หลังจากที่เด็กชายทั้งสามไปโรงเรียนแล้ว ซ่งเจียซินก็เปิดตู้เสื้อผ้าดูของใช้ส่วนตัวของเสวี่ยชิงหยวน แม้จะบอกว่าเจ้าของร่างเดิมมีรสนิยมที่ดี แต่ว่าเสื้อผ้าหลายชิ้นและยุ่งยากในการสวมใส่เช่นนี้ซ่งเจียซินกลับรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่เกินความจำเป็นไปบ้างที่จะสวมใส่ในชีวิตประจำวัน
“อิงอิง ฉันจะออกไปข้างนอกสักหน่อย เธอไปเตรียมตัว”
“ค่ะ”
เพราะความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมยังปะติดปะต่อไม่ได้ทั้งหมด ซ่งเจียซินไม่อยากไปหลงทางอยู่กลางเมือง ดังนั้นการพาอิงอิงไปด้วยนับว่าเป็นทางเลือกที่ดี
“ฉันต้องการไปซื้อเสื้อผ้า แล้วก็ของใช้ส่วนตัว เธอพาไปหน่อยได้ไหม”
“ได้ค่ะ เดี๋ยวดิฉันจะแจ้งลุงเหอให้เอารถออกนะคะ”
“ไม่ต้อง สนามหญ้าด้านหลังหญ้าสูงมากแล้ว ให้ลุงเหอจัดการที ส่วนเรื่องขับรถเดี๋ยวฉันขับเอง เธอช่วยบอกทางก็พอ”
“แต่ว่า...”
“ไม่มีแต่รีบไปจัดการ”
“ค่ะ”
หูหลินอิงตอบรับอย่างไม่ค่อยเต็มเสียงนัก ปกติตอนที่อยู่บ้านตระกูลเสวี่ยคุณหนูของเธอไม่เคยขับรถเลย ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่อีกฝ่ายสามารถขับรถได้อย่างคล่องแคล่วเช่นนี้ อีกทั้งยังจะขับเองอีกด้วย
ผ่านไปครึ่งชั่วโมงซ่งเจียซินก็ขับรถมาหยุดที่หน้าห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ดวงตากลมเปล่งประกาย ชาติก่อนเธอทำงานหามรุ่งหามค่ำ อย่าว่าแต่มาเดินซื้อของในห้างแบบนี้ แม้แต่ตลาดนัดก็แทบไม่เคยไปเลย
“อิงอิง รีบเข้าไปกันเถอะ”
“ค่ะ คุณหนู”
ซ่งเจียซินดูทุกอย่างด้วยท่าทางตื่นเต้น ระคนตื่นตา ไม่คิดว่าในยุคนี้จะมีข้าวของเครื่องใช้ที่น่าสนใจมากมายขนาดนี้ ดังนั้นผ่านมาสองชั่วโมงแล้วของที่ซื้อจึงมีแค่เสื้อผ้าเพียงสี่ห้าชุด และรองเท้าอีกสองคู่เท่านั้น
“เสวี่ย!”
ดวงตากลมหยุดอ่านป้ายหน้าร้านเครื่องเพชรร้านหนึ่งด้วยสายตาสงสัย หูหลินอิงจึงขยับเท้าเดินเข้ามากระซิบบอกเสียงเบา
“นี่เป็นร้านเพชรสาขาย่อยของคุณท่านค่ะ”
“ร้านของคุณพ่ออย่างนั้นหรือ”
ในความทรงจำของเสวี่ยชิงหยวนนั้นแม้ว่าตัวเธอจะไม่เอาการเอางานแต่ที่ชื่นชอบก็คือเครื่องเพชร ดังนั้นซ่งเจียซินที่เข้ามาอยู่ในร่างกายนี้จึงถูกความชอบส่วนตัวของเจ้าของร่างดึงดูดให้เดินเข้าไปภายในร้าน
“นี่เป็นเครื่องเพชรที่คุณนายจางสั่งทำไว้กับทางร้านเราค่ะ”
เสียงของพนักงานประจำร้านบอกพร้อมกับส่งเครื่องเพชรชุดใหญ่ราคานับหมื่นหยวนออกมาวางตรงหน้าลูกค้า
ซ่งเจียซินที่ถูกความชอบเดิมของเสวี่ยชิงหยวนควบคุม ไม่ทันรู้ตัวเท้าก็ก้าวเดินมาหยุดที่ด้านข้างของคุณนายจางแล้ว
“สวยมาก สมกับเป็นเครื่องเพชรจากร้านเสวี่ย”
“ขอบคุณค่ะ เครื่องเพชรชุดนี้คุณท่านเสวี่ยของเราสั่งกำชับให้ควบคุมการผลิตเป็นพิเศษ ในทุกขั้นตอนจึงละเอียดมาก ทำให้คุณนายจางรอนานต้องขออภัยด้วยค่ะ”
“ไม่เป็นไร ของดีรอนานหน่อยก็ไม่เสียหายอะไร นี่เป็นเงินส่วนที่เหลือจากการมัดจำยอดหนึ่งหมื่นห้าพันหยวน เธอตรวจนับก่อนจะได้ไม่มีปัญหาในภายหลัง”
“ขอบคุณ คุณนายจางที่ไว้วางใจร้านของเราค่ะ”
“เดี๋ยว!”
ซ่งเจียซินจับข้อมือของหวงเจียวฉือเอาไว้พร้อมกับรั้งกลับก่อนที่พนักงานสาวจะรับซองเงินไป
“คุณเป็นใครกันทำไมถึงได้เสียมารยาทกับลูกค้าของร้านเราแบบนี้”
คนถูกขัดขวางการค้าตวัดสายตาไม่พอใจพร้อมกล่าวตำหนิเสียงเข้ม ขณะที่คุณนายจาง หรือหวงเจียวฉือเองก็ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก
“ฉันเป็นใครไม่สำคัญ ที่สำคัญคือทำไมเธอถึงเอาเพชรปลอมมาขาย”
“เพชรปลอม!”
หวงเจียวฉือได้ยินว่าเพชรตรงหน้าเป็นของปลอมก็ตกใจ ตวัดสายตาไม่พอใจมองพนักงานสาวตรงหน้า
“นี่มันหมายความว่ายังไง กล้าดียังไงเอาของปลอมมาขายให้ฉัน”
“ไม่จริงนะคะคุณนายจาง ผู้หญิงคนนี้ต้องจงใจมาป่วนที่ร้านของเราแน่ ๆ ฉันจะเรียกคนมาพาเธอออกไปเดี๋ยวนี้”
เพราะกลัวว่าจะเสียเงินก้อนใหญ่ไป พนักงานสาวจึงรีบส่งสัญญาณเรียกคน แต่ซ่งเจียซินที่ตอนนี้อยู่ในร่างของเสวี่ยชิงหยวนย่อมไม่กลัวคำขู่ของอีกฝ่าย อีกทั้งยังยิ้มกว้างยืนรออย่างสงบนิ่งให้หญิงสาวตรงหน้าเรียกคนมา
“ฉันกำลังเรียกคนมาแล้ว หากเธอไม่อยากติดคุกติดตะรางก็รีบขอโทษแล้วไสหัวไป”
“ไสหัวไปอย่างนั้นหรือ ฉันก็อยากจะรู้นักว่าใครกันแน่ที่ต้องไสหัวไป อิงอิงโทรแจ้งคุณพ่อให้ส่งผู้ช่วยสวีมาที่นี่เดี๋ยวนี้”
“ค่ะ”
เมื่อได้ยินว่าอีกฝ่ายจะโทรศัพท์เรียกผู้ช่วยสวี ใบหน้าของพนักงานสาวก็ซีดเผือดรีบออกมาแย่งโทรศัพท์จากมือของหูหลินอิง
“พวกแกเป็นใครกล้าดียังไงมาใช้โทรศัพท์ของร้านฉัน”
“พวกฉันเป็นใครเดี๋ยวเธอก็รู้เอง”
ซ่งเจียซินจับพนักงานสาวกระชากตัวออกห่างจากหูหลินอิง เพื่อให้อีกฝ่ายติดต่อไปยังปลายทางได้อย่างสะดวก ในขณะที่
หวงเจียวฉือยืนรอด้วยอาการสับสน เพราะเพื่อซื้อสร้อยเพชรเส้นนี้ให้แม่สามีในวันเกิดเธอใช้เงินเก็บครึ่งหนึ่งวางมัดจำล่วงหน้าไปแล้ว วันนี้หากได้ของปลอมกลับไปจะทำอย่างไรซ่งเจียซินรอจนหูหลินอิงวางสายก็ปล่อยพนักงานสาวตรงหน้า
“แก! กล้ามาก่อกวน รู้ไหมว่าร้านนี้เป็นของใคร”
“รู้สิ เพราะหากไม่รู้ฉันก็คงไม่กล้า”
“หมายความว่ายังไง!”
ซ่งเจียซินยังไม่ทันตอบคำถามของพนักงานสาว คนที่อีกฝ่ายเรียกมาก็แสดงตัว
“รีบจับผู้หญิงสองคนนี้ส่งตำรวจ ข้อหาก่อกวน”
ทว่าทันทีที่คนคุ้มกันเห็นใบหน้าของหญิงสาวที่พวกเขาต้องจับกุมตามคำสั่งของพนักงานสาวก็ตกใจตาโต
“คุณหนูเสวี่ย!”
แม้ว่าพวกเขาจะไม่เคยเห็นตัวจริงของคุณหนูเพียงหนึ่งเดียวของตระกูลเสวี่ย แต่รูปถ่ายของคนในครอบครัวเสวี่ยเป็นสิ่งแรกที่พวกเขาได้รับคำสั่งให้จดจำ
“ในเมื่อรู้ว่าฉันเป็นใครอย่างนั้นก็รู้แล้วใช่ไหมว่าต้องทำยังไง”
ไม่ต้องรอคำสั่ง คนคุ้มกันสองคนก็รีบตรงเข้าไปจับกุมพนักงานสาว แล้วจับเธอกดลงนั่งกับพื้น
“ฉันไม่อยากได้ยินเสียงเธอ ปิดปากแล้วพาไปรอที่หลังร้าน”
“นะ... นี่หมายความว่าร้านเสวี่ยขายเพชรปลอมให้ฉันหรือ”
หวงเจียวฉือร้องโวยวายขึ้นมาด้วยความไม่พอใจ ซ่งเจียซินรู้ดีว่าเรื่องนี้หากเธอจัดการได้ไม่ดีชื่อเสียงของตระกูลเสวี่ยก็จะเสียหาย การค้าขายเครื่องเพชรและอัญมณีหากขาดความน่าเชื่อถือ ต่อไปก็คงยากจะยืนหยัดในวงการ เช่นนี้ไม่เท่ากับเธอโดนฉีกกระเป๋าเงินหรืออย่างไร
เพราะชีวิตใหม่ในยุคนี้ยังไม่มั่นคงนัก ซ่งเจียซินไม่อยากตัดเส้นทางการเงินของตนเอง จึงหันไปกระซิบสั่งความกับหูหลินอิงก่อนจะวางท่านิ่งสงบ เดินมาจับมือหวงเจียวฉือราวกับเรื่องที่เกิดขึ้นนี้เธอไม่ได้ตื่นตกใจเลยแม้แต่น้อย
“คุณนายจางไม่ต้องกังวลค่ะ เรื่องแบบนี้ทางร้านเสวี่ยของเราจะไม่มีทางให้เกิดขึ้นแน่นอน”
“ไม่มีทางให้เกิดขึ้น นี่ไม่ใช่ว่ามันเกิดขึ้นแล้วหรือไง”
“ระหว่างรอผู้ช่วยสวีมาตรวจสอบ ฉันจะอธิบายเรื่องราวให้คุณฟังโดยละเอียดค่ะ เชิญคุณนายจางไปนั่งทางด้านนั้นก่อนจะดีกว่า”
ซ่งเจียซินประคองหญิงสาวที่กำลังหงุดหงิดไปนั่งที่โซฟานุ่ม ซึ่งสั่งทำพิเศษมาจากต่างประเทศเพื่อรับรองลูกค้า ขณะที่หูหลินอิงก็รู้งานรีบจัดเตรียมของตามคำสั่งของซ่งเจียซินอย่างคล่องแคล่ว
“ความจริงแล้วเรื่องนี้เป็นส่วนหนึ่งของการป้องกันจากทางร้านเราค่ะ”
“หมายความว่ายังไง”
“เพื่อป้องกันพนักงานขายแอบสับเปลี่ยนสินค้าของลูกค้า นอกจากตรวจสอบสินค้าก่อนจัดส่งมาที่ร้านแล้ว ก่อนถึงมือลูกค้าก็จะมีการลอบสังเกตการณ์ด้วยค่ะ”
“สังเกตการณ์ก่อนถึงมือลูกค้า?”
“ใช่ค่ะเพื่อความปลอดภัยของสินค้าไม่ว่าจะเป็นของชิ้นเล็กชิ้นใหญ่ล้วนมีการดูแลอย่างดี ดังนั้นคุณนายจางสบายใจได้เลยว่าของทุกชิ้นที่ส่งถึงมือคุณนายจะต้องเป็นของแท้เท่านั้น”
“แต่วันนี้ฉันก็เกือบได้ของปลอมไม่ใช่หรือไง”
“ทางร้านเราไม่มีทางยอมให้เกิดขึ้นแน่นอนค่ะ อีกอย่างวันนี้ทางร้านยังต้องขอบคุณคุณนายจางอีกด้วยที่ช่วยพวกเราจับโจร หากคุณนายจางไม่รังเกียจ เครื่องเพชรในถาดนี้เชิญคุณนายจางเลือกสักชิ้น ถือว่าเป็นคำขอบคุณจากทางร้านเราค่ะ”
ซ่งเจียซินพูดจบหูหลินอิงก็วางถาดแหวนเพชรลงบนโต๊ะเบื้องหน้า
“เลือกได้เลย โดยไม่คิดเงินหรือ”
“เลือกได้เลย โดยไม่คิดเงินค่ะ”
ทันทีที่ได้ยินว่าจะได้ของโดยไม่เสียเงิน อารมณ์ขุ่นเคืองก่อนหน้านี้ของหวงเจียวฉือก็จางหายไปในทันที หยิบแหวนเพชรตรงหน้ามามองดูด้วยความตื่นเต้นยินดี
หลังจากนั้นไม่นานผู้ช่วยสวีก็มาถึง เมื่อทราบเรื่องก็เร่งไปที่หลังร้าน สอบสวนจนได้ความก็เอาเครื่องเพชรของจริงออกมามอบให้หวงเจียวฉือพร้อมทำหนังสือรับรองลงนามของเขาให้ตามคำแนะนำของซ่งเจียซิน
“เรื่องในวันนี้ต้องขอบคุณคุณหนูที่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือ ไม่อย่างนั้นหากเรื่องการขายของปลอมนี้เล็ดลอดออกไปชื่อเสียงของร้านเราคงไม่เหลือหลอ”
ผู้ช่วยสวีเอ่ยชมหญิงสาวตรงหน้าอย่างจริงใจ เรื่องในวันนี้ทำให้เขามองคุณหนูตรงหน้าด้วยมุมมองใหม่ ไม่เพียงจัดการปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี แม้แต่วิธีดำเนินการตรวจสอบอย่างเงียบ ๆ ที่หลังร้าน หรือวิธีการกลับร้ายเป็นดีที่หน้าร้าน คุณหนูตรงหน้าก็ล้วนจัดการได้อย่างเหมาะสม
“ถึงฉันจะแต่งงานแล้วแต่ก็ยังเป็นคนของตระกูลเสวี่ย เรื่องพวกนี้ยังไงก็ไม่อาจนิ่งเฉยไม่ใส่ใจ”
“เป็นความโชคดีของตระกูลเสวี่ยจริง ๆ ที่มีลูกสาวแบบคุณหนู”
“ผู้ช่วยสวีกล่าวชมกันเกินไปแล้ว วันนี้ฉันยังทำคุณพ่อขาดทุนไปหนึ่งพันหยวน ไม่รู้ว่าเงินเดือนเดือนนี้จะถูกหักหรือเปล่า”
“ถูกหักอะไรกันครับ แค่แหวนวงเดียวเอง”
“อย่างนั้นต้องรบกวนผู้ช่วยสวีช่วยพูดกับคุณพ่อให้ฉันสักหน่อยแล้ว อ่อ... ตอนนี้ใกล้ได้เวลาไปรับเด็ก ๆ กลับจากโรงเรียนแล้วฉันขอตัวก่อนนะคะ”
“ครับ”
ผู้ช่วยสวีมองดูหญิงสาวที่รีบเดินจากไปแล้วยิ้มกว้าง แต่งงานไปเพียงสองปี คุณหนูที่เอาแต่ใจ ไร้ความรับผิดชอบกลับเปลี่ยนไปได้ถึงเพียงนี้ ครอบครัวหลี่นับว่าเลี้ยงดูคนได้ดีจริง ๆ
ซ่งเจียซินกลับถึงบ้านก็ส่งกุญแจรถให้เหอเถาขับรถไปรับเด็กชายทั้งสามคน เพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่ชอบหน้าตนเองนัก การหลบเลี่ยงพบเจอจึงเป็นเรื่องที่ดีที่สุด เพียงแต่เธอไม่คิดว่าพวกเขาจะถึงขั้นไม่แม้แต่จะลงมากินข้าวเย็นด้วยกัน
“คุณชายทั้งสามบอกว่าไม่หิวค่ะ ให้คุณนายทานก่อนได้เลย”
จินอ้ายสาวใช้คนใหม่บอกด้วยท่าทางประหม่า ในน้ำเสียงมีความสั่นเทาน้อย ๆ คล้ายคนกำลังซุกซ่อนบางสิ่ง ซ่งเจียซินมองท่าทางก้มหน้าหลบสายตาแล้วรีบเดินหนีไปของอีกฝ่ายแล้วขมวดคิ้วเล็กก่อนจะเงยหน้ามองขึ้นไปยังชั้นบนตรงตำแหน่งของห้องนอนเด็กชายทั้งสามด้วยความสงสัย เพียงแต่สุดท้ายก็เลือกที่จะไม่เข้าไปก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของพวกเขา
หากไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไร พวกเขาไม่ต้องการให้เธอยุ่งเกี่ยวเธอก็ไม่ควรยุ่งเกี่ยว
“จื่อหมิง จื่อชิง ฉันหิวมาก”
หลี่จื่อรั่วที่นอนอยู่ตรงกลางระหว่างพี่ชายฝาแฝดทั้งสองเอ่ยบอกในความมืด มือเล็กกุมท้องที่ส่งเสียงร้องประท้วงจนนอนไม่หลับเอาไว้
หลี่จื่อหมิงขมวดคิ้วเข้ม เขาเองก็หิวไม่ต่างไปจากน้องชายฝาแฝด ทว่าเพราะต้องการหลบหน้าเสวี่ยชิงหยวนจึงจำต้องอดทนเอาไว้
“จื่อหมิง หญิงร้ายกาจนั่นคงนอนหลับไปแล้ว ฉันว่าพวกเราไปหาอะไรง่าย ๆ กินรองท้องสักหน่อยดีหรือไม่”
หลี่จื่อชิงที่ตอนนี้ก็รู้สึกตาลายเวียนหัวเพราะความหิวเอ่ยบอกสนับสนุนน้องชายฝาแฝด หลี่จื่อหมิงเห็นคนทั้งสองต้องทนทรมานเพราะความหิว ก็พยักหน้าตอบรับ ร่างเล็กทั้งสองก็ดีดตัวลงจากที่นอนเปิดประตูย่องลงบันไดไปในครัวทันที เพียงแต่ทันทีที่เปิดตู้อาหารดูก็พบว่า...
“จื่อหมิง จื่อชิงทำยังไงดีไม่มีอะไรเหลือให้กินเลย”
หลี่จื่อรั่วบอกเสียงสั่น ดวงตากลมที่เปล่งประกายยินดีเมื่อครู่เวลานี้พลันเอ่อคลอไปด้วยน้ำตา
“อะไรนะ ไม่มีอะไรเหลือเลยอย่างนั้นหรือ”
หลี่จื่อชิงยื่นศีรษะเข้ามาดูเพื่อยืนยันคำพูดของน้องชาย เมื่อเห็นว่าภายในตู้อาหารว่างเปล่าจริง ๆ ก็ขบกรามแน่น
“หญิงใจร้าย ท้องของเธอเป็นหลุมอากาศหรือไงถึงกินอาหารจนหมดไม่เหลือแม้แต่จานแบบนี้”
คนหิวโวยวายด้วยความไม่พอใจ หลี่จื่อหมิงกวาดสายตามองผ่านความมืด อาหารเย็นไม่มีแล้วที่ทำได้คงมีเพียงทำอะไรง่าย ๆ ให้น้องชายทั้งสองกิน
“พวกนายไปนั่งรอ ฉันจะต้มไข่ให้กิน”
“จื่อหมิง นายต้มไข่เป็นด้วยเหรอ”
“ไม่เป็น”
คำตอบของหลี่จื่อหมิงทำให้ดวงตาที่เต็มไปด้วยความยินดีของน้องชายฝาแฝดทั้งสองพลันหม่นวูบลง
“แต่ไม่น่ายาก”
ก็แค่เปิดเตา ตั้งน้ำ เอาไข่ใส่ เองไม่ใช่หรือไง ทว่ายังไม่ทันลงมือทำสิ่งใด ภายในห้องครัวก็สว่างวาบ เมื่อมองไปยังตำแหน่งสวิตช์ไฟก็พบ...
“คุณแม่” / “หญิงใจร้าย”
ซ่งเจียซินมองดูบัตรเชิญที่ตงซางยื่นให้แล้วขมวดคิ้วแน่น ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความสงสัย“สมาคมฟู่หลันอย่างนั้นหรือ ทำไมฉันถึงไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย”“เป็นสมาคมที่ตระกูลฟู่ก่อตั้งขึ้นครับ เห็นว่าก่อตั้งมาเพียงสามปีก็ได้รับความนิยมจากผู้คนจำนวนมาก มีทุนสนับสนุนหมุนเวียนปีละหลายล้านหยวนเลยทีเดียว”ทุนสนับสนุนหมุนเวียนปีละหลายล้านหยวน จะเป็นไปได้อย่างไรกัน ที่จะมีคนบริจาคเงินสนับสนุนด้วยงบประมาณที่สูงถึงเพียงนั้น เว้นแต่ว่ากิจการสมาคมนี้เบื้องหลังจะไม่ได้สร้างขึ้นเพื่อผลประโยชน์ทางการกุศลเพียงอย่างเดียว ทว่าตระกูลฟู่นี้ทำไมจึงรู้สึกคุ้นหูนัก“ตระกูลฟู่... ทำไมฉันถึงได้คุ้นหูจัง”“อาจเป็นเพราะนายท่านตระกูลฟู่ ก็คือบิดาบุญธรรมของคุณเจียงครับ”“บิดาบุญธรรมของเจียงชิงชุน?”“ครับ ตระกูล เป็นผู้ประกอบกิจการรายใหญ่ของประเทศ ผลิตอุปกรณ์และยาทางการแพทย์ครับ”“กิจการของตระกูลเสวี่ยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับตระกูลฟู่ดังนั้นงานเลี้ยงนี้คงไม่เหมาะสมที่จะไป”ในเมื่อไม่มีเหตุผลทางธุรกิจ และไม่มีความจำเป็นในความสัมพันธ์ส่วนตัวซ่งเจียซินก็คิดว่าเธอไม่ควรสอดมือเข้าไปในพื้นที่ที่ไม่น่าไว้วางใจนี้ มือเรียวจึงวางบัตรเชิญ
ซ่งเจียซินแทบจะสำลักข้าวต้มเมื่อหลี่โจวอี้แจ้งข่าวว่าตนเองทำเรื่องย้ายกลับเข้าเมืองได้สำเร็จแล้ว และนับจากวันนี้ไปเขาจะอยู่ที่บ้านทุกวัน“คุณหลี่ เมื่อครู่คุณบอกว่ายังไงนะคะ”“ผมบอกว่าตอนนี้ผมทำเรื่องย้ายมาสังกัดในเมืองได้แล้ว ต่อไปก็สามารถอยู่กับลูกและคุณได้ทุกวัน”อยู่ได้ทุกวัน เพียงแค่คิดซ่งเจียซินก็รู้สึกว่าเส้นเลือดที่ขมับปูดโปนขึ้นมา สบดวงตาคมที่จ้องมองแล้วยิ้มแห้ง ทว่ายังไม่ทันพูดอะไรเสียงรถคันหนึ่งก็ขับมาจอดที่หน้าประตูรั้ว“คุณไป๋ชิงหลันมาพบคุณหลี่ค่ะ”หูหลันอิงเข้ามารายงานด้วยท่าทางสงบนิ่งหากแต่หางตาลอบมองผู้เป็นนายสาวด้วยความห่วงใย ซ่งเจียซินตวัดสายตามองชายหนุ่มหัวโต๊ะแล้วถอนหายใจยาว ช่างเป็นบุรุษมากเสน่ห์จริงๆ“อย่างนั้นคุณก็คุยกับเพื่อนสนิทไปก่อนก็แล้วกันนะคะ วันนี้ฉันจะไปส่งเด็กๆ เอง”พูดจบซ่งเจียซินก็ลุกขึ้น ไม่ต้องเอ่ยชวนเด็กชายทั้งสามก็ลุกขึ้นลงจากเก้าอี้ตามมารดาเลี้ยงในทันที“พ่อใจร้าย”หลี่จื่อรั่วพูดเสียงน้อยใจก่อนเดินออกไป ตามด้วยพี่ชายทั้งสองสีหน้าและแววตาชัดเจนว่าไม่พอใจคนเป็นพ่อเป็นอย่างยิ่งเช่นกัน“เดี๋ยวก่อน ผมไม่ได้...”“โจวอี้...”หลี่โจวอี้พูดไม่ทันจบประโย
ข่าวเรื่องลูกค้าระดับแบล๊กโกล์ดคลาสของร้านเพชรเสวี่ยจะได้เลือกชมตัวอย่างแบบร่างเครื่องเพชรของนักออกแบบอันลู่ซือก่อนผู้อื่นทำให้บรรดาสมาชิกผู้ถือบัตรต่างพากันเข้าซื้อสินค้าในร้านเพชรเสวี่ยเพื่อเพิ่มระดับบัตรสมาชิกของตัวเอง เพียงระยะเวลาหนึ่งสัปดาห์สร้างรายได้ให้กับร้านเสวี่ยมากกว่าสามล้านหยวน ทำลายยอดสถิติหลายปีที่ผ่านมาของเสวี่ยกรุ๊ปจนบรรดาผู้ถือหุ้นทั้งหลายต่างพากันตกใจและเมื่อถึงกำหนดส่งบัตรเชิญจำนวนลูกค้าผู้ถือบัตรสมาชิกระดับแบล๊กโกล์ดคลาสจากสิบกว่าคนก็เพิ่มยอดเป็นสามสิบคน คิดคำนวณดูแล้วเพียงแค่กลุ่มลูกค้านี้ก็สร้างรายได้ให้ร้านเสวี่ยถึงสามล้านหยวนแล้ว“ไฉ่หงทุกอย่างเรียบร้อยดีไหม”“เรียบร้อยดีค่ะ”ซ่งเจียซินที่มาตรวจสอบความเรียบร้อยของการจัดงานสอบถามกวนไฉ่หง โดยวันนี้เธอได้มอบหมายให้ตงซางเข้าไปต้อนรับสมาชิกและดูแลความเรียบร้อยด้านใน แต่หากมีเรื่องผิดพลาดหรือปัญหาใดๆ เกิดขึ้นตัวเธอก็จะรอจัดการอยู่ที่ด้านนอก“ยอดการสั่งจองเป็นอย่างไรบ้าง”“แบบร่างทั้งหกสิบแบบที่จะผลิตในปีนี้ถูกสั่งจองไว้ทั้งหมดแล้วค่ะ”“ดี!”และเพราะแบบร่างทั้งหกสิบแบบที่อันลู่ซือออกแบบไว้ก็ถูกสั่งจองไปจนหมด ทำให้ที
หลังจากงานเลิก ซ่งเจียซินก็พาเด็กชายทั้งสามแยกตัวออกจากงาน อาจเพราะเป็นเวลาที่ดึกมากแล้วดังนั้นขึ้นรถมาได้ไม่นานทั้งสามคนก็เอนหลับ ดวงตากลมมองศีรษะเล็กของหลี่จื่อรั่ว และ หลี่จื่อชิงที่นอนซบอยู่บนตักนุ่ม ขณะที่หลี่จื่อหมิงนั่งนิ่งแผ่นหลังตรงราวกับยังมีสติครบ เพียงแต่ดวงตาที่ปิดสนิทกับลมหายใจที่สม่ำเสมอก็ทำให้ซ่งเจียซินรับรู้ได้ว่าเขาเองก็หลับแล้วเช่นกัน“คุณชายทั้งสามยังเด็ก ออกงานครั้งแรกมีปัญหาอะไรไหมคะ”“ไม่มี”เมื่อตอบจูหลินอิงไปแล้วซ่งเจียซินก็อดคิดถึงภาพสามคุณหนูที่ถูกเด็กชายทั้งสามลงมือไม่ได้“ถึงมีฉันก็จะปกป้องพวกเขาเอง”“คุณหนูดีกับคุณชายน้อยทั้งสามคนขนาดนี้ คุณหลี่ก็ยังคิดมอบใบหย่าคุณอีก ช่างเป็นบุรุษที่ใจร้ายจริงๆ”ในรถพลันเงียบลงในทันทีจูหลินอิงที่รู้ว่าตนเองพูดเรื่องที่ไม่สมควรออกมาก็รีบกล่าวขอโทษแล้วหันกลับไปนั่งนิ่งไม่พูดอะไรอีกซ่งเจียซินปวดหนึบในใจ ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่แต่เธอรู้สึกรักและผูกพันจนไม่อยากจากเด็กชายทั้งสามไปเลย ดวงตากลมเสมองไปนอกหน้าต่างเพื่อขับไล่ความรู้สึกในอก จึงไม่เห็นมือเล็กของหลี่จื่อหมิงที่กำแน่นเข้าหากันบิดาของเขาคิดจะมอบใบหย่าให้มารดาเลี้ยงอย่า
“ชิงหยวน เป็นอย่างไรบ้าง”อวี้ซูซินเห็นลูกสาวของตนเองเดินกลับออกมาก็เอ่ยถามด้วยสีหน้ากังวล เช่นเดียวกับเสวี่ยตงฉินที่ยืนอยู่ข้างๆ“ลูกไม่ต้องห่วง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นพ่อจะสนับสนุนลูกเอง”“ขอบคุณค่ะ”เพราะยังไม่แน่ใจว่าสิงฉู่หรันจะช่วยเหลือจากใจจริงหรือไม่ ซ่งเจียซินจึงทำได้เพียงหมุนตัวไปทางเวทีด้านหน้า พลันแสงไฟในงานก็ดับลง เหลือเพียงแสงที่สาดขึ้นบนเวทีซ่งเจียซินจดจ้องบนลานเดินที่บรรดานางแบบกำลังทยอยเดินออกมา บนตัวของพวกเธอแต่ละคนต่างสวมเครื่องเพชรหรูหรา โดยมีพิธีการชายหญิงคอยอธิบายถึงคุณสมบัติต่างๆ ของผลงานแต่ละชิ้น“และในลำดับต่อไปเป็นเครื่องเพชรจากร้านเสวี่ยครับ”สิ้นเสียงของพิธีกรสิงฉู่หรันในชุดสีดำวาวก็เดินออกมายังเบื้องหน้าเวที ด้วยรูปลักษณ์และใบหน้าที่โดดเด่น อีกทั้งท่วงท่าสง่างาม แน่นอนว่าเธอย่อมเป็นจุดสนใจของผู้คนในทันทีที่ปรากฏตัว“นั้นคุณสิงฉู่หรัน ดาราดังไม่ใช่หรือ”“ได้ยินว่าเธอไม่รับงานเดินแบบนี่นา ไม่คิดเลยว่าร้านเสวี่ยจะสามารถเชิญเธอมาเดินแบบให้ได้”เสียงผู้คนดังขึ้น เสวี่ยชิงหยวนจ้องมองไปบนเวทีด้วยหัวใจที่สั่นระรัว สองมือข้างลำตัวกำแน่นด้วยความกังวล ก่อนจะสัมผัสได้ถึง
“คุณหนูเสวี่ยครับเกิดเรื่องแล้ว”“เรื่องอะไร”“นางแบบที่จะสวมชุดเครื่องเพชรของร้านเราขึ้นเวทีเป็นลมหมดสติไปกะทันหันครับ”ซ่งเจียซินขมวดคิ้วเรียวแน่น ในแววตามีความกังวลและสงสัยเกิดขึ้นทันทีที่ฟังคำรายงานของตงซางจบ เพียงแต่ตอนนี้สิ่งสำคัญไม่ใช่การหาสาเหตุการเกิดปัญหา แต่คือการหาวิธีแก้ไขปัญหา“คุณแม่คะ ฉันฝากเด็กๆ ไว้สักครู่นะคะ”“ได้!แม่จะดูแลพวกเขาเอง ลูกไปจัดการธุระเถอะ”“แม่ไม่ต้องเป็นห่วง ผมจะดูแลน้องๆ เอง”หลังจากได้รับคำตกลงจากมารดา และคำมั่นจากหลี่จื่อหมิงซ่งเจียซินก็วางใจเร่งเดินไปที่ห้องด้านหลังเวทีในทันที“คุณเสวี่ย พวกเราจะทำยังไงดี”อันลู่ซื่อถามด้วยความร้อนใจ บรรยากาศในห้องแต่งตัวเวลานี้เต็มไปด้วยความตึงเครียด แม้ว่าเหตุการณ์ครั้งนี้จะเป็นเหตุสุดวิสัย และทางสมาคมหมิงหลันไม่ได้ตำหนิพวกเธอร้านเสวี่ย แต่สำหรับซ่งเจียซินแล้วนี่กลับเป็นการขาดทุนมหาศาลหากไม่ได้ขึ้นเวทีเครื่องเพชรของเธอก็จะไม่ได้ถูกนำเสนอ ชื่อร้านเสวี่ยก็จะไม่มีการประกาศ เช่นนี้แล้วทุกอย่างที่ลงแรงไปก็เท่ากับศูนย์เปล่า“นางแบบเป็นยังไงบ้าง พาไปโรงพยาบาลหรือยัง”“เรียบร้อยแล้วครับ”ในสถานการณ์เช่นนี้ซ่งเจียซินไม่ไ