หลังจากที่เด็กชายทั้งสามไปโรงเรียนแล้ว ซ่งเจียซินก็เปิดตู้เสื้อผ้าดูของใช้ส่วนตัวของเสวี่ยชิงหยวน แม้จะบอกว่าเจ้าของร่างเดิมมีรสนิยมที่ดี แต่ว่าเสื้อผ้าหลายชิ้นและยุ่งยากในการสวมใส่เช่นนี้ซ่งเจียซินกลับรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่เกินความจำเป็นไปบ้างที่จะสวมใส่ในชีวิตประจำวัน
“อิงอิง ฉันจะออกไปข้างนอกสักหน่อย เธอไปเตรียมตัว”
“ค่ะ”
เพราะความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมยังปะติดปะต่อไม่ได้ทั้งหมด ซ่งเจียซินไม่อยากไปหลงทางอยู่กลางเมือง ดังนั้นการพาอิงอิงไปด้วยนับว่าเป็นทางเลือกที่ดี
“ฉันต้องการไปซื้อเสื้อผ้า แล้วก็ของใช้ส่วนตัว เธอพาไปหน่อยได้ไหม”
“ได้ค่ะ เดี๋ยวดิฉันจะแจ้งลุงเหอให้เอารถออกนะคะ”
“ไม่ต้อง สนามหญ้าด้านหลังหญ้าสูงมากแล้ว ให้ลุงเหอจัดการที ส่วนเรื่องขับรถเดี๋ยวฉันขับเอง เธอช่วยบอกทางก็พอ”
“แต่ว่า...”
“ไม่มีแต่รีบไปจัดการ”
“ค่ะ”
หูหลินอิงตอบรับอย่างไม่ค่อยเต็มเสียงนัก ปกติตอนที่อยู่บ้านตระกูลเสวี่ยคุณหนูของเธอไม่เคยขับรถเลย ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่อีกฝ่ายสามารถขับรถได้อย่างคล่องแคล่วเช่นนี้ อีกทั้งยังจะขับเองอีกด้วย
ผ่านไปครึ่งชั่วโมงซ่งเจียซินก็ขับรถมาหยุดที่หน้าห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ดวงตากลมเปล่งประกาย ชาติก่อนเธอทำงานหามรุ่งหามค่ำ อย่าว่าแต่มาเดินซื้อของในห้างแบบนี้ แม้แต่ตลาดนัดก็แทบไม่เคยไปเลย
“อิงอิง รีบเข้าไปกันเถอะ”
“ค่ะ คุณหนู”
ซ่งเจียซินดูทุกอย่างด้วยท่าทางตื่นเต้น ระคนตื่นตา ไม่คิดว่าในยุคนี้จะมีข้าวของเครื่องใช้ที่น่าสนใจมากมายขนาดนี้ ดังนั้นผ่านมาสองชั่วโมงแล้วของที่ซื้อจึงมีแค่เสื้อผ้าเพียงสี่ห้าชุด และรองเท้าอีกสองคู่เท่านั้น
“เสวี่ย!”
ดวงตากลมหยุดอ่านป้ายหน้าร้านเครื่องเพชรร้านหนึ่งด้วยสายตาสงสัย หูหลินอิงจึงขยับเท้าเดินเข้ามากระซิบบอกเสียงเบา
“นี่เป็นร้านเพชรสาขาย่อยของคุณท่านค่ะ”
“ร้านของคุณพ่ออย่างนั้นหรือ”
ในความทรงจำของเสวี่ยชิงหยวนนั้นแม้ว่าตัวเธอจะไม่เอาการเอางานแต่ที่ชื่นชอบก็คือเครื่องเพชร ดังนั้นซ่งเจียซินที่เข้ามาอยู่ในร่างกายนี้จึงถูกความชอบส่วนตัวของเจ้าของร่างดึงดูดให้เดินเข้าไปภายในร้าน
“นี่เป็นเครื่องเพชรที่คุณนายจางสั่งทำไว้กับทางร้านเราค่ะ”
เสียงของพนักงานประจำร้านบอกพร้อมกับส่งเครื่องเพชรชุดใหญ่ราคานับหมื่นหยวนออกมาวางตรงหน้าลูกค้า
ซ่งเจียซินที่ถูกความชอบเดิมของเสวี่ยชิงหยวนควบคุม ไม่ทันรู้ตัวเท้าก็ก้าวเดินมาหยุดที่ด้านข้างของคุณนายจางแล้ว
“สวยมาก สมกับเป็นเครื่องเพชรจากร้านเสวี่ย”
“ขอบคุณค่ะ เครื่องเพชรชุดนี้คุณท่านเสวี่ยของเราสั่งกำชับให้ควบคุมการผลิตเป็นพิเศษ ในทุกขั้นตอนจึงละเอียดมาก ทำให้คุณนายจางรอนานต้องขออภัยด้วยค่ะ”
“ไม่เป็นไร ของดีรอนานหน่อยก็ไม่เสียหายอะไร นี่เป็นเงินส่วนที่เหลือจากการมัดจำยอดหนึ่งหมื่นห้าพันหยวน เธอตรวจนับก่อนจะได้ไม่มีปัญหาในภายหลัง”
“ขอบคุณ คุณนายจางที่ไว้วางใจร้านของเราค่ะ”
“เดี๋ยว!”
ซ่งเจียซินจับข้อมือของหวงเจียวฉือเอาไว้พร้อมกับรั้งกลับก่อนที่พนักงานสาวจะรับซองเงินไป
“คุณเป็นใครกันทำไมถึงได้เสียมารยาทกับลูกค้าของร้านเราแบบนี้”
คนถูกขัดขวางการค้าตวัดสายตาไม่พอใจพร้อมกล่าวตำหนิเสียงเข้ม ขณะที่คุณนายจาง หรือหวงเจียวฉือเองก็ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก
“ฉันเป็นใครไม่สำคัญ ที่สำคัญคือทำไมเธอถึงเอาเพชรปลอมมาขาย”
“เพชรปลอม!”
หวงเจียวฉือได้ยินว่าเพชรตรงหน้าเป็นของปลอมก็ตกใจ ตวัดสายตาไม่พอใจมองพนักงานสาวตรงหน้า
“นี่มันหมายความว่ายังไง กล้าดียังไงเอาของปลอมมาขายให้ฉัน”
“ไม่จริงนะคะคุณนายจาง ผู้หญิงคนนี้ต้องจงใจมาป่วนที่ร้านของเราแน่ ๆ ฉันจะเรียกคนมาพาเธอออกไปเดี๋ยวนี้”
เพราะกลัวว่าจะเสียเงินก้อนใหญ่ไป พนักงานสาวจึงรีบส่งสัญญาณเรียกคน แต่ซ่งเจียซินที่ตอนนี้อยู่ในร่างของเสวี่ยชิงหยวนย่อมไม่กลัวคำขู่ของอีกฝ่าย อีกทั้งยังยิ้มกว้างยืนรออย่างสงบนิ่งให้หญิงสาวตรงหน้าเรียกคนมา
“ฉันกำลังเรียกคนมาแล้ว หากเธอไม่อยากติดคุกติดตะรางก็รีบขอโทษแล้วไสหัวไป”
“ไสหัวไปอย่างนั้นหรือ ฉันก็อยากจะรู้นักว่าใครกันแน่ที่ต้องไสหัวไป อิงอิงโทรแจ้งคุณพ่อให้ส่งผู้ช่วยสวีมาที่นี่เดี๋ยวนี้”
“ค่ะ”
เมื่อได้ยินว่าอีกฝ่ายจะโทรศัพท์เรียกผู้ช่วยสวี ใบหน้าของพนักงานสาวก็ซีดเผือดรีบออกมาแย่งโทรศัพท์จากมือของหูหลินอิง
“พวกแกเป็นใครกล้าดียังไงมาใช้โทรศัพท์ของร้านฉัน”
“พวกฉันเป็นใครเดี๋ยวเธอก็รู้เอง”
ซ่งเจียซินจับพนักงานสาวกระชากตัวออกห่างจากหูหลินอิง เพื่อให้อีกฝ่ายติดต่อไปยังปลายทางได้อย่างสะดวก ในขณะที่
หวงเจียวฉือยืนรอด้วยอาการสับสน เพราะเพื่อซื้อสร้อยเพชรเส้นนี้ให้แม่สามีในวันเกิดเธอใช้เงินเก็บครึ่งหนึ่งวางมัดจำล่วงหน้าไปแล้ว วันนี้หากได้ของปลอมกลับไปจะทำอย่างไรซ่งเจียซินรอจนหูหลินอิงวางสายก็ปล่อยพนักงานสาวตรงหน้า
“แก! กล้ามาก่อกวน รู้ไหมว่าร้านนี้เป็นของใคร”
“รู้สิ เพราะหากไม่รู้ฉันก็คงไม่กล้า”
“หมายความว่ายังไง!”
ซ่งเจียซินยังไม่ทันตอบคำถามของพนักงานสาว คนที่อีกฝ่ายเรียกมาก็แสดงตัว
“รีบจับผู้หญิงสองคนนี้ส่งตำรวจ ข้อหาก่อกวน”
ทว่าทันทีที่คนคุ้มกันเห็นใบหน้าของหญิงสาวที่พวกเขาต้องจับกุมตามคำสั่งของพนักงานสาวก็ตกใจตาโต
“คุณหนูเสวี่ย!”
แม้ว่าพวกเขาจะไม่เคยเห็นตัวจริงของคุณหนูเพียงหนึ่งเดียวของตระกูลเสวี่ย แต่รูปถ่ายของคนในครอบครัวเสวี่ยเป็นสิ่งแรกที่พวกเขาได้รับคำสั่งให้จดจำ
“ในเมื่อรู้ว่าฉันเป็นใครอย่างนั้นก็รู้แล้วใช่ไหมว่าต้องทำยังไง”
ไม่ต้องรอคำสั่ง คนคุ้มกันสองคนก็รีบตรงเข้าไปจับกุมพนักงานสาว แล้วจับเธอกดลงนั่งกับพื้น
“ฉันไม่อยากได้ยินเสียงเธอ ปิดปากแล้วพาไปรอที่หลังร้าน”
“นะ... นี่หมายความว่าร้านเสวี่ยขายเพชรปลอมให้ฉันหรือ”
หวงเจียวฉือร้องโวยวายขึ้นมาด้วยความไม่พอใจ ซ่งเจียซินรู้ดีว่าเรื่องนี้หากเธอจัดการได้ไม่ดีชื่อเสียงของตระกูลเสวี่ยก็จะเสียหาย การค้าขายเครื่องเพชรและอัญมณีหากขาดความน่าเชื่อถือ ต่อไปก็คงยากจะยืนหยัดในวงการ เช่นนี้ไม่เท่ากับเธอโดนฉีกกระเป๋าเงินหรืออย่างไร
เพราะชีวิตใหม่ในยุคนี้ยังไม่มั่นคงนัก ซ่งเจียซินไม่อยากตัดเส้นทางการเงินของตนเอง จึงหันไปกระซิบสั่งความกับหูหลินอิงก่อนจะวางท่านิ่งสงบ เดินมาจับมือหวงเจียวฉือราวกับเรื่องที่เกิดขึ้นนี้เธอไม่ได้ตื่นตกใจเลยแม้แต่น้อย
“คุณนายจางไม่ต้องกังวลค่ะ เรื่องแบบนี้ทางร้านเสวี่ยของเราจะไม่มีทางให้เกิดขึ้นแน่นอน”
“ไม่มีทางให้เกิดขึ้น นี่ไม่ใช่ว่ามันเกิดขึ้นแล้วหรือไง”
“ระหว่างรอผู้ช่วยสวีมาตรวจสอบ ฉันจะอธิบายเรื่องราวให้คุณฟังโดยละเอียดค่ะ เชิญคุณนายจางไปนั่งทางด้านนั้นก่อนจะดีกว่า”
ซ่งเจียซินประคองหญิงสาวที่กำลังหงุดหงิดไปนั่งที่โซฟานุ่ม ซึ่งสั่งทำพิเศษมาจากต่างประเทศเพื่อรับรองลูกค้า ขณะที่หูหลินอิงก็รู้งานรีบจัดเตรียมของตามคำสั่งของซ่งเจียซินอย่างคล่องแคล่ว
“ความจริงแล้วเรื่องนี้เป็นส่วนหนึ่งของการป้องกันจากทางร้านเราค่ะ”
“หมายความว่ายังไง”
“เพื่อป้องกันพนักงานขายแอบสับเปลี่ยนสินค้าของลูกค้า นอกจากตรวจสอบสินค้าก่อนจัดส่งมาที่ร้านแล้ว ก่อนถึงมือลูกค้าก็จะมีการลอบสังเกตการณ์ด้วยค่ะ”
“สังเกตการณ์ก่อนถึงมือลูกค้า?”
“ใช่ค่ะเพื่อความปลอดภัยของสินค้าไม่ว่าจะเป็นของชิ้นเล็กชิ้นใหญ่ล้วนมีการดูแลอย่างดี ดังนั้นคุณนายจางสบายใจได้เลยว่าของทุกชิ้นที่ส่งถึงมือคุณนายจะต้องเป็นของแท้เท่านั้น”
“แต่วันนี้ฉันก็เกือบได้ของปลอมไม่ใช่หรือไง”
“ทางร้านเราไม่มีทางยอมให้เกิดขึ้นแน่นอนค่ะ อีกอย่างวันนี้ทางร้านยังต้องขอบคุณคุณนายจางอีกด้วยที่ช่วยพวกเราจับโจร หากคุณนายจางไม่รังเกียจ เครื่องเพชรในถาดนี้เชิญคุณนายจางเลือกสักชิ้น ถือว่าเป็นคำขอบคุณจากทางร้านเราค่ะ”
ซ่งเจียซินพูดจบหูหลินอิงก็วางถาดแหวนเพชรลงบนโต๊ะเบื้องหน้า
“เลือกได้เลย โดยไม่คิดเงินหรือ”
“เลือกได้เลย โดยไม่คิดเงินค่ะ”
ทันทีที่ได้ยินว่าจะได้ของโดยไม่เสียเงิน อารมณ์ขุ่นเคืองก่อนหน้านี้ของหวงเจียวฉือก็จางหายไปในทันที หยิบแหวนเพชรตรงหน้ามามองดูด้วยความตื่นเต้นยินดี
หลังจากนั้นไม่นานผู้ช่วยสวีก็มาถึง เมื่อทราบเรื่องก็เร่งไปที่หลังร้าน สอบสวนจนได้ความก็เอาเครื่องเพชรของจริงออกมามอบให้หวงเจียวฉือพร้อมทำหนังสือรับรองลงนามของเขาให้ตามคำแนะนำของซ่งเจียซิน
“เรื่องในวันนี้ต้องขอบคุณคุณหนูที่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือ ไม่อย่างนั้นหากเรื่องการขายของปลอมนี้เล็ดลอดออกไปชื่อเสียงของร้านเราคงไม่เหลือหลอ”
ผู้ช่วยสวีเอ่ยชมหญิงสาวตรงหน้าอย่างจริงใจ เรื่องในวันนี้ทำให้เขามองคุณหนูตรงหน้าด้วยมุมมองใหม่ ไม่เพียงจัดการปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี แม้แต่วิธีดำเนินการตรวจสอบอย่างเงียบ ๆ ที่หลังร้าน หรือวิธีการกลับร้ายเป็นดีที่หน้าร้าน คุณหนูตรงหน้าก็ล้วนจัดการได้อย่างเหมาะสม
“ถึงฉันจะแต่งงานแล้วแต่ก็ยังเป็นคนของตระกูลเสวี่ย เรื่องพวกนี้ยังไงก็ไม่อาจนิ่งเฉยไม่ใส่ใจ”
“เป็นความโชคดีของตระกูลเสวี่ยจริง ๆ ที่มีลูกสาวแบบคุณหนู”
“ผู้ช่วยสวีกล่าวชมกันเกินไปแล้ว วันนี้ฉันยังทำคุณพ่อขาดทุนไปหนึ่งพันหยวน ไม่รู้ว่าเงินเดือนเดือนนี้จะถูกหักหรือเปล่า”
“ถูกหักอะไรกันครับ แค่แหวนวงเดียวเอง”
“อย่างนั้นต้องรบกวนผู้ช่วยสวีช่วยพูดกับคุณพ่อให้ฉันสักหน่อยแล้ว อ่อ... ตอนนี้ใกล้ได้เวลาไปรับเด็ก ๆ กลับจากโรงเรียนแล้วฉันขอตัวก่อนนะคะ”
“ครับ”
ผู้ช่วยสวีมองดูหญิงสาวที่รีบเดินจากไปแล้วยิ้มกว้าง แต่งงานไปเพียงสองปี คุณหนูที่เอาแต่ใจ ไร้ความรับผิดชอบกลับเปลี่ยนไปได้ถึงเพียงนี้ ครอบครัวหลี่นับว่าเลี้ยงดูคนได้ดีจริง ๆ
ซ่งเจียซินกลับถึงบ้านก็ส่งกุญแจรถให้เหอเถาขับรถไปรับเด็กชายทั้งสามคน เพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่ชอบหน้าตนเองนัก การหลบเลี่ยงพบเจอจึงเป็นเรื่องที่ดีที่สุด เพียงแต่เธอไม่คิดว่าพวกเขาจะถึงขั้นไม่แม้แต่จะลงมากินข้าวเย็นด้วยกัน
“คุณชายทั้งสามบอกว่าไม่หิวค่ะ ให้คุณนายทานก่อนได้เลย”
จินอ้ายสาวใช้คนใหม่บอกด้วยท่าทางประหม่า ในน้ำเสียงมีความสั่นเทาน้อย ๆ คล้ายคนกำลังซุกซ่อนบางสิ่ง ซ่งเจียซินมองท่าทางก้มหน้าหลบสายตาแล้วรีบเดินหนีไปของอีกฝ่ายแล้วขมวดคิ้วเล็กก่อนจะเงยหน้ามองขึ้นไปยังชั้นบนตรงตำแหน่งของห้องนอนเด็กชายทั้งสามด้วยความสงสัย เพียงแต่สุดท้ายก็เลือกที่จะไม่เข้าไปก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของพวกเขา
หากไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไร พวกเขาไม่ต้องการให้เธอยุ่งเกี่ยวเธอก็ไม่ควรยุ่งเกี่ยว
“จื่อหมิง จื่อชิง ฉันหิวมาก”
หลี่จื่อรั่วที่นอนอยู่ตรงกลางระหว่างพี่ชายฝาแฝดทั้งสองเอ่ยบอกในความมืด มือเล็กกุมท้องที่ส่งเสียงร้องประท้วงจนนอนไม่หลับเอาไว้
หลี่จื่อหมิงขมวดคิ้วเข้ม เขาเองก็หิวไม่ต่างไปจากน้องชายฝาแฝด ทว่าเพราะต้องการหลบหน้าเสวี่ยชิงหยวนจึงจำต้องอดทนเอาไว้
“จื่อหมิง หญิงร้ายกาจนั่นคงนอนหลับไปแล้ว ฉันว่าพวกเราไปหาอะไรง่าย ๆ กินรองท้องสักหน่อยดีหรือไม่”
หลี่จื่อชิงที่ตอนนี้ก็รู้สึกตาลายเวียนหัวเพราะความหิวเอ่ยบอกสนับสนุนน้องชายฝาแฝด หลี่จื่อหมิงเห็นคนทั้งสองต้องทนทรมานเพราะความหิว ก็พยักหน้าตอบรับ ร่างเล็กทั้งสองก็ดีดตัวลงจากที่นอนเปิดประตูย่องลงบันไดไปในครัวทันที เพียงแต่ทันทีที่เปิดตู้อาหารดูก็พบว่า...
“จื่อหมิง จื่อชิงทำยังไงดีไม่มีอะไรเหลือให้กินเลย”
หลี่จื่อรั่วบอกเสียงสั่น ดวงตากลมที่เปล่งประกายยินดีเมื่อครู่เวลานี้พลันเอ่อคลอไปด้วยน้ำตา
“อะไรนะ ไม่มีอะไรเหลือเลยอย่างนั้นหรือ”
หลี่จื่อชิงยื่นศีรษะเข้ามาดูเพื่อยืนยันคำพูดของน้องชาย เมื่อเห็นว่าภายในตู้อาหารว่างเปล่าจริง ๆ ก็ขบกรามแน่น
“หญิงใจร้าย ท้องของเธอเป็นหลุมอากาศหรือไงถึงกินอาหารจนหมดไม่เหลือแม้แต่จานแบบนี้”
คนหิวโวยวายด้วยความไม่พอใจ หลี่จื่อหมิงกวาดสายตามองผ่านความมืด อาหารเย็นไม่มีแล้วที่ทำได้คงมีเพียงทำอะไรง่าย ๆ ให้น้องชายทั้งสองกิน
“พวกนายไปนั่งรอ ฉันจะต้มไข่ให้กิน”
“จื่อหมิง นายต้มไข่เป็นด้วยเหรอ”
“ไม่เป็น”
คำตอบของหลี่จื่อหมิงทำให้ดวงตาที่เต็มไปด้วยความยินดีของน้องชายฝาแฝดทั้งสองพลันหม่นวูบลง
“แต่ไม่น่ายาก”
ก็แค่เปิดเตา ตั้งน้ำ เอาไข่ใส่ เองไม่ใช่หรือไง ทว่ายังไม่ทันลงมือทำสิ่งใด ภายในห้องครัวก็สว่างวาบ เมื่อมองไปยังตำแหน่งสวิตช์ไฟก็พบ...
“คุณแม่” / “หญิงใจร้าย”
"ผมไม่ให้ไป!""คุณเฉิน นี่มันเรื่องส่วนตัวของฉัน คุณไม่มีสิทธิ์มายุ่งเกี่ยวแบบนี้""สิทธิ์ในการเป็นสามีของคุณยังไงล่ะ"ได้ยินคำพูดที่เอาแต่ใจของชายหนุ่มตรงหน้าสิงฉู่หรันก็ได้แต่ขบกรามแน่น เดินเข้ามาประชิดตัวเขาแล้วพูดเสียงหนักแน่นลอดไรฟัน"อย่างนั้นฉันก็จะหย่า ต่อจากนี้ระหว่างคุณกับฉันไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก"เฉิงเซียวขบกรามแน่น สิงฉู่หรันเธอกล้าดีอย่างไรมาพูดเรื่องหย่ากับเขาเช่นนี้ ไม่แม้แต่จะเอ่ยคำอธิบายอะไรคนโตก็ตวัดอุ้มหญิงสาวขึ้นแนบอก"ว้าย! ท่านประธานเฉิน คุณจะทำอะไร ปล่อยตัวฉู่หรันนะคะ""เธอเป็นภรรยาของผม ผมจะจับจะปล่อยคุณเกี่ยวอะไรด้วย""แต่ฉันเป็นผู้จัดการส้วนตัวของน้องฉู่หรันนะคะ""อย่างนั้นตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปก็ไม่ต้องเป็นอีก ผม! ไล่! คุณ! ออก!""คุณเฉิน คุณถือดีอะไรมาไล่คนของฉันออก""คนของเธออย่างนั้นหรอ ฉู่หรันชีวิตนี้คนที่สามารถใช้คำว่าคนของเธอมีแค่ฉัน เฉินเซียว! คนเดียวเท่านั้น"และนับจากเหตุการณ์นี้ดาราสาวดาวรุ่งสิงฉู่หรันก็หายไปจากวงการบันเทิง ผู้คนต่างเล่าลือกันว่าเป็นเพราะสามีของเธอหึงหวงภรรยาคนสวยมาก ถึงขั้นมอบหุ้นกิจการของตระกูลเฉินครึ่งหนึ่งให้เธอเป็นข้อแลกเปล
หลังจากที่หลี่จื่อหมิงหายดีแล้ว ทุกอย่างก็กลับเข้าสู่สภาวะปกติ เว้นเพียงเรื่องของซ่งเจียซินและหลี่โจวอี้ ที่ทุกคืนจะต้องวุ่นวายจนกลับเช้า เขาจึงยอมปล่อยให้เธอได้นอนพัก"เด็กๆ อยากได้น้องสาวมาก ช่วงนี้แม้ผมจะเหนื่อยกับคนไข้ไปหน่อยแต่ก็ยินดีทำเพื่อพวกเขา"ซ่งเจียซินถอนหายใจอย่างระอา เธอใช้ชีวิตมาสองชาติสองภพเพิ่งเคยเจอคนที่หลงและมั่นใจในตัวเองถึงเพียงนี้ "คุณเสวี่ยครับ ทางร้านเหม่ยลี่ส่งชุดมาให้แล้วครับ"ตงซานรายงานพร้อมกับส่งกล่องกระดาษห้า ใบให้กับหญิงสาวผู้เป็นนาย ซ่งเจียซินพยักหน้ารับ อาทิตย์ก่อนหลังจากที่ได้รับบัตรเชิญเข้าร่วมงานหมั้นของอันลู่ซือและประธานฮั่ว ซ่งเจียซินก็สั่งตัดชุดให้กับตัวเองและพ่อลูกบ้านหลี่ทั้งสี่คน"คุณเสวี่ย คุณจะพานายพลหลี่ แล้วก็เด็กๆ ไปร่วมงานด้วยจริงๆ หรือครับ"ถึงแม้ว่าหลี่โจวอี้จะเป็นนายพลที่ผู้คนนับหน้าถือตา แต่งานสังคมแบบนี้มีแต่นักธุรกิจเป็นส่วนใหญ่ หลี่โจวอี้เป็นทหารเข้าไปร่วมงานอาจจะรู้สึกอึดอัดไม่สะดวกในการวางตัว"พวกเขาเป็นคนของฉัน หากเกิดอะไรขึ้นฉันจะรับผิดชอบเอง"เมื่อเจ้านายสาวกล่าวออกมาเช่นนี้ ตงซานก็ไม่คิดเซ้าซี้ให้มากความ หมุนตัวเดินออกไปทำหน
ทางด้านซ่งเจียซินหลังจากที่หลี่โจวอี้ลงไปส่งเฟิ่งเฉิงเยว่ เธอก็ตักข้าวต้มปลาใส่ชามส่งให้เด็กๆ อย่างใส่ใจ จนพวกเขาอดที่จะคิดถึงมารดาผู้ให้กำเนิดไม่ได้ เพราะตั้งแต่ที่พ่อออกจากประตูไป เธอไม่เพียงไม่ใส่ใจพวกเขา ทุกคำพูดหากไม่ตำหนิพ่อ ก็ด่าทอมารดาเลี้ยง ยุยงให้พวกเขาเกียจชังอีกฝ่ายอยู่ตลอดเวลา และที่ร้ายแรงเกินกว่าจะยอมรับก็คือการกระทำที่มารดาผู้นั้นกระทำกับลุงเฟิ่งของพวกเขา"ฝีมือของพี่อิงอิงนับว่าไม่เลว แต่ก็ยังเทียบกับมือของแม่ไม่ได้"“จริงครับ แม่ครับพรุ่งนี้คุณหมอก็จะให้จื่อหมิงกลับบ้านได้แล้ว แม่ทำข้าวต้มปลาให้พวกเรากินได้ไหมครับ”“ถ้าลูกๆ อยากกิน แน่นอนว่าไม่มีปัญหา”ซ่งเจียซินเห็นเด็กๆ มีความสุขเช่นนี้ในใจของเธอก็รู้สึกอบอุ่นไปด้วย เพียงแต่เมื่อมองไปยังหลี่จื่อหมิงที่นั่งอยู่บนเตียงโดยไม่ตักอาหารกินสักคำ อีกทั้งสีหน้าและแววตาของเขายังเต็มไปด้วยความกังวลบางอย่าง ก็คาดเดาไปว่าเด็กชายคงคิดถึงกวงเหยียนฟางให้เธอดีแค่ไหน ก็เป็นได้แค่มารดาเลี้ยง ไม่อาจเทียบเท่ากับมารดาที่แท้จริงในใจของเธอรู้สึกเจ็บขึ้นมาเล็กน้อย เพียงแต่ซ่งเจียซินไม่ใช่คนไร้เหตุผล จิตใจคับแคบ จึงเข้าใจความรู้สึกของเด็กๆ
ซ่งเจียซินลุกจากเตียงด้วยความยากลำบากก่อนจะตวัดสายตามองไปทางชายหนุ่มที่ยังนอนอยู่บนเตียงด้วยความไม่พอใจ"คุณหลี่ ทำไมคุณยังไม่รีบลุกมาแต่งตัวอีกไม่ใช่คุณบอกว่าเด็กๆ กำลังรอกินข้าวต้มปลาของฉันอยู่หรือคะ""มีเฉิงเย่วดูแลพวกเขาอยู่ จะต้องกังวลไปทำไมกัน""คุณไม่กังวล แต่ฉันกังวลค่ะ ฉันจะไปดูลูกค่ะคุณอยากจะนอนพักต่อก็ตามสบายค่ะ"พูดจบซ่งเจียซินที่แต่งตัวเรียบร้อยแล้วก็เดินเปิดประตูออกไป โดยไม่สนใจคนบนเตียงอีกหลี่โจวอี้เห็นหญิงสาวเดินจากไปโดยไม่แม้แต่จะชายตามองตนเองก็อ้าปากค้างรีบลุกจากเตียง สวมใส่เสื้อผ้าอย่างเร่งรีบ ก่อนจะวิ่งตามเธอลงมาด้านล่าง"ชิงหยวน คุณกำลังจะทิ้งผมอีกแล้ว"ซ่งเจียซินถอนหายใจพลางอย่างระอาใจกับความแง่งอนไร้เหตุผลของคนตรงหน้า ทว่าเวลานี้เด็กๆ กำลังรอเธออยู่ที่โรงพยาบาล ดังนั้นเธอจึงยอมถอยให้เขาหนึ่งก้าว "ฉันจะทิ้งคุณได้ยังไงกันคะ เรารีบไปกันเถอะค่ะ เด็กๆ รอพวกเรานานแล้ว"ซ่งเจียซินบอกพร้อมกับเดินเข้ามาจับแขนของคนตัวโต เมื่อเห็นว่าเสวี่ยชิงหยวนงอนง้อตนเองด้วยท่าทางน่ารัก ใบหน้าคมเข้มของหลี่โจวอี้ก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มกว้าง เปิดประตูรถเข้าไปประจำที่นั่งคนขับทำหน้าที่เป็นคนข
“ผมไม่กวนคุณแล้ว แค่อยากให้พวกเราไปนอนพักกันสักหน่อยจะได้มีแรงดูแลเด็กๆ แต่ถ้าคุณต้องการผมก็ไม่ขัด”ซ่งเจียซินตวัดสายตามองคนตัวโตอีกครั้ง สองแก้มร้อนผ่าวคิดถึงเรื่องที่ร้านเสวี่ยก่อนหน้านี้ด้วยความรู้สึกอับอาย“โต๊ะทำงานของคุณแข็งมาก คุณปวดหลังไหม”เสียงทุ้มอ่อนโยนถามด้วยความห่วงใยหลังจากวางคนลงบนเตียงกว้าง ซ่งเจียซินเม้มริมฝีปากแน่น ก่อนหน้านี้เขาลงมือแบบไม่มีออมแรง ตอนนี้มาถามไถ่ไม่รู้สึกว่าช้าไปหรืออย่างไร“ถ้าคุณไม่ปวดอย่างนั้นเรามา...”“คุณหลี่ หยุดนะ!เมื่อครู่คุณบอกว่าจะพักไม่ใช่หรือไง”หลี่โจวอี้มองท่าทางดึงผ้าห่มมาบังตัวของเสวี่ยชิงหยวนแล้วยิ้มกว้าง ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่เขารู้สึกมีความสุขทุกครั้งที่ได้เห็นสีหน้าท่าทางเช่นนี้ของเสวี่ยชิงหยวน“โอ๊ย!คุณทำอะไรน่ะ ฉันเจ็บนะ”ร้องพลางยกมือขึ้นจับหน้าผากที่ถูกนิ้วยาวของเขาดีดใส่เมื่อครู่ ทว่ายังไม่ทันตำหนิอีกฝ่ายต่อ ริมฝีปากร้อนของเขาก็กดลงบนรอยแดงเล็กที่หน้าผากเนียน“แบบนี้หายหรือยัง”“คุณหลี่!”ซ่งเจียซินเบิกตากว้างรีบขยับตัวถอยห่างจากชายหนุ่ม แต่กลับถูกวงแขนแกร่งของเขาตวัดเอวเล็กมาแนบชิดแล้วดึงนอนตะแคงบนเตียงด้วยกัน“หยวนหย
"คุณหลี่... คุณจะทำอะไร นี่มันห้องทำงานของฉันนะคะ""ผมก็แค่จะพิสูจน์ความเป็นลูกผู้ชายของผมให้คุณดูก็เท่านั้น""ไม่... อื้ม..."เสียงของซ่งเจียซินเงียบลงในทันที เมื่อริมฝีปากบางถูกนายพลหนุ่มจู่โจมยึดครองด้วยจุมพิตที่เร่าร้อนรุนแรง"คุณหลี่อย่าค่ะ... ที่นี่ไม่ได้... อ่ะ..."ทันทีที่ริมฝีปากบางได้รับอิสระซ่งเจียซินก็รีบเอ่ยปากร้องห้ามเขาอีกครั้ง พร้อมกับใช้สองมือออกแรงดันอกแกร่งเพื่อให้เขาถอยห่าง แต่กลับถูกเขาจับยึดเอาไว้ด้วยมือเดียว แล้วกดตัวเธอลงบนโต๊ะทำงาน"คุณหลี่ ปล่อยฉันนะ...""หยวนหยวนคุณไม่ต้องการผมจริงๆ เหรอ"หลี่โจวอี้กระซิบถามเสียงแหบพร่าพร้อมกับกดริมฝีปากไล้ไปตามลำคอระหง มืออีกข้างก็ค่อยๆ ปลดกระดุมเสื้อด้านหน้าของเธอออก เผยเนินเนื้ออกอิ่มขาวเนียนตัดกับชุดชั้นในราคาแพงสีดำ ที่กำลังถูกเขาถอดออกไปให้พ้นทาง"อ่ะ... โจวอี้"ซ่งเจียซินร้องครวญเสียงกระเซ่า เมื่อยอดอกถูกริมฝีปากร้อนยึดครองดูดดึง จนเป็นรอยแดงก่ำ ความเร่าร้อน ปรารถนาในกายถูกปลุกเร้าให้ตื่นตัว จนเธอเผลอแอ่นอกอวบอิ่มเข้าหา ตอบรับสัมผัสเขาอย่างไม่รู้ตัว"อื้ม... หยวนหยวน"หลี่โจวอี้สัมผัสได้ถึงความพร้อมของเธอก็ขยับรุกเข้าห