คุ้นหูจัง”“อาจเป็นเพราะนายท่านตระกูลฟู่ ก็คือบิดาบุญธรรมของคุณเจียงครับ”“บิดาบุญธรรมของเจียงชิงชุน?”“ครับ ตระกูล เป็นผู้ประกอบกิจการรายใหญ่ของประเทศ ผลิตอุปกรณ์และยาทางการแพทย์ครับ”“กิจการของตระกูลเสวี่ยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับตระกูลฟู่ดังนั้นงานเลี้ยงนี้คงไม่เหมาะสมที่จะไป”ในเมื่อไม่มีเหตุผลทางธุรกิจ และไม่มีความจำเป็นในความสัมพันธ์ส่วนตัวซ่งเจียซินก็คิดว่าเธอไม่ควรสอดมือเข้าไปในพื้นที่ที่ไม่น่าไว้วางใจนี้ มือเรียวจึงวางบัตรเชิญ
ซ่งเจียซินแทบจะสำลักข้าวต้มเมื่อหลี่โจวอี้แจ้งข่าวว่าตนเองทำเรื่องย้ายกลับเข้าเมืองได้สำเร็จแล้ว และนับจากวันนี้ไปเขาจะอยู่ที่บ้านทุกวัน“คุณหลี่ เมื่อครู่คุณบอกว่ายังไงนะคะ”“ผมบอกว่าตอนนี้ผมทำเรื่องย้ายมาสังกัดในเมืองได้แล้ว ต่อไปก็สามารถอยู่กับลูกและคุณได้ทุกวัน”อยู่ได้ทุกวัน เพียงแค่คิดซ่งเจียซินก็รู้สึกว่าเส้นเลือดที่ขมับปูดโปนขึ้นมา สบดวงตาคมที่จ้องมองแล้วยิ้มแห้ง ทว่ายังไม่ทันพูดอะไรเสียงรถคันหนึ่งก็ขับมาจอดที่หน้าประตูรั้ว“คุณไป๋ชิงหลันมาพบคุณหลี่ค่ะ”หูหลันอิงเข้ามารายงานด้วยท่าทางสงบนิ่งหากแต่หางตาลอบมองผู้เป็นนายสาวด้วยความห่วงใย ซ่งเจียซินตวัดสายตามองชายหนุ่มหัวโต๊ะแล้วถอนหายใจยาว ช่างเป็นบุรุษมากเสน่ห์จริงๆ“อย่างนั้นคุณก็คุยกับเพื่อนสนิทไปก่อนก็แล้วกันนะคะ วันนี้ฉันจะไปส่งเด็กๆ เอง”พูดจบซ่งเจียซินก็ลุกขึ้น ไม่ต้องเอ่ยชวนเด็กชายทั้งสามก็ลุกขึ้นลงจากเก้าอี้ตามมารดาเลี้ยงในทันที“พ่อใจร้าย”หลี่จื่อรั่วพูดเสียงน้อยใจก่อนเดินออกไป ตามด้วยพี่ชายทั้งสองสีหน้าและแววตาชัดเจนว่าไม่พอใจคนเป็นพ่อเป็นอย่างยิ่งเช่นกัน“เดี๋ยวก่อน ผมไม่ได้...”“โจวอี้...”หลี่โจวอี้พูดไม่ทันจบประโย
ข่าวเรื่องลูกค้าระดับแบล๊กโกล์ดคลาสของร้านเพชรเสวี่ยจะได้เลือกชมตัวอย่างแบบร่างเครื่องเพชรของนักออกแบบอันลู่ซือก่อนผู้อื่นทำให้บรรดาสมาชิกผู้ถือบัตรต่างพากันเข้าซื้อสินค้าในร้านเพชรเสวี่ยเพื่อเพิ่มระดับบัตรสมาชิกของตัวเอง เพียงระยะเวลาหนึ่งสัปดาห์สร้างรายได้ให้กับร้านเสวี่ยมากกว่าสามล้านหยวน ทำลายยอดสถิติหลายปีที่ผ่านมาของเสวี่ยกรุ๊ปจนบรรดาผู้ถือหุ้นทั้งหลายต่างพากันตกใจและเมื่อถึงกำหนดส่งบัตรเชิญจำนวนลูกค้าผู้ถือบัตรสมาชิกระดับแบล๊กโกล์ดคลาสจากสิบกว่าคนก็เพิ่มยอดเป็นสามสิบคน คิดคำนวณดูแล้วเพียงแค่กลุ่มลูกค้านี้ก็สร้างรายได้ให้ร้านเสวี่ยถึงสามล้านหยวนแล้ว“ไฉ่หงทุกอย่างเรียบร้อยดีไหม”“เรียบร้อยดีค่ะ”ซ่งเจียซินที่มาตรวจสอบความเรียบร้อยของการจัดงานสอบถามกวนไฉ่หง โดยวันนี้เธอได้มอบหมายให้ตงซางเข้าไปต้อนรับสมาชิกและดูแลความเรียบร้อยด้านใน แต่หากมีเรื่องผิดพลาดหรือปัญหาใดๆ เกิดขึ้นตัวเธอก็จะรอจัดการอยู่ที่ด้านนอก“ยอดการสั่งจองเป็นอย่างไรบ้าง”“แบบร่างทั้งหกสิบแบบที่จะผลิตในปีนี้ถูกสั่งจองไว้ทั้งหมดแล้วค่ะ”“ดี!”และเพราะแบบร่างทั้งหกสิบแบบที่อันลู่ซือออกแบบไว้ก็ถูกสั่งจองไปจนหมด ทำให้ที
หลังจากงานเลิก ซ่งเจียซินก็พาเด็กชายทั้งสามแยกตัวออกจากงาน อาจเพราะเป็นเวลาที่ดึกมากแล้วดังนั้นขึ้นรถมาได้ไม่นานทั้งสามคนก็เอนหลับ ดวงตากลมมองศีรษะเล็กของหลี่จื่อรั่ว และ หลี่จื่อชิงที่นอนซบอยู่บนตักนุ่ม ขณะที่หลี่จื่อหมิงนั่งนิ่งแผ่นหลังตรงราวกับยังมีสติครบ เพียงแต่ดวงตาที่ปิดสนิทกับลมหายใจที่สม่ำเสมอก็ทำให้ซ่งเจียซินรับรู้ได้ว่าเขาเองก็หลับแล้วเช่นกัน“คุณชายทั้งสามยังเด็ก ออกงานครั้งแรกมีปัญหาอะไรไหมคะ”“ไม่มี”เมื่อตอบจูหลินอิงไปแล้วซ่งเจียซินก็อดคิดถึงภาพสามคุณหนูที่ถูกเด็กชายทั้งสามลงมือไม่ได้“ถึงมีฉันก็จะปกป้องพวกเขาเอง”“คุณหนูดีกับคุณชายน้อยทั้งสามคนขนาดนี้ คุณหลี่ก็ยังคิดมอบใบหย่าคุณอีก ช่างเป็นบุรุษที่ใจร้ายจริงๆ”ในรถพลันเงียบลงในทันทีจูหลินอิงที่รู้ว่าตนเองพูดเรื่องที่ไม่สมควรออกมาก็รีบกล่าวขอโทษแล้วหันกลับไปนั่งนิ่งไม่พูดอะไรอีกซ่งเจียซินปวดหนึบในใจ ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่แต่เธอรู้สึกรักและผูกพันจนไม่อยากจากเด็กชายทั้งสามไปเลย ดวงตากลมเสมองไปนอกหน้าต่างเพื่อขับไล่ความรู้สึกในอก จึงไม่เห็นมือเล็กของหลี่จื่อหมิงที่กำแน่นเข้าหากันบิดาของเขาคิดจะมอบใบหย่าให้มารดาเลี้ยงอย่า
“ชิงหยวน เป็นอย่างไรบ้าง”อวี้ซูซินเห็นลูกสาวของตนเองเดินกลับออกมาก็เอ่ยถามด้วยสีหน้ากังวล เช่นเดียวกับเสวี่ยตงฉินที่ยืนอยู่ข้างๆ“ลูกไม่ต้องห่วง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นพ่อจะสนับสนุนลูกเอง”“ขอบคุณค่ะ”เพราะยังไม่แน่ใจว่าสิงฉู่หรันจะช่วยเหลือจากใจจริงหรือไม่ ซ่งเจียซินจึงทำได้เพียงหมุนตัวไปทางเวทีด้านหน้า พลันแสงไฟในงานก็ดับลง เหลือเพียงแสงที่สาดขึ้นบนเวทีซ่งเจียซินจดจ้องบนลานเดินที่บรรดานางแบบกำลังทยอยเดินออกมา บนตัวของพวกเธอแต่ละคนต่างสวมเครื่องเพชรหรูหรา โดยมีพิธีการชายหญิงคอยอธิบายถึงคุณสมบัติต่างๆ ของผลงานแต่ละชิ้น“และในลำดับต่อไปเป็นเครื่องเพชรจากร้านเสวี่ยครับ”สิ้นเสียงของพิธีกรสิงฉู่หรันในชุดสีดำวาวก็เดินออกมายังเบื้องหน้าเวที ด้วยรูปลักษณ์และใบหน้าที่โดดเด่น อีกทั้งท่วงท่าสง่างาม แน่นอนว่าเธอย่อมเป็นจุดสนใจของผู้คนในทันทีที่ปรากฏตัว“นั้นคุณสิงฉู่หรัน ดาราดังไม่ใช่หรือ”“ได้ยินว่าเธอไม่รับงานเดินแบบนี่นา ไม่คิดเลยว่าร้านเสวี่ยจะสามารถเชิญเธอมาเดินแบบให้ได้”เสียงผู้คนดังขึ้น เสวี่ยชิงหยวนจ้องมองไปบนเวทีด้วยหัวใจที่สั่นระรัว สองมือข้างลำตัวกำแน่นด้วยความกังวล ก่อนจะสัมผัสได้ถึง
“คุณหนูเสวี่ยครับเกิดเรื่องแล้ว”“เรื่องอะไร”“นางแบบที่จะสวมชุดเครื่องเพชรของร้านเราขึ้นเวทีเป็นลมหมดสติไปกะทันหันครับ”ซ่งเจียซินขมวดคิ้วเรียวแน่น ในแววตามีความกังวลและสงสัยเกิดขึ้นทันทีที่ฟังคำรายงานของตงซางจบ เพียงแต่ตอนนี้สิ่งสำคัญไม่ใช่การหาสาเหตุการเกิดปัญหา แต่คือการหาวิธีแก้ไขปัญหา“คุณแม่คะ ฉันฝากเด็กๆ ไว้สักครู่นะคะ”“ได้!แม่จะดูแลพวกเขาเอง ลูกไปจัดการธุระเถอะ”“แม่ไม่ต้องเป็นห่วง ผมจะดูแลน้องๆ เอง”หลังจากได้รับคำตกลงจากมารดา และคำมั่นจากหลี่จื่อหมิงซ่งเจียซินก็วางใจเร่งเดินไปที่ห้องด้านหลังเวทีในทันที“คุณเสวี่ย พวกเราจะทำยังไงดี”อันลู่ซื่อถามด้วยความร้อนใจ บรรยากาศในห้องแต่งตัวเวลานี้เต็มไปด้วยความตึงเครียด แม้ว่าเหตุการณ์ครั้งนี้จะเป็นเหตุสุดวิสัย และทางสมาคมหมิงหลันไม่ได้ตำหนิพวกเธอร้านเสวี่ย แต่สำหรับซ่งเจียซินแล้วนี่กลับเป็นการขาดทุนมหาศาลหากไม่ได้ขึ้นเวทีเครื่องเพชรของเธอก็จะไม่ได้ถูกนำเสนอ ชื่อร้านเสวี่ยก็จะไม่มีการประกาศ เช่นนี้แล้วทุกอย่างที่ลงแรงไปก็เท่ากับศูนย์เปล่า“นางแบบเป็นยังไงบ้าง พาไปโรงพยาบาลหรือยัง”“เรียบร้อยแล้วครับ”ในสถานการณ์เช่นนี้ซ่งเจียซินไม่ไ